เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ พ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ ทำไมต้องฟังธรรมล่ะ ทำไมต้องฟัง แม้แต่วันมาฆบูชานะ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์ไง เราจะไม่ทำความชั่วทั้งสิ้น เราจะทำแต่คุณงามความดี เราจะทำจิตใจให้ผ่องใส เราจะทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่ไง ขนาดพระอรหันต์นะน่ะ ทำไมพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเทศนาว่าการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลสต่างหาก ทำไมพระอรหันต์ยังต้องสอนอีกล่ะ

พระอรหันต์ไม่ต้องสอน พระอรหันต์เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางนโยบาย วางนโยบายไว้ว่าให้ควรทำตัวอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ๆ นี่ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมก็เพื่อตอกย้ำหัวใจเรานี่แหละ ถ้าตอกย้ำหัวใจของเรา หัวใจของเรามันทุกข์มันยากอยู่นี่ เราบอกเราเกิดมาเราภูมิอกภูมิใจว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราภูมิอกภูมิใจว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เราใช้ปัญญาเพื่อดำรงชีวิต เราใช้ปัญญาเพื่อแก้ไขให้ชีวิตของเราพ้นจากทุกข์ได้หรือไม่

ฟังธรรมๆ ตอกย้ำตรงนี้ไง ตอกย้ำที่ว่าวันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรกันอยู่ เราทำอะไร

ก็ทำมาหากินไง เราต้องทำมาหากิน เพราะเราทุกข์เรายาก เราทำมาหากินอยู่นี่ไง เราทำมาหากิน ดูสิ พระก็ทำมาหากิน พระบิณฑบาตเลี้ยงชีพ บิณฑบาตเลี้ยงชีพเป็นวัตร เลี้ยงชีพเพื่อดำรงชีวิตไว้ ดำรงชีวิตไว้ทำไมล่ะ โยมก็ต้องหากิน พระก็ต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มาชำระล้างกิเลสในหัวใจของตัว ถ้าชำระล้างกิเลสในหัวใจของตัว

เราก็ภูมิใจไง เราภูมิใจว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วที่สุดแห่งทุกข์อยู่ที่ไหน เราทำมาหากิน หาทรัพย์สมบัติขึ้นมานะ เราสะสมไว้ สะสมไว้ว่าเราจะอุดมสมบูรณ์ แล้วมันก็ไปนั่งทุกข์บนกองเงินกองทองนั่นล่ะ สมบัตินี้จะรักษาอย่างไร สมบัตินี้จะส่งต่อให้ใคร สมบัตินี้ใครจะมาแย่งชิงหรือเปล่า มันหามาด้วยความทุกข์ความยาก เสร็จแล้วมันก็ไปนั่งบนกองเงินกองทองมีความทุกข์ยากอีกชั้นหนึ่ง แล้วเวลาจะตายไปก็ทุรนทุราย ของของเรายังไม่ได้ใช้ได้สอย

แต่ถ้ามันฟังธรรมๆ เราหาสิ่งนี้มา ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต แสดงว่าเรามีเชาวน์ปัญญา เรามีเชาวน์ปัญญาแล้วเรามีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จ เราเป็นคนมีบุญกุศล บุญกุศลนี้เราได้มาแล้วมันทำให้เราไม่ต้องทุกข์ยากจนเกินไป เราจะควรทำเพื่อประโยชน์กับหัวใจเราอีกหรือไม่ ถ้าเราจะทำประโยชน์เพื่อหัวใจของเรา ทรัพย์สมบัตินั้นมันก็เป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์กับโลกก็สร้างอำนาจวาสนาบารมี

คนเราร่ำรวยมหาศาล แต่เขาไม่มีบารมี เพราะเขาไม่ได้เจือจานใครเลย เขาไม่ดูแลใครเลย เขาจะเอาอำนาจวาสนาบารมีมาจากไหน อำนาจวาสนาบารมีมันมาจากการเสียสละ การเจือจานกัน เรามีน้ำใจต่อกัน เรามีน้ำใจต่อกัน เราดูแลกัน เขาทุกข์เขายาก เขาทุกข์เขายากด้วยอำนาจวาสนาของเขา เราก็เจือจานเขาด้วยปัญญาของเรา เด็กเราเอาเงินทองไปให้ไว้มันมากจนเกินไปมันก็เป็นโทษกับเด็กนั้นนะ เด็กนั้นมีเงินมีทองขึ้นมา เพื่อนฝูงของมันจะมารุมตอมมัน มันจะพากันเสียหาย เราจะช่วยเหลือใครเราก็ต้องมีปัญญา เราจะช่วยเหลือเจือจานใคร เขามีปัญญาไหม เขารับผิดชอบข้าวของเงินทองนี้ไหม ให้เขาไปแล้วเป็นประโยชน์กับเขาไหม ให้ไปแล้วเป็นโทษกับเขา เราไปให้เขาทำไม ถ้าให้ไปแล้วเป็นประโยชน์กับเขา ประโยชน์กับเขาแล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่นต่อไป มันจะเกิดอำนาจวาสนาบารมี

เวลาถ้าเราจะได้มาด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ถ้าเราทำบุญกุศลต่อเนื่องไปๆ มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ไม่ใช่เราหามาด้วยความทุกข์ความยากนะ แล้วเราก็ไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไปทุกข์ไปยากอีกนะ ปีนี้ถ้าดอกเบี้ยมันไม่ขึ้นสมความปรารถนา มันไม่เข้าเป้าก็จะเป็นความทุกข์อีกนะ ทำไมไปเป็นขี้ข้ามันได้ขนาดนั้นล่ะ เราหามาเพื่อดำรงชีวิตไง

ดูสิ พระเรา สิ่งที่แสวงหา พระเราก็ต้องเลี้ยงชีพ แต่เลี้ยงชีพด้วยสมณสารูป เดินไปบิณฑบาตด้วยความสงบเสงี่ยม ทอดสายตาลงต่ำ ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ บิณฑบาตเป็นวัตร วัตรของการบิณฑบาต อย่าไปทำให้กระทบกระเทือนสายตาคนอื่น เขาเห็นพระนี่พระนักเลง พระจะมาบิณฑบาตอย่างไร พระหาอยู่หากินเองสิ พระทำไมต้องมาขอด้วย พระก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมต้องไม่ทำมาหากิน...พระทำมาหาเลี้ยงใจ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งราชวังแล้วออกมา พระเจ้าพิมพิสารนึกว่าโดนปฏิวัติมาไง ให้กองทัพครึ่งหนึ่งนะ ให้เพื่อไปเอาราชบัลลังคืน

ไม่ใช่ ออกมาเพื่อหาโพธิญาณ ออกมาเพื่อหาโพธิญาณ ออกมาเพื่อจะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย

พระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้ว่าถ้าค้นพบโพธิญาณนั้น ให้กลับมาสอนด้วย ให้กลับมาสอนด้วย สัญญากันไว้เลย ถ้าเจอแล้ว ถ้าได้มรรคได้ผลแล้วขอให้กลับมาโปรดด้วยนะ ขอให้กลับมาช่วยชี้นำด้วย

เราก็เหมือนกัน พระออกบิณฑบาต บิณฑบาต เขาจะหาสมบัติของเขา อัตตสมบัติคือสมบัติในใจของเขา แต่ในเมื่อเขายังหาสมบัตินั้นไม่ได้ เขายังต้องดำรงชีวิตอยู่ เขาต้องภิกขาจารเลี้ยงชีพเขา เราจะเมตตาไหม เราจะส่งเสริมไหม เราจะทำบุญกุศลของเราไหม ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บิณฑบาตมาแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ภัตกิจไง

เวลาทำหน้าที่การงานก็งานของเรา เวลาฉันข้าวก็เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง ก็เป็นงานอย่างหนึ่งนะ งานเคี้ยวอาหารก็เป็นงานอย่างหนึ่งนะ ถ้าทำงานเสร็จแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระก็เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง ใครทำฌานสมาบัติได้ก็เข้าสมาบัติ ใครใช้วิปัสสนาได้ก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เขาทำงานของเขา ทำงานอะไรล่ะ? ทำงานเพื่อพ้นจากทุกข์ไง ทำงานเพื่อชำระล้างกิเลสในหัวใจไง ถ้าชำระล้างกิเลสในหัวใจ งานอย่างนั้นงานในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนา ไม่ใช่งานอาบเหงื่อต่างน้ำแบบเรา

เรานี่งานอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัย จิตใจที่เป็นธรรมๆ เราจะเสียสละ เราจะเจือจานสังคม ถ้าเจือจานสังคม สังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ก็มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ เราอยู่ที่ไหนมีแต่คนรักคนใคร่ ข้าวของเงินทองในบ้านเราก็มีคนช่วยดูแลรักษาใช่ไหม เรามีแต่คนเกลียดคนชัง ข้าวของเงินทองเขามีแต่มางัดมาชิงมาปล้น มาแสวงหาของเราไง

เราเจือจานเขา คนข้างเคียงเขารักเขาสงสารเรา เขาคอยดูแลเรา นี่ทำบุญกุศล บุญกุศลเป็นแบบนี้ไง ถ้าทำบุญกุศลแบบนี้แล้ว เวลาเราสวดมนต์ทำวัตรตอนเช้าตอนเย็น เราจะนั่งสมาธิ เราจะกำหนดความสงบของใจเข้ามา ทรัพย์สมบัติที่เราแสวงหานี้เป็นทรัพย์สมบัติทางโลก ทรัพย์สมบัตินี้เป็นการดำรงชีวิต แต่การเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเกิดจากเวรจากกรรม ถ้าเกิดจากเวรจากกรรม เราเกิดมา คนที่เป็นคนทุกข์คนยากก็บอกว่า “เรามีแต่กรรมชั่ว เราทำแต่ความไม่ดีมา เราถึงได้ทุกข์ได้ยาก” ทุคตะเข็ญใจในสมัยพุทธกาลก็เป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนามันอยู่ที่สติอยู่ที่ปัญญา อยู่ที่เชาวน์ปัญญาการน้อมทวนกระแสกลับเข้ามาสู่หัวใจ ถ้ากลับเข้ามาสู่หัวใจ เราได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีแล้ว เราได้เสียสละทานของเราแล้ว เราได้มวลชนแล้ว ได้คนที่เขานับหน้าถือตาแล้ว แต่เราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด

แต่ถ้าเราตั้งสติของเรานะ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามามันจะเกิดความมหัศจรรย์นะ เรามีข้าวของเงินทองในบ้านของเรา เรามหัศจรรย์มาก เราได้แจกจ่ายเจือจานไป มีคนนับหน้าถือตา เราก็มหัศจรรย์มาก ทำไมคนเขานับหน้าถือตาเรา ทำไมคนเขาเคารพบูชาเรา แต่เราไม่ได้เคารพตัวเราเองเลย เราไม่เคยเห็นตัวเราเองเลย เราไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาจากไหนเลย รู้ก็ว่าเกิดมาจากพ่อจากแม่ไง แต่ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดมาจากกรรม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้อาสวักขยญาณชำระล้างกิเลสอวิชชาในหัวใจ นั่นล่ะท่านรู้จบสิ้นของท่านนะ นี่มันมาจากไหน บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติที่การเวียนว่ายตายเกิดมันเกิดมาอย่างใด ถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลสไป จุตูปปาตญาณ ญาณที่ถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลส มันยังเวียนตายเวียนเกิดไปข้างหน้า อาสวักขยญาณ ชำระล้างๆ มันมีที่มาที่ไปไง

ที่มาที่ไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณหยั่งรู้การเกิดการตายในภพในชาติต่างๆ สร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ๆ นี่ไง สิ่งที่ว่าเราเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากไหน เวลาเราทำหน้าที่การงานในปัจจุบันนี้มันก็ได้ผลประโยชน์ในปัจจุบันนี้ เรามีศรัทธามีความเชื่อนะ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามีความเชื่อ ท่านจะกระตุ้นมากเลย ท่านกระตุ้นมากเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันคลายได้ มันเสื่อมได้

ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เรามีความมั่นคงของเรา เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรของเรา ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียรของเรา ถ้าทำความสงบของใจเราได้ เราจะมีความมหัศจรรย์ที่มหัศจรรย์มาก ข้าวของเงินทองมันไม่มหัศจรรย์มาก ถ้าข้าวของมันมหัศจรรย์มากมันก็ซื้อสมาธิสิ ซื้อสมาธิ ๕ ล้าน ซื้อปัญญาอีก ๑๐ ล้าน ซื้อมรรคผล ๕๐๐ ล้าน ซื้อมันมาๆ มันซื้อไม่ได้ มันหามันซื้อไม่ได้ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจอย่างใดก็แล้วแต่ ถ้าจะพ้นจากทุกข์ต้องนั่งสมาธิด้วยตัวเอง

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาธรรมมันเกิด มันโผล่ มันผุดขึ้นมาจากหัวใจ เวลาธรรมมันเกิด นั่งสมาธิไป จิตมันสงบแล้วมันผุดขึ้นมาเป็นคำๆ เลยนะ เป็นธรรมะนะ “โอ๋ย! เรามีอำนาจเรามีวาสนา เรามีความมหัศจรรย์” นี่มันผุดขึ้นมาเลย มันจะทำให้เราเคลิบเคลิ้มไง นี่ธรรมมันผุดมันไม่ใช่มรรค

เวลามันเป็นมรรคขึ้นมา เวลาจิตเราสงบแล้วมันมีความมหัศจรรย์ๆ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีนะ เวลาจิตมันสงบ แต่ในปัจจุบันนี้ทำประพฤติปฏิบัติกันมันไม่ใช่สงบ มันเข้าไปเผลอ เวลาเผลอๆ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ เพราะตีความ ตีความว่าธรรมะคือความว่าง ธรรมะคือการปล่อยวาง เราก็ทำเผอเรอ ไม่รับผิดชอบ อย่างนั้นหรือเป็นธรรมะ คนเผอคนเรอ คนไม่มีสติปัญญา เดินไปล้มลุกคลุกคลาน คนอย่างนั้นหรือคนมีธรรม คนมีธรรมมันต้องมีสติสิ สติต่างหากมันยั้งคิด พอยั้งคิด จิตไม่ส่งออก จิตมันก็เป็นอิสระ พอจิตเป็นอิสระ มันสร้างตัวเองไม่ได้ เราก็มีคำบริกรรม พอคำบริกรรมขึ้นมามันตั้งตัวมันเองได้ มันเป็นความมหัศจรรย์ มีเงินมีทองมากมายขนาดไหนก็ซื้อไม่ได้

แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาโดยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เพราะความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา มันเป็นความมหัศจรรย์ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาท่านบอกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้มีค่าเท่ากับความรู้สึกนี้ ไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่ากับหัวใจนี้เลย ไม่มีใครมีค่าเท่ากับปฏิสนธิจิตนี้ เพราะมีปฏิสนธิจิต มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันเกิดหมดไง เพราะมันเกิดมันถึงมีทรัพย์สมบัติ เพราะมันเกิดมันถึงมีอำนาจวาสนาบารมี เพราะมันเกิดมันถึงมีโอกาส เพราะมันเกิดมันถึงมานั่งอยู่นี่ เพราะมันเกิด เราถึงได้ทุกข์ได้ยากกันไง เราได้ทุกข์ได้ยากเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดบังหัวใจไง แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มีธรรมะนะ ธรรมโอสถบรรเทามัน

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์มีค่ามากๆ มนุษย์มีปัญญา มนุษย์มีสมอง มนุษย์มีหน้าที่การงาน มนุษย์ถ้าฉลาด เราแค่เจอใครเรายิ้มให้ เขาก็ยิ้มตอบเราแล้ว เราเจอใคร เรามีสิ่งใดจะช่วยเหลือเขาได้ เราช่วยเหลือเขา เขาก็ภูมิใจในตัวเราแล้ว เออ! เกิดมาชาติหนึ่งก็ยังมีคนมีน้ำใจกับเราเนาะ ไปที่ไหนก็มีความอบอุ่นเนาะ นี่ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์มันมีค่า มันมีค่าไง แล้วดูสิ พระเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เสียสละสถานะความเป็นมนุษย์แบบเรา สถานะความเป็นมนุษย์นะ สิทธิมนุษยชนที่เราจะแสวงหาสิ่งใดก็ได้ เราทำสิ่งใดก็ได้ เสียสละมาบวชเป็นนักบวชนักพรต นักพรตเพื่อจะต่อสู้กับกิเลสของตัว

พอเสียสละ เสียสละความเป็นฆราวาส เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ เป็นนักรบ พอเป็นนักรบขึ้นมา ถ้าบวชแล้วมีอำนาจวาสนานะ บวชแล้วมีความสุขใจมาก มีความอิ่มใจมาก เราอยู่กับโลก เราทุกข์เรายากมาก เราทุกข์เรายาก บัดนี้เราได้เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ใช้มรรคใช้ผล ทำอริยสัจในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนผ่องแผ้ว จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ บัดนี้เราได้บวชได้เรียนแล้ว เราจะพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ถ้าทางโลกเขาได้บวชได้เรียนแล้วเขาก็จะไปเรียนหนังสือกัน เรียนเพื่อจะเอาความรู้ เอาความรู้มาก็เพื่อปฏิบัติ แต่เราเราบวชมา เราเป็นพระกรรมฐาน พระกรรมฐานมีครูบาอาจารย์วางข้อวัตรปฏิบัติไว้แล้ว เวลาบวชแล้วอุปัชฌาย์ก็ให้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้ รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้เราเข้าป่าเข้าเขา ให้เราประพฤติปฏิบัติ

เข้าป่าเข้าเข้าเขาไปถ้าไม่มีสติปัญญาก็เข้าป่าเข้าเขาไปอยู่แบบสัตว์ เวลาสัตว์มันอยู่ในป่าในเขาของมัน ดูสิ สัตว์ป่าออกมาเขาต้องมีหน่วยอนุรักษ์คอยดูแลมันนะ เดี๋ยวคนไปยิงมัน แต่พระเข้าป่าไปไม่มีใครไปดูแลเลย

พระเข้าป่าไป พระเข้าป่าไปเพราะพระมีสติปัญญา พระเข้าป่าไปเพื่อความสงบสงัดอันนั้น พระเข้าป่าไปเพื่อความวิเวก พระเข้าป่าไปเพื่อให้มันไม่สมความปรารถนา ไม่สมความปรารถนาแล้วเข้าไปทำไม ก็เข้าไปดูไอ้ใจดวงนี้ที่มันดิ้นรน ถ้ามันมีสติปัญญา มันเข้าป่าเข้าเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ อุปัชฌาย์ให้มาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเราก็พร้อม

เพราะผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ดูสิ ทางโลกเขาต้องเข้าสปา เขาต้องเข้าไปเสริมสวย ไอ้ของเรา เราเข้ามาเราจะพิจารณามัน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีชีวิตมันเกิดมาก็ได้กรรมฐาน ๕ มา ถ้ากรรมฐาน ๕ มา ถ้าไม่มีสติปัญญามันก็ใช้หัวใจนี้ทำมาหากิน ใช้หัวใจนี้เพื่ออยู่ทางโลก เพื่อความสำเร็จทางโลก ทางโลกเราได้เสียสละ เราเห็นแล้วว่ามันเป็นโทษ เราเห็นแล้วว่ามันมีความทุกข์ความยาก การเวียนว่ายตายเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติขึ้นมาได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมามีอำนาจวาสนา แล้วมีอริยทรัพย์ อริยทรัพย์คือโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีมันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นทรัพย์สมบัติที่จีรังถาวรกับหัวใจนั้น ทำไมเราไม่รีบขวนขวาย เราทำไมไปหาทรัพย์แต่ทรัพย์ที่เป็นแร่ธาตุ ทรัพย์ที่เป็นสมบัติทางโลกนี้ เรามีสติปัญญา เราหาได้ทรัพย์นี้มา เรายังเจือจานเขา เราก็ได้บุญกุศล

แต่ถ้าเราทำจริงของเรา เราทำจริง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเอาความจริง จิตสงบเข้ามา นี่พุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เขาบอกว่า “พุทโธๆ ไปทำไม”

ก็พุทโธ พุทโธนี้เป็นชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เราไปที่ไหนก็แล้วแต่ เราระลึกถึงพ่อถึงแม่เรา เราเป็นคนมีความกตัญญูกตเวที นี่เราระลึกถึงศาสดาของเราไง เราระลึกถึงพุทธะของเราไง แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันสงบเข้ามามันเป็นตัวพุทธะเสียเอง แสวงหาพุทธะจนมันได้พุทธะ แต่นี้แสวงหาพุทธะแล้วไม่ได้พุทธะ ได้แต่สัญญา ได้แต่การคาดหมาย ได้แต่การเผลอ ได้แต่การเพ้อเจ้อ ไม่ได้สิ่งใดเลย เรียนมาๆ เรียนมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เรียนมาเป็นสมบัติของเรา เรียนมาฉันมีความรู้ เถียงกันปากเปียกปากแฉะ เถียงเรื่องธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันหาตัวเองไม่เจอ สมาธิยังไม่รู้จัก สติก็ได้แต่ชื่อมัน ตัวจริงไม่เคยรู้จัก ถ้ามันรู้จัก มันรู้จักสติ มันจะไม่ทำความผิดพลาดเลย ที่เราผิดพลาดกันเพราะเราขาดสติเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความประมาทเลินเล่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นห่วงมาก แล้วเรามีความรู้ท่วมหัว แบกแต่ความรู้กันมา แล้วเจอหน้ากันก็มีแต่โต้แย้งกัน แต่ความจริงไม่มี

ครูบาอาจารย์ของเราเข้าป่าเข้าเขาไป หาความจริงของเรา ถ้าหาความจริงได้ หลวงปู่มั่นท่านเกิดในป่า ท่านอยู่ในป่าของท่าน หลวงตาท่านชื่นชมมาก ชื่นชมมากเพราะอะไร เพราะท่านมีความสุขในหัวใจไง เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราอยากจะประพฤติปฏิบัติต้องดั้นด้นขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ญาติโยมที่อยากจะทำบุญกับหลวงปู่มั่นต้องซื้อคันนาเขาเข้าไป เพราะผู้เฒ่าผู้แก่เดินไปไม่ไหว ต้องนั่งเกวียนไป ขนาดที่ว่าเขาขวนขวายกันขนาดนั้น เพราะหลวงปู่มั่นเป็นความน่าเชื่อถือของสังคม สังคมเชื่อถือว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ดี แสวงหาขึ้นไปเพื่อจะทำบุญกับท่าน นี่ไง เขาแสวงหากันขนาดนั้น นี่ไง เพราะกลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดีของท่าน

แล้วเราล่ะ เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนเรานี่ไง ก็บอกว่าฟังธรรม สัจธรรมๆ สัจธรรม ฟังธรรมมาให้เราได้คิด ถ้าเราได้คิด ชีวิตเรามีค่าแล้ว ถ้าเราได้คิดนะ เราเกิดมาทำไม ในปัจจุบันนี้เราก็เป็นคน เราก็มีสถานะทางสังคม เราก็มีทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วทรัพย์สมบัตินี้ทุกคนก็มีสิทธิ์ใช้เหมือนเรานี่แหละ แล้วเขาร่ำรวยกว่าเราด้วย เขาใช้มากกว่าเราด้วย คนทุกข์คนจนมันไม่มีจะใช้ มันก็มองเราอยู่ ทุกคนก็มีสิทธิ์เหมือนกัน มันเป็นสมบัติสาธารณะไง

แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ เป็นความจริงเป็นสมบัติของเรานะ ถ้าสมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาจะมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ว่ามนุษย์ทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมกัน ร่ำร้องเรียกหา ร่ำร้องเรียกหา ไม่ต้องหรอก จิตทุกดวงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตทุกดวงที่นั่งอยู่นี่เคยเป็นเทวดา อินทร์ พรหมมา เคยตกนรกอเวจีมา ถ้าไม่เคยตกนรกอเวจีมา ไม่กลัวผี ทำไมกลัวผีทุกคนล่ะ ใครทุกคนกลัวผีทั้งนั้นแหละ เวลาผีนี่มันกลัว แต่เทวดามันอยากเจอ แต่ไม่รู้หรอกว่าเทวดากับผีก็จิตวิญญาณเหมือนกัน มันไม่ได้คิดเลย

แต่เวลาเจออริยสัจสิ เวลาจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ผี เป็นสัจจะ เป็นอริยสัจ เป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นสิ่งที่ทำให้จิตนี้ได้ฝึกหัด จิตนี้สงบแล้วได้ฝึกหัด ได้ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ได้คายตัวของมัน พิจารณาจนมันคายตัวของมัน มันทำลายอวิชชาของมัน มันทำลายสังโยชน์ของมัน สังโยชน์เบื้องต่ำ สังโยชน์เบื้องสูง ชำระล้างเขาหมด สิ้นจากกิเลสไป

ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนหัวใจของเรา สิทธิเสรีภาพของจิตที่สามารถทำได้ทุกดวง สิทธิเสรีภาพของจิตที่จะขวนขวายได้สมบัติของเรา มันเป็นสิทธิ์ของเรา เป็นสิทธิ์ของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องขวนขวาย สิ่งมีชีวิตต้องค้นคว้า สิ่งมีชีวิตต้องประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นสมบัติของเราขึ้นมา เอวัง