เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเป็นสัจธรรมนะ สัจธรรมใครค้านมันไม่ได้หรอก มันเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วแสดงธรรมจักร เวลาแสดงธรรมจักรเทวดาก็ส่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไปว่าสิ่งนี้จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ย้อนกลับไม่ได้ พอย้อนกลับไม่ได้เพราะมันเป็นสัจจะ เป็นความจริงไง

เป็นสัจจะ เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เวลาเป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปีๆ มีคนยกย่องสรรเสริญ มีคนเชิดหน้าชูตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ฟังๆ ไม่ฟังทั้งสิ้น เพราะมันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันต้องดับทุกข์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าเป็นความจริงมันต้องดับทุกข์ในใจของเราได้

ทุกข์ในใจนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด ทุกข์แค่เม็ดหินเม็ดทรายมันจะเข้ามาในหัวใจของพระอรหันต์ไม่ได้เลย มันไม่มี ในใจของพระอรหันต์ไม่มีเวทนา ไม่มีความทุกข์ ในใจของพระอรหันต์เป็นธรรมล้วนๆ ถ้าเป็นธรรมล้วนๆ นะ นั่นไงสัจจะความจริงมันเป็นอันนั้น ถ้าสัจจะเป็นอันนั้นนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหมอชีวกเป็นหมอประจำพระองค์ เวลาบิณฑบาตไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน ตักน้ำมานะเรากระหายเหลือเกิน พระอานนท์เห็นน้ำมันขุ่นอยู่ เพราะเกวียนมันเพิ่งไป ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฉันข้างหน้าเถิด มันยังมีลำธารอยู่ข้างหน้า ที่นี่น้ำมันขุ่น อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ตักมาให้เราเถิด เรากระหายเหลือเกิน พระอานนท์จำใจต้องไปตักน้ำ เวลาจะไปตักน้ำ พอเอาบาตรนั้นลงไปน้ำนั้นใสเฉพาะตรงที่เอาบาตรนั้นตัก เพราะอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระอานนท์บอกสิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นมันเป็นมาแล้ว น้ำมันขุ่นๆ อยู่มันตักทำไมมันใส อานนท์ มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง เป็นเพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วน้ำมันขุ่น มันขุ่นก็เป็นอย่างนั้นเองเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะท่านเคยเป็นพ่อค้าโคต่าง นั่นถึงซึ่งเวรกรรม

เวรกรรม สิ่งที่กรรมที่มันทำ สิ่งใดทำแล้วสิ่งนั้นมันต้องมีผล ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วเด็ดขาด แต่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงไปแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ สัจธรรมๆ อันนั้นมันย้อนกลับไม่ได้ ย้อนกลับไม่ได้เพราะอะไร เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสิ้นกิเลสไปแล้ว มันเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว มันเป็นความจริงอันนั้น

ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาเพราะความสมดุลในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความสมดุลของการกระทำนั้น แต่ของเรามันซ้ายขวา ตกขอบไปทั้งสองข้าง มันเป็นความจริงไม่ได้ ความจริงไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราต่อต้านไง ถนนคดเคี้ยวเราก็จะไปทางตรง ถนนตรงเราก็จะเลี้ยวซ้ายซะ เราไปขัดแย้งกับสัจธรรมตลอด ถ้าขัดแย้งสัจธรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เรามีกรรม เรามีเวรมีกรรมเราต้องเกิด เวลาเกิดขึ้นมา เวลาเกิดเป็นโอปปาติกะ โอปปาติกะมันก็เกิดเป็นภพชาติหนึ่ง เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมเขาก็ต้องเสวยภพชาติของเขาจนจบสิ้นอายุขัยของเขา เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในท้อง อยู่ในท้องมันเป็นความยอมจำนน ถ้ายอมจำนน อยู่ในท้องมันอึดอัดแค่ไหนเวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องทนอยู่สภาวะแบบนั้น ทำไมมันทนได้ล่ะ

ทำไมมันทนได้ มันทนได้เพราะสภาวะมันจำยอม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลาเกิดออกมาแล้ว คลอดออกมาจากช่องคลอด สลบมาแล้วก็ฟื้นมา พอฟื้นขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆ คนที่เกิดมามั่งมีศรีสุข เกิดมามีคนเชิดหน้าชูตา คนที่เขาไม่พร้อมเขาเกิดแล้วเขาทิ้งถังขยะ คนที่เขาไปทิ้งในสถานที่สาธารณะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน พอเกิดมาแล้วมันต้องหายใจด้วยตัวเอง เกิดมาแล้วมันต้องการอาหาร เวลามันอยู่ในท้อง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน อยู่ในท้องมันกินอาหารโดยสายยาง กินอาหารโดยผ่านเลือดของแม่ กินอาหารโดยหายใจผ่านปากของแม่ ทุกอย่างผ่านแม่มาหมดเลย

นี่ไงกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่เวลาภาวะอย่างนั้นเรายอมได้ เรายอมรับได้ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีทางออกไง พอเกิดมาเป็นคนขึ้นมา พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา คนที่มีอำนาจวาสนา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มั่งมีศรีสุข คนเชิดหน้าชูตา คนทุกข์ คนยาก คนจน คนเข็ญใจ คนเหมือนกัน มีอำนาจวาสนาเหมือนกัน มีอำนาจวาสนาเหมือนกัน แต่กรรมมันจำแนกมาต่างกัน ต่างกันก็การกระทำนี้มันต่างกัน

เราทำมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้ แต่เวลาเกิดขึ้นมาแล้วคนมีค่าเท่ากับคน คนมีค่าเท่ากับคนเพราะคนมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิความเป็นมนุษย์ๆ ถ้าสิทธิความเป็นมนุษย์เราไปเกิดในสังคมที่เขาเป็นประชาธิปไตย เขาก็มีกฎหมายคุ้มครอง เราไปเกิดในเผด็จการ สิทธิความเป็นมนุษย์ มนุษย์เกณฑ์มา มนุษย์เกณฑ์มันมา มนุษย์เกณฑ์แรงงานมัน มนุษย์ก็มนุษย์ไง อำนาจรัฐมันเหนือกว่าไง

ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ พูดถึงผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือความเป็นไปของโลก ความเป็นไปของวัฏฏะมันเป็นแบบนั้น แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน เขาว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ทุกๆ ศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้คนเป็นคนดี แล้วสอนให้คนเป็นอริยบุคคล สอนให้คนพ้นจากกิเลส มันไม่มีลัทธิศาสนาไหนสอนให้พ้นจากกิเลสไปได้

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ทุกศาสนาบอกว่าเขาก็ทำสมาธิ เขาก็มีความสงบของเขา แต่ความสงบของเขาเขาช่วยตัวเขาเองไม่ได้ เขาต้องวันสิ้นโลก ต้องไปให้คนพิพากษา เป็นอย่างนั้นหรือ เราจะทำดี ทำชั่วเราไม่รู้ใช่ไหม เราทำความดี ความชั่วต้องให้คนอื่นบอกเราทำดีหรือทำชั่วใช่ไหม แต่เวลาจิตใจของคน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตใจของคนมันพัฒนาขึ้น มันดีขึ้น พอมันดีขึ้น ทำไมเมื่อก่อนเราทำอย่างนั้นได้ มันเสียใจนะ ถ้าเราทำอะไรผิดพลาดมา ถ้าคนมีสติปัญญามันจะเสียใจว่าเราทำอย่างนั้นมาได้อย่างไร ทำอย่างนั้นมาได้อย่างไร

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ เราทำสิ่งใดไปแล้วเรารู้ภายหลังเสียใจ สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนั้นไม่ดีเลย เราทำสิ่งใดไปแล้วผิดพลาดไป เรามาคร่ำครวญเสียใจร้องไห้ มันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้วๆ สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนั้นไม่ดีเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้มีสติ ให้มีสติ ทุกๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี สอนคนให้เป็นคนดี เราก็พยายามเป็นความดีของเรา ความดีของใครล่ะ

ถ้าความดีของเรา ความดีของเรา เราก็หาเลี้ยงชีพของเรา เราดูแลพ่อแม่ ดูแลหมู่ญาติของเรา ถ้าเรามีกำลังขึ้นมาเราก็ดูแลสังคมของเรา เราทำเพื่อเป็นความดีของเรา ถ้าเป็นความดีของเรา เป็นคนดีไง ถ้าเป็นคนดี เป็นคนดีแล้วทำไมต้องไปวัด เป็นคนดีแล้วทำไมต้องทำอีก เราก็เป็นคนดีแล้วไง ดีแล้วก็ผลของวัฏฏะ นี่ไงสิ่งนี้มันมีอยู่ดั้งเดิม กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนี้ เขาบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้

ฉะนั้น ถ้าเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ แต่เพราะคนที่มีคุณธรรมพยายามสร้างคุณงามความดี ถ้าสร้างคุณงามความดีจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันแก่กล้า จิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันแก่กล้า ความดีที่โลกเขาเห็นได้เขาก็เห็นของเขา แต่ความดีของเรา ดูสิ เรานั่งอยู่โคนไม้ เราทำสมาธิ ภาวนา อย่างนี้เป็นความดีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นทางโลกเขาบอกเป็นคนเห็นแก่ตัว จะเอาตัวรอดคนเดียว ไม่รับผิดชอบสังคม แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ล่ะ ความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นครูสอนสามโลกธาตุ

สามโลกธาตุนะ เพราะอะไร เพราะความดีไม่เหมือนกันไง ดูสิ สัตว์ สัตว์มันมีปัจจัยเครื่องอาศัย มันมีอาหารกินมันก็พอแล้ว สัตว์ที่มันทำร้ายกัน ทำร้ายก็แค่เรื่องอาหาร มนุษย์เรา มนุษย์เรามีปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่มนุษย์มีปัจจัย ๔ ต้องมีอาหารเหมือนกัน แล้วมนุษย์ก็มีกิเลส มนุษย์ก็มีความรู้สึก มนุษย์ก็อยากให้คนนับหน้าถือตา มนุษย์ก็จะเหยียบย่ำคนอื่นไง แล้วถ้าเป็นเทวดาล่ะ เทวดาของมันเป็นทิพย์ทั้งหมด ของเป็นทิพย์ทั้งหมดก็ยังมีความทุกข์อยู่ แล้วถ้าเป็นพรหมล่ะ พรหมผัสสาหารมันมีความสุข พรหมมีความสงบอยู่อย่างนั้นแหละเป็นพรหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหมดไง เวลาความดีมันแตกต่างกันๆ แตกต่างกัน สถานะมันแตกต่างกัน ความเห็นแตกต่างกัน คนเสวยภพชาติแตกต่างกัน ฉะนั้น จิตใจของเราเราทำคุณงามความดีๆ ความดีก็ความดีของโลกไง แล้วจะเอาความจริงของเรา ความจริงของเรามันสำนึกได้ มันต้องมีความสำนึก ถ้าคนไม่มีความสำนึกจะมาทำสิ่งใดกัน เราเกิดมาจากไหน ถามตัวเองว่าเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วตายแล้วไปไหน คนเราบอกเรายังไม่ตาย เวลาเราอีกมากมายมหาศาล เรายังเสวยภพเสวยชาติ เรายังมีความสุขอย่างนี้ไป เราอยู่ค้ำฟ้าไป แต่เวลาใกล้วันตายขึ้นไปคร่ำครวญๆ ไง พอถึงความตายหนาวสั่นไปทั้งหัวใจเลย

มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เราจะหาสมบัติแล้ว เราจะทำความดีเพื่อหัวใจของเราแล้ว ถ้าหัวใจเรามีสามัญสำนึก มนุษย์นี้มาจากไหน มนุษย์มาจากไหน ถ้ามนุษย์มาจากไหน ถ้ามันเป็นวิทยาศาสตร์เราก็สาวได้ว่ามาจากพ่อจากแม่ ถ้ามาจากพ่อจากแม่ เกิดภพชาตินี้ก็มี พอตายแล้วก็จบไง แต่ถ้าเราบอกมนุษย์มาจากไหน มาจากพ่อจากแม่ แล้วพ่อแม่มีพี่น้องกี่คน แล้วพ่อแม่มาจากไหน แล้วเราถ้ามีครอบครัวก็เป็นพ่อแม่คนต่อไป มันก็เป็นผลของวัฏฏะ มันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ แล้วมนุษย์มาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน พิสูจน์กัน

พอทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าคนมีการค้นคว้า มีสามัญสำนึกที่จะค้นคว้าที่จะหาตัวตนของเรา พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา ผลที่มันได้อยู่แล้วคือความสุข คือความสุขนะ ความสุขอย่างนี้ที่เราหาไม่ได้ทางโลก โลกหาไม่ได้หรอก โลกเขาแสวงหาโลกแสวงหาความสุขของเขา ด้วยการขับเคลื่อนของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ อยากดี อยากเด่น

ถ้าเราได้แล้วมันก็มีความสุข ความสุขชั่วคราวแล้วมันก็อยากได้มากกว่านั้น ใหญ่กว่านั้นขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์ก็ต้องเป็นขี้ข้ามัน ก็ต้องตรากตรำเพื่อหามาปรนเปรอกิเลส แต่พอจิตมันสงบเข้ามามันไม่ต้องหาสิ่งใดมาปรนเปรอมันเลย มันสงบมันอิ่มพอในตัวของมันเองนะ จิตมันเป็นอย่างนี้ จิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าค้นคว้าไปนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิชชา ๓ ปฐมยาม พอจิตสงบแล้วย้อนเข้าไปสู่จิตของตัว ย้อนอดีตชาติไปตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรไป

นี่ไงมนุษย์มาจากไหน มนุษย์มาจากไหน นี่ไงมนุษย์มาจากไหนมันมีการกระทำมาอย่างนี้ แล้วถ้าจุตูปปาตญาณ มนุษย์มันยังเวียนว่ายตายเกิดไปข้างหน้า ย้อนกลับมาเป็นอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายความรู้สึกอันนี้ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพชาติอย่างนี้ ถ้ามันทำลายภพชาติ ทำลายหมดเลย ทำลายหมดเลยแล้วมันเหลืออะไร

ถ้าพูดถึงการทำลาย ทุกคนไม่กล้าทำลายสิ่งใด เราสร้างแต่วัตถุ เราสร้างแต่ความเจริญขึ้นมาแล้วเราจะไปทำลายได้อย่างไร ถ้าเราทำลายบ้านเรือน ทำลายบ้านช่องของคนมันผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ แล้วเราจะไปทำร้ายตัวเองได้อย่างไร ไอ้ทางโลกว่าเราทำร้ายตัวเอง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกตัดป่าทั้งป่าเลย แล้วไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว เวลาเราทำลาย ทำลายกิเลส ทำลายอวิชชาในหัวใจของเรา ยิ่งทำลายยิ่งผ่องแผ้ว ยิ่งทำลายยิ่งผ่องใส ยิ่งทำลายยิ่งเจริญงอกงาม

การทำลายทำลายด้วยมรรค ทำลายด้วยปัญญา ทำลายอวิชชา ทำลายไอ้ความเศร้าหมองในหัวใจ ทำลายๆ ทำลายด้วยมรรค เวลามันพิจารณาไป มันแยกแยะไป มันรู้มันเห็นของมัน มันชำระล้างของมันไป มันสำรอกของมัน มันคายของมันออกไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนให้เป็นคนดี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามสอนให้คนเป็นอริยบุคคลขึ้นมา มีอริยบุคคลคือว่าถ้าคุณเป็นคนดี คนดีก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คือไม่มีต้นไม่มีปลาย

การเวียนว่ายตายเกิดของเรายังไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีบอกกล่าวว่ามันจะเป็นจริง แต่เวลาเราพิจารณาของเรา พิจารณาของเรา เวลามันสำรอกมันคายออกเป็นพระโสดาบัน เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น แล้วเวลาเราพิจารณาของเราไปนะเป็นพระอนาคามี พอเป็นพระอนาคามีทำลายกามภพลงมา มันจะไม่เกิดอีกตั้งแต่เทวดาลงมาเลย แล้วบอกมนุษย์เกิดมาจากไหน เกิดมาอย่างไรเราก็ว่ามันเกิดมาจากไหน แต่เวลาการกำเนิด ๔ กำเนิดเป็นโอปปาติกะ กำเนิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม กำเนิดเป็นโอปปาติกะ กำเนิดเป็นมนุษย์กำเนิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ การกำเนิด ๔

มนุษย์มาจากไหนๆ ถ้ามันย้อนสาวเข้าไปมันเห็นของมัน มันรู้ของมัน มันสำรอกของมัน มันคายของมัน มันถึงจะเป็นความจริงไง ความจริงมันเกิดที่นี่ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ เราฟังธรรมๆ เรื่องที่เราการกระทำทางโลกเราก็กระทำ ถ้ากระทำทางโลกแล้วกรรมดี กรรมชั่ว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เพราะว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันมันถึงจำแนกจริตนิสัยของคนให้แตกต่างกัน ทีนี้ความแตกต่างอันนั้นมันเป็นพื้นฐานที่เราได้สร้างมา มันเป็นอดีตมันถึงได้มาเป็นแบบนี้ มันถึงเป็นพันธุกรรมอย่างนี้ ถ้าพันธุกรรมอย่างนี้มันเป็นปมด้อยหรือ

ถ้าทางโลกว่ามันเป็นปมด้อย ปมด้อย ปมเด่นของจิต จิตมันมีปมด้อย ปมเด่นของมัน แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ไอ้นี่เป็นพื้นเพของเรา เป็นพื้นฐานของเรา พื้นฐานของเรา เราก็ต้องมีสติ มีปัญญาแก้ไขตั้งแต่ตรงนี้ขึ้นไป ถ้าแก้ไขตั้งแต่ตรงนี้ขึ้นไปมันก็มีสามัญสำนึกขึ้นมา มันก็จะสร้างสม ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันจะมีปมด้อย ปมเด่นขนาดไหน ถ้ามันมีปมเด่นคือว่ามันทำความดีมามาก เวลามันพิจารณาไป พอจิตมันสงบไปมันก็จะคึกจะคะนองของมัน เวลาจิตถ้ามันสร้างอำนาจวาสนามาปานนั้น เวลาจิตสงบก็สงบเฉยๆ คนที่สร้างอำนาจวาสนามาอ่อนด้อย ทำสมาธิไม่ได้สักที ล้มลุกคลุกคลานสักที มันก็มีที่มาที่ไปเหมือนกันทั้งนั้นแหละ

ถ้ามันมีที่มาที่ไป ถ้าเรามีสติปัญญาเราก็จะสร้างจากที่นี่ เพราะเดี๋ยวนี้เรามีสติปัญญาแล้ว เราไม่ต้องให้อดีต ให้สิ่งที่กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ให้กรรมอันนั้นมาส่งเสริม กรรมอันนั้นมันส่งเสริม กรรมอันนั้นมันทำให้เรามีสติ มีสามัญสำนึกอย่างนี้เราก็พยายามฝึกฝนของเรา พยายามแก้ไขของเรา เราจะสร้างสมให้เป็นปัจจุบันเดี๋ยวนี้ไง ปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดินขึ้นมาให้ต้นไม้มันงอกงามขึ้นมาต่อหน้าเรา ให้ผลมันออกมาคาต้นเก็บกินเอาเดี๋ยวนี้

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นมันต้องเวียนว่ายตายเกิด ตัดแต่งพันธุกรรมไปเรื่อย ภพชาติแล้ว เกิดตายแล้วตัดแต่งไปเรื่อย แต่เดี๋ยวนี้เอาตรงนี้ ตัดแต่งกันเดี๋ยวนี้ โคนไม้เรือนว่าง ที่ไหนนั่งสมาธิ ภาวนา ตัดแต่งกันเดี๋ยวนี้ ทำเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็เป็นการปฏิบัติบูชา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว จะไปนิพพาน อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ในเมื่อมันมีธาตุขันธ์ ในเมื่อมีร่างกาย ร่างกายก็ต้องมีอาหารจุนเจือมันไปตลอด สิ่งมีชีวิตมันต้องกินอาหาร มีอาหารดำรงชีวิตของมันไป ดำรงชีวิตเรื่องของร่างกาย แต่จิตใจที่อยู่ในร่างกายนี้มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันวิตกกังวลมันต้องใช้ธรรมะ ใช้ธรรมะเข้าไปเจือจาน ใช้ธรรมะเข้าไปแก้ไข แล้วถ้าเรามีคุณธรรมขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นสัจธรรมขึ้นมา มันสำรอก มันคายนะเป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นสัจจะความจริงในใจของเรา

ถ้าในใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อใจอันนี้ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูดทุกวันๆ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกวันเลย ตอกย้ำๆ ถ้ามันมีความสงสัย มันจะปล่อยวางความสงสัยนั้น ถ้ามันสงสัยแล้ว พอความสงสัยถ้าฟังธรรมๆ ถึงที่สุดแล้วมันผ่องแผ้ว มันผ่องแผ้วเพราะอะไร เพราะมันแก้ความสงสัยทั้งหมด แก้ความสงสัย แก้ความยึดมั่นถือมั่นของใจ พอมันแก้ขึ้นไป ถ้ามันพุทโธด้วย ถ้าจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมามันผ่องใสของมัน

การฟังธรรมๆ เป็นประโยชน์ตรงนี้ เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา เตือนสติ เตือนสติคอยบอกความผิดพลาดของเรา แล้วเราให้แก้ไขของเรา ความดีของเราก็คือความดีของเรา ความดีของโลกก็ความดีของโลก เราจะเจือจานโลกเขาขนาดไหนเราก็เจือจานไปถ้าเรามีกำลัง แต่ความดีของเรา ความดีของเราคือตั้งสติ ตั้งสติระลึกรู้กลางหัวใจนี้ แล้วแยกแยะอยู่กลางหัวใจนี้ นี้คือความดีของเรา เอวัง