เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ พ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ วันนี้เป็นวันหยุดราชการ วันพืชมงคล วันพืชมงคลทำแรกนาขวัญ ทำแรกนาขวัญ เขาต้องการขวัญต้องการกำลังใจ เวลาแรกนาขวัญ เวลาพยากรณ์ในทางที่บวกไว้ๆ ถ้าที่ลุ่มที่ดอนก็ว่ากันไปตามนั้น นี่เขาพยากรณ์เพื่อเป็นขวัญและเป็นกำลังใจไง เวลาเขาทำกสิกรรมเขายังต้องมีขวัญมีกำลังใจ นี่ทำแรกนาขวัญ สมัยโบราณของเราจะทำสิ่งใดจะมีขวัญ ยิ่งเด็กน้อยเวลาตกอกตกใจเรียกขวัญเอ๊ยขวัญมา ขวัญเอ๊ยขวัญมา ขวัญกำลังใจ เพราะขวัญสำคัญมาก ถ้าขวัญสำคัญมาก ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์เราก็มองว่าเป็นเรื่องงมงาย คำว่า “งมงาย” งมงายเพราะคิดเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โลกจะเจริญทางวิทยาศาสตร์ ถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันเพื่อให้เราอยู่กับโลกในโลกแห่งความเป็นจริง

แต่เวลาเรื่องของหัวใจ เวลาหัวใจ จิตใจของคนที่มีคุณธรรม จิตใจของคนที่มีกำลังใจ จิตใจที่เข้มแข็ง บางคนจิตใจที่อ่อนแอ จิตใจที่อ่อนแอเชื่อง่าย เชื่อตามสิ่งที่ว่าเขาชักนำไป แต่ถ้าเรามีขวัญและกำลังใจ ขวัญและกำลังใจเพื่อจุดยืน เพื่อความมั่นคงของใจ นี่เพื่อความมั่นคงของใจ แต่ถ้าเราพิจารณาทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตไง ให้กำลังใจ ให้น้ำใจต่อกัน ให้คนมีน้ำใจ ให้คนเผื่อแผ่เอื้ออารีต่อกัน ถ้าคนเผื่อแผ่เอื้ออารีต่อกัน ความผิดพลาด ความบาดหมางมันก็น้อยลง ความผิดพลาด ความบาดหมางมันจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะการเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตัว การเอารัดเอาเปรียบกัน สิ่งนั้นทำให้กระทบกระเทือน

ขวัญกำลังใจๆ เวลาสอนลูกสอนหลาน สอนลูกสอนหลานก็อยากสอนให้ลูกเป็นคนดี ถ้าลูกเป็นคนดี คนดีอยู่ที่ไหนเราก็สบายใจได้เพราะลูกเราเป็นคนดี แต่ถ้าลูกเราเป็นคนเกเร ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่สบายใจ เพราะคิดว่าลูกของเราจะไประรานใครให้มันเป็นปัญหาขึ้นมา เห็นไหม เราสอนลูกสอนหลานก็สอนให้เป็นคนดีนี่ไง ถ้าเราสอนลูกสอนหลานให้เป็นคนดี

เวลาทำอาชีพเขาบอกว่ามีขวัญและกำลังใจ แม้แต่การกีฬา กีฬาถ้าขวัญดี ขวัญดีกำลังใจดี แข่งไป เขามีหัวใจ เขาชนะแล้ว แต่คนที่ขวัญเสีย ทำสิ่งใดผิดพลาดไปหมด ผิดพลาดไปหมดเลย ถ้าผิดพลาด ผิดพลาดเพราะอะไร ผิดพลาดเพราะว่าไม่มีจุดยืนไง มีแต่ความเร่าร้อนในหัวใจ นี่ความผิดพลาดของเขา เห็นไหม มีขวัญและกำลังใจเพื่อชีวิตของเรา นี่พูดถึงทางโลก

ถ้าเป็นทางธรรมๆ ล่ะ เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้อง ดูสิ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัยของเรา เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งที่อาศัย ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อย่างหลวงตาท่านบอกว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนในห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ใครมีข้าวของเงินทองมากน้อยแค่ไหนเราก็แลกเปลี่ยนมาได้ขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีขวัญและกำลังใจ คนเราจะประพฤติปฏิบัติให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ แต่เวลาเราสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราทุกข์เราร้อนไง เราทุกข์เราร้อน เราว่าปัจจัยเครื่องอาศัยมันเบียดเบียนเรา เราจะมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ เรามีความสุขแค่นี้เราก็พอใจ แล้วพอใจแค่ปัจจัยเครื่องอาศัยไง ถ้าพอใจแค่ปัจจัยเครื่องอาศัย

สิ่งนั้นเวลาสมบูรณ์ โลกที่สังคมอ่อนแอ สังคมอ่อนแอก็เห็นแต่วัตถุไง ที่ไหนมีคนเยอะๆ ที่ไหนมีวัตถุที่มันวิจิตรพิสดาร พิสดารที่ไหนก็คนทำทั้งนั้นแหละ แต่เวลาหัวใจมันพิสดารสิ เวลาจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นมา เอาชนะตนเองได้ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก โลกเขามองเห็นกับเราไม่ได้ แต่เขารู้ได้ รู้ได้ด้วยกิริยาความเป็นอยู่นั้น

เวลาในสมัยพุทธกาล เวลาพระประพฤติปฏิบัติในป่าในเขา เทวดา อินทร์ พรหมมาอนุโมทนาด้วยทั้งนั้นแหละ ทำไมเขาอนุโมทนาล่ะ อนุโมทนา ดูสิ เวลาเทวดามาคุยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าเวลาเทวดาฟังธรรมๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทำไมเทวดาฟังธรรมเข้าใจได้ เข้าใจง่าย ทำไมพูดกับคนมันพูดยาก

เทวดาเขาบอกว่าสิ่งที่เข้าใจง่ายๆ เข้าใจง่ายเพราะว่าจิตใจของเขา เขาซื่อตรงกับความจริงของเขา แล้วพูดความจริงมันก็เข้ากันไง แต่มนุษย์เราๆ เวลาพูดความจริง ความจริงของใคร? ความจริงของกิเลสไง ความจริงของความชอบไง ความจริงของคน จินตนาการของคนไง ถ้าจินตนาการของคนถูกต้องมันก็ว่าถูกต้องของมัน

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถึงศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักร ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักรนะ เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงมาวัด พอมาวัดขึ้นมา ดูสิ ดูกิริยาของพระ พระที่ประพฤติปฏิบัติ ความเป็นอยู่ในวัดนั้น ถ้าเราเข้าไปเราก็ไปศึกษา เพราะมีศรัทธามีความเชื่อ เราเข้าไปค้นคว้าเข้าไปศึกษา เวลาประพฤติปฏิบัติไป เราจะเชื่ออย่างนั้นตลอดไปหรือ

เราเชื่อนะ ความเชื่อใช่ไหม ความเชื่อใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตร เวลาเราปฏิบัติไป เวลากิเลสมันสร้างภาพให้ “จิตสงบแล้ว จิตวิปัสสนาแล้ว ปล่อยวางหมดแล้ว กิเลสไม่มีสักตัว” มันพูดหมดเลย ตัวมันแหละคือตัวกิเลส ถึงว่าไม่ให้เชื่อๆ ไง ไม่ให้เชื่อเพราะอะไร ไม่ให้เชื่อเพราะว่าความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ความเชื่อสำคัญ สำคัญตอนที่เราเข้ามาศึกษาค้นคว้า ทีนี้เวลาค้นคว้าตามความเป็นจริงขึ้นไปแล้ว เวลาปฏิบัติเข้าไป กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดสิ่งใดนั่นเป็นธรรมะของท่าน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการก็เป็นประสบการณ์ของท่าน แต่เราปฏิบัติ เราเป็นความจริงหรือยัง

เวลาเราฟังมาๆ ฟังมามันเป็นสัญญาทั้งหมด เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านปลุกปลอบเรานะ ให้กำลังใจเรานะ ให้ขวัญและกำลังใจให้ต่อสู้กับกิเลสนะ แต่เวลาหลวงปู่มั่น หลวงตาเวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ถ้ามันเป็นสังคม ขณะเทศน์ก็เทศน์แต่ผู้ที่ฟังอยู่เดี๋ยวนั้น พอเวลาเข้าไปถึงขณะจิตที่จะเป็น ท่านบอกตรงนี้สำคัญ ท่านข้ามเลย ข้ามเลยเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัญญา เราไปรู้ก่อนไง ดูสิ เวลาคนเป็นหนี้เขาปิดไว้ คนเป็นหนี้ อู้ฮู! เขาบอกเขาเป็นคนที่มั่งมีศรีสุข แต่พอไปเปิดบัญชีนี่แดงหมดเลย พอแดงหมดก็เสียเครดิตหมดเลย

กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสมันไปรู้หมด มันไปรู้แล้ว รู้ทุกอย่าง รู้โจทย์หมดเลย มันก็สร้างภาพๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วปฏิบัติยากมาก เวลากิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมา มันบังเงานะ เวลาเราปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน เราก็ว่าเราทุกข์เรายาก เวลาปฏิบัติไปแล้วมันสร้างภาพขึ้นมา โอ๋ย! เวิ้งว้างไปหมดเลย...นั่นก็กิเลส มันก็หลอก อุปกิเลส ความโอภาส ความสว่างไสว ความเวิ้งว้าง กิเลสทั้งนั้น แล้วเราก็บอกว่าสิ่งนั้นเป็นความว่างๆ

กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อๆ ไม่ให้เชื่อต่อเมื่อเราทำ ถ้ามีขวัญมีกำลังใจมันทำได้ เวลาคนที่มาประพฤติปฏิบัติเขาต้องการขวัญต้องการกำลังใจ เวลาปฏิบัติไปแล้ว เวลาสิ่งใดที่ได้มาก็แสนทุกข์แสนยาก แล้วไปหาครูบาอาจารย์ท่านก็บอก “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ ยังไม่ใช่” เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริง คำว่า “ไม่ใช่” มันไม่ใช่สัจจะความจริงที่เป็นเนื้อแท้ แต่มันเป็นระหว่างทาง ระหว่างที่มันเป็นมันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น คำว่า “ไม่ใช่” เริ่มต้นไม่ใช่ถ้าจะเอาผลกัน แต่เวลาบอกว่าปฏิบัติถูกไหม? ถูก ถ้าเราขวนขวาย คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรของคนมันก็มีมากมีน้อยแตกต่างกันใช่ไหม จริตนิสัยของคนก็ไม่เหมือนกันใช่ไหม เวลาใครทำ ใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มีความรอบคอบ ความรอบคอบก็ดูแลความคิดของเรา ดูแลสิ่งที่มันกระทบกระเทือนออกไปข้างนอก เราจะเอาความจริงๆ อันนี้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากๆ

ดูสิ เวลาคนที่ภาวนาได้ คนภาวนาได้ก็บอกว่า “ไม่สึกๆๆ”

แล้วดูเหลือกี่คน สึกหมด นี่เวลาภาวนาได้มันได้ชั่วคราวไง พอจิตมันสงบ จิตมันดีนะ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์นะ “ไม่สึก โอ๋ย! ปฏิบัติตลอดชีวิต” ๕ ปี ให้หลังเห็นไปนุ่งกางเกงหมดแล้ว มันเสื่อมหมดไง เห็นไหม นี่เวลามันดี เวลามันดีมันมหัศจรรย์ขนาดนั้นเวลามันดีนะ แล้วถ้ามันดีจริงๆ มหัศจรรย์มากกว่านั้นเพราะอะไร เพราะมันเหนือโลกไง

สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

มันมีคุณค่าต้องสละทั้งชีวิตเชียวหรือ ถ้ามันไม่มีค่า เราจะสละชีวิตของเราหรือ ชีวิตที่มีค่าๆ ครูบาอาจารย์ของเรา ชีวิตนี้มีค่ามากนะ ชีวิตนี้มีค่ามากเพราะอะไร เพราะว่าความรู้สึกอันนี้มันสัมผัสธรรมได้ ความรู้สึกอันนี้มันรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ได้ ความรู้สึกอันนี้สำคัญมาก แล้วความรู้สึกอันนี้มันเวียนว่ายตายเกิดนะ มันสำคัญมากเลย แต่เวลามันเวียนว่ายตายเกิด เกิดเป็นคนก็อยู่ในร่างกายของมนุษย์นี้ เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็อยู่ในทิพย์นั้น พออยู่ในทิพย์นั้น มันอยู่ในทิพย์สถานะนั้น หน้าที่ปัจจุบันนั้นมันมองข้าม มันปิดกั้นหัวใจอันนี้ไว้เลย สิ่งที่มีค่าๆ โดนความรู้สึก สถานะของปัจจุบันมันปิดกั้นไว้ ปิดกั้นคือสถานะปัจจุบันนี่ไง

สถานะปัจจุบัน ถ้าโลกธรรม ๘ มีลาภ สรรเสริญ มีหน้าที่การงาน โอ้โฮ! มันไปใหญ่เลย หัวโขน เห็นไหม มันปิดกั้นไว้ มันไม่ปิดกั้นเลยว่าสิ่งที่มีชีวิตนั้นมันมีค่ามากกว่านะ เพราะมีเราถึงมีสถานะทุกๆ อย่างที่เรามีมานี้ แล้วสถานะทุกๆ อย่างมีมานี้มันก็อยู่กับเราไม่ได้หรอก ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา มันต้องพลัดพรากกันอยู่แล้ว นี่ผลของวัฏฏะๆ เราเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดมาพบกันแต่ภพชาติหนึ่ง แล้วเราก็ต้องจากกันไป มันพลัดพรากอยู่แล้ว มันไม่มีสิ่งใดเป็นของเราหรอก แต่เวลาสถานะทางมนุษย์ สถานะของปัจจัยเครื่องอาศัย มันว่ามีค่าๆๆ แล้วก็ไปหลงมันไง หลงมันอยู่นั่นแหละ ไปหลงอยู่ในนั้นแหละ

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ดูสิ พระกัสสปะเป็นเศรษฐี ลูกเศรษฐี ลูกคนเดียว แจกอยู่ ๗ วัน ๗ คืน แจกสมบัติ แจกสมบัติจนหมดแล้วออกบวช สมบัติแจกหมด ไอ้ที่เราแสวงหาเขาแจกๆๆ เลย แล้วเวลาเขามาหา เขามาหาศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเขา

ดูสิ เราแจกสมบัติหมดเลย แล้วได้บริขาร ๘ มา ได้บาตรมาใบหนึ่ง เช้าก็จะไปบิณฑบาตเขาอยู่ แต่ตอนมี แจกๆ เขาหมดเลย แล้วจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาเอาจริงที่ไหนล่ะ เอาจริงเอาจังขึ้นมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐาน ให้พุทโธ ให้ปัญญาอบรมสมาธิ เข้าป่าเข้าเขาไปแล้วไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา พอเป็นความจริงขึ้นมาจริงในหัวใจนั้น ถ้าจริงในหัวใจนั้น ใจที่มีคุณค่าอันนั้นมันจะมีคุณค่าอย่างนี้ แล้วถ้าไม่มีใครดูแลรักษามัน มันเข้ามา ถ้ามีสติปัญญา มีหมู่คณะที่ดี เขาก็ได้สร้างบุญกุศลของเขา สร้างบุญกุศลมันก็เป็นอามิส ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้นด้วยกรรมด้วยเวรนี่แหละ ด้วยกรรมด้วยเวร เวลาใครเกิดมาถ้าสมความปรารถนาก็ว่าฉันมีบุญ ถ้าไม่สมความปรารถนาก็บอกว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ

คนเรามันมีสูงมีต่ำ เวลาจิตใจมันต่ำ จิตใจมันพลั้งมันเผลอ มันทำสิ่งใดไปมันให้ผลเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมขึ้นมาเราต้องมีสติปัญญาตรงนี้ ถ้ามีสติปัญญานี้ ฝืนไว้ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน สิ่งใดที่มันเผชิญหน้า คัดออกๆ เราจะเอาความจริงของเรา จะไปเจอความจริง มันไม่มีขายในโลก

เวลาบอกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านเปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้า ใครมีความสามารถก็ได้ ห้างสรรพสินค้ามันมีสินค้าเยอะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีขั้นตอน มีสูงมีต่ำมหาศาล คนไปทำบุญกุศลแล้วได้บุญกุศล ทำสมความปรารถนาก็พอใจแค่นั้น เวลาคนถือเนกขัมมะเสียสละทั้งหมดไปประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าเขาได้ปฏิบัติ เขาได้สมาธิ เขาได้แค่นั้น ถ้าใครยกขึ้นสู่วิปัสสนาปั๊บ เขาก็ได้มรรคได้ผล ได้มรรค

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ถ้าจิตมันไม่มีการกระทำ ไม่มีภาวนามยปัญญาขึ้นมามันจะไม่มีผล แล้วมรรค มรรคมันเกิดขึ้นมามันจะซาบซึ้ง ซาบซึ้งเพราะอะไร ซาบซึ้งเพราะเราล้มลุกคลุกคลานมาก่อน เพราะเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนคนหนึ่งใช่ไหม เราต้องมีศรัทธาความเชื่อเราถึงเสียสละทาน เสียสละทาน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลามันหลงผิดไปมันก็ไปติดข้องอยู่อย่างนั้น เวลามันสัมมาทิฏฐิ เข้ามาสู่สมาธิ เป็นสมาธิได้ก็ยังติดสมาธิอยู่อย่างนั้น ยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วก็เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มรรค ๔ ผล ๔ ขึ้นไป นี่ถ้าจิตมันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันถึงรู้ไง มันถึงรู้มันถึงเห็นว่าเราผ่านมาอย่างนี้ เราล้มลุกคลุกคลานมา ทีแรกเรามีความเชื่ออย่างไร แล้วเราปฏิบัติไป สิ่งที่เป็นความเชื่อมันผิดหมดเลย พอมันไปรู้จริงมันเป็นคนละเรื่องกันเลย เห็นไหม มันเหนือโลก คำว่า “เหนือโลกๆ” มันเหนืออย่างนี้ ถ้าเหนืออย่างนี้แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันก็อยู่ที่จิตเรานี่ไง

หลวงตาท่านพูดประจำ ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้ เว้นไว้แต่หัวใจของมนุษย์ ความรู้สึกๆ ความรู้สึกมันสัมผัสๆ อันนี้สำคัญ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันนี้ เรามาประพฤติปฏิบัติ เรามาทุกข์มายาก เรามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันน่าเห็นใจนะ เหงื่อไหลไคลย้อย เหงื่อไหลไคลย้อยเขาทำมาหากินเขายังทุกข์ยาก เขายังได้เงินได้ทองของเขา มาวัดมาวา มาประพฤติปฏิบัติ เดินจงกรม อยู่บ้านก็ทิ้งมาแล้ว ข้าวของก็ทิ้งไว้ที่บ้าน มาวัดมาวาก็จะมาหาสิ่งที่ประเสริฐกว่าไง หาหัวใจไง หาหัวใจที่เป็นนามธรรมที่ชี้เข้ามาที่ความรู้สึกนี้ แล้วเวลามันเป็นขึ้นมา สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ เวลายกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาจริงๆ

กาลามสูตร ไม่เชื่อใครเลย แล้วมันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันมหัศจรรย์ๆ แต่ความมหัศจรรย์นี้ พวกเรา ความเป็นมนุษย์ ความเป็นสัตว์โลก มันจะมีบารมีธรรมที่เข้าถึงได้น้อยลงเรื่อยๆ พอน้อยลงเรื่อยๆ มันเข้าถึงสัจจะอันนั้นไม่ได้ ที่ว่าศาสนาเสื่อมๆ เสื่อมจากความเป็นจริงที่เราจะเข้าถึง แต่ความเป็นจริงมันก็อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ แล้วสัจจะอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศ แล้วเราเป็นสาวกสาวกะสามารถที่จะขวนขวาย สามารถที่จะพิสูจน์ได้

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เรามีสัจจะมีความเชื่อขนาดนี้ แล้วเราทำของเราไม่ได้ เราทำของเราไม่ได้ แต่ถ้าเรายังฝืนทำนะ เพราะอะไร เพราะเวลาเราล้มลุกคลุกคลาน ย้อนไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ทศชาติ ๑๐ ชาตินั้นท่านสละทุกๆ อย่างเลยล่ะ คำว่า “สละ” อันนั้นมันถึงได้ความเข้มแข็งของใจขึ้นมา เวลามาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อาฬารดาบส อุทกดาบสบอกว่า “เธอมีความรู้เสมอเรา” คืออาจารย์ยกตูดขนาดไหนก็ไม่เชื่อ มีคนยกย่องเจ้าชายสิทธัตถะมากเลยตอนที่ยังไม่ตรัสรู้ธรรมว่ามีคุณค่า อยากเอาไว้เป็นลูกศิษย์ ท่านไม่เชื่อ ท่านไม่เชื่อเพราะทศชาตินั่นล่ะ ท่านไม่เชื่อเพราะท่านสร้างของท่านมา ท่านสร้างกำลังใจมา ใครยกย่องสรรเสริญขนาดไหนท่านไม่เชื่อถ้าไม่เป็นความจริง แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริง เห็นไหม ถ้าเราล้มลุกคลุกคลาน เราเอาตรงนี้มาเปรียบเทียบไง เอาเรื่องอย่างนี้มาวิเคราะห์วิจัย มันจะทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมา มันทำให้เรามุมานะขึ้นมา

ไม่ใช่น้อยเนื้อต่ำใจ ท้อแท้อยู่อย่างนั้นแหละ เอาประวัติครูบาอาจารย์ เอาประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านสมบุกสมบันมา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราได้ลงทุนลงแรงขนาดนั้นไหม เราได้โดนสังคมบีบคั้นขนาดหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไหม เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ สังคมทั้งบีบทั้งคั้น กิเลสทั้งบีบทั้งคั้น ทุกอย่างบีบคั้นหมดเลย ท่านทำไมเอาตัวท่านรอดมาได้ล่ะ แล้วมาวางเป็นข้อวัตรปฏิบัติให้เราทำกันอยู่นี่ เปิดช่องทางไว้ให้พวกเรา เปิดทางสว่าง ทางโล่งเลย แล้วเราก็มาน้อยเนื้อต่ำใจกัน “ทำแล้วก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้” แต่ไม่คิดว่าคนที่เขาทำได้เขาสมบุกสมบันมาแค่ไหน ไอ้เราก็จะเอาง่ายๆ ยิ่งคนมาหลอก “ลัดสั้น” ไปหมดเลย ลัดสั้นก็ลัดสั้นลงนรก เพราะถึงเวลาแล้วมันไปจนตรอกมันถึงจะรู้ไง มันเสียเวลาทั้งชีวิตไปแล้ว แล้วทำไปจนไม่มีสิ่งใดจะฟื้นกลับมาแล้วมันถึงจะรู้ตัว

แต่ของเรา เรามีสติมีปัญญา เราฝืนทนของเรา แล้วเอาครูบาอาจารย์เป็นที่ตั้ง เอานี้เป็นที่ตั้ง เห็นไหม ขวัญและกำลังใจ เขาทำงานทุกอย่างเขาต้องมีขวัญมีกำลังใจ แม้แต่นักรบ แม้แต่นักกีฬา เรานักปฏิบัติเราก็ต้องมีขวัญกำลังใจ เราต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่าง ท่านทำของท่าน ท่านทำของท่าน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา แล้วมันเป็นความจริงอันนั้น เพียงแต่เวลาจริงหรือไม่จริง

หลวงปู่เสาร์ท่านพูดประจำ “ทำให้ดูมันยังไม่ดูเลย จะไปเทศน์สอนมันอย่างไร” แต่หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการจ้ำจี้จ้ำไชเลย นี่วาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน เราจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราต้องดูแลหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่ พระยังต้องบิณฑบาตฉันเลย ร่างกายมันต้องการอาหาร แต่หัวใจมันต้องการธรรม เอวัง