เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมนะ สัจธรรมเพราะว่าเราเกิดเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนไง เวลาสอน เราจะเอาแก่น เวลาพระเรากรรมฐาน เราจะบอกว่าในป่ามันมีไม้แก่น ไม้เบญจพรรณ ไม้ทั่วไป นี่ก็เหมือนกัน ในต้นไม้ต้นหนึ่งมันก็มีกระพี้ มีเปลือก มีแก่น สิ่งที่ว่ามีแก่น เราอยากได้แก่นของมันไง ถ้าอยากได้แก่น เพราะไม้เนื้อแข็ง ไม้แก่น มันใช้ประโยชน์ มันมีราคา แต่ไม้ทั่วไปมันไม่มีราคา พอไม่มีราคา โดยสังคมทั่วไป สิ่งใดในสังคมนี้มันหาได้ง่ายไง แต่เอาความจริง สัจธรรมๆ เรามาฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา

โดยสมัยโบราณ สมัยโบราณคนเขาจะสัญจรไปมาหากัน เขาใช้เท้าเดินนะ เขาเดินด้วยเท้า เพราะเรื่องการคมนาคมยังไม่มี เรื่องการคมนาคมยังไม่สะดวก พอคนฉลาดขึ้น มีล้อ มีเกวียน เขาใช้สัตว์ลากไป พอสัตว์ลากไป พอมันเจริญขึ้นมา เดี๋ยวก็มีรถยนต์ พอมีรถยนต์ขึ้นมาก็มีคนขับ ถ้ามีคนขับ คนขับรถยนต์ ในปัจจุบันนี้เวลาเขาออกกฎหมายเมาแล้วห้ามขับ เมาแล้วห้ามขับ คนเมาแล้วห้ามขับนะ เพราะคนเมาเป็นอันตรายกับตัวเอง แม้แต่เราไม่ขับไปชนใครเราก็ลงข้างทาง เราชนเกาะกลางถนน แม้แต่เสียชีวิตเลย

เวลาคนปกติขับรถ เวลาเขาพักผ่อนไม่เพียงพอเขายังวูบหลับได้ เขาวูบหลับได้นะ การวูบหลับอันนั้นมันก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ฉะนั้น เวลาวูบหลับไปมันเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่สิ่งที่ควบคุมได้ เช่น เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เราไม่ดื่มน้ำเมา เราก็จะไม่ขาดสติ เวลาขับรถขับราขึ้นไปมันก็จะปลอดภัยใช่ไหม

เรามาวัดมาวากันมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะมาปฏิบัติกัน ถ้าเรามาปฏิบัติกัน เวลาเราคุยธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ๆ แต่เรามีกิเลส มีตัณหา มีอวิชชาในหัวใจ เวลาคุยธรรมะไปๆ มันเลยเมาไง มันเมาธรรมะกันนะ พอเมาแล้วมันก็เลยขาดสติ ขาดสติก็เลยออกนอกลู่นอกทางกันไป

แต่ถ้าจะเอาความเป็นปกติ เวลาโดยปกติความเชื่อและความไม่เชื่อ คนเชื่อนะ คนเชื่อก็มีศรัทธาความเชื่อ เขาก็ค้นคว้าของเขา เขาศึกษาของเขา คนไม่เชื่อเขามองแล้วเขาแปลกใจนะ “เอ๊ะ! พวกนี้ทำไมเขาทำกันได้ มันทำทำไม”

แล้วยิ่งมีคนเชื่อนะ มันมีสัจจะ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เรานั่งตลอดรุ่งๆ ท่านทำของท่านได้อย่างไร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกแสวงหา ลัทธิต่างๆ เขาประพฤติปฏิบัติ ประพฤติวัตรของเขานะ เขาประพฤติวัตรเป็นหมา เขาคิดว่าในเมื่อเราเป็นมนุษย์ เราก็มีความทุกข์ความยาก เราประพฤติวัตรเป็นสัตว์ ในปัจจุบันนี้เขาก็ยังมีทำกันอยู่นะ แล้วเวลาทำไปแล้วด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความหลงผิด เขาก็คิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นบุญกุศลของเขา มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสังเวชมาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสังเวชมากนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว พวกที่ประพฤติวัตรเป็นหมาเขามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเขาประพฤติวัตรเป็นหมา เขาจะได้บุญมากน้อยแค่ไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอย่าให้เราพยากรณ์เลย

เขาก็เน้นย้ำอีกครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเธอตายไปแล้วเธอก็ไปเกิดเป็นสุนัขไง เพราะอะไร เพราะใจมันคิดถึง ใจมันปรารถนา ใจมันอยากเป็น ถ้าใจมันอยากเป็น ดูสิ ปัจจุบันนี้ใจมันก็ยังใฝ่หาอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าตายแล้วมันจะไปไหน? มันก็ไปเกิดเป็นสุนัขนั่นล่ะ เพราะอะไร เพราะความเห็นผิด เห็นไหม

แต่ของเรา เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมด พระเจ้าปฏิเสธหมด เทวดา อินทร์ พรหมนี่ปฏิเสธหมดนะ ลัทธิศาสนาอื่นเขาเคารพ เขาบูชานะว่าสิ่งนั้นเป็นของเลอเลิศนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธเทวดา อินทร์ พรหม พรหมนี่เป็นสูงสุดของพราหมณ์เขา ปฏิเสธหมด ปฏิเสธเพราะอะไร ปฏิเสธเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม

พอตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตมันเวียนว่ายตายเกิดมาทุกภพทุกชาติ จิตเวียนว่ายตายเกิด ก็จิตเรานี้มันเป็น ถ้าเรามีบุญกุศล เราก็ไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าเราทำสมาธิ เวลาตายไปก็ไปเกิดบนพรหม พอหมดอายุขัยๆ เวลามันทำไปแล้วบุญกุศลมันส่งไป พอหมดอายุขัยมันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเราเองเราเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วเราจะไปไหว้อะไร ไหว้ก็ไหว้เรานี่ไง ไหว้ก็ไหว้หัวใจนี้ พระพุทธเจ้าถึงปฏิเสธๆ หมด เวลาปฏิเสธหมด เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องมีสติ อย่าให้เมา

ถ้ามันเมาเพราะมันขาดสติ เวลาทำสมาธิมันก็ว่าว่างๆ ว่างๆ...นั้นสมาธิอะไรของเอ็ง สิ่งนั้นเพราะว่าปฏิบัติธรรมแล้วมันมีความสุขๆ...ใช่ มันมีความสุข คนเรานะ ถ้าจิตใจมันวิตกกังวลแต่เรื่องความทุกข์ความยาก มันก็เกิดความทุกข์ความยาก เวลามันตรึกในธรรมะมันก็สบายใจ ก็ธรรมดานี่แหละ มันเป็นเรื่องธรรมดา สุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์มันเป็นเวทนา สุขเวทนา-ทุกขเวทนา แล้วอุเบกขาเวทนาคือวางเฉย แล้ววิมุตติสุขล่ะ มันสุขพ้นจากเวทนาไป สุขพ้นจากเวทนาไปมันมีของมันอยู่นะ แต่เรามาติดอยู่แค่นี้ ติดอยู่แค่นี้มันเมาไง ถ้ามันเมาของมัน มันเมาแล้วทำไมไม่ทำให้สร่างเมาก่อน พอสร่างเมาก่อน เราบริกรรมพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

คนเมานะ ดูสิ เวลาคนติดยาเสพติด เวลาเขาอยากยาเสพติดของเขา เขาทุกข์ยากของเขามากนะ เขาอยากยาเสพติดของเขา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราคุ้นเคยกับอารมณ์ไง คุ้นเคยกับความคิด คุ้นเคยว่าเรามีคุณธรรม คุ้นเคยอยู่กับมัน แล้วก็เสพติดมันอยู่อย่างนี้ แล้วทำไมวางมันไม่ได้ล่ะ วางไม่ได้...อ้าว! มีคุณธรรมทำไมวางไม่ได้ มีคุณธรรมมันต้องถอดถอนอวิชชาความลังเลสงสัย นี่ทำไมมันสงสัย สงสัยก็สงสัย ก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ไอ้จะทิ้งก็ทิ้งไม่เป็น

โดยข้อเท็จจริง โดยสัจจะนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กำหนดพุทโธ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ทำไปๆ ข้อเท็จจริงมันหักล้างกันเอง โดยข้อเท็จจริง แต่ทีนี้เราทำไม่ได้ก็ถามครูบาอาจารย์นะ “ไอ้นั่นเป็นอะไร ไอ้นี่เป็นอะไร” พอครูบาอาจารย์บอกให้พุทโธ “โอ้โฮ! มันต่ำต้อย มันไม่มีประโยชน์”

มันต่ำต้อยอะไร ดูนะ เวลาเราเกิดในครรภ์มันต่ำต้อยไหม น้ำคร่ำอยู่ในท้อง น้ำคร่ำ เวลาออกมาแล้วถ้าน้ำคร่ำเป็นพิษ มันต่ำต้อยไหม นี่มันเลี้ยงชีวิตนี้มา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาพุทโธๆ มันต่ำต้อย มันต่ำต้อยไปไหน ถ้ามันต่ำต้อย พุทธานุสติ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่ำต้อยไปไหน เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความระลึกนั้นคือวิตก วิจาร “วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์” องค์ของสมาธิ ถ้าองค์ของสมาธิ สมาธิมันมีองค์ประกอบของมัน มันมีองค์ความรู้ มันมีองค์ความจริง ถ้าความจริงมันเป็นสัมมาสมาธิแล้ว มันออกใช้ปัญญาๆ ไป ภาวนามยปัญญาอันนั้นเกิดขึ้น อันนี้จินตนาการทั้งนั้นแหละ “ปล่อยวางหมดแล้ว อสุภะ แหม! เหยียบย่ำทำลายหมดเลย อสุภะ เหยียบย่ำทำลาย”

เราจะบอกว่า เวลาคนเสพยาเสพติด เวลาเขาเสพยาเสพติดเต็มที่แล้วเขามีความสุขนะ เขานอนเคลิบเคลิ้มไปเลย นี่ก็เหมือนกัน “ทำลายอสุภะหมดแล้ว ไม่มีอะไรสิ่งใดเลย” แล้วก็เคลิบเคลิ้มไปไง...เป็นทั้งนั้น ถ้าเป็นทั้งนั้น มันเป็นทางผ่าน บอกว่าจะไม่มีไม่ได้ พอจากไม่มี ดูสิ อาหารทุกชนิด เราจะต้มเราจะแกงอะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องมีเครื่องพริกเครื่องแกง ต้องมีทุกอย่าง มันถึงจะมาต้มจะมาแกงได้

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันก็ต้องมีความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้นแหละ ความรู้สึกนึกคิดถ้ามันยังเป็นพิษเป็นภัยอยู่ เราก็กำหนดพุทธานุสติหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่จะมาต้มมาแกงก็ให้มันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษ ถ้าสิ่งที่ไม่เป็นพิษนี่เป็นสัมมา สัมมาสมาธิ สัมมาสติ

ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเกิดบอกว่า “เวลาตรึกในธรรมๆ เราใช้ปัญญาไปแล้วไม่มีอะไรเลย” ไม่มีอะไรเลยก็เพ้อเจ้อเพ้อฝัน คนเพ้อฝันก็เพ้อฝัน “สบายๆ” สบายๆ มันไม่มีสิ่งใดเลย สบายๆ ไอ้เบิร์ดมันร้องเพลงๆ ดีกว่าอีก

คำว่า “สบายๆ” มันก็ปล่อยวางได้ คำว่า “สบายๆ” สบายอะไร เราเกิดมามีสถานะของมนุษย์ เราต้องควรมีคุณธรรมมากกว่านี้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปตามความเป็นจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีสติพร้อม ท่านมีปัญญาพร้อม โดยข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนั้น แล้วถ้าใครทำไปแล้ว โดยข้อเท็จจริงแล้วจิตมันจะเป็นของมัน มันพัฒนาของมันขึ้นมา แต่จิตเวลาเราทำ มันเป็นวัตถุดิบไง วัตถุดิบ จริตนิสัยของคน วัตถุดิบคือว่าเราจะต้มเราจะแกง เราต้องมีวัตถุดิบก่อน เราถึงจะต้มจะแกงได้ เราต้องหามานะ แล้วคนหามาได้แล้วนะ ไปหาผักหาปลามาแล้วก็วางไว้จนเน่าจนเสีย มันต้มแกงไม่เป็นอีก

ไอ้คนไม่มีหรือมันก็ทุกข์มันก็ยาก ไอ้คนมีแล้วก็ต้มก็แกงไม่เป็น ถ้าต้มแกงไม่เป็น ปล่อยไว้มันก็เสียหาย สัมมาสมาธิเราเกือบเป็นเกือบตาย นี่แหละเราจะหามา ศีล สมาธิ ปัญญา เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เราต้องแสวงหามา

ถ้ามีสตินะ คนมีสติมันจะมีความสุขใจในตัวมันเอง เพราะมันรู้เท่าทันตัวเองตลอดเวลาไง เราจะเหยียด เราจะคู้ เราจะเดิน เราไปไหน เรามีสติ เรามีพร้อมของเรา สติ สติก็คือสติไง แต่สติถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา จิตใจเราควบคุมดูแลแล้วมันไม่แส่ส่าย มันไม่มัวเมา มันไม่ไปหยิบฉวย

นี่ไปหยิบฉวยมัวเมาแล้วก็จิตนาการว่าเป็นของตัว แล้วคนยังภาวนาไม่เป็นมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ถ้ามีสติปั๊บ มันรู้เท่าทันตัวเอง แล้วถ้าเรารักษาไปเรื่อยๆ รักษาไปมันเจริญขึ้น มันจะมีสมาธิได้ พอมีสมาธิขึ้นมาแล้ว ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาจะให้เกิดปัญญา ปัญญาอย่างนั้นทุกคนแสวงหานะ แล้วปัญญาอย่างนั้นเวลามันเป็นขึ้นมา แล้วอย่างเราอ่อนด้อยขึ้นมา ปัญญาเราก็เกิดทั้งนั้นแหละ เราพิจารณาไป พอเราอ่านตำรับตำราแล้วทำไป

เวลาหลวงปู่มั่นกับหลวงตา เวลาท่านเทศน์ เวลาเข้าไปถึงความจริงและเป็นสิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลงจิตของเรา ท่านบอกว่าตรงนี้ข้ามไป ข้ามไปเลย เพราะอะไร เพราะว่าถ้าใครได้ยินได้ฟังแล้วมันจะไปจินตนาการ แล้วพอจินตนาการไปแล้วมันจะสร้างภาพ พอสร้างภาพแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วมันจะติด ฉะนั้น เวลาติดแล้ว พอสร้างภาพแล้วมันเหมือนกันไง ครูบาอาจารย์ก็เทศน์อย่างนี้ เราก็ทำได้อย่างนี้ แต่ทำไมไม่เป็นความจริง

ของครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริง เป็นจริงเพราะอะไร เพราะกว่าท่านจะข้ามตรงนี้ไปได้ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกท่านพิจารณาของท่านนะ พิจารณาไปแล้ว โอ้โฮ! มันว่างไปหมด จิตท่านเป็นสมาธินะ จิตท่านมีคุณธรรมนะ มองภูเขามันทะลุไปหมดเลย ภูเขานี่สายตามันทะลุไปหมดเลย มันทะลุไปหมด โอ๋ย! มันเวิ้งว้าง ท่านมหัศจรรย์ในจิตของท่านนะ เอ๊ะ! จิตเราทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ มันทะลุปรุโปร่งไปหมด ทำไมมันปรุโปร่งไปหมด

ท่านบอกว่าธรรมะมาเตือน ธรรมะมาเตือน คือท่านสร้างบุญกุศลไว้มาก ธรรมะมาเตือน “แสงสว่าง แสงที่รับรู้ แสงที่ส่งออกไปทั้งหมดมันเกิดจากจุดและต่อม พลังงานมันต้องมีที่เกิด มันเกิดจากจุดและต่อม”

ท่านบอกว่าพอฟังปั๊บท่านก็รับรู้นะ แต่ก็ยังงงอยู่ งงอยู่ว่าหาจุดและต่อมมันจุดและต่อมอะไร จุดอะไร ต่อมอะไร นี่มันไม่มีครูบาอาจารย์มันก็ต้องแสวงหานะ ท่านก็พยายามของท่าน พยายามของท่านด้วยสติด้วยปัญญา มหาสติ-มหาปัญญานะ ปัญญาญาณมันละเอียดแล้ว พอพิจารณา พอข้ามพ้นไปได้ ข้ามพ้นคือทำลายจุดและต่อม แสงนั้นมันก็จบสิ้นไป พอแสงนั้นจบสิ้นไป ภูเขามันก็ไม่มองไป ภูเขามันก็เป็นภูเขาอย่างนั้นแหละ ไอ้จิตของเรามันก็พ้นไป มันไม่เกี่ยวอะไรกับภูเขาทะลุปรุโปร่ง มันเกี่ยวอะไรกัน แต่เวลาตอนที่จิตมันดี ตอนที่มันติด โอ้โฮ! จิตเราทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมมันประเสริฐขนาดนี้ มันเลอเลิศขนาดนี้ มันสุดยอดขนาดนี้ นี่ติด

เวลาพิจารณาทำลายหมดเลย ทำลายจิตตัวเองด้วย ทำลายจิตตัวเอง ทำลายทุกๆ อย่างหมดเลย ท่านบอกเลย ความว่างนั้นเปรียบเหมือนกองขี้ควาย ทีแรกที่เรารู้เราเห็น โอ๋ย! มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ มันสุดยอด มันเหนือโลก สิ่งที่โลกนี้ไม่มีแล้วแหละ อยู่ที่ฐีติจิตของเราดวงเดียวนี่แหละมันมหัศจรรย์มาก แต่ด้วยมรรคด้วยผล ด้วยบุญญาธิการ พอเข้าไปทำลายแล้ว สิ่งที่เรายกย่องว่ามหัศจรรย์สุดยอด เวลาจิตมันดีแล้วมันเปรียบเหมือนกองขี้ควาย กองขี้ควาย ควายมันขี้ทิ้งไว้กลางถนนมันเป็นประโยชน์กับใครไหม มันเป็นประโยชน์กับไอ้พวกแมง แมลงวัน นี่เวลามันพิจารณาไปอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาถ้าเรายังมัวเมาอยู่ มันก็ทำให้เราต้องพยายามแสวงหาไป ถ้ายังไม่มัวเมานะ เราทำของเราให้มันดีขึ้น พัฒนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือตรวจสอบ ทำซ้ำ ผิดซ้ำ ทำซ้ำ ถ้าเราพิจารณาอสุภะได้จริง เราพิจารณาซ้ำเข้าไปๆ ถ้าพิจารณาได้จริงมันต้องทำได้ คนเราเคยทำงานมาแล้ว ด้วยความชำนาญแล้ว การทำซ้ำมันจะง่ายขึ้น การทำซ้ำ แต่กิเลสมันจะบอกว่าทำซ้ำไม่ได้เพราะมันไม่มีอุปกรณ์ให้ทำ มันไม่มีอะไรให้ทำ

ไม่มีให้ทำแล้วใครพูด ไอ้คนพูดคือตัวมันนั่นแหละ เวลามันจะปกป้องตัวมันนะ มันจะผลักไปที่อื่นเลย เราไม่มีๆ มันก็เหมือนมนุษย์ นกขี้ใส่หัวคนอื่น โอ้โฮ! เห็นหมดเลย ขี้บนหัวคนนู้น ขี้บนหัวคนนั้น แต่มันกระเด็นมาใส่หัวเราด้วย เรามองไม่เห็นนะ มันผลักออกไปหมดแหละ มันไม่เห็นๆ ไม่มีทั้งนั้นแหละ ไม่มีทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้าทำซ้ำๆ อสุภะที่เราพิจารณาแล้วผิดซ้ำ ผิดซ้ำท่านบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ กิเลสมันต่อรอง นี่เวลาเมาแล้ว ขาดสติแล้วมันยังหลงตัวมันเองนะ เวลาคนเมา “เอ็งเมา ข้าไม่เมา กินแล้วก็ไม่เมาเว้ย ไม่เมาเว้ย” มันเมาอยู่มันก็ว่ามันไม่เมาน่ะ มันว่าแต่คนอื่น มันไม่มองตัวมันเอง

แต่ถ้ามันมองตัวเองนะ มองตัวเองมันจะหายเมา ถ้าหายเมา มีสติมีปัญญา การผิดซ้ำๆ เพราะการประพฤติปฏิบัติมันมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญานี้มีหลากหลายมาก สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญา ปัญญาจากจินตนาการที่จิตมีสมาธิรองรับ แล้วมันยังมีภาวนามยปัยญาอีก

ในภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันปล่อยแล้วมันไม่ขาด มันก็ต้องทำซ้ำๆ ในเรื่องของปัญญา เห็นไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญามันมีหลายซับหลายซ้อน แล้วปัญญาทางโลก ดูสิ คนที่มีสติปัญญาแล้วมีอำนาจวาสนา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทางโลก เราชื่นชมเขามาก เราชื่นชมเขามาก แต่จริงๆ ในใจของเขาก็มีตะกอนในใจ คือมันยังมีความสงสัย มันมีความทุกข์ความยาก มันอมทุกข์ เพราะว่าในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ การเวียนว่ายตายเกิดทุกดวงใจมีทุกข์ประจำหัวใจ ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ต้องไปยกย่องสรรเสริญใครว่าสูงส่งกว่าเราหรอก ทุกดวงใจ การเวียนว่ายทุกดวงใจ ไม่มียกเว้น แล้วเราเป็นผู้ที่มีสติ เราถึงมาแสวงหาของเราไง เราจะมาประพฤติปฏิบัติของเราไง เรามาปฏิบัติเราก็มามัวเมากับธรรมะอีก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เมา ท่านให้มีสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ มันพัฒนาของมันขึ้นไป แล้วเราเองเราจะได้ความจริงของเราขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เมาแล้วห้ามขับ เมาแล้วพุทโธซะ ถ้าเมาแล้วกลับมาพุทโธ เมาแล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เมาแล้วห้ามขับ อย่างน้อยมันก็พารถตกข้างทาง อย่างมากมันพารถไปชนคนอื่น ชนคนอื่น หมายความว่า เราหลงผิด แล้วเรายังไปชักนำให้คนอื่นผิดตามไปด้วย แล้วถ้ามันไปชนเกาะกลางถนนแล้วรถพลิกคว่ำจนเสียชีวิต พอมันทำไปแล้ว พอจิตมันเสื่อมแล้ว “เออ! ไม่เห็นมีอะไรเลย ธรรมะนี้คงไม่มีอยู่จริง มรรคผลไม่มีหรอก เราทำที่สุดแล้วยังไม่มีเลย ใครมันจะทำมากกว่าเรา เราทำมาสุดยอดแล้ว เราตรวจสอบแล้วไม่มีๆ” เห็นไหม มันฆ่าตัวตาย ฆ่าความเพียรของเขา ทำลายตัวของเขา นี่ถ้ามันเมาเป็นอย่างนั้น

ถ้าเป็นความจริงนะ มันอาจหาญ มันรื่นเริง เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านกราบแล้วกราบเล่า ภิกษุหนุ่มๆ องค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่าๆ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา แล้วแสดงธัมมจักฯ จนพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก กราบบุญคุณ กราบเมตตาคุณ กราบปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รื้อค้น เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว “จะสอนใครได้หนอ” มันละเอียดลึกซึ้งไง เวลาพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งไปบรรลุธรรม ไปตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันถึงซาบซึ้ง เพราะมันละเอียดอ่อนจนพูดไม่ได้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วท่านบอกมันพูดออกมามันเปรียบเทียบอย่างไรก็ไม่ถูก แต่ถึงที่สุดแล้วมันก็มีข้อวัตรปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นวางข้อวัตรปฏิบัติ วิธีการ ขอบเขตที่จะให้เราสื่อสารกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีปัญญาๆ ก็มีธรรมและวินัยนี้วางไว้ เพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แต่ไม่ได้วางไว้อย่างนี้เพราะมันสื่อออกมายากไง แต่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านก็เปรียบเทียบในความเห็นของท่านนั่นแหละ พระปัจเจกพุทธเจ้ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ด้วยความกว้างขวางของปัญญาที่เปรียบเทียบมาเป็นธรรมและวินัยมันแตกต่างกัน นี่ครูบาอาจารย์ของเราวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ก็เป็นแนวทาง บอกว่า “แล้วจะสอนใครได้หนอ สอนใครได้หนอ” นี่ผู้ตรัสรู้ธรรมมันลึกซึ้งอย่างนั้นน่ะ

แต่เดี๋ยวนี้นะ ไปไหนมา สามวาสองศอก เมาหยำเปมาพูดธรรมะกันปากเปียกปากแฉะ ยังอยู่กับครอบครัว ยังอยู่ในบ้านเลย ยังเสพกามอยู่นะ มันบอกว่ามันพิจารณาอสุภะปล่อยวางหมดแล้ว มันยังจมอยู่กับกามนั่นน่ะ มันว่ามันพิจารณาแล้ว มันมีปัญญา มันรู้ของมัน มันมัวเมา มันเมาจนทำร้ายตัวเอง ทำลายโอกาสของตัวเอง

แต่ถ้ามันมีสัจจะมีความจริงนะ สัจจะความจริงนี้มันจะทำให้ตัวเองดีขึ้น ฉะนั้น ให้มันเป็นความจริงกับเรา สิ่งใดเราต้องพิสูจน์ตรวจสอบ ถ้ามันยังไม่มีสมุจเฉทปหาน มันยังไม่เป็นความจริงขึ้นมา พยายามทำซ้ำๆๆ เพราะเราเกิดมามีอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา เราจะมีอัตตสมบัติไปพร้อมกับหัวใจของเรา เอวัง