เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ของทุกอย่างอยู่กับการฝึกฝน แม้แต่เราจะภาวนาเราก็มาดัดแปลงหัวใจของเรา เราจะมาดัดแปลงหัวใจของเราไง เราก็มาฝึกฝนใจเราแหละ ฝึกฝนใจของเราเพราะเรายอมรับไง เรามีศรัทธามีความเชื่อนะ ถ้าไม่มีศรัทธามีความเชื่อเขาต่อต้าน เขาต่อต้านแล้วบอกว่าเขามีความสุขด้วย เขาอยู่ทางโลกเขามีความสุขกัน เราต้องมาทุกข์มายากทำไม เราจะมาทุกข์มายากเพราะเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เรามีปัญญา เราได้สร้างสมบุญญาธิการมา ถ้าเราไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการมาเราจะมีความคิดแบบนี้หรือ
กิเลสมันเอาแต่ได้ มันจะกว้านทุกอย่างของในโลกนี้มาเป็นของมันคนเดียวเลย แล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเรารักษาไม่ได้หรอก แต่มันก็จะเอา ความรู้สึกนึกคิด ดูสิ เวลาเรามีปัญญา ปัญญาจะมากน้อยขนาดไหนมันไม่ต้องมีที่เก็บหรอก ปัญญามันเก็บอยู่ในหัวใจ แต่ถ้าเป็นวัตถุล่ะ ถ้ามันฝึกมันฝนมันดีมาทั้งนั้นแหละ ถ้ามันดีมา ถ้าเรามีสติปัญญานะ ถ้าคนมีปัญญานะ เวลาหลวงตาท่านไปไหนท่านจะเตือน ท่านให้คิดๆ
ถ้ามีความคิดนะคนเรามันเอาตัวรอดได้ไง ถ้าคนเราไม่คิดๆ มันเป็นเหยื่อทั้งนั้นแหละ เราเห็นสิ่งใดเราต้องคิด ถ้าเราคิด เห็นสัตว์ สัตว์มันจะได้อาหารมานะ สัตว์ป่าแลกด้วยชีวิตทั้งนั้นนะ ชีวิตแลกชีวิต แล้วเวลาชีวิตแลกชีวิต สัตว์กินหญ้ามันก็กินพืช มันกินหญ้าของมัน กินใบไม้ของมัน มันก็สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ถ้าสัตว์นักล่า สัตว์กินเนื้อ สัตว์กินเนื้อมันต้องล่า แล้วมันล่าแล้วมันจะถือศีลอย่างไร แล้วเขาบอกว่าเราถือศีล ๕ ศีล ๕ เราไม่เบียดเบียนใครๆ แล้วสัตว์มันเกิดมามันเป็นนักล่ามันต้องล่า มันจะถือศีลได้อย่างไร
นั้นมันเกิดด้วยเวรกรรมของเขา สถานะในการเกิดเป็นสัตว์นักล่า เขาเกิดมาเขามีบาปอกุศลอย่างไรเขาถึงได้มาเกิดในสถานะนั้น ถ้าธรรมชาติของเขา สัญชาตญาณของเขา เขาต้องล่าของเขาเพื่ออาหารของเขา ในพระไตรปิฎกพูดไว้มากมายเลย แมวมันไปกินลูกไก่ แล้วมันก็ผลัดกันฆ่า ผลัดกันอยู่อย่างนั้นแหละ อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ด้วยอนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนั้น ว่าไว้อย่างนั้น
แต่เวลาเราเกิดมาเป็นคนไง เราเกิดมาเป็นคน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราจะไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น เราจะไม่ล้างผลาญใครทั้งสิ้น แต่เวลาเกิดเป็นมนุษย์มันต้องดำรงชีวิตไง ดูพระเราสิ เขาบอกว่าเวลากินเนื้อสัตว์แล้วก็มาเที่ยวแผ่เมตตาให้เขา แผ่เมตตาให้เขา แล้วทำไมกินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์มันกินพืช กินสิ่งที่ว่าไม่มีชีวิต มันก็ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำมาเหมือนกันนั่นแหละ
คำว่าเหมือนกันนะ เวลาภิกษุเรา เนื้อที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เจาะจง ไม่ได้เจตนา ถ้าโดยธรรมชาติ ดูสิ สังฆภัณฑ์ ธุรกิจสังฆภัณฑ์มันก็เจริญงอกงามของมัน เพราะอะไร เพราะคนมีศรัทธาความเชื่อ แล้วถ้าเกิดว่าเขาจะฆ่าเนื้อเพื่อจะมาขายให้พระมันเป็นไปได้ไหม แต่พระอาศัยสังคมอยู่ เราไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เจตนา โรงงานฆ่าสัตว์เขาไม่ได้เอาสัตว์มาถวายให้พระหรอก เขาฆ่าสัตว์มาเพื่อขายในท้องตลาด ทีนี้คนที่เขามีเจตนาเขาไปซื้อไปหามา เขาทำอาหารมาแล้วเขาถวายพระ เราไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้ใดๆ ทั้งสิ้น เนื้อ ๓ อย่างภิกษุฉันได้
ถ้าบอกว่าเนื้อบริสุทธิ์ๆ เวลาพูดธรรมะก็ว่าเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นแหละ เวลาพูดธรรมะไม่เสียดสีใคร ไม่กดถ่วงใคร ไม่เบียดเบียนตัวเอง มันข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเพราะอะไร เพราะว่าตาของเรามันมีแต่ตาเนื้อ ตาเนื้อคือวิทยาศาสตร์ พิสูจน์กันได้ทฤษฎี แต่ตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะมันมีเวรมีกรรมต่อกัน มันมีเวรกรรมต่อกัน ทำไมตั้งแต่อดีตชาติเขาเคยทำอย่างนี้ๆ มา มันก็ต้องประสบภพชาติเป็นอย่างนี้ๆ
คำว่าอย่างนี้ๆ แล้วถ้าเรามีสติปัญญาไหม ถ้าเรามีสติปัญญา ในเมื่อเราเกิดมาชาตินี้ สิ่งใดที่เบียดเบียน สิ่งใดที่สร้างเวรสร้างกรรมเราไม่ทำทั้งนั้นแหละ เราไม่ทำทั้งนั้น เวลาสัตว์ ชีวิตแลกชีวิต แต่ของเราเวลาเราจะได้ธรรมะมาเราต้องมีสติปัญญาของเรา จะได้ธรรมะมานะ เรามีศรัทธาความเชื่อเรามาวัด เรามาถวายทาน มาจังหัน มาถวายทานให้ชีวิตเหมือนกัน ถ้าไม่มีอาหารก็ตาย เราให้ชีวิตนะ แต่ถ้าเรามองเป็นคุณค่า คุณค่าเราเอามาก็แค่นี้ ข้าวทัพพีหนึ่ง
ข้าวทัพพีหนึ่ง แต่ข้าวทัพพีหนึ่งชีวิตนะให้ชีวิต ถ้าคนคิดถึงตรงนั้นปั๊บมันจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย แต่ถ้าเราบอกว่าของเราไม่มีคุณค่า ของเราด้อยค่า ด้อยค่ามันอยู่ที่เจตนานั้น เจตนานั้นถ้าให้แล้ว ทีนี้มันเป็นทางโลกไง เวลาให้ขึ้นมาทุกคนจะน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราอำนาจวาสนาน้อย เราไม่ได้ทำบุญกุศลอย่างนั้นๆ แต่เจตนาเรามีหรือเปล่าล่ะ ถ้าเจตนาเรามี พระอรหันต์ที่เป็นทุคตะเข็ญใจไม่เคยฉันข้าวอิ่มๆ พระสารีบุตรมหาศาลๆ เลย
ทำมาทั้งนั้นแหละ เขาทำของเขามา เพราะเขาทำของเขามาอย่างนั้นเขาถึงมีความรู้สึกนึกคิดแบบเรา เพราะเราก็มีสติปัญญาอย่างนี้เราถึงมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ แล้วคนมีปัญญา มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเราอย่างนี้ ทางจิตวิทยาเขาก็บอกสภาวะแวดล้อมพยายามดัดแปลงไปให้คนมันดีขึ้น พัฒนาขึ้น มันพัฒนาขึ้นมันก็พัฒนาขึ้นในชาติปัจจุบันนี้ แต่ชาติปัจจุบันของเรานี้เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลายนะ ล้านๆๆๆ ชาติ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏฏะ แล้วมันไปโดนบีบคั้น มันไปโดนต่างๆ แล้วโดนบีบคั้นกับใคร
ใครทำสิ่งใดมันมีเวรมีกรรมมาทั้งนั้นแหละ ทีนี้พอมีเวรมีกรรมมาเราก็ได้สร้างคุณงามความดีมา เวลาเขาทำความชั่วตกนรกอเวจี เวลาโผล่ขึ้นมาจากหลุมนรก ถ้าเกิดได้พ้นจากทุกข์นี้ไปแล้วเราจะทำบุญกุศลของเรา เราจะรีบขวนขวายของเรา มันทุกข์มันยากขนาดนั้น ถ้าไปอย่างนั้นเวลาจิตมันได้คิดมันก็พัฒนาของมัน พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยก็ทำมา สร้างสมบุญญาธิการมามาก
การสร้างสมบุญญาธิการมามากนะ เราว่ามีอำนาจวาสนาบารมี ถ้าเรามีสติปัญญาก็ปัญญาของเรา ถ้ามันมีสติปัญญาของเรา เราใช้สอยเพื่อสังคม เพื่อหมู่คณะ เราชักนำ เราช่วยเหลือเจือจาน อำนาจวาสนาบารมี พระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์เขาทำของเขาอย่างนี้มา เพราะเขาทำอย่างนี้มา เวลาเขาจะมาภาวนา ดูสิ ทำไมสภาพป่าเขามันรื่นรมย์ ทำไมสงบสงัด ทำไมเขามีโอกาสเขาได้ภาวนา ไอ้ของเราจะไปอยู่ที่ไหน อู้ฮู มีแต่คนมากระทบกระเทือน มาไล่ที่ ทำไมเราเป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมครูบาอาจารย์ทำของท่าน ทำไมท่านประสบความสำเร็จของท่านล่ะ ทำไมของเราเป็นอย่างนี้ล่ะ
โอกาสและจังหวะ อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของคนเขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา เพื่อประโยชน์ของเขามา ใครทำมามากน้อยขนาดไหน เวลาจะมีสติมีปัญญา เราจะมาฝึกฝนของเรา ถ้ามาฝึกฝนของเรา ฝึกฝนของเราภาวนามยปัญญา มันเป็นปัญญาที่มหัศจรรย์มาก คิดดูสิ ศึกษามา ๙ ประโยคมีความรู้ท่วมหัวเลย ๙ ประโยครู้ไปหมดแหละ แต่ทำจิตสงบไม่ได้ ทำจิตให้สงบไม่ได้
ดูสิ พระกรรมฐานเรามีครูบาอาจารย์ของเราให้ข้อวัตรมา เรารักษามีเครื่องอยู่ จิตใจมันรักษามันดูแลมัน ดูแลมัน แล้วเวลาเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามามันมหัศจรรย์แล้ว พอมหัศจรรย์เพราะมันมีความสุขของมัน มันยืนยันไง ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นตถาคตเพราะจิตมันสงบ เห็นร่องรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเรามีสติปัญญายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ เวลาวิปัสสนามันก็มีปัญญาของมัน มันก็แยกแยะของมัน จินตนาการ อู้ฮู มันมหัศจรรย์มากๆ
ถ้าเรายังมีสติปัญญาของเราต่อเนื่องไป เรายังไม่ทิ้งไม่ทอดธุระนะ เราพยายามขวนขวายของเรา พยายามปฏิบัติซ้ำ ทำซ้ำ เวลามันเกิดข้อเท็จจริง เกิดภาวนามยปัญญาโดยข้อเท็จจริง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมากัมมันโตคืองานชอบ เวลามันชอบธรรมขึ้นมา ไอ้ที่ว่าเราจินตนาการ ที่เราใช้ปัญญาๆ ไป ปัญญาเริ่มต้นมันตทังคปหานคือเราฝึกหัดใช้มันปัญญาวิปัสสนาอ่อนๆ วิปัสสนาอ่อนๆ มันก็ทึ่ง มันก็แปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่ด้วยความอ่อนด้อย ด้วยการทอดธุระ ด้วยการทอดธุระเพราะกิเลสมันเข้ามายุแหย่
อย่างนี้เป็นธรรมะแล้วแหละ เราปฏิบัติมาเกือบเป็นเกือบตาย อย่างนี้อกุปปธรรม อย่างนี้สุดยอด โดยกิเลสมันยุมันแหย่เราก็เชื่อมันไปไง แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญาของเขา เขาไม่ทอดธุระนะ เขาพยายามปฏิบัติซ้ำของเขา ซ้ำของเขาไป มันเจริญงอกงามขึ้นไป คำว่าเจริญงอกงามขึ้นไปปัญญารอบหนึ่งมันชำระล้าง มันสะอาดมากขึ้น มันสำรอก มันคายออก มันทำให้แจ่มชัดขึ้น มันพิจารณาซ้ำไปๆ เวลามันขาด ความสมดุลของมัน มัชฌิมาปฏิปทา
ถ้าเวลามันขาดนะสังโยชน์มันขาดไป สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ความลังเลสงสัย สงสัยในเรื่องอะไรล่ะ ก็สงสัยของๆ เราทั้งนั้นแหละ อะไรก็ของๆ เรา ของๆ เรา เราๆๆ สงสัยทั้งนั้นแหละ อยู่กับเราเราก็สงสัย อยู่ข้างนอกก็สงสัย อยู่ที่ไหนก็สงสัย มันสงสัย ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเราเราก็สงสัยของๆ เรา นอนทับกันอยู่มันก็สงสัย มันเราจริงหรือเปล่า เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ จิตนี้จะไปของเรา ธรรมะสอนไว้อย่างนั้น แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ มันจริงหรือเปล่า แล้วเวลาปฏิบัติไปมันรู้มันเห็น มันจริงหรือเปล่า มันจริงหรือเปล่า
นี่ไงมันสงสัยไปทั้งนั้นแหละ แต่เวลามันพิจารณาของมันไป ไปรู้ไปเห็นมันสำรอกมันคายของมัน มันต้องสำรอก มันต้องคายของมัน ต้องเป็นความจริงของมัน ที่ไหนที่บกพร่องเราไปเติมเต็มให้มันที่นั่นก็ต้องเต็ม หัวใจที่มันสงสัย หัวใจที่มันสงสัย ที่มันค้นคว้ามันชำระล้างของมัน ถ้ามันสงสัย มันสำรอก มันคายของมันออกไปมันถึงเป็นความจริงของมัน ถ้าเป็นใจพระอรหันต์แล้วมันไม่สงสัย ใจพระอรหันต์เต็มเปี่ยมแล้วก็ไม่สงสัยอะไร ไม่มีอะไรสำรอกแล้ว ไม่มีอะไรคายออกแล้ว มันสมบูรณ์ของมันแล้ว แต่ใจที่สงสัย ใจที่มันบกพร่องใจที่มันสงสัย แล้วเราสงสัยไหม สงสัย เรียนจบมาขนาดไหนก็สงสัย มันมีความสงสัยในใจทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เราจะซื่อสัตย์ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราจะทำหรือไม่ทำไง
นี่ไงถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วไม่ทอดธุระ คำว่าทอดธุระนะมันทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันทอดธุระคิดว่าใช่ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรานะเราพยายามของเรา พยายามปฏิบัติซ้ำ ทดสอบซ้ำ เวลาทำซ้ำๆ ของเราให้มันดีขึ้นมา พิจารณาของมันขึ้นไป ความดีที่ดีขึ้นไปยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ ถ้าเป็นพระโสดาบันได้จริงมันก็มีสกิทาคามี มีอนาคามี มีพระอรหันต์ข้างหน้าที่เราจะต้องบรรลุขึ้นไป จะต้องขวนขวายขึ้นไป แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วถ้ามันถึงมันจะปล่อยวาง มันจะชำระล้าง มันว่ามันสมุจเฉทมันจะขาดไปแล้วด้วยกิเลสมันสวมเขา กิเลสมันปลิ้นปล้อนให้เราเชื่อ ถ้าเราเชื่อไปแล้วกิเลสมันพาให้ทอดธุระเราไม่ทำต่อไปคิดว่าเป็นโสดาบัน
เรามีสัจจะ มีความจริงในใจที่มั่นคงแล้วเรานอนใจได้ มันไม่ได้ มันไม่ได้เพราะมันไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีข้อเท็จจริงแล้วเสื่อมหมด เวลาเสื่อมมันเสื่อมหมดนะ เวลาเราหาเงินหาทองมาเราต้องฝากธนาคาร เราต้องมีที่เก็บของเรา เวลาเราทำคุณธรรมในใจมันเก็บไว้ที่ไหนล่ะ แล้วเวลามันเสื่อมมันเสื่อมไปไหนล่ะ เวลามันเจริญอะไรมันเจริญ คนถ้าไม่เคยเจริญมันจะเอาอะไรมาเสื่อม คนที่ปฏิบัติไม่เป็นจะเอาอะไรมาเสื่อม คนที่ปฏิบัติเป็นมันเจริญงอกงามขึ้นมา แล้วเวลามันเสื่อมหมดเลย จิตเสื่อมมันทุกข์ยากมาก แล้วคนที่ภาวนา คนที่ภาวนาได้เป็นจริง เหมือนการศึกษา ศึกษาจบแล้วก็คือจบ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติไปแล้วถ้ามันจบแล้ว ถ้ามันจบแล้ว แล้วมันเสื่อมมันเสื่อมไปไหนล่ะ ถ้ามันจบแล้วไม่มีเสื่อม อกุปปธรรมๆ แต่ว่าเราทอดธุระของเราเอง นี่ไงการฝึกฝน ภาคปฏิบัติ เวลาภาคปฏิบัติมันจะมีความจริงของมัน มีการกระทำของมันขึ้นมา ถ้าทำจริงขึ้นมา ทำจริง ทำจริงต้องรู้จริง แล้วมันจิตจริง จิตจริง สมาธิจริงๆ ตอนนี้ในปัจจุบันนี้สมาธิมันจอมปลอม สมาธิไม่จริง สมาธิไม่จริงก็เราสร้างสมาธิขึ้นมา เราว่านี่เป็นสมาธิ ว่างๆ สบายๆ สบายๆ เข้าสปาก็สบาย ไปไหนก็สบายทั้งนั้นแหละ แต่สบายชั่วคราว ออกมาภาระรับผิดชอบมันกดถ่วงทุกข์อีกแล้ว
สบายๆ สบายๆ ก็เราไปกดทับไว้ แล้วบอกว่าถ้าทำสมถะหินทับหญ้าๆ ให้มันมีหินเถอะ ถ้าหินมันทับหญ้า หญ้ามันงอกไม่ได้ ไอ้สร้างอารมณ์ๆ ไอ้กดถ่วงในใจ นั่นไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรในหัวใจเลย แต่ศึกษามาท่วมหัวไง ๙ ประโยคไงก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละมันไม่มีความจริง แต่ถ้ามันเป็นความจริง หินทับหญ้าก็ให้มันทับไปก่อนไม่ให้หญ้ามันเกิด หินกดกิเลสไว้ทำไมมันจะไม่ดี มันดีทั้งนั้นแหละขอให้มีหินมีหญ้าเถอะ มันไม่มีหินไม่มีหญ้ามันคิดเอาเอง มันคิดเอาเอง มันไม่มีสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริงเลย
ถ้ามันมีหญ้า มีหญ้าก็แสดงว่าเรามีพื้นที่ เออ มีหิน มีหินก็การกระทำของเรา หินทับหญ้าไว้ก่อน หญ้าไม่เกิด หญ้าไม่งอกงามขึ้นมา อ้าว บนหินนั้นมันก็โล่งโถง ถ้ามันโล่งโถง หินทับหญ้าถ้าเกิดวันไหนขึ้นมาเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรายกหญ้าออก แล้วไม่กี่วันหญ้าก็ขึ้นมา อ้าว แสดงว่ามันไม่ได้ฆ่ากิเลสเลย ถ้าไม่ได้ฆ่ากิเลสแล้วทำอย่างไร หินทับหญ้าต้องถากต้องถางเลย ถ้ามันมีสติปัญญา เวลาพูดมันพูดได้ทั้งนั้นแหละ มันพูดได้เพราะอะไร เพราะมันไม่เคยรู้เคยเห็น
ถ้าไม่เคยรู้เคยเห็น เวลาคนที่เป็น ดูสิ เราเป็นชาวพุทธเราดีทั้งนั้นแหละ เราคิดได้ทั้งนั้นแหละ เราพูดได้ทั้งนั้นแหละ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม เวลาปฏิบัติไป เวลาแยกแยะไม่เป็น ภาวนามยปัญญาพูดไม่ถูกหรอก คนไม่เคยเห็นพูดไม่ได้ ถ้าคนพูดได้อย่างน้อยเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เพราะอะไร เพราะว่าภาวนามยปัญญา มรรคสามัคคีมันสมุจเฉท มันเป็นความจริงขึ้นมา เขาถึงเห็นกระบวนการของภาวนามยปัญญา กระบวนการของภาวนามยปัญญาคือกระบวนการของมรรค ธรรมจักรๆ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จักรได้เคลื่อนแล้ว จักรได้เคลื่อนแล้วคือความจริงมันปรากฏแล้ว ความจริงปรากฏแล้วมันจะย้อนกลับไปอีกไม่ได้เลย แล้วความจริงมันปรากฏมันปรากฏในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วเวลาแสดงธรรมก็แสดงธรรมจักร
ธรรมจักรเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นธรรมจักรมันเป็นมรรคญาณที่ชำระล้างในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีความจริงขึ้นมา พอความจริงขึ้นมาวางธรรมวินัยนี้ไว้ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ ธรรมกถึก วินัยธร เวลาศึกษาศึกษาเป็นวินัยธร ศึกษาเป็นคันถธุระมันก็ศึกษาทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจำไว้ แล้วก็มาวิเคราะห์วิจัยกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติปฏิบัติความจริง ปฏิบัติความจริงก็เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณมันเกิดความจริงขึ้นมา
ถ้าเกิดความจริงขึ้นมามันถึงชำระล้างกิเลส มันถึงเป็นความจริงขึ้นมา พอความจริงขึ้นมามันก็เกิดภาวนามยปัญญา มันก็เกิดมรรค มรรคความจริง ตัวมรรค มรรคสามัคคี ตัวสัจจะความจริง แต่เรามาทำกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวแทนก็พระพุทธรูป ตัวแทนธรรมก็ธรรมจักร ตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ พระสงฆ์ก็อยู่ทั่วๆ ไป สมมุติสงฆ์กับสงฆ์ความเป็นจริงมันก็แตกต่างกัน แตกต่างกันที่หัวใจนั้น แตกต่างที่เจตนานั้น แตกต่างที่ความเป็นจริงนั้น
ความเป็นจริง ความเป็นจริงมันเป็นจริงเพราะอะไรล่ะ คนมันจริงขึ้นมาก่อน มันไม่มีความจริง เงินจริง เงินหนึ่งบาทก็มีค่าเท่ากับหนึ่งบาท เงินปลอมมันจะมีเลขมากน้อยขนาดไหนไม่มีใครต้องการมัน ไม่มีใครต้องการหรอก แต่ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริงไง ถ้าจิตมันจริง จิตมันจริงเราก็ตั้งสมาธิจริงๆ สิ จิตมันจริงเราก็ตั้งสติ เราทำของเราด้วยความเป็นจริงของเรา จะมีมากมีน้อยก็แล้วแต่ อยู่ที่ไหนก็ได้ก็กำหนดได้ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ แล้วให้มันเป็นข้อเท็จจริง ให้เป็นข้อเท็จจริงไม่ต้องให้ใครติใครเตียน ใครให้ชื่อให้เสียง
เวลาทำขึ้นมาคนนู้นให้ชื่อให้เสียง คนนั้นจะยอมรับนับถือ นั่นมันเรื่องของเขา สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ ความจริงมันอยู่ที่ใจ แล้วความจริงอยู่ที่ใจ เวลานักปฏิบัติมันแค่กิริยา มันแค่กิริยา ความจริงมันอยู่ที่ใจเอ็งก็หลอกตัวเองอยู่นั่นแหละ กิริยากิริยาอะไร มันเสวยอารมณ์มันเป็นกิริยา แค่กิริยา มันเป็นความเป็นอยู่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มันเป็นเศษส่วน เป็นเศษทิ้ง แล้วเศษทิ้งจริงหรือเปล่า ถ้ากิริยาเอ็งติดอะไร ถ้าเป็นแค่กิริยาเขาให้สลัดทิ้งหมด ธรรมเหนือโลก
นี้ธรรมเหนือโลกความเป็นอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ๔๕ ปีนะ มีชีวิตอยู่ ๔๕ ปี ให้เขาจ้างคนมาด่า เทวทัตจ้างนายธนูมายิง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เป็นพระอรหันต์นะ แต่สังคมโลกมันมีไง สังคมโลกมีกระทบกระทั่งโลกธรรม ๘ ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีอิจฉาตาร้อน มีการแย่งชิงกันไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ไปแย่งชิงกับใคร แต่ในเมื่อความเป็นจริงอันนั้นทุกคนมาศิโรราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไอ้พวกนั้นมันอิจฉา มันอิจฉา แต่อิจฉาก็เรื่องของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไปถือโทษกับใครทั้งสิ้น แต่เรามาพูดถึงไงว่ากิริยาๆ กิริยาของใคร เวลาคนอ้าง ฉันมีคุณธรรม ไอ้แค่นี้แค่กิริยา ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีผลกับใคร แค่กิริยาทำไมจะไปเอาแต่ผลประโยชน์ล่ะ เอาลาภล่ะ แค่กิริยาก็ทิ้งไว้ในป่าสิ แค่กิริยาก็ทิ้งมันไว้ อย่าไปยุ่งกับมัน เอาความจริงของเราขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมาธรรมเหนือโลก
ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนหัวใจของเรา ฟังธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัติของเรา ให้เป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรานะ โลกธรรม ๘ ใครจะติฉินนินทาอย่างไรเรื่องของเขา แต่ความจริงของเราไง ความจริงของเราต้องให้เป็นความจริงจริงๆ ถ้าความจริงจริงๆ มันคงที่อยู่ตลอดไป ถ้ามันไม่จริงนะเดี๋ยวมันก็สั่นไหว เดี๋ยวมันก็โยกคลอน เดี๋ยวมันก็เป็นไปเอง ถ้ามันเป็นความจริงมันความจริงวันยังค่ำ แล้วเราจะหาความจริงไง
ดูสิ เวลาแร่ธาตุต่างๆ เพชรนิลจินดามันเป็นสิ่งที่มันคงทน แต่อารมณ์ของคนมันเปลี่ยนแปลง อารมณ์ของคน ใจของคนสั่นไหว แต่เวลาอกุปปธรรมมันยิ่งกว่าจริงอีก มันยิ่งกว่าเพชรนิลจินดานั้นน่ะ แล้วมันจริงอยู่ที่ไหนล่ะ สิ่งที่จอมปลอมในใจ ที่มันเร่ร่อนอยู่ ประพฤติปฏิบัติแล้วหมั่นสังเกต หมั่นดูแลมัน พัฒนามันขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา ให้เป็นความจริง เป็นปัจจัตตังกลางหัวใจนี้ เอวัง