เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เทศน์เพื่อให้กำลังใจนะ อ้าว! ตั้งใจฟังธรรม เราฟังธรรมนะ วันนี้วันปีใหม่ของไทย วันปีใหม่ของไทยมันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเรา แต่เพราะความว่าต้องการให้ประเทศชาติเจริญไง ประเทศชาติเจริญ เราถึงต้องไปปีใหม่สากล พอปีใหม่สากลเพื่ออะไร? เพื่อเศรษฐกิจ เพื่ออะไร คิดเพื่อทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเพื่อน้ำใจ เพราะมันเป็นฤดูกาลอย่างนี้ ฤดูกาลของเรา เวลาสงกรานต์ ฤดูเราจะเริ่มทำไร่ไถนา ทำไร่ไถนาเพราะอะไร

เพราะเกษตรกรรม เห็นไหม อาหารเป็นของจริง แบงก์เป็นของปลอม แบงก์เป็นกระดาษ แบงก์กินไม่ได้ อาหารเป็นของจริง ถ้าอาหารของจริงนะ ถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาต่างๆ อาหารจะมีค่ามาก เงินซื้อไม่ได้หรอก เวลาเกิดภัยพิบัติขึ้นมา โกดังโดนปล้นเลยล่ะ มันมีอาหารอยู่ แต่คนไม่มีจะกิน มันปล้น มันทำลาย เพราะคนไม่มีจะกิน แล้วเรามองแล้วเราก็สังเวช ถ้าเราสังเวชอย่างนั้น นั่นพูดถึงว่าเราบอกเศรษฐกิจๆ ไง

ฉะนั้น วันนี้เรามาประพฤติปฏิบัติ แล้วประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร? เพื่อมาสร้างหัวใจของเรา คำว่า “สร้างหัวใจของเรา” ให้หัวใจของเราเข้มแข็ง ให้หัวใจของเรามีคุณธรรม พอมีคุณธรรม เผชิญกับโลกมันเผชิญกับโลกได้นะ ถ้ามันเผชิญกับโลกด้วยหัวใจที่อ่อนแอ หัวใจอ่อนแอ เราน้อยเนื้อต่ำใจ จิตใจของเรา “เขาก็เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน ทำไมทุกคนมีความสุขไปหมดเลย เรามีความทุกข์อยู่คนเดียว” นี่มันคิดของมันนะ แต่ความจริงทุกข์ทุกคนแหละ แต่เขาก็ทุกข์ในใจเขา แต่เราไปมองคนอื่นนะ “เอ๊ะ! คนอื่นมีความสุขหมดเลย ทำไมเรามีทุกข์อยู่คนเดียว” เพราะความทุกข์เป็นสัจจะ มันเกิดกลางหัวใจของเราไง

ถ้าเรามาวัดมาวา เรามาประพฤติปฏิบัติ พอมาประพฤติปฏิบัติ เราเอาชนะตัวของเราเอง ถ้าเอาชนะตัวเอง สิ่งที่ว่าความกงความกลัว ความวิตกกังวลต่างๆ มันวางไว้หมดแหละ มันยังไม่เกิดขึ้น ของมันยังไม่มี ทำไมเราวิตกกังวลล่ะ เราไปลากมันมาทำไม ของมันยังไม่มี ของมันยังไม่มา ไอ้ของที่มาคือมือเท้าเราทำมาหากิน เวลาของที่มา หน้าที่การงาน ของที่มันมามีอยู่ แต่เราไปวิตกกังวลข้างหน้า เราไปดึงมา เห็นไหม

เราเกิดมาในประเทศอันสมควรนะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ เราดูสิ เราดูตะวันออกกลาง ดูประเทศที่เขาเกิดสงครามกลางเมืองกัน เขาอพยพ เขาหนีภัยนะ ทำมาหากินไว้ มีบ้านมีเรือนอยู่ไว้ เวลาเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาไม่มีค่าเลย แทบเอาชีวิตไม่รอด พอเอาชีวิตรอดไป เอาได้แต่ชีวิตมา ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา อดๆ อยากๆ เร่ร่อนไป นี่เวลาคนอพยพไง เราดูคนอพยพสิ เผชิญภัยนะ เผชิญภัยไปข้างหน้า นั่นเขาเกิดอะไร? เกิดในประเทศอันไม่สมควร ประเทศของเขาเกิดจากอะไรล่ะ? เกิดจากความเห็นแตกต่างกัน พอความเห็นขัดแย้งกันมันก็เกิดการกระทบกระทั่งกัน เกิดสงคราม เกิดความบาดหมางกัน

เราเกิดมาในประเทศอันสมควรนะ ถึงเราจะมีความบาดหมาง มีการขัดแย้งกัน เพราะความขัดแย้งอันนี้มันขัดแย้งเพราะว่าความขัดแย้งมันมีเรื่องของผลประโยชน์ มันมีเรื่องของข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงคือความเอารัดเอาเปรียบกัน ถ้าเป็นการเอารัดเอาเปรียบ การที่ว่าสังคมขัดแย้งอย่างนั้นมันก็น่าเห็นใจ แต่ถ้ามันเป็นความขัดแย้งเพราะความโลภ ความอยากได้อยากดีของเขา ความขัดแย้งอันนี้มันไม่มีวันจบวันสิ้น ถ้าไม่มีวันจบสิ้น นี่พูดถึงเรื่องเกิดในประเทศอันสมควรนะ

แต่เรามาหาภพหาชาติของเรา เรามาหาประเทศชาติของเรา ประเทศชาติของเราคือปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเรามาวัดมาวา ถ้าเรามาหาภวาสวะ ภวาสวะคือภพ คือสถานที่เกิด สถานที่เกิดของความรู้สึกนึกคิด สถานที่เกิดของบุญกุศล สถานที่เกิดของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสมันก็เกิดบนนี้แหละ กิเลสมันก็เกิดบนหัวใจเรานี่แหละ ดูสิ เวลาขัดแย้งด้วยผลประโยชน์ เพราะกิเลสมันเกิดบนหัวใจนี้ แล้วเกิดบนหัวใจนี้มันไม่มีคุณธรรม

ถ้ามีคุณธรรม คนที่มีคุณธรรม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เขาเสียสละทั้งชีวิตนะ ในประวัติพระโพธิสัตว์มีหลายชาติมากที่ท่านเสียสละชีวิตของท่าน เกิดมาเสวยภพเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นกระต่าย เป็นอะไรต่างๆ ท่านสละชีวิตของท่าน โดดเข้ากองไฟเลย โดดเข้ากองไฟให้นายพรานเขาได้เนื้อนี้ประทังชีวิตของเขาไป นี่เวลาเขาเสียสละเขาเสียสละอย่างนั้นเขาถึงมีคุณธรรมในใจ เพราะคุณธรรมในใจมันมีกำลัง

มีกำลัง ความคิดที่เกิดขึ้นมาตบเลย ตบความคิด “อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่คิด อันนี้ไม่เอา” เวลาความคิดที่มันมีความคิดที่ดีขึ้น อันนี้เป็นความคิดที่ถูกต้อง อันนี้เป็นกุศล เหยียบคันเร่งเลย ขวนขวายหมั่นเพียร หมั่นเพียรทำคุณงามความดี คุณงามความดีในใจ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง ใครจะรู้กับเราไม่รู้กับเรา...เรารู้ เรารู้ เพราะเรารู้ เราถึงเกิดบารมี เพราะการเกิดบารมี จิตใจถึงเข้มแข็ง เพราะจิตใจมันเข้มแข็ง สิ่งใดความคิดที่ไม่ดีเข้ามาในหัวใจเรา มันถึงปัด มันถึงสลัดได้ไง แต่จิตใจคนที่อ่อนแอ ความคิดที่เกิดขึ้นมา ความคิดที่เห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมา “อันนี้ของฉัน อันนี้ความคิดที่ดี”

เวลาในครอบครัวนะ พ่อแม่ปู่ย่าตายายอยากให้ลูกเป็นคนดี ให้ลูกเป็นคนดีแล้วประกอบสัมมาอาชีวะให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะความสุจริตนั่นน่ะมันคุ้มครอง พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกมีความสุข เพราะความดีนะ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราจะอยู่ที่ไหน จะทำที่ไหนมันสบายใจ

แต่ถ้ามันเป็นความอกุศล มันเป็นความไม่ดี เราเก็บไว้ในใจเราก็เร่าร้อน เวลาจะพูดออกไปก็ไม่กล้าพูด แล้วเวลาออกไปมันกลัดหนอง เห็นไหม สิ่งนั้นน่ะอกุศล ฉะนั้น พ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีความสุข ลูกเป็นคนดี ฉะนั้น สิ่งที่ความดี ความสุจริตมันคุ้มครอง

ทีนี้ในหัวใจของเราก็เหมือนกัน ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ เวลาเราพูดถึงสังคม เวลาสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประเพณีวัฒนธรรม เราก็อยู่กับเขา เราก็อยู่กับโลก เราก็เข้าใจได้ เราเข้าใจอย่างนี้ได้ เวลากระแสสังคม สังคม วัฒนธรรมประเพณีมันทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข เราเห็นสังคมร่มเย็นเป็นสุขเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็ปลื้มใจ เราก็ปลื้มใจ แต่เวลาเราจะมาค้นคว้าในใจของเรา ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะมาค้นคว้าดูแลหัวใจของเราไง

ถ้าหัวใจของเรามันเข้มแข็งขึ้นมา เวลาเข้มแข็งขึ้นมา เข้าทางจงกรมยิ้มแย้มแจ่มใสเลย นั่งสมาธิภาวนาชุ่มชื่นเลย เราจะได้สัมผัสแล้ว เราจะได้ความสุขความสงบระงับแล้ว ความสุขอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาจากความเพียรของเรา จากความเพียรนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติ ท่านเดินจงกรมทั้ง ๗ วัน ๗ คืน อดนอน อดอาหาร เพราะมันอยากได้ มีความสุขระดับนี้ เราอยากได้ความสุขมากกว่านี้ ความสุขมากกว่านี้มันเวิ้งว้าง มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป ลึกซึ้งจนพูดไม่ได้ จนพูดไม่ได้ แต่พูดได้ พูดได้กับคนที่เขาพูดได้ แต่คนที่พูดไม่ได้ คนที่พูดไม่ได้ก็จำมา พอจำมาแล้วก็พูดของเราไป แล้วเราก็คาดหมาย จินตนาการไป ผิดหมดเลย

คำว่า “ผิดหมดเลย” ฉะนั้น เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องลองผิดลองถูกไป เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คนจะถูกมาตั้งแต่เกิดไม่มี เพราะเราเกิดมาจากอวิชชา คำว่า “อวิชชา” คือความไม่รู้ ถ้าความเผอเรอ เพราะเผอเรอมันถึงเกิดความผิดพลาด ไอ้นี่มันไม่รู้จักตัวมันเอง อวิชชา นี่มันไม่รู้ มันไม่รู้แล้วรู้อะไรล่ะ มันไม่รู้มันถึงพาให้เวียนว่ายตายเกิด ถ้าพาให้เวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ไม่รู้ๆ มันเป็นอวิชชา แล้วเราเกิดมามีอวิชชาอยู่แล้ว ถ้ามีอวิชชาอยู่แล้ว การกระทำสิ่งใดเพื่อเอาชนะตนเองมันก็มีความผิดพลาดบ้าง มันมีความผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่เวลาผิดพลาดไป พอเรามีความเพียร เรามีความเปรียบเทียบ เรามีการค้นคว้า เรามีการมาวินิจฉัยว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก

ถ้าสิ่งใดถูก เวลาคนพูด พูดประจำ “คนที่ปฏิบัติมันต้องมีความสุขสิ มันต้องมีความร่มเย็นเป็นสุขสิ ถ้าคนที่ปฏิบัติแล้วมันมีแต่ความตึงเครียด มันมีแต่ความกดดัน อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นไม่ใช่” ความกดดัน เห็นไหม แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้ว เวลาจิตมันสงบแล้วมันหวงแหน เวลามีสิ่งใดกระทบมันก็จะหงุดหงิด คนปฏิบัติเขาบอกว่า “เมื่อก่อนฉันเป็นคนดี๊ดี จิตใจมันสะอาดบริสุทธิ์ ตอนนี้เป็นคนที่ขี้หงุดหงิดๆ”

การปฏิบัติมันเป็นขั้นตอนของมัน ขั้นตอนที่ไม่รู้อะไรก็ไม่รู้อะไรเลย เหมือนผ้าขี้ริ้ว โดนอะไรมาสกปรกขนาดไหนมันก็ไม่เห็น แต่พอจิตใจเราทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นผ้าขาว พอเป็นผ้าขาว กระทบสิ่งใดแล้วมันก็หงุดหงิดๆ มันเป็นระยะการพัฒนาไป มันจะเป็นระบบของมันไป ถ้าคนภาวนาเขาจะรู้ ถ้าภาวนาเริ่มต้น อะไรกระทบก็ไม่เป็นไรๆ นะ แต่คนที่เคยทำความสงบของใจได้ พอไปอยู่ที่ไหน อะไรจะมากระเทือนเรา เราไม่ค่อยพอใจ “เอ๊ะ! เมื่อก่อนก็ไม่ใช่เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้”...มันเป็นอย่างนี้แหละ มันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะจิตใจ หูตามันสว่าง หูตาเขาเรียกว่าชวนมันชัดเจน อะไรกระทบมันรู้ทันทีเลย แต่ก่อนอวิชชา มันเผอเรอ อะไรมากระทบก็ผ่านไปผ่านมา มันไม่เข้าใจไง

ฉะนั้น ถ้าเป็นขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนก็บอกว่า “เวลาคนปฏิบัติต้องร่มเย็นสิ เวลาคนปฏิบัติแล้วทำไมต้องตึงเครียดขนาดนั้น”

ไอ้คำว่าตึงเครียดต่างๆ มันเป็นความเพียรแต่ละระดับไง ระดับพื้นๆ มันก็เป็นไปได้ ความพื้นๆ นะ มันเป็นการบรรเทาทุกข์ เวลาเรามีความทุกข์ความยากในหัวใจแล้วเราก็มาวัดมาวากัน มาวัดมาวา เราก็มาตั้งสติกัน พอควบคุมได้ “เออ! สบายๆ สบายๆ”

สบายๆ สบายๆ ไอ้เบิร์ดมันร้อง ไอ้เบิร์ดมันร้องจบไปแล้ว มันได้สตางค์ไปแล้วด้วยไอ้เบิร์ดน่ะ แต่เราพอสบายๆ แล้วเหลืออะไรไว้ล่ะ? เหลือความเสื่อมไง พอมันสบายไปแล้วเดี๋ยวมันก็ทุกข์ มันจะสบายจริงตลอดไปได้ไหมล่ะ มันไม่ได้หรอก ทีนี้มันไม่ได้ เราก็พัฒนาของเราสิ ถ้ามันสบายๆ แล้วเราจะยกขึ้นสู่อย่างใด สบายๆ แล้วมันมีสติสัมปชัญญะไหม ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะนั่นเป็นสัมมา

“สบายๆ สบายๆ” แต่เผลอ สบายๆ เพราะเผอเรอ สบายๆ เพราะไม่รับผิดชอบ สบายๆ เพราะไม่ดูแลจิตใจของตัวเอง จิตใจของตัวเองแท้ๆ ดูสิ อากาศ เวลามันกระจายไปก็จบ น้ำสาดไปในอากาศมันก็หายไปหมด แล้วหัวใจของเราทำไมมันไม่ตั้งมั่นล่ะ ถ้ามันตั้งมั่นขึ้นมา สัมมาสมาธิ จิตมันตั้งมั่น ตั้งมั่นแล้วมันมีกำลังของมัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่มันต้องมีการทำงานของมัน ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล จิตนี้ไม่มีการกระทำแล้วมันจะเอาผลมาจากไหน

เวลาเราไปดูสมบัติของคนอื่น เราอยากได้สมบัติของคนอื่น เราอยากร่ำอยากรวย แต่เราไม่ทำอะไรเลย แล้วมันจะร่ำรวยมาจากไหนล่ะ ร่ำรวยก็มรดก แล้วรักษาไว้ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีสติปัญญาสามารถรักษาได้ แต่ถ้าเราร่ำรวยขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เราเหนื่อยยากมา เราหามาของเรา เรารู้ว่ามันจะผิดพลาดอย่างไร เพราะขณะที่หามามันต้องมีการเจริญแล้วเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา นี่เราเป็นคนหามา เราเป็นคนจัดการมา ทำไมเราจะบริหาร เราจะรักษามรดกไม่ได้...เรารักษาได้ เรารักษาได้ทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร เพราะเราทำมา เห็นไหม ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ฉะนั้น ศาสนาไหนมีมรรค ศาสนานั้นมีผล เราทำของเราที่นี่

มองโลกข้างนอกนะ มองไปแล้วมันเศร้าใจนะ มนุษย์แท้ๆ ฆ่ากัน มนุษย์ที่แท้พยายามหลบภัย หาที่หลบภัยกัน...เศร้า มนุษย์ทำไมทำกันอย่างนั้น แต่เวลาเราย้อนกลับมาภายในหัวใจของเรานะ เวลากิเลสกับธรรม เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมามันทำลายหัวใจเรา มันทำลายหัวใจ ความคิดเราแท้ๆ ความคิดเราเองทำไมมันทำร้ายเราล่ะ เราก็ว่าหวังดีๆ ไง หน้าที่การงานนี้ไม่ใช่กิเลส แต่สิ่งที่ความโลภ โลภอยากใหญ่อยากโต อยากได้มากกว่าความเป็นจริง นั่นล่ะคือกิเลส แต่หน้าที่การงานมันไม่ใช่กิเลสเพราะอะไรล่ะ เพราะบุญไง คนเรามีบุญกุศลมันต้องเป็นแบบนั้น คนมีบุญกุศล บุญต้องให้ผลอย่างนั้น

คนทำคุณงามความดีมา ทำอะไรมันก็ประสบความสำเร็จ บางคนไม่อยากได้อยากดีอะไรเลยมันไหลมาเทมา ไหลมาเทมา ไม่อยากได้มันก็ผ่านไปๆ บอกว่าเราปฏิเสธสิ่งที่เราทำมาไม่ได้ คนที่ได้สร้างบุญกุศลมา ผลมันต้องให้เป็นแบบนั้น มันเป็นวิบาก มันเป็นผล ผลที่มันเกิดขึ้นมาจกคนคนนั้น เราสร้างมา ทุกคนสร้างมา ดีก็ได้ทำมา เลวก็ได้ทำมา มันถึงกึ่งๆ อยู่อย่างนี้ไง เดี๋ยวได้เดี๋ยวดี เดี๋ยวขาดแคลน เดี๋ยวมันเป็นอย่างไร

แต่ถ้าคนที่มันทุกข์มันยากขึ้นมานะ ในสมัยพุทธกาลมีทั้งนั้นแหละ ในสมัยพุทธกาลเป็นขอทาน ทำอะไรชีวิตก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว เป็นผู้หญิง เวลาท้องขึ้นมาขอไม่ได้เลย แล้วเวลาคลอดมาแล้วนะ ถ้าเอาลูกคนนี้ไป ไม่ได้กิน ถ้าเอาลูกคนนี้ทิ้งไว้ก่อน ไปขอทานมา ยังพอมีประทังชีวิต แล้วยังมีอาหารนั้นมาเผื่อแผ่ลูกด้วย ตัวเองก็ทุกข์จนอยู่แล้ว บารมีของลูกมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย เอาไปไม่ได้เลย เห็นไหม นี่มันมีของมันนะ

พระสีวลีร่ำรวยมหาศาล คนรวย คนที่ร่ำรวยเขาประสบความสำเร็จของเขา อะไรก็ประสบความสำเร็จของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอดีตชาติเขาทำมาอย่างนี้ๆๆ นี่เหตุ แล้วเราก็ทำมาอย่างนี้ๆๆ พอทำมามันเกิดกับเราปัจจุบันนี้ ถ้ามันเกิดปัจจุบันนี้ ตั้งสติไว้ เราทำมาเอง ถ้าเราทำมาเองนะ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเรา เรายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ สิ่งใดก็แล้วแต่ขาดตกบกพร่อง มันเป็นเรื่องโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา

ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา เวลาน้ำหลาก น้ำท่วม น้ำแล้ง มันเป็นเรื่องธรรมดาของสภาวะแวดล้อมของโลก มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ายังมีชีวิตอยู่ พอเป็นเรื่องธรรมดา เราจะบากบั่นไป ทุกข์ไหม? ทุกข์ แต่เวลามันทุกข์นะ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา ทุกข์สิ่งใดมันก็ฟันฝ่าไปได้ แต่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอนะ ทุกข์แค่ขี้เล็บ คนอื่นเขาทุกข์เขายากมากกว่านี้ เขาเห็นเป็นของเล็กน้อย ไอ้เราไม่เคยทุกข์เคยยากเลย พอมาเจอสภาพแบบนี้มันรับไม่ได้ พอรับไม่ได้

แล้วสิ่งที่มีคุณค่าล่ะ สิ่งที่มีคุณค่าคือความรู้สึก ความรู้สึกถ้ามันพัฒนาขึ้นมา มันดีขึ้นมาอย่างนี้ มันพัฒนาของมัน เรื่องเล็กน้อยแล้วมันผ่านมาได้ ทุกคนจะศึกษาประวัติศาสตร์คนคนนั้นเลยว่าทำไมเขาล้มลุกคลุกคลาน เขาผ่านมาได้อย่างไร เขียนหนังสือได้อีก ๕ เล่ม แต่ถ้าเราเอาความจริงของเราสิ

นี่พูดถึงว่าเรามาอยู่วัดอยู่วากันไง เรามาชาร์จไฟกัน แล้วเราจะต้องกลับบ้าน กลับไปทำงาน พอเรากลับไปทำงาน เราจะต้องมีสติปัญญาอย่างนี้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกของเรา ความรู้สึกนี้หาซื้อไม่ได้ มรรคผลนิพพานหาซื้อไม่ได้ ทางโลกเขาว่าสุขภาพหาซื้อไม่ได้ เราอยากได้สุขภาพดี เราก็ต้องออกกำลังกาย เราอยากได้สุขภาพจิตดี เราก็ต้องมีสติปัญญารักษา หน้าที่การงานนั้นเป็นเรื่องหนึ่งนะ หน้าที่การงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่สติปัญญาของเราดูแลชีวิตของเรา

ถ้าชีวิตของเรา เพราะเวลาใครคนหนึ่งหมดอายุขัย หมดสิ้นชีวิตไป เราจะคิดถึงกัน เราจะมีความผูกพันกัน เราจะมีความผูกพัน ชีวิตมีค่าตรงนั้นแหละ เวลามันพลัดพรากไปแล้วถึงจะเสียดาย แต่เวลาอยู่กับเราแล้วเราไม่ดูแล เราไม่ให้กำลังใจต่อกัน

เราให้กำลังใจต่อกันสิ ถ้ามันจะอยู่ก็อยู่ให้รื่นเริง ถ้ามันจะอยู่ก็อยู่ให้มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาทำของเราอย่างนี้ ถ้ามันฝึกฝนอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างนี้ ดูโลกภายนอก โลกภายนอกเวลาเห็นเขารบรากัน เขาฆ่าฟันกันด้วยทิฏฐินิดเดียว พอมีความเข้าใจ ปรับความเข้าใจกับหัวหน้าเท่านั้นแหละ จบ หัวหน้าผู้ที่ชักจูงมานั่นล่ะ มีทิฏฐิเอาชนะเอาแพ้กันเท่านั้นเอง

แต่ถ้ามันยอมรับ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระนะ แพ้ด้วยเหตุด้วยผล แพ้ด้วยเห็นแก่ชีวิตของมนุษย์ แพ้ด้วยเห็นแก่ชีวิตของคน เรายอมจำนน เรายอมรับเพื่อรักษาชีวิตของคน รักษาชีวิตของคน มันจะได้ความเคารพศรัทธามหาศาลเลย นี่ลากเอาคนไปตายหมดเลย แต่ตัวเองยิ้มแย้มแจ่มใส แต่กรรมมันให้ผลนะ กรรมให้ผล กรรมคือการกระทำ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดี ทำดีเราส่งเสริม เราดูแล ดูสิ เรายอมเพื่อชีวิตของบุคคลอื่น นี่ทำดี แล้วเวลาว่าดีของเขาล่ะ ดีของเขา เขาก็ฉ้อฉลไง นี่ถ้าฉ้อฉล

เวลาประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สอนเรื่องกาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น อย่าเชื่อ แล้วให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงแล้วเป็นความจริงอันเดียวกัน ถ้าความจริงอันเดียวกัน อันนั้นเป็นความจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันเป็นในใจด้วย เป็นในใจมันเข้าใจได้ ถ้าเข้าใจได้ มันเป็นประโยชน์กับเรา

พูดถึงว่าเราจะต้องออกไปเผชิญกับโลก เราจะอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก อยู่กับโลกนี่แหละ อยู่กับโลก สิ่งใดเกิดขึ้น วินิจฉัยด้วยสติด้วยปัญญา ไม่เป็นเหยื่อใคร อย่าโลภ ความโลภทำให้สติปัญญาคับแคบ ความโลภมันปิดบังสติปัญญาเลย อย่าโลภ มันไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี ศาสนาพุทธไม่ได้สอนของฟรี ศีล สมาธิ ปัญญา “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แล้วมันจะได้อะไรล่ะ

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นวิธีการที่จะไปวิปัสสนา วิปัสสนาในหัวใจของตัว แล้วเวลามันเป็นผลมันเป็นอกุปปะ มันเป็นสิ่งที่คงที่

สิ่งที่ว่าเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เราเจริญแล้วเสื่อม เราเป็นอนิจจังตลอด มันเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อนัตตาแน่นอน แต่เวลาทำไปแล้ว สิ่งที่มันพ้นไปจากอนัตตา อกุปปธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้เลย แต่ถ้าคนเป็นรู้ทันทีๆ แล้วมันเกิดจากไหน? เกิดจากหัวใจของคน

หลวงตาบอกว่า ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมะได้ เว้นไว้แต่หัวใจของสัตว์โลก สิ่งที่เราไปศึกษาๆ มานั้นมันเป็นวิชาการทั้งนั้นนะ ตาอ่านมา อ่านมาแล้วก็ยังคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง แต่ถ้ามันเป็นกลางหัวใจๆ ใจมันสัมผัสๆ อ๋อ! สติเป็นอย่างนี้ อ๋อ! สมาธิเป็นอย่างนี้ อ๋อ! ปัญญาเป็นอย่างนี้ อ๋อ! มรรคผลเป็นอย่างนี้ เอวัง