เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราตั้งใจฟังธรรม เพราะวันนี้เขาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวาน วันส่งเสริมพุทธศาสนา เวลาวันวิสาขบูชาวันสำคัญทางพุทธศาสนาทางรัฐบาลเขาจัด จัดเป็นสัปดาห์เลย จัดเป็นสัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา การส่งเสริมพุทธศาสนาส่งเสริมให้คนเข้าวัดเขาวา สั่งสมให้คนใกล้ชิดศาสนา เพราะมันเป็นที่พึ่งที่อาศัยไง ถ้าใกล้ชิดศาสนานะ ถ้าผู้มีศีล ๕ ถ้ามีศีล ๕ ศีล ๕ ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่พูดปดมดเท็จ สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุข รัฐบาลปกครองก็ปกครองได้สะดวก ได้สบาย ได้ง่ายขึ้น
รัฐบาลปกครองส่วนรัฐบาลปกครอง แต่ในหัวใจของเราชาวพุทธ ถ้าในหัวใจเราชาวพุทธมีสุขหรือมีทุกข์ ถ้าเป็นสัจจะความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์นี้เป็นความจริง แต่เราไม่เคยเห็นตัวทุกข์ที่เป็นตัวทุกข์ที่แท้จริง เราเห็นวิบากของทุกข์ไง เราไปเห็นแต่อารมณ์ความรู้สึก เห็นแต่ความตกระกำลำบากของเราเป็นความทุกข์ ความทุกข์อย่างนี้มันเกิดมาจากการกระทำของเรา มีการกระทำขึ้นมามันถึงมีทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงพยายามสอนให้เราเห็นทุกข์ๆ แต่เราไม่เคยเห็นทุกข์ไง
ฉะนั้น เวลารัฐบาลเขาปกครองเขาปกครองประเทศชาติ อยากให้สามัคคีกัน อยากให้ไม่มีการกระทบกระเทือนกัน อยากให้มีความร่มเย็นเป็นสุข นั้นมันเป็นเรื่องของสังคมไง สภาคกรรม กรรมของสังคม เราเป็นชาวพุทธไง เราภูมิใจกันมาก เราภูมิใจว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราภูมิใจว่าศาสนาเรามีเหตุมีผล มีสัจจะ มีความจริง แต่เวลาในใจของเรา ในใจของเรามีความสุข มีความทุกข์มันเป็นใจของเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติท่านบอกว่าเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงในหัวใจเราเป็นความจริงแท้
ถ้าเป็นความจริงแท้ สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนาเขาก็ส่งเสริมให้คนเข้าวัดเข้าวา ส่งเสริมให้คน คือความจริงเขาจะชี้เข้าไปที่ใจว่าอย่างนั้นเถอะ ในพุทธศาสนาเขาจะสอนชี้เข้าไปที่ใจ แต่มันอ้อมไปไกลเลย ส่งเสริมพุทธศาสนาก็ต้องมาท่องมาบ่นกัน มาทำวัฒนธรรมประเพณีอ้อมไปซะไกลเลย แต่สมัยที่ครูบาอาจารย์ของเราท่านมาเป็นผู้จัดงาน สมัยหลวงปู่ฝั้นสนามหลวงระบือลือลั่น พุทโธผ่องใส พุทโธสว่างไสว สิ่งต่างๆ มันสะเทือนหัวใจ
มันสะเทือนหัวใจ ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา ท่านเทศนาว่าการบุคคลคนหนึ่งเท่านั้นแหละโลกธาตุนี้หวั่นไหว โลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย ไหวไปเพราะอะไร ไหวไปเพราะสัจธรรมของท่าน ถ้าสัจธรรมของท่าน ท่านแสดงออก สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนาเขาส่งเสริมพุทธศาสนา เขากระตุ้นให้เรามีความรู้สึก ให้เรามีการกระทำไง ถ้าเขากระตุ้นแบบนั้นนั่นเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่เราเกิดมานะ
เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาเขาสอนอย่างนี้ เขาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาไปเจอลัทธิอื่น เขาไปเจอแต่ความเชื่ออื่น ความเชื่ออื่นเขาก็มีแรงจูงใจของเขา แรงจูงใจของเขาไปทางความเชื่อของเขา แต่เรามีความเชื่อของเราอย่างนี้ไง ถ้าเรามีความเชื่อของเรา มีความศรัทธาของเรา มีความมุ่งมั่นของเรา
เรามาวัดมาวากัน เรามาวัดมาวากัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ไหน ตรัสรู้ที่โคนต้นไม้ อยู่ที่โคนต้นโพธิ์นั้น เวลาศาสนาเราเกิด เกิดมาจากในป่าในเขา เกิดมาจากสัจจะ เกิดจากความจริงไง มันมีเหตุมีผล มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก คำว่าลอยมาจากฟ้า สิ่งที่มีอำนาจวาสนานั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีไง ถ้าเป็นอำนาจวาสนาบารมีก็เสริม เสริมหัวใจคนเข้มแข็งไง
ถ้าหัวใจคนเข้มแข็งนะจะพูดสิ่งใดเขาต้องมีปัญญา เขาต้องแยกแยะว่าเขาต้องหาเหตุหาผลก่อนเขาถึงจะเชื่อ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถ้ามีปัญญาขึ้นมาในหัวใจของเรา สิ่งที่มันกระทบกระเทือนในหัวใจ มันกระทบไง สิ่งนี้มันกระทบมันส่งออก มันรับรู้ สิ่งต่างๆ มันจะจริงหรือไม่จริงมันต้องมีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา ถ้าเป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาก็เป็นแบบนี้ อำนาจวาสนาทำให้คนมีสติ คนมีปัญญา คนมีจุดยืน แต่สิ่งที่ลอยมาจากฟ้าๆ ถ้าคนทำความจริง ความจริงได้อภิญญา คนที่มีอภิญญาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านมีอภิญญาของท่าน ท่านทดสอบของท่าน ทดสอบของท่าน
ทุกคนถ้าเราไม่เคยได้สัมผัสเราก็อยากจะรู้ว่ามันมีจริงหรือเปล่า คนที่ทำจากหัวใจแล้ว ถ้าทดสอบแล้วว่ามันเป็นจริง มันเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมาเพราะเหตุใด เป็นจริงขึ้นมาเพราะกำลังของใจๆ กำลังของใจ ดูสิเวลาคนเขาเล่นไพ่ เล่นการพนันกัน เวลาคนไฟไหม้บ้านทำไมเขามีกำลังของเขา เขายกของๆ เขา คนที่หนีการเล่นพนันเขาโดดขึ้นตึก เขาโดดลงจากตึก เขาข้ามสิ่งกีดขวางอะไรแปลกๆ มหัศจรรย์ได้หมดเลย เพราะอะไร
ดูสิเวลามันกระตุ้น ใจมันกระตุ้นนั่นพูดถึงทางวิทยาศาสตร์นะ แต่พอจิตมันสงบเข้าไป จิตสงบแล้วมันมีความรู้ ความเห็นต่างๆ ความรู้ ความเห็นนั้นถ้ามันเจือไปด้วยอวิชชา ครูบาอาจารย์ของเราท่านเจือด้วยอวิชชาเราต้องมีสติ มีปัญญา เราต้องปล่อยต้องวาง ต้องแยกต้องแยะ เพราะเวลาดำริชอบ ความชอบธรรมของเรามันมีความชอบธรรม ดำริขึ้นมาแล้วถ้ามันไม่ชอบธรรม มันไม่ชอบธรรมก็มีสมุทัย มีตัณหาความทะยานอยาก มันจริตนิสัย แม้แต่อาหารในสำรับเดียวกัน คนก็พอใจและคนไม่พอใจแตกต่างกันไป
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอริยสัจมีหนึ่งเดียว แต่คนประพฤติปฏิบัติก็ตามแต่จริตนิสัยของเขา ถ้าจริตนิสัยของเขา ทำสิ่งใดแล้วเป็นประโยชน์ เป็นความสำเร็จของเขา ต้องเป็นความสำเร็จความเป็นจริงนะ ไม่ใช่ความสำเร็จเพราะความเชื่อของเขา ความเชื่อของเขา ความคาดหมายของเขา ทีนี้การกระทำไปมันต้องมีแบบนั้น เพราะธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของความรับรู้สึก ถ้ามันยังไม่เข้าใจ มันไม่รู้ของมัน มันก็ต้องมีการแยกแยะของมัน มีการทดสอบของมัน แต่ต้องมีสติปัญญาไง
ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเขาจะมีจุดยืนของเขา เขาจะทดสอบของเขา ทำซ้ำทำซาก ทดสอบซ้ำ การกระทำซ้ำ ปฏิบัติซ้ำเพื่อให้เป็นความจริงขึ้นมาไง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาทดสอบขนาดไหนมันก็คงที่ไง แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงทดสอบแล้วมันเปลี่ยนแปลง พอมันเปลี่ยนแปลง เอ๊ะ ทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมมันเป็นแบบนี้ เราทดสอบของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ส่งเสริมพุทธศาสนาเขาส่งเสริมกันด้วยวัตถุ ส่งเสริมกันไปด้วยขึ้นมาให้คนมีสำนึกขึ้นมาให้เกี่ยวกับพุทธศาสนา
เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธ พุทธะผู้สว่างไสว ถ้าเราเข้ามาในหัวใจของเราไง เราจะส่งเสริมเราส่งเสริมที่ความรู้สึกของเราไง ถ้าความรู้สึกของเราเราเข้าถึง เราเข้าถึงของเรา เราเข้าถึง เรายืนอยู่ที่ไหนเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติ ถ้าจิตสงบเข้ามาเราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตสงบนะ จิตสงบมีความสุขขนาดไหน เวลาออกฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาปัญญาขึ้นมาระหว่างธรรมะกับมาร สัจธรรม อริยสัจมันเกิดขึ้นเราจะเห็นสัจจะ เห็นความจริง มันเป็นความมหัศจรรย์
ดูสิเราไปวัดไปวาขึ้นมา ทางวัฒนธรรมประเพณีของเขา เวลาเขาเขียนปฏิจจสมุปบาท พญามาร แบ่งเป็นวรรคเป็นตอนขึ้นไป นั่นมันทางวิชาการ ทางวิชาการมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทางวิชาการเกิดขึ้นมาได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ พอเทศนาว่าการไว้เราก็ทำทางวิชาการ วิชาการกับความจริง เวลาเราทำความสงบของใจเข้าไป ใจเราสงบแล้ว เวลาเราไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นกาย กายนี้เป็นธาตุ มันมีกิเลสได้อย่างไร เวทนา เวทนา สุข ทุกข์เวทนามันเป็นกิเลสได้อย่างไร จิตมันผ่องใส จิตมันเศร้าหมองเป็นประโยชน์ได้อย่างไร ธรรมารมณ์ๆ อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นกิเลสได้อย่างไร
มันเป็นกิเลสนะ เราเข้าไปดูสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เพื่อเหตุใด เข้าไปดูเพื่อค้นคว้าหาสัจจะ หาความจริง หาสัจจะความจริง เพราะความจริงกับความจอมปลอม จอมปลอมกิเลสมันทำให้จอมปลอม กิเลสมันทำให้ยึดมั่นถือมั่น กิเลสมันจะบอกว่าเป็นของเรา ต้องประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดต้องเป็นของเรา แต่เวลาสัจธรรมความจริงขึ้นมา โดยเป็นธรรมขึ้นมา กาย เวทนา จิต ธรรมมันเป็นธาตุ มันเป็นสิ่งที่สถานะที่มันมีของมันอยู่ แต่เวลากิเลสที่มันยุมันแหย่ กิเลสที่มันปลิ้นมันปล้อน มันเอาสิ่งนี้มา ดูสิกายก็ของเรา เจ็บไข้ได้ป่วยจะเป็นจะตาย
เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อ้าวป่วยเอ็งก็ป่วยไปนะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะสะเทือนใจมาก เวลาท่านมีชีวิตอยู่ เวลาท่านเจ็บหัวเข่า หัวเข่าเอ็งจะเจ็บก็เจ็บไปนะข้าจะเทศน์ว่ะ ดูสิ คนเราถ้ามีความรู้สึก มีความเจ็บปวดอยู่นะจิตใจมันก็รับรู้อย่างนั้นใช่ไหม จะมาเทศนาว่าการอะไร เทศนาว่าการมันก็เป็นธรรมที่มันผุดออกมาจากใจ ความรู้สึกอันนี้ออกมา แล้วใจมันก็ไปรับรู้ความเจ็บปวดอันนั้น บอกว่าความเจ็บปวดเอ็งอยู่นั่นนะ ข้าจะเทศน์ว่ะ
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านวางของท่านได้ ท่านเข้าใจของท่านได้ ถ้าเข้าใจของท่านได้ก็ดับไฟ ดับไฟก็ดับไฟกิเลส กิเลสมันดับไป แต่ความเจ็บความปวดก็ยังมีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะอะไร เพราะมันมีร่างกายมันมีธาตุของมัน มันมีความรู้สึกของมัน ความรู้สึกก็คือความรู้สึก แต่ความรู้สึกที่เจือไปด้วยกิเลสทำให้เรายุ่งเรายากกันอยู่ ถ้าความรู้สึกนั้น ความรู้สึกนั้น ดูสิธรรมะสัจธรรมที่เราปฏิบัติกัน เราทำความสงบของใจเข้ามา เราเกิดปัญญาญาณขึ้นมา เราแยกเราแยะขึ้นมา พิจารณาของมันขึ้นไป
เวลากายมันแปรสภาพของมันไป มันเป็นไตรลักษณ์ดูมันแปรสภาพไป แปรสภาพแล้วมันเหลืออะไร ถ้าเวทนา เวทนาเวลามันสุข เวลามันพอใจ เวลามันทุกข์มันไม่พอใจ เวลามันเฉยๆ อยู่ก็ไม่รู้จักมันอีก บอกอุเบกขานี้เป็นธรรม อุเบกขาเป็นธรรม พิจารณาแยกแยะมันไปมันไม่มีสิ่งใดเลย ดูสิสิ่งใดมันก็ดับหมด ดับหมดก็ว่างหมดเลย มันก็ปล่อยวางหมด ปล่อยวางด้วยปัญญา พิจารณาจิต จิตมันเศร้าหมอง จิตมันผ่องใส จิตมันเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา ไอ้ตัวจิตเพราะมีมันมันถึงได้ทุกข์ได้ยากอยู่อย่างนี้ พิจารณาซ้ำพิจารณาซากขึ้นมา ทำลายตัวมัน ทำลายตัวมัน
เวลาธรรมารมณ์ อารมณ์ที่เกิดขึ้นพิจารณาไป กาย เวทนา จิต ธรรม อริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ กลั่นออกมาจากอริยสัจกลั่นออกมาอย่างไรล่ะ แล้วกิเลสมันเป็นอย่างไรล่ะ กิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ บอกว่าผ่านเวทนา ผ่านกาย คำว่าผ่านมันเป็นคำสบถของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านคุยกันท่านเข้าใจกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํไง เราไปได้ยินมา ผ่านกายขึ้นมาเราก็เดินผ่านศาลานั่งอยู่เป็นร้อยเป็นพัน กูเดินผ่านไปแล้วกูก็ผ่านกาย อย่างนั้นถ้าผ่านคนหนึ่งก็ได้โสดาบัน ผ่านพันคนก็เป็นพันโสดาบันน่ะสิ
ผ่านโดยความรู้สึกของเราไง ผ่านกายก็เดินผ่านไง ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ คำว่าผ่านเขามีความหมายของเขา เขามีความเข้าใจของเขา เขาพิจารณาของเขา เขารู้ของเขาได้ไง ไอ้เราไม่รู้ เราไม่รู้เอาศัพท์นั้นมาใช้ เอาศัพท์มาใช้ก็มาอ้างอิงกัน ไอ้คนฟัง ไอ้คนฟังด้วยความซื่อไง ไอ้เราเป็นคนตรง ครูบาอาจารย์ของเราท่านผ่านกายเป็นโสดาบัน พอบอกว่าผ่านกาย เอ๊ะ เป็นโสดาบันหรือ ก็เราเป็นคนซื่อ ครูบาอาจารย์ท่านมีความหมายเพราะท่านผ่านกายแล้วเป็นโสดาบันใช่ไหม ไอ้พวกที่ภาวนามันก็ว่าหนูผ่านกายแล้ว หนูผ่านกายแล้ว เอ๊อะ เอ๊อะ
ไปเอาความหมายมาพูดไง แต่มันมีข้อเท็จจริงไหม ถ้ามีข้อเท็จจริงจิตเขาต้องสงบ จิตเขาสงบเพราะอะไร เพราะจิตเขาเวียนว่ายตายเกิด จิตนี้เวลามันคิดมันฟุ้งมันซ่านมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่นี้ มันทำให้เราทุกข์อยู่นี้ ที่มันทุกข์มันยากอยู่เพราะกิเลสอวิชชา ตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำมันอยู่นี้ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบได้ มันปล่อยวางได้มันจะมีความสุขของมันขนาดไหน แล้วจิตนี้ยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตนี้ถ้าไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริงมันจะวิปัสสนาไม่ได้ ถ้ามันวิปัสสนาไปมันเป็นจินตมยปัญญา ปัญญาจินตนาการ
ดูสิผ่านกาย หนูก็ผ่านกายมา หนูเข้าวัดมาหนูผ่านคนนั่งอยู่เต็มไปหมดเลย หนูผ่านกายคนอื่นมาเยอะแยะเลย แล้วกายหนูหนูไม่เห็น หนูไม่รู้จัก แต่ว่าผ่านกายๆ ไอ้พวกเรามันคนซื่อ พอคนซื่อก็ผ่านกาย เพราะเราเชื่อมั่นครูบาอาจารย์ของเราไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกคนนี้ผ่านกายแล้วนะ เขาได้โสดาบันแล้วนะ ไอ้เราก็ผ่านกาย มันผ่านอย่างไรล่ะ หนูผ่านกายมาแล้วนะ ไอ้เราก็ซื่อ เราก็เชื่อเขา แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ส่งเสริมพุทธศาสนา ส่งเสริมความจริง ส่งเสริมอริยสัจ ส่งเสริมสัจจะ สัจจะที่มันเกิดขึ้น สัจจะอันนั้นเป็นสัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้วันวิสาขบูชา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้อันนั้นมันพิจารณาเข้าไป มันเข้าไปทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมและวินัยนี้ไว้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ ขนสัตว์เพราะอะไร เพราะท่านได้รื้อหัวใจของท่านก่อน หัวใจดวงนี้ได้รื้อ ได้ทำลาย ได้สำรอก ได้คายมันออกแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร แสดงสัจธรรมขึ้นมา
ไอ้เราก็ไปจำมา แล้วเราทำไปมันก็เป็นจินตนาการ มันเห็นอย่างนั้นจริงๆ เห็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เห็นโดยกิเลสมันสร้างภาพ พอบอกว่าคนสร้างภาพ เราเห็นคนสร้างภาพเราก็รู้ว่าถ้าเพื่อนเราสร้างภาพเราต้องระวังเนาะ มันพูดอะไรเราไว้ใจไม่ได้ เพราะมันสร้างภาพตลอด แต่เวลาจิตสร้างภาพเราไม่รู้ตัว สัจธรรมมันมี ถ้าการสร้างภาพนะ ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าปฏิบัติซ้ำ ถ้าปฏิบัติซ้ำ การสร้างภาพนั้นมันจะสร้างภาพซ้ำอย่างเก่าได้ไหม ถ้ามันจะสร้างภาพซ้ำ ปฏิบัติซ้ำ ปฏิบัติซ้ำ ถ้าปฏิบัติซ้ำมันจะเห็นความบกพร่องทันทีเลย มันจะสร้างไม่ได้อย่างนั้น
ดูสิทางการวัตถุ ปฏิบัติซ้ำมันยังไม่ได้เหมือนเก่า มันยังเหมือนกันไม่ได้ มันเป็นคนละชิ้นกัน ปฏิบัติซ้ำๆ ความรู้รอบปฏิบัติซ้ำ ทำซ้ำๆ ไงทำซ้ำขึ้นไป แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันก็ต้องเป็นความจริง ความจริงเป็นความจริง ความจริงเป็นหนึ่งเดียว แล้วความจริงกับความจริงขัดกันไม่ได้ ความจริงกับความจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน มันจะส่งมันจะเสริมกันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป
ถ้าเราส่งเสริมพุทธศาสนา ใช่สังคมเป็นแบบนั้น ถ้าไม่มีโลกไม่มีสังคมเลยโลกเขาอยู่กันอย่างไร ดูสิเด็กเกิดใหม่ขึ้นมาสังคมมันมีคนใหม่เข้ามาตลอดเวลา สังคมเป็นอย่างนั้น แต่จิตใจเราจะโตขึ้นไหม จิตใจถ้าเราโตขึ้นเราเห็นเราก็ส่งเสริมเขา เราก็ชื่นใจกับเขา แต่เราจะจมปลักอยู่อย่างนั้นหรือ หัวใจจะจมปลักอยู่อย่างนั้นใช่ไหม ดูสิเราซื้อของมา ดูสิบรรจุภัณฑ์เราต้องแกะทิ้ง ดูสิกล้วยเขาต้องปอกเปลือกทิ้ง ซื้อกล้วยมา ซื้อทุเรียนมา หาบหามมา เปลือกมันไม่กินเข้าไปล่ะ ปอกเปลือกแล้วเอาเปลือกไปทิ้ง เขากินแต่เนื้อมัน มันเปลือกทุเรียนเขาไม่เอาไปกิน เว้นไว้แต่อุตสาหกรรมเขาคิดวิจัยได้เขาจะซื้อ เขาเอาไปทำวิจัยของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เราจะจมปลักอยู่อย่างนั้นไหม แต่ทุเรียนถ้ามันออกมาไม่มีเปลือกมันก็เป็นทุเรียนมาไม่ได้ ดูสิกล้วยแต่ละเครือมันก็มีเปลือกของมันทั้งนั้นแหละ มันมีเปลือกกล้วยมาทั้งนั้นแหละ มันก็รักษาเนื้อกล้วยนั้นมา เนื้อกล้วยนั้นมาถึงเรา เราซื้อมาเราจะกินเราก็ต้องปอกเปลือกนั้นทิ้งเราถึงกินกล้วยนั้น นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาๆ ใช่ส่งเสริมพุทธศาสนาเราก็เห็นด้วย วัฒนธรรมประเพณีเราเห็นด้วยทั้งนั้นแหละ แต่เราต้องมีความเข้าใจ แล้วใจเราล่ะ ความจริงล่ะ ความจริงที่เราต้องการแสวงหาอยู่นี้ ความจริงล่ะ ความจริงล่ะ
เราพูดกันอยู่ทุกวัน ทุกคนอยากได้ของแท้ ทุกคนอยากได้ของจริง แล้วหัวใจมันจอมปลอมไหม ถ้าหัวใจมันจอมปลอมเราจะแยกแยะอย่างไร แต่การส่งเสริมอย่างนั้นเราก็ส่งเสริมเพื่อวัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริม เวลาเข้ามาเพื่อสังคม เพื่อความมั่นคงของศาสนา เรารู้เราเห็นของเราได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราล่ะ เขาเรียกว่าใจที่สูงกว่าจะดึงใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา ดูสิผู้นำที่ท่านเป็นธรรม ท่านเห็นเรื่องนี้มันเหมือนกับการตลาด เหมือนตลาด พอตลาดวายไม่มีคนสักคน เวลาตลาดมันดีคนเต็มเลย
นี่ก็เหมือนกัน ไปจัดการขึ้นมา พยายามส่งเสริมให้ชุมชนขึ้นมา แล้วผู้นำเขาก็รู้ เขาก็ต้องมาเป็นประธาน เขาก็ต้องมามอบของที่ระลึก เขาขำๆ แต่เขาก็ทำเพราะเขารู้ แล้วเราล่ะ แล้วเราล่ะ เราก็รู้ ถ้าจิตใจมันสูงส่ง จิตใจมันดีงามเราก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราก็ส่งเสริมเขา แต่หัวใจของเราต้องมีสติ สิ่งใดที่เป็นความพะรุงพะรังกับหัวใจมันจะทำให้จิตใจขุ่นมัว จะทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง เราจะดูแลมันอย่างไรเราต้องมีสติ เราต้องมีคำบริกรรม เราต้องดูแลรักษา
ถ้ามันผ่องแผ้วนะ เวลาจิตมันสงบแล้วมันสว่างไสว มันผ่องใส มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ใครรู้กับเราล่ะ แล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญานะ แล้วมันเกิดมาได้เพราะอะไรล่ะ มันเกิดได้เพราะมีปฏิสนธิจิต ตัวจิตนี้ตัวพลังงาน เวลาเล่นการพนันตำรวจมาจับ วิ่งหนีมันโดดขึ้นไปนั่นเพราะความตกใจ แต่ถ้าจิตมันสงบ พุทโธ พุทโธเข้าไปสงบ มันสงบด้วยตัวมันเอง ด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา เราจะเห็นความจริงแท้ในใจของเรา แล้วมันรักษายากเพราะเป็นนามธรรม
มันรวดเร็วมาก แต่สติปัญญาก็เท่าทัน เพราะมันมีสติ มหาสติ สติที่ใหญ่โตขึ้น ระลึกขึ้น แล้วมันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากการมุมานะ เกิดจากการกระทำ เกิดจากการฝึกฝน แล้วฝึกฝนอย่างนี้มันจะเป็นสัจจะ เป็นความจริง ในทางพระเราเขาเรียกว่าอัตตสมบัติ สมบัติเฉพาะใจ ใครมีอัตตสมบัติอย่างนี้มีสมบัติในหัวใจ เราแสวงหาสมบัติภายนอกกัน แต่สมบัติในหัวใจของเรา หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ที่มันเรียกร้องความช่วยเหลืออยู่เราไม่รู้จักมัน ถ้าใครรู้จัก ใครรักษา
ครูบาอาจารย์ของเราท่านหลีกเร้น ท่านอยู่ในป่าในเขา เราก็ เอ๊ะ ท่านทำไมทำอย่างนั้นล่ะ เพราะท่านเห็นสมบัติอันนี้ ท่านพยายามรักษาอันนี้ไง ท่านรักษาสมบัติภายในของท่าน ท่านไม่มาคลุกเคล้ากับพวกเรา ไอ้เราก็ว่าท่านมีความสุขได้อย่างไร ท่านทำอย่างไร นั่นล่ะท่านมีความสุขของท่าน แล้วเราทำความจริงของเรา ถ้าทำความจริงของเราให้ไปประสบพบเจอแล้วเราจะเข้าใจ ตอนนี้เรายังไม่เข้าใจก็งงๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริงท่านเป็นจริงอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นจริงท่านไม่พูด ไอ้คนที่พูดปาวๆ อวดเขา อันนั้นมันจะล้วงกระเป๋า อันนั้นมันจะเอาตับเอาปอด
ตับปอดมันอยู่ในใจเราไปให้เขาได้อย่างไร หัวใจอยู่กลางหัวอก ความเชื่อของเรา เราไปยกให้คนอื่นได้อย่างไร หัวใจต้องอยู่ในร่างกายนี้สิ ทำไมเอาหัวใจไปฝากคนอื่นไว้ หัวใจต้องอยู่ในร่างกายนี้ ทำสิ่งใดต้องใช้สติ ใช้ปัญญา กาลามสูตรยังไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ถ้าเชื่อ เชื่อแต่ความจริงที่เกิดขึ้น เชื่อที่เวลาพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ถ้ามันไม่เกิดขึ้น นั้นแสดงว่าเรายังทำไม่ถึงที่สุด
อำนาจวาสนาเรามีแต่เราไม่เอาออกมาใช้ มีดอยู่ฝักใช้สิ่งใดไม่ได้เลย มีดต้องชักมันออกมา เราจะใช้มีดต้องชักออกมาจากฝัก แล้วเราใช้ประโยชน์มันได้ หัวใจอยู่กับเรา ของดีอยู่ในร่างกายนี้แต่ไม่มีใครเอาออกมาใช้ เราต้องส่งเสริมพุทธศาสนา ส่งเสริมหัวใจของเรา ส่งเสริมไอ้มีดเล่มนี้ให้มันคมกล้า ให้มันมีสติปัญญา ให้มันเอาตัวมันรอด เอวัง
y