เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังเทศน์เนาะ ฟังเทศน์ ฟังเทศน์ต้องไปวัด ถ้าไปวัดไปวา วันนี้เรามาวัด วัดมีหลายชนิด อย่างเช่นเมื่อวานตอนเย็นๆ มีคนมามาก เขามาวัดไง เราบอกมาวัด อยากจะมาวัด แต่เขามาแล้วติดเครื่องยนต์ไม่ดับ แล้วก็วนไปเวียนมา เพราะพวกนี้ไม่เคยไปวัด ถ้าเขาไม่ไปวัด เขาคิดว่าวัดเป็นสถานที่สาธารณะ วัดเป็นที่รองรับอารมณ์ของคน ใครมาสิ่งใดก็แล้วแต่ วัดต้องยอมรับ

เราบอกเขา บอกวัดมันมีหลายประเภท เราบอกว่าวัดนะ ถ้าเป็นวัดบ้าน วัดบ้านเขาไว้เป็นที่สาธารณะ เป็นที่ชุมชน เป็นที่จัดงานในชุมชนนั้น แล้วถ้าเป็นสำนักเรียน สำนักเรียนเขาก็เรียนของเขา เขาก็ต้องการความสงบของเขาพอสมควร สำนักเรียนนะ ถ้าสำนักเรียน เวลาเรียนเขาต้องการความสงบของเขา แล้วนี่เป็นสำนักปฏิบัติ ถ้าสำนักปฏิบัติ การเข้ามาสำนักปฏิบัติ ถ้าคนเขามีหัวใจนะ บางคนเข้ามาเขาจอดรถไว้ข้างนอกแล้วก็เดินเข้ามา เพราะว่าเขาได้บ่มเพาะหัวใจของเขา เขาได้บ่มเพาะหัวใจของเขาเพราะเขารู้ว่าสำนักปฏิบัติเขาต้องการความสงบสงัดอย่างไร ถ้าความสงบสงัดอย่างไร ถ้าเขามาแล้วไปวัดไปเพื่อบุญกุศล ไม่ใช่ไปเพื่อเอาบาป เอาบาป เอาความกระทบกระเทือนมาใส่หัวใจของเรา

ฉะนั้น เวลาไปวัดขึ้นมามันก็ต้องมีการศึกษาไง ถ้าอย่างนั้นวัยรุ่นบอกว่า “อย่างนี้ไปวัดก็ยุ่งมากเลย” เวลายุ่งมาก เวลาไปเดือดร้อน ไปหาความเดือดร้อนใส่ตัวอันนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่ง แต่เวลาจะเอาความดีใส่ตัวนี่เป็นเรื่องยุ่งมากเลย เป็นเรื่องยุ่งมากเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสของเรามันต้องการความสะดวกต้องการความสบาย ความสบายทำให้คนมักง่าย ทำให้คนลืมตัว ทำให้คนไม่รักษาตัวเองไง

เห็นไหม เวลาไปไหนเขาให้มีสติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลายเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ถ้าไม่ประมาท ไม่ประมาทมันก็ไม่ขาดสติ ไม่ขาดสติ การกระทำสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาด ถ้าการทำสิ่งใดไม่ผิดพลาด มันไม่ผิดพลาด กิเลสมันก็สอดแทรกเข้ามาไม่ได้ พอกิเลสสอดแทรกเข้ามาไม่ได้ กิเลสมันไม่พอใจไง

ฉะนั้น ถ้าทำตามสะดวกตามสบายของเรา “นั่นก็ไม่เป็นไร นี่ก็ไม่เป็นไร” เวลาคนมาหาเรานะ “หลวงพ่อ ไม่เป็นไร หลวงพ่อ ไม่เป็นไรหรอก”

เอ็งไม่เป็นไร แต่กูเป็น เอ๊ะ! เอ็งไม่เป็นไร ทุกคนก็ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไร แต่คนมันเคยอยู่นะ คนอยู่ในความสงบสงัด แล้วเวลาเสียงมันกระทบมันส่งออกๆ มันไปรับรู้สิ่งนั้นมา คนที่เขารักษาไว้ๆ คนที่รักษาไว้ รักษาไว้เพื่อใคร? ก็รักษาไว้เพื่อประชาชนนี่แหละ รักษาไว้เพื่อเรานี่แหละ รักษาไว้เพื่อเรา

เวลาคนทุกข์คนยากขึ้นมา เวลามันทุกข์ยากขึ้นมา ไปที่สงบสงัดมันก็มีความพอใจของมัน เวลาคนที่มีความทุกข์ความยากขึ้นมา ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาไปถึงนะ มีแต่มหรสพสมโภช มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่วัดชนิดนั้นมันเป็นวัดประจำวัฒนธรรมประเพณี สิ่งนั้นก็ต้องมีไว้เพื่อสังคม สังคมก็มีของเขาไว้อย่างนั้น

แต่ถ้าสังคมเขาจะเลือกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเขาจะค้นคว้าเล่าเรียนขึ้นมา เขาก็ไปสำนักเรียน เวลาเขาจะไปวัดที่ประพฤติปฏิบัติ เรามาปฏิบัติเพื่ออะไร เรามาสำนักเพื่อประพฤติปฏิบัติ สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ

ถ้าครูบาอาจารย์ไม่เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์ไม่เป็นผู้ชี้นำ ครูบาอาจารย์ไม่เป็นคนที่รักษาไว้ มันก็เอาแต่สัญญาอารมณ์ของคน เวลาคนมันมีความรู้อย่างใด มีความเห็นอย่างใด มันก็ต้องการสิ่งนั้น เวลามีการศึกษาสิ่งใดมา ถ้ามีความชอบใจก็ว่าสิ่งนั้นถูกต้องดีงาม แต่เวลาทำความสงบของใจทำไม่เป็น ใจที่มันสงบยังทำไม่ได้ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันมีความมหัศจรรย์ไง มหัศจรรย์ เห็นไหม สิ่งที่มีคุณค่าๆ ที่เขาประพฤติปฏิบัติกันก็เพื่อหาเหตุนี้แหละ หาหัวใจของเราไง ถ้าเราเจอหัวใจของเรา เราเจอหัวใจของเรา

นี่เราหาหัวใจของเราไม่เจอ สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ เราส่งออกไง ดูสิ โลกียปัญญา ปัญญาในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เราต้องมีตำรับตำราใช่ไหม เราต้องมีการวิเคราะห์วิจัยใช่ไหม มันถึงมีความรู้สึกขึ้นมาใช่ไหม แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามามันทิ้งสิ่งต่างๆ เข้ามาเลย มันไม่พาดสิ่งใดเลย จิตมันอาศัยตัวมันเองอยู่ของมันได้ ถ้าจิตมันอาศัยตัวของมันได้ มันมีความมหัศจรรย์ สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์มันก็ตื่นเต้น ความตื่นเต้น มันอยากได้อยากดีอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ พอไม่ได้ เขาก็ขวนขวายๆ พอขวนขวายขึ้นไป จะไปหาสำนักที่ไหนล่ะ คิดว่าไปหาสำนักที่ไหน ไปหาครูบาอาจารย์องค์ใด ครูบาอาจารย์องค์นั้นต้องชี้ทางให้เราได้ ครูบาอาจารย์ต้องบอกกล่าววิธีเราได้

เวลาบอกกล่าวๆ บอกไว้เฉยๆ ไง แต่เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมามันต้องทำของเราไง เวลาอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะ ถ้าใครลุกขึ้นไปตักแล้วได้ทานอาหารนั้น คนนั้นก็จะได้ทานอาหารนั้น คนอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ เราก็นั่งอยู่นี่ แล้วเราก็นึกเอาเองว่าเราได้ทานอาหารแล้วเราก็อิ่มหนำสำราญ โอ้โฮ! เราอิ่มหนำสำราญเลย ไอ้คนกินก็ไปกินอยู่นู่น เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราอิ่มหนำสำราญ...มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่เรามาแสวงหากัน เรามาแสวงหาหัวใจของเรา เห็นไหม เราไปวัดปฏิบัติ ถ้าไปวัดปฏิบัติ เราเลือกแล้ว เราเลือกว่าจะไปสำนักปฏิบัติ ถ้าสำนักปฏิบัติ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีหลักนะ ประเพณีท่านพยายามจะเอาออก พิธีกรรมๆ พิธีกรรมมันเป็นตัวถ่วง พิธีกรรม เวลาทำสิ่งใดถ้ามันทำถูกต้อง เราก็เถียงกันว่าสิ่งนี้ถูก แล้วถ้าใครบอกว่าผิด มันก็จะคอตกไง

พิธีกรรมก็เป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ พิธีกรรมหรือเราศึกษาสิ่งใดมากน้อยขนาดไหน เขาชี้มาที่หัวใจ ชี้เข้ามาที่ใจนะ เพราะอะไร เพราะว่าเจตนามันเกิดจากอะไรล่ะ? ทุกอย่างเกิดจากจิต ถ้าทุกอย่างเกิดจากจิต แต่เราไม่รู้จักจิตของตัวเราเอง แล้วเราส่งออกไป มีเจตนา มีความต้องการ มีการกระทำอย่างนั้น ถ้ามันสมความปรารถนานั้นมันก็เป็นความสุข นี่อามิส อามิสเพราะอะไร เพราะมันคิดแล้วมันสมความปรารถนามันก็เป็นความสุขของมัน

เวลาเราพุทโธๆ มันเป็นพุทธานุสติ เป็นพุทธานุสติมันเป็นน้ำ น้ำฝน น้ำจืด น้ำจืดใสสะอาด รสชาติของมันก็รสชาติน้ำจืด เวลาพุทโธๆ ไป มันไม่มีโทษกับใคร มันไม่มีโทษให้ใคร น้ำสะอาดเราดื่มกินเข้าไปมันเป็นประโยชน์กับร่างกายทั้งนั้นแหละ แต่คนไม่ชอบ มันชอบรสชาติ ชอบสุรายาเมา ชอบสิ่งที่ยิ่งเก็บไว้นานปียิ่งมีคุณค่า ขวดหนึ่งเป็นแสน

น้ำของเรา แม่น้ำทั้งหลาย เรายึดของเรา นี่พูดถึงว่าพุทโธๆๆ กิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันไม่ต้องการหรอก แต่เวลามันไปดื่มน้ำสุรา ไปดื่มต่างๆ ราคาเป็นแสนเป็นล้าน มันดื่มของมันแล้วมันมีเกียรติมีศักดิ์ศรี มียศถาบรรดาศักดิ์นะ สิ่งนั้นเอาโทษมาให้ร่างกายทั้งนั้นแหละ เอาโทษมาให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยแน่นอน สุขภาพไม่ดี

แต่เวลาเราดื่มน้ำจืด น้ำใส น้ำสะอาด พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คนเรานะ เวลาระลึกถึงความตาย คนเราใกล้ตาย คนเจ็บปวดมันไม่คิดเรื่องอื่นเลย ไม่คิดเรื่องข้างนอกเลย คิดแต่ว่า “ตัวเรามันจะตายแล้วหรือ ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วเรามีสมบัติที่จะเป็นเสบียงหรือยัง” มันคิดไปวิตกไปหมดแหละ เวลาคิดถึงความตาย ฉะนั้น คนเราถ้ามีสติ มันคิดถึงความตาย คิดถึงมรณานุสติ ระลึกถึงตัวตนของเราไง ระลึกถึงตัวตนของเรา

“หลวงพ่อ แล้วมาทำบุญเขาจะได้บุญกุศล เขาอยากร่ำอยากรวย มาพูดอะไรเรื่องความตายล่ะ”

อยากร่ำอยากรวย คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา คนเราภาวนา เวลาบอกว่า “พระบวชมาแล้วไม่เห็นทำอะไรเลย”

พระบวชมานั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่นล่ะ เขาจะเกิดปัญญาของเขา ปัญญาของเขา เขาจะทำภาวนามยปัญญา แล้วพวกเรา เรามาวัดมาวา เรามาฝึกหัดของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา ถ้าจิตเราสงบเข้ามามันจะเกิดปัญญา เกิดเชาวน์เกิดปัญญา เกิดเชาวน์เกิดปัญญาเพราะอะไร เพราะมันเป็นปัญญาของเรา มันเป็นจิตของเราที่ฝึกหัดขึ้นมา สิ่งที่เราสงเคราะห์ ที่เราวิเคราะห์วิจัย มีการศึกษา นี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ เราอาศัยตำรับตำรา อาศัยความต่อยอดความคิดของคนอื่น เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราภาวนาขึ้นมามันไบรต์มากเนาะ เราคิดนู่นก็ได้ คิดนี่ก็ได้ นั่นล่ะมันมีต้นทุนมาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราฝึกหัดภาวนาๆ ขึ้นมา มันจะเกิดปัญญา เกิดปัญญาอย่างนี้ ปัญญาจะเกิดจากการฝึกหัด เกิดมาจากหัวใจของเรา นี่มีเชาวน์ปัญญาไง

เรามาทำบุญกุศล เราอยากร่ำอยากรวย เราอยากร่ำอยากรวย อยากร่ำอยากรวยต้องมีปัญญา ถ้ามีปัญญา คนมีเชาวน์มีปัญญาเกิดจากการที่เขาฝึกหัด เขาได้ฝึกหัดศีล สมาธิ ปัญญามาของเขา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขา เขาได้เสียสละของเขา อำนาจวาสนาของเขามา เขาเกิดในสังคมที่ดี เขาเกิดจากคนที่มีคนจุนเจือเขา

แต่เวลาของเรา เราเกิดมา ยากแค้น ตกทุกข์ได้ยาก ตกทุกข์ได้ยากก็เราทำของเรามาอย่างนี้ ถ้าเราทำของเรามาอย่างนี้ โอกาสและวาสนาของคนมันแตกต่างกัน โอกาสและวาสนาของคนมันเกิดที่นี่

ถ้าบอกอยากร่ำอยากรวย นี่ผลของวัฏฏะ อยากร่ำอยากรวย ผลของบุญกุศลเป็นอามิส เวลาเราภาวนาขึ้นมาเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจธรรม มันเป็นอริยสัจ มันเหนือ มันเหนือโลก เหนืออามิส เหนือวัฏฏะ ถ้าเหนือวัฏฏะ เวลาภาวนาขึ้นมามันเป็นปัญญาที่ลึกซึ้ง ปัญญาที่เราไม่เคยเห็น ถ้าใครเห็นภาวนามยปัญญา ใครเกิดธรรมจักรขึ้นมาในหัวใจ มันจะมหัศจรรย์

แล้วสิ่งนี้มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ไหนไม่ได้เลย เว้นไว้แต่หัวใจของสัตว์โลก เว้นไว้แต่หัวใจของเรา ถ้าเรามีจิต จิตมันสงบขึ้นมา มันภาวนาขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาในผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ เริ่มตั้งแต่เรื่องทำทาน ทำทานตั้งแต่ไปวัด ถ้าไปวัดประเพณีวัฒนธรรมก็เรื่องหนึ่ง ถ้าไปวัดการศึกษาก็เรื่องหนึ่ง

ถ้าจะไปวัดปฏิบัติ ไปวัดปฏิบัติเงียบสงัด แล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ ได้อะไรขึ้นมา มันก็วัดใจเราไง มันดิ้นไหมล่ะ ถ้ามันไม่ดิ้น ถ้ามันสงบระงับเข้ามาได้ ข้างนอกมันก็สงัด

สัปปายะไง ข้างนอกสงัด ข้างในมันสงัดไหมล่ะ เวลานั่งสมาธิ ตัวเองยังไม่เคลื่อนไหว นั่งสมาธิอยู่นี่แล้วใจมันสงบไหมล่ะ ถ้าใจไม่สงบ มันต้องอาศัยอะไรล่ะ อาศัยอะไรบังคับให้ใจนี้สงบล่ะ เห็นไหม เรามีสติขึ้นมา เรามีคำบริกรรมมาไง ถ้ามีคำบริกรรม มันก็มีกติกาใช่ไหม คนเราก็มีกติกากับตัวเราเองใช่ไหม คนเราไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่มีกติกากับตัวเองเลย ตัวเองจะโตขึ้นมาได้อย่างไร จะเอาชีวิตเรารอดได้อย่างไร เราจะเอาชีวิตของเราให้รอดไปได้อย่างไร

เราจะไม่เป็นเหยื่อของใครนะถ้าเรามีสติมีปัญญา ความโลภ ถ้าเราไม่โลภ ไม่อยากได้ของใคร ไม่มีใครหลอกเราได้หรอก ไอ้ที่อยากได้ของเขานี่แหละเป็นเหยื่อ เราไม่อยากได้ของใคร อยากได้จากการกระทำ สุจริต ด้วยสุจริต ธรรมาภิบาล ด้วยความสุจริต ด้วยการกระทำของเรา เราจะภูมิใจมาก เราได้ทำของเราขึ้นมา

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราภาวนาขึ้นมา ถ้ามีปัญญาของเรา ปัญญาของเรามันเป็นมรรค พอเป็นมรรคขึ้นมามันจะชำระล้างกิเลสในใจของเราเท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ เราไม่ได้เอามรรคผลของใครไปเลย”

เวลาท่านจะนิพพานนะ พระอานนท์คร่ำครวญมาก อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเราตลอดไป พระอานนท์ยังต้องการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้สอนอยู่ เพราะพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน “อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลยนะ เราเอาสมบัติของเราไปเท่านั้น ธรรมและวินัยเราได้วางไว้แล้วจะเป็นศาสดาของเธอ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น เธอจะสิ้นกิเลสในวันนั้นไง”

พระอานนท์คร่ำครวญๆ คร่ำครวญคือหวังพึ่งข้างนอก แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมา เป็นอำนาจวาสนาบารมีของพระอานนท์ของท่านเอง ท่านได้ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามาก ฉะนั้น เวลาเขาทำสังคายนา ต้องอาศัยข้อมูลจากท่าน แต่ข้อมูลนั้นเกิดจากพระโสดาบัน มันก็ยังไม่สะอาดบริสุทธิ์ เขาต้องการข้อมูลที่เกิดจากพระอรหันต์ เพราะได้ฟังธรรม ทรงจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระอรหันต์ ที่เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ พระโสดาบันมีคุณธรรมในใจ แต่ก็ยังมีกามราคะ-ปฏิฆะมันเป็นกิเลสฝังอยู่ในใจ จะวิเคราะห์วิจัย จะพูดธรรมะ มันยังลำเอียงชอบไม่ชอบ เห็นไหม

ฉะนั้น คืนนั้นพระอานนท์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยอำนาจวาสนาของพระอานนท์นะ เพราะพระอานนท์ทำคุณประโยชน์กับโลกนี้มาก ทำประโยชน์กับศาสนานี้มาก แล้วก็ทำคุณประโยชน์ในใจของพระอานนท์ด้วย พระอานนท์ถึงได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ นี่วันทำสังคายนา เป็นผู้ทรงจำธรรมนี้มา พระอุบาลีเป็นผู้ทรงธรรมวินัยนี้มา ทำสังคายนาเป็นหมวดเป็นหมู่มา แล้วท่องจำกันมาไง นี่เป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดาคือผู้ชี้นำ แต่เวลาทำจริงๆ ขึ้นมาก็ต้องทำขึ้นมาในหัวใจของเรา เรามาวัดมาวา เราพัฒนาใจเรานะ

“เราไปวัด ไปวัดทำไมยุ่งขนาดนี้ล่ะ”

ไม่ยุ่งเลย คนที่เคยไปวัดแล้วไม่ยุ่งเลย เข้ามาในวัด ความสงบเสงี่ยม เอาหัวใจมา เอาหัวใจมาแล้วไม่มีความยุ่งยากเลย แต่เราไม่เอาหัวใจมา เราไปเอาพิธีกรรมมา เราไปเอาการคาดหวังมา เราไม่ได้เอาหัวใจมา ถ้าเอาหัวใจมา หัวใจเท่านั้นมันต้องการความสะอาด มันต้องการความสงบ ต้องการความระงับ แล้วไปเจอวัดที่เขาสงบระงับแล้วมันต้องการอะไร

แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็บอกว่า “วัดนี้ขาด”

ยิ่งเข้ามาในวัดเรา ทุกคนแปลกใจ “หลวงพ่อ ไม่มีใครให้สายไฟใช่ไหม ไม่มีไฟฟ้าใช่ไหม หลวงพ่อ ไม่มีใครทำมุ้งลวดให้ใช่ไหม หลวงพ่อ ฝนมันสาด หนูจะมาทำให้” มีแต่หนูจะมาทำให้ หนูจะมาทำให้เยอะแยะไปเลย แต่ทำไมไม่เอาใจมึงมาปฏิบัติบ้างวะ เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อปฏิบัติ แต่เพราะเขาไม่เคยเจออย่างนี้ไง

มีคนมาหา บ่ายๆ นี่มาแล้ว มาถึงจะเสนอเลย “จะติดห้องกระจกให้ หนูจัดการให้ มาจะทำมุ้งลวดให้หมดทั้งศาลาเลย”

บางคนมาบอก “โอ้โฮ! หลวงพ่อไม่มีอำนาจวาสนาเลยเนาะ ไม่มีใครสนใจเลยหรือ ไม่มีไฟเข้าวัด แสดงว่าหลวงพ่อแย่มาก”

เขาคิดของเขาไปนะ เขาไม่เอาใจของเขามา ถ้าเขาเอาใจของเขามา เขาเห็นสภาพแบบนี้ เขาบอก “อื้อหืม! นี่ใช่” ที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลต้องการความสงบระงับ ที่อยู่ของผู้ทรงศีล เข้าไปในที่อยู่ของผู้ทรงศีลจะรู้เลยว่าผู้ทรงศีลเขาอยู่กันแบบนั้น เขาไม่ได้อยู่กันในท่ามกลางความอึกทึกคึกโครมโน่น อันนั้นไม่ใช่ที่อยู่ของผู้ทรงศีล อันนั้นที่อยู่ของผู้รอทำพิธีกรรมให้เท่านั้น ทำพิธีกรรมให้ ถ้าไปวัดอย่างนั้น ถ้ามันตรงกันก็พอใจ

แต่ถ้ามาวัดปฏิบัติ ถ้าเราเอาหัวใจนะ มันคิดถึงใจเขาใจเรา เขาอยากได้อะไร เราก็อยากได้อันนั้น เขาอยากได้ความสงบระงับ แต่เราเข้าไปทำอึกทึกครึกโครมมันไม่เข้ากันเลย เขาต้องการได้ความสงบระงับ เราเข้าไปสถานที่อย่างนั้น เราควรทำความสงบระงับต่อท่านด้วย แล้วท่านจะทำใจของท่านให้เป็นหลักเป็นชัย ให้เป็นที่น่าไว้ใจของเรา เอวัง