เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมๆ เขาบอกว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม คุณงามความดี บาปอกุศลมีอยู่โดยดั้งเดิม มันมีปฏิสนธิจิตการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่สร้างสมมาอันนั้น คุณงามความดีนั้นมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่มีอยู่โดยดั้งเดิม สัจธรรมๆ หัวใจมันต้องเข้าไปสัมผัส มันต้องเข้าไปมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมาในใจมันถึงจะเป็นสัจธรรมความจริงไง

แต่เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรม การฟังธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํไง ถ้ามันเป็นมงคลชีวิต เป็นมงคลชีวิตนะ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมันตอกย้ำในหัวใจเรา คนเราเกิดมานะอายุแค่ ๒๕ พออายุ ๒๕ สูงสุดของการเจริญเติบโต ต่อไปมีแต่การเสื่อมสภาพทั้งนั้น ถ้าความเสื่อมสภาพอันนั้นไปเราพยายามรั้งไว้เพื่อให้มันเสื่อมสภาพช้าที่สุด ถ้าเสื่อมสภาพช้าที่สุดไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อให้เราอยู่ได้ด้วยพอสมควร

สูงสุด ๒๕, ๓๐ หมดแล้ว การเติบโตสูงสุดของชีวิต นอกนั้นมีแต่เสื่อมสภาพไปๆ แต่ แต่เวลาประสบการณ์ของชีวิต อายุ ๔๐, ๕๐ นั่นล่ะถึงจะเข้มข้น ๖๐, ๗๐ ไปคนแก่เรียน ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิตไง ถ้าประสบการณ์ชีวิต สิ่งในชีวิตขึ้นมา ชีวิต ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันพลัดพรากแน่นอน แต่การพลัดพรากเราก็ยังห่วง จับต้นชนปลายไม่ได้ก็ยังห่วงชีวิตประจำวันของเราอยู่

ชีวิตประจำวันก็เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าปัจจุบันนี้สุคโต ในปัจจุบันนี้เราทำหัวใจของเราให้ผ่องแผ้ว เราทำหัวใจของเราให้เบิกบาน พรุ่งนี้มันก็เบิกบานไปเรื่อย ถ้าปัจจุบันมันดี อนาคตมันดีแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าปัจจุบัน ปัจจุบันสุคโตๆ ถ้าปัจจุบันมันเบียดเบียนตนเองอยู่ๆ แล้วตอนนี้ถ้ามันสุคโตฟังธรรมแล้วมีสติปัญญาขึ้นมาเราทำจิตใจเราให้ผ่องแผ้วได้ แต่ถ้าสติเราเจือจางลง กิเลสมันข่มขี่ทันที กิเลสในหัวใจของเรามันข่มขี่ทันที

พอกิเลสในหัวใจข่มขี่เพราะอะไร เพราะธรรมชาติของมันไง อวิชชา พญามารมันอาศัยหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่อาศัย เป็นที่อาศัยนะแล้วมันก็ยุแหย่ ยุแหย่นั่นคือผลงานของมัน ยุแหย่เราให้ทำสิ่งใดให้มันพอใจ พอมันพอใจแล้ว มันสมอารมณ์นั้นแล้วมันก็คิดใหม่ทำใหม่อยู่อย่างนั้นแหละ อยู่อย่างนั้นแหละ แต่เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เราเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน การกำเนิด ๔ กำเนิด ๔ เกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นมนุษย์

การกำเนิด ๔ กำเนิด ๔ ต้องมีอาหาร ๔ มันมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เวลาพระบวชมาบริขาร ๘ บริขาร ๘ คือปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอกและโลกใน โลกนอกคือโลกของวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหม เวลาพรหมเขาผัสสาหาร เวลาเทวดาเขาวิญญาณาหาร มนุษย์เรากวฬิงกวราหาร เวลาผู้ที่มีคุณธรรมจิตใจหลุดพ้นออกไปแล้ว มโนเจตนาหาร เพราะมีมโน เพราะมีมโนปฏิสนธิจิต เพราะมีปฏิสนธิจิตมันถึงสื่อสารกันได้ ถ้ามีมโนมันเข้าใจกันได้ มันสื่อสารกันได้ไง มโนเจตนาหาร สิ่งที่สื่อสารกัน

เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เรามีปากมีท้องเหมือนกัน ถ้ามีปากมีท้องเหมือนกัน การขวนขวายหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อดำรงชีวิต เพราะชีวิตมีค่า เพราะชีวิตมีค่าเราต้องหาปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ ดำรงชีวิตนี้ไว้ วันนี้ในเมื่อโลกยังไม่เจริญ เรายังไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้ ถ้าพรุ่งนี้โลกเจริญ รักษาชีวิตนี้ไว้พรุ่งนี้ไง ถ้าพรุ่งนี้โลกเจริญขึ้นมา โลกเขามีเทคโนโลยีขึ้นมาเราทำสิ่งใดเราจะมีประโยชน์ของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เรารักษาชีวิตของเรานะ หนึ่งวันสืบต่อเนื่องๆ หนึ่งวัน วันนี้ปฏิบัติ พรุ่งนี้ปฏิบัติ วันต่อไปนะพยายามขวนขวายๆ ไง รักษาชีวิตไว้เพื่อขวนขวายหาสัจจะความจริงในใจนี้ไง ถ้าหาสัจจะความจริงในใจ ดูสิ ทางโลกขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เขารอวันนัดหมาย แต่ของเราเราดำรงชีวิตนี้ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา

วันพระๆ ผู้ประเสริฐไง ถ้าประเสริฐ ใช่ ใครบ้านใหญ่บ้านน้อยสิ่งนั้นมันเป็นสังคมโลก สังคมโลกใครมีสถานะมากน้อยแค่ไหนนั่นเป็นสังคมโลก แต่ความสุข ความทุกข์ในใจมันเสมอกัน มันเท่ากันทั้งนั้นแหละ แม้แต่คนจนยิ่งมีความสุขมากกว่าคนร่ำรวย เพราะคนร่ำรวยต้องดูแลรักษา เป็นความทุกข์ เป็นภาระอาบเหงื่อต่างน้ำทั้งนั้นแหละ แต่เราคนทุกข์คนจน คนทุกข์คนจนถ้าเรามีสติปัญญา ก็มีเหมือนกัน

เรามีสติมีปัญญาเหมือนกัน เรามีชีวิตเหมือนกัน เรามีโอกาสเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสเหมือนกันเราทำของเราด้วยความเป็นจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเราทำเพื่อสัจจะอันนี้ๆ ถ้าสัจจะอันนี้ ถ้าเรามีสติปัญญาอย่างนี้มันเสมอกันไง มันมีปัญญามากกว่าไง มีปัญญามากกว่าก็มีความสุขมากกว่าไง ถ้ามีความสุขมากกว่า ความสุข สุขเกิดจากสติปัญญาที่เป็นโลกียปัญญา แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เพราะเรามีสติมีปัญญาเราถึงมีความเพียร เราถึงมีความวิริยะอุตสาหะ เราจะเดินจงกรมก็ได้ นั่งสมาธิ ภาวนาก็ได้

การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนามันเป็นงานอันหนึ่งนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิธีการทั้งหมด เป็นงานทั้งหมด เวลาทำเข้าไปแล้วผลของมัน ผลของมันเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้สิ่งใด บอกว่ามันเป็นวิมุตติสุข มันเป็นความสุข ความสุขเหนือโลก แล้วสุขอย่างไรล่ะ

นี่ไงสิ่งที่เราศึกษาๆ มันเป็นวิธีการทั้งนั้น มันเป็นงานทั้งนั้นแหละ แล้วเวลาทำงานๆ ว่าง ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ไอ้พวกที่ทำพวกนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่ความเป็นจริงการกระทำอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้นดูสิ เราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันปล่อย พอจิตมันปล่อย มันทำจนจิตมันปล่อย ตัวจิตมันปล่อย มันปล่อยสัญญาอารมณ์ มันปล่อยขันธ์เข้ามาเป็นอิสระ พอปล่อยเป็นอิสระมันถึงมีองค์ความรู้ มันถึงมีปัจจัตตัง มีสันทิฏฐิโก มีความรู้จริง มีความรู้จริงมันมีความสุขจริง มีความสุขจริงเป็นอิสระจริง มันเป็นความจริงๆ ทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้ามันเป็นสัญญา เป็นการศึกษาเราคิดเอา เราสร้างความเสมือนจริง สร้างอารมณ์อย่างนั้น สร้างอารมณ์จิตอันหนึ่ง สร้างอารมณ์อันหนึ่งมันไม่ใช่จิต เราไปสร้างข้างนอกเพราะโดยสัญชาตญาณของจิตมันส่งออกๆ หมดแหละ ถ้าเราศึกษาอย่างนั้น เราทำอย่างนั้นมันก็เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ไง แล้วอวิชชามันอยู่ที่จิต อวิชชามันก็หมอบอยู่ในหัวใจ มันหลอกลวง มันหลอกลวงให้เราส่งออกไปอยู่ข้างนอก มันอยู่ข้างหลังเรา มันอยู่สุขอยู่สบายเลย งานของมัน

ถ้าเราศึกษา เรามีอำนาจวาสนา วิธีการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้เป็นวิธีการ วิธีการเราพยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามทำความจริงขึ้นมา ถ้าเรามีสติปัญญาเราจะจับเสือ เราพยายามจะเข้าถ้ำเสือ เราจะจับอวิชชา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราจะต้องทำความสงบของใจของเราเข้าไปหาสู่ใจของเรา ถ้าเข้าสู่ใจของเรา เราไปค้นคว้าในใจของเรา ถ้าค้นคว้าใจของเรานะมันจะแย้มหน้ากิเลสไง ขอดูหน้าหน่อยๆ

ถ้าจิตสงบเข้าไปไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าจิตมันสงบนะมันสะเทือนหัวใจมาก ขนพองสยองเกล้า แต่ในปัจจุบันนี้กาย อ๋อ ก็จินตนาการกัน อ๋อ เวทนา เวทนาก็เจ็บปวดอยู่นี่ไง ถ้าจิต จิตก็ความรู้สึก ความคิดเป็นจิตไง ถ้าธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็อารมณ์ความรู้สึกนี้ไง มันเป็นเปลือกๆ

ฉะนั้น โดยธรรมชาติคนไปตลาดซื้อผลไม้มันจะมีเปลือกมาด้วย แต่เวลาถึงบ้านแล้ว เวลาเราจะกินเราต้องปอกเปลือกทิ้ง แต่เปลือกนั้นมีคุณสมบัติให้ผลไม้นั้นอยู่ได้ มันมีคุณสมบัติที่ยังไม่เน่าเสีย จิตก็เหมือนกันมันมีสัญญาอารมณ์ๆ ถ้าสัญญาอารมณ์เป็นความจริงๆ นะ พรหมเขามีขันธ์เดียว พรหมมีผัสสาหาร เขามีขันธ์เดียว ไปเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นพรหมก็มีขันธ์ ๑ เกิดเป็นเทวดาขันธ์ ๔ เกิดเป็นมนุษย์มีขันธ์ ๕ ขันธ์คือ มันถึงว่าสถานะของวัฏฏะมันยังแตกต่างกันเลย

ทีนี้พอจิตมันสงบเข้ามา ดูสิ คนทำสมาธิได้ ฌานสมาบัติถ้าเขาชำนาญของเขา เขาคล่องตัวของเขา เวลาเขาตายจิตใจเขาไม่ส่ง เขาไม่สั่นไหวไง เวลาคนเราประพฤติปฏิบัติมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ เวลามีสิ่งใดกระทบมันส่งออกหมดแหละ แต่ถ้าเขามีความสงบของเขา สิ่งใดที่กระทบกระเทือน เวลามันจะตายสิ่งนั้นอยู่ข้างนอก เขาอยู่กับความรู้จริงของเขา เขาตายไปเขาเกิดเป็นพรหม คนทำสมาธิได้ คนทำหลักการได้ เวลาเกิดเขาเกิดเป็นพรหม แต่ของเราเราทำบุญกุศลๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเรามีบุญกุศลก็เกิดเป็นพรหมได้ เกิดเป็นเทวดาก็บุญกุศล อามิสพาให้เกิด ถ้าเรามีมนุษย์สมบัติ มีศีล ๕ มีมนุษย์สมบัติ มีคุณงามความดีก็มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ในปัจจุบันนี้อารมณ์ที่มันเกิดทุกข์อารมณ์ อารมณ์ความคิดเขาเรียกภพชาติหนึ่ง ภพชาติของการปฏิบัติ ภพชาติของความรู้สึก ไม่ใช่ภพชาติของสถานะของวัฏฏะ ภพชาติมันละเอียดซับซ้อนเข้าไป ดูสิ อายตนะอย่างหยาบ อายตนะอย่างกลาง อายตนะอย่างละเอียด

อายตนะคือสิ่งสื่อสารที่กระทบกันนะ อายตนะภายในกระทบอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก มีจิตรับรู้ๆ ถ้าจิตรับรู้ขึ้นมามันก็เป็นของมัน นี่พูดถึงแนวทางปฏิบัติ แนวทางปฏิบัติคือแก่นสาร คืออริยสัจ สัจจะความจริง แต่ถ้าพูดถึงผลของในพระพุทธศาสนา พูดถึงทาน พูดถึงศีล พูดถึงภาวนา ถ้าระดับของทาน ทานก็บุญกุศล บุญกุศลคือมีความเสียสละ มีบุญ มีความเข้าใจกัน มีความโอบอ้อมอารีนั่นมันก็เป็นบุญ

ถ้าเป็นบุญ ระดับของทานมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ระดับของศีล ผู้ทรงศีลๆ เขาต้องการความสงบระงับของเขา เพื่อความสุขสงบระงับผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เกิดสมาธิ เกิดสัจจะความจริงขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ถ้าเราเป็นพระ ถ้าพระไม่ทรงธรรมทรงวินัยใครจะทรง ถ้าพระทำศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ใครจะทำ ถ้าพระเราประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาเรายังเอาความจริงไม่ได้

คนที่เอาความจริงไม่ได้ คนที่ไม่รู้จริง เวลาพูดไปมันก็พูดโดยสัญญา คนที่ไม่รู้จริงเวลาสั่งสอนเอาอะไรไปสั่งสอน คนที่ไม่รู้จริงเวลาเขาติดขัดขึ้นมา เวลาเขาให้แก้ปัญหาเขาจะแก้อย่างไร แต่ถ้าคนรู้จริง คนรู้จริงมันได้สัมผัสมา มันได้แก้ไขตัวเองมา ถ้าไม่ได้แก้ไขของมันจะรู้จริงไม่ได้ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่นะมันข่มขี่ใจทุกๆ ดวง แล้วถ้าเราไม่ได้แก้ไขมา มันถึงได้เห็นไงว่าถ้ามันเป็นสมาธิมันเป็นสมาธิอย่างใด แล้วถ้าเป็นสมาธิมันจะพูดออกมาโดยภาษายากเลยล่ะ แต่ถ้าคนรู้จริงนะ แต่คนไม่รู้จริงก็ว่ากันไป ว่าไปก็เป็นตรรกะ เป็นตรรกะเป็นจินตนาการของเขา

อันนั้นเป็นเรื่องของทฤษฎี ธรรมและวินัย ธรรมและวินัยมันเป็นปูนหมายป้ายทาง มันเป็นช่องทางที่เราจะประพฤติปฏิบัติ ทฤษฎีเขาเรียนไว้ เรียนไว้เพื่อปฏิบัติ พอปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ทฤษฎีกับปฏิบัติเราเข้าใจได้ คนที่ได้ทั้งทฤษฎีด้วย คนที่ได้ภาคปฏิบัติด้วย เวลาอธิบายขึ้นมามันก็อธิบายได้ชัดเจน อธิบายได้ชัดเจน ชัดเจนด้วย แล้วมีแนวทาง แนวทางชักนำว่าอันนี้ถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ เหมือนสารเคมี สารเคมีที่เวลาผสมกันมันทำปฏิกิริยาต่อกัน

จิตก็เหมือนกัน จิตก็เหมือนกันเพราะมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เวลามันทำปฏิกิริยาต่อกัน ผลของมัน ผลของมันที่เขารู้ ที่เขารู้มันจะเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะคุยธรรมะกันได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นเวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาหลวงตาท่านคุยกับครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ให้พูดให้หมดเปลือกเลย ให้พูดได้เต็มที่เลย ให้พูดในสิ่งที่เป็น แล้วบอกว่าสมาธิคนรู้จริงพูดไม่ได้ เวลาธรรมะคนรู้จริงพูดไม่ได้ แล้วเขาพูดได้อย่างไรล่ะ

เขาพูดเขาพูดตามความเป็นจริงของเขา ถ้าพูดตามความเป็นจริงของเขา คนที่ปฏิบัติมาด้วยกัน อ้าปากพูดคำเดียวมันก็รู้แล้ว ถ้ามันรู้ขึ้นมา ถ้ามันรู้มันก็เป็นความจริง ความจริงถ้าเขาพูดถึงสิ้นสุดกระบวนการของเขามันก็จบ ถ้าคนที่รู้แล้วพูดวนอยู่นั่นแหละมันไม่สิ้นกระบวนการของมัน เขาเรียกตทังคปหาน การปล่อยวางชั่วคราว การปล่อยวางชั่วคราวก็มี แต่ถ้ามันจะจบมันต้องสมุจเฉทปหาน มันสมุจเฉท เวลากิเลสมันตายไป เกิดยถาภูตัง ยถาภูตังคือเห็นว่ากิเลสมันตาย เกิดญาณทัศนะว่ากิเลสมันตายแล้ว แล้วมันตายอย่างไร

แต่ไม่ต้องอธิบายชัดเจนอย่างนั้น พอพูดรู้เลยๆ เวลาบอกว่าพูดไม่ได้ คนที่พูดไม่ได้ก็คือเขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเขาพูดไม่ได้ ถ้าเป็นภาคทฤษฎีก็ทฤษฎีอย่างหนึ่ง แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านภาคทฤษฎีด้วย ภาคปฏิบัติด้วย ดูสิ อย่างหลวงตาเราเวลาหลวงปู่มั่นท่านสั่งพระสั่งเณรไว้นะ หมู่คณะให้จำไว้นะ ถ้าเราตายไปแล้วถ้าให้พึ่งให้พึ่งมหานะ เพราะมหาดีทั้งนอกและดีทั้งใน

คำว่านอกคือข้อวัตรปฏิบัติ นอกคือโลกไง นอกคือแนวทางจุดยืนไง จุดยืนที่เป็นหลัก จุดยืนที่ไม่พาคนไปเสียหาย ดีทั้งใน ดีทั้งในคือหัวใจมันผ่องแผ้ว หัวใจมันได้กระทำชำระแล้ว มันสะอาดแล้ว มันถูกต้องดีงามแล้ว ถ้าคนดีทั้งนอก ข้างนอกดูสิ ครูบาอาจารย์เราท่านดีข้างนอก ข้างนอกคือว่าเขามีจุดยืนของเขา เขาดำรงชีวิตของเขา เป็นพระดี เป็นคนดี นั่นล่ะดีนอกแต่ยังไม่ดีใน

ดีนอก ดีนอกก็มรรยาทสังคมไง ดีนอกก็จริตนิสัยไง ถ้าดีใน ดีในมันมีคุณธรรมไง ดีในมีคุณธรรม มีมรรค มีผล มรรค ผลอันนั้นมันชำระล้าง มันจับหัวใจขึ้นมาพิจารณา จับหัวใจ ภวาสวะจับภพนั่นล่ะกิเลสมันอยู่ที่นั่น มันมาพลิกแพลงอยู่นั่น รักษาที่นั่น สำรอกที่นั่น คายที่นั่น แล้วมันคายอย่างไร ฟังธรรมๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้

เวลามาวัดเราก็อยากจะไปวัดที่ดีๆ อยากมีครูบาอาจารย์ที่ดี เวลาครูบาอาจารย์ที่ดีนะเวลาเทศนาว่าการท่านพูดถึงสัจจะ แต่เวลาเราไปวัดไปวาขึ้นมาเราก็อยากร่ำอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิต อันนั้นมันเป็นผลของบุญไง บุญกุศล บาปอกุศล ถ้าเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จเป็นบุญของเรา เรามีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดมันมีคนคอยเกื้อหนุน คอยช่วยคอยบำรุงรักษา เวลาเราไม่ได้สร้างสมของเรามามันขาดแคลน มันขัดเขิน แต่เราก็ต้องพยายามของเรา ไอ้นั่นเป็นอำนาจวาสนาของเรา

นี่พูดถึงว่าโดยทั่วไปถ้าพูดถึงบุญ พูดถึงบุญนะ ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงมันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ถ้าเวลาแก่นของศาสนา บุญหรือบาปนั้นมันเป็นกิริยา มันอยู่ภายนอก ถ้าเราทำจริงของเราเราจะเข้าไปในหัวใจของเราแล้ว แล้วถ้าหัวใจเราก้าวเดิน เขาเรียกภาวนาเป็น ภาวนาเป็นมันจะเกิดมรรค เกิดผลแล้ว ถ้าเกิดมรรค เกิดผลก็เกิดอริยสัจ เกิดอริยสัจคือเกิดสัจจะ มันเป็นหัวใจของศาสนา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ อริยสัจจะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ และทุกข์ดับไป

ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่และทุกข์ดับไปโดยกิเลส เราทนเอาเฉยๆ เจ็บปวดสิ่งใดก็ทนเอา มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่เดี๋ยวก็ดับไป ไม่ได้แก้ไขอะไรเลยนะ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่และทุกข์ดับไปโดยอริยสัจ โดยสัจจะ โดยความจริง จิตนั้นได้รู้ได้เห็น แล้ววิปัสสนามัน แยกแยะมัน จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ มันสำรอก มันคายออกมาด้วยสัจจะ ด้วยความจริงของความเพียรของเรา เรามีความเพียร เรามีความพยายาม มีความวิริยะอุตสาหะ

ถ้าพูดถึงเราไปหาครูบาอาจารย์ที่เป็นสัจจะ เป็นความจริง จะชี้นำ จะชักนำเข้ามาตรงนี้ จะชักนำเข้ามาตรงที่หัวใจของเรา ในมหายานเขาบอกว่าการเกิดและการตายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาจะพูดกันเรื่องนี้อย่างเดียว เรื่องการเกิดและการตาย เรื่องการเกิดและการตาย และการไม่เกิด และการไม่ตาย เขาจะเน้นกันตรงนี้ เขาทำตรงนี้เลยล่ะ แต่ของเราเรายังหวังบุญหวังกุศลมันก็หวังกันไป พูดถึงกระแสสังคมทางโลกนะ โลกเป็นอย่างนั้น เราอยู่กับโลก เราต้องอยู่กับโลก เพราะเราก็เป็นโลกคนหนึ่ง เราอยู่คนเดียวไม่ได้เราอยู่กับโลก แต่อยู่กับโลกเราต้องมีจุดยืนของเรา มีจุดยืนของเราเพื่อชีวิตของเรา เพื่อสัจจะในหัวใจของเรา เราทำเพื่อหัวใจของเรา

เกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนาสอนเข้ามา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติไม่ต้องไปทำที่ไหน ตั้งสติขึ้นมา จะอยู่ที่ไหนตั้งสติขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธเราก็ได้ปฏิบัติแล้ว เราได้กระทำแล้ว การหายใจเข้าและการหายใจออก พระปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาเขาก็หายใจเข้า หายใจออกเหมือนกัน

การหายใจเข้าและหายใจออกมีสติปัญญา ตรงนั้นปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่ต้องขวนขวายจะไปที่ไหน หายใจเข้าและหายใจออกให้มีสติกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ตามหัวใจของตัวให้ทัน ถ้าตามหัวใจของตัวนั้นคือการปฏิบัติบูชา เอวัง

มไ