เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราฟังธรรมนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เราจะบอกว่าเกิดมาโดยสมมุติ เราเกิดมานะเกิดมาจากความเป็นจริง ถ้าเราเกิดมาจากความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากนางมหามายา เกิดมาจากพ่อจากแม่ เวลาเกิดจากพ่อจากแม่เกิดมาเป็นความจริงไง แต่เวลาความจริงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ทำบุญกุศลมหาศาล

เวลาทำบุญกุศลมหาศาล เราก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็มาทำบุญกุศลเหมือนกัน เพราะเราทำบุญกุศลเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ทาน ศีล ภาวนา ให้มีการเสียสละทานกันเพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขไง เขามีน้ำใจต่อกัน คนมีน้ำใจต่อกันอยู่อย่างไรมันก็ให้อภัยกันใช่ไหม คนจิตใจถ้ามันขัดแย้งกัน ทำสิ่งใดมันขัดแย้งกันไปหมดแหละ ถ้ามันมีน้ำใจทำอย่างไรมันก็ทำได้ นี่ไงเรื่องสมมุติทั้งนั้นแหละ เรื่องของทาน เรามาเสียสละกัน มองหน้ากันด้วยเมตตาเอื้ออารีต่อกัน มันจะมีอะไรขัดแย้ง

มันขัดแย้งเพราะขัดแย้งมาจากใจอันนั้น พอขัดแย้งจากใจอันนั้นพอเจอเฉพาะสังคมมันมีความขัดแย้ง มันมีความขัดแย้งปั๊บเราก็มีความทุกข์ เราอยากให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราเสียสละทานๆ เรามีน้ำใจต่อเขา แต่เรื่องความขัดแย้ง เรื่องความกระทบกระเทือนมันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้วเพราะใจของเรา เรายังรักษาใจของเราไม่ได้เลย แล้วเราจะให้สมดังปรารถนา สมดังใจเรามันเป็นไปไม่ได้หรอกมันไม่มี มันไม่มีหรอก แต่ที่เราทำเราเก็บที่เขาทิ้ง เก็บตกที่เขาทิ้งเขาไม่เอาเราเก็บเอา แต่ถ้าคนเขาเอามานะเอามาด้วยอีโก้ไม่เอา ไม่เอา

นี่ก็เหมือนกัน ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกมาบวช กว่ามันจะตรัสรู้ธรรมไง เราจะบอกว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เราเกิดมาโดยสมมุติ เกิดมาในโลก เกิดมาในวัฏฏะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ดูวันวิสาขบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ แล้วก็นิพพานในวันนี้

เวลามาตรัสรู้ธรรมๆ ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นล่ะมันธรรมเหนือโลก ถ้ามันธรรมเหนือโลกมันไม่เป็นแบบนี้ แบบโลกๆ ที่เราทำอยู่มันเป็นเรื่องของทาน เรื่องของทานคือเรื่องการเสียสละ เรื่องการมีน้ำใจต่อกัน แต่การมีน้ำใจต่อกันเป็นเรื่องสังคมใช่ไหม เรื่องสังคมเราช่วยเหลือเจือจานกันได้ใช่ไหม เราแบกหามได้ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วเรื่องในใจ เรื่องความทุกข์ความยากในใจของเรา

ถ้าความทุกข์ความยากในใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ดูสิ เวลาเจ้าลัทธิต่างๆ เขาจ้างคนมาด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจ้างมาทั้งนั้นแหละ เขาจ้างมาเพื่ออะไร เพื่อทำลายๆ ทำลายเพราะไม่ต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไป ถ้าเผยแผ่ธรรมไป คนมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้วมันจะเชื่อพุทธศาสนา ไม่เชื่อลัทธิของเขา เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาทำลาย เทวทัตอยากได้ปกครองขึ้นมา จ้างนายธนูมายิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความสะเทือนอะไรไหม ไม่มีความสะเทือนอะไรเลย

เราจะบอกว่าเวลาทำดีๆ ไง เราก็บอกว่าทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดีแน่นอน ได้ดีเพราะความจริงอันนั้นในหัวใจอันนั้น สัจจะความจริงมันต้องเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น แต่เราทำความดีแล้วไปขัดแย้งกับลาภสักการะของเขา หลวงตาท่านบอกว่าเตะถ้วยลาภเขา เขามีลาภสักการะกันอยู่ เขามีผลประโยชน์กันอยู่ เราไปขัดไปแย้งของเขามันไปขัดไปแย้งกับเขาอยู่แล้ว เรื่องของโลกไง ทำดีต้องได้ดีสิ ทำดีต้องมีคนเห็นดีเห็นงามไปหมดเลย จะไม่มีใครมาโต้แย้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ดูสิ เขาทำลายทั้งนั้นแหละ

ปัญหาสังคมไง สังคมก็คือสังคม สังคมเราอยู่กับสังคมไง เราจะปรารถนาว่าให้สมความปรารถนาทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีหรอก นี้เราเกิดมาเป็นโลก เกิดเป็นโลกเป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์เพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์สมบัติ เวลาพระบวช เวลาบวชขึ้นมาสมมุติทั้งนั้นแหละ บวชมาเป็นพระก็สมมุติ สมมุติเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ ญัตติจตุตถกรรมยกขึ้นมาเป็นพระ

ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง พอสมมุติอันหนึ่ง สมมุติมันจริงตามสมมุติไง แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์เรามีร่างกาย มีความรู้สึก เป็นสมมุติไม่เป็นสมมุติ แต่เราจะเอาความจริง เอาวิมุตติ เอาความเป็นจริง แล้วเอาความจริงมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากหัวใจที่เป็นสมมุติ หัวใจที่เราทุกข์ๆ ยากๆ อยู่ เพราะมันมีทุกข์ใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกข์เป็นอริยสัจใช่ไหม ทุกข์เป็นความจริงใช่ไหม เพราะมันทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดไง แล้วทุกข์ไหม

ทุกคนบอกสิไม่ทุกข์ พูดมา ทุกข์ทั้งนั้นแหละทุกข์เป็นความจริง แต่เราไม่ได้ค้นคว้าตรงนี้ไง เพราะทุกข์มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงในใจของเราใช่ไหม แต่เราก็บอกว่าเราทุกข์เพราะเราขาดแคลน เราทุกข์เพราะเราไม่ได้สมความปรารถนา เราทุกข์ออกไปข้างนอกหมดเลย แต่ตัวจริงตัวหัวใจมันทุกข์ ถ้าหัวใจนี้มันทุกข์มันทุกข์เพราะอะไรล่ะ มันทุกข์เพราะอวิชชา เพราะเราไม่รู้จักมันไง

เราเกิดมาเป็นครอบครัว เป็นชาติตระกูลรู้จักไปหมดเลย แต่ไม่รู้จักตัวเองไง ตัวเองเป็นใคร ถามสิตัวเองเป็นใคร รู้จักทุกเรื่องแหละแต่ไม่รู้จักตัวเองไง ถ้าไม่รู้จักตัวเองมันก็ยังบอกว่ามันไม่ทุกข์ไง เวลาทุกข์มันก็ส่งไปข้างนอกไง ส่งออกว่าสรรพสิ่งเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเราขาดแคลน ทุกข์เพราะคนไม่เชิดหน้าชูตาเรา

เขาเชิดหน้าชูตาขนาดไหน ถ้าเราไม่ได้ยินเรารู้เรื่องไหม ไอ้นั่นมันโลกธรรม ๘ เวลาเป็นความจริง ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ขึ้นมาเราจะค้นคว้าของเรา ค้นคว้าหาความจริงของเรานะ หาความจริงในใจของเรา ถ้าหาความจริงในใจของเรา เวลาเราเข้าไปในใจของเรา เราคิดว่าเป็นความคิดของเรา มันอยู่คนเดียวมันว้าเหว่ แต่พอเราเข้าไปในใจของเรานะถ้าเรามีสติปัญญานะ โอ้โฮ ทำไมความคิดมันมากมายขนาดนี้ ทำไมเรื่องในหัวใจเรามันเยอะแยะขนาดนี้ ถ้ามันเยอะแยะขนาดนี้ทำไมมันฟุ้งซ่าน ทำไมมันเผาลนเราขนาดนี้ ทำไมเราไม่เคยเห็นเลยไง

นี่ไงถ้าเรามีปัญญาอบรมสมาธิเราเข้ามาค้นคว้าในความรู้สึกของเรา ในหัวใจของเรา เราจะเห็นเลย โอ้โฮ ข้างในมันมีแต่ขยะ สิ่งสกปรกโสมมในใจเรามันมากมายขนาดนี้ เวลาเราดูสังคมนะ สังคมเวลาเขาคิดอะไรสิ่งที่ไม่ดีเราแปลกใจนะ ทำไมเขาคิดกันได้ขนาดนั้น แต่เวลาคนดีๆ เขาคิดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น เวลาเราจะเอาความจริงนะ เราเกิดมาเกิดมาโดยสมมุติ เกิดมาโดยโลก เรื่องของโลก เรื่องของโลกเรื่องภาวะสังคม สังคมถ้าเราเกิดมา สภาคกรรม ถ้าเราเกิดมาร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์จะได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ ถ้าสังคมมีความขัดแย้ง ดูสิ เวลาเกิดสงครามอย่างนี้เราจะไปนั่งภาวนาอยู่มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็ต้องหนีต้องหลีกต้องเร้น คนที่มีศีลเขาถึงเข้าป่าเข้าเขาของเขาไป เขาจะหลบหลีกสังคมของเขาไปให้มันน้อยที่สุด

เวลาหลวงตาท่านออกธุดงค์ท่านบอกหาบ้านน้อยๆ ๓ หลัง ๔ หลังก็พอ ถ้าเกินกว่านั้นไปแล้วเขามากวน เขามากวนคือว่าธรรมดาทุกคนก็ทำบุญกุศลแล้วเขาก็อยากได้บุญ เขาก็อยากจะรู้ว่าพระมีธรรมขนาดไหน พระมีคุณธรรมจะช่วยเหลือเขาได้ขนาดไหน เขาก็ต้องไปปฏิสันถาร เขาต้องไปคุยด้วยทั้งนั้นแหละ เขาต้องหลีกต้องเร้น เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติกันเราหลีกเราเร้นนะ เราหลีกเราเร้นเพื่ออะไร เพื่อเอาหัวใจเราให้ได้นะ

ถ้าเราเอาหัวใจเราได้ เราเข้าใจว่าเราเอาหัวใจเราได้ ได้จริงหรือเปล่า ถ้ามันได้จริงขึ้นมาแล้วสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับเราอยู่แล้ว มันเป็นประโยชน์กับเรา เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มองเด็กๆ เล่น เด็กๆ เล่น เด็กมันไร้เดียงสานะ ผู้ใหญ่รู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ชั่วนะ หัวใจของเรามันไร้เดียงสา เราคุมไม่ได้ เรารู้ไม่ได้ เราเข้าใจไม่ได้เลย แต่ถ้าผู้ใหญ่เขาดูนะมันของง่ายๆ ผู้ใหญ่เขามองเด็กเขาควบคุมได้ เขาดูแลได้

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่กว่ามันจะฝึกหัดจนเป็นผู้ใหญ่ได้ กว่าฝึกหัดจนมันยืนอยู่ได้มันทำมาขนาดไหน สติ มหาสติ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันแยกแยะขึ้นมา มันพิจารณาของมัน แยกแยะของมันเข้าไป มันจะสำรอก มันคายของมัน แม้แต่ทำความสงบของใจก็แล้วแต่ เวลาทำความสงบของใจที่ว่าเราทำได้ เราฟังเทศน์ขึ้นมาคนเกิดมา พระบวชใหม่ๆ ทุกคนปรารถนานิพพาน ปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วคิดว่าทำได้ด้วย แต่พอไปทำก็ ๕ ปี ๑๐ ปีท้อแท้ มันเป็นอย่างไร ตำราก็บอกไว้หมด ทางก็ชี้เข้ามาในหัวใจทั้งหมด แต่เวลาไปทำแล้วล้มลุกคลุกคลานเลย ใจของตัวก็หาไม่เจอ

หลวงตาท่านพูดนะ เวลาภาวนาไม่เป็นมันก็เหมือนกับถ่านดำๆ ดำปี๋เลย คือมันหยิบไปสกปรกโสมมไปหมด เวลาจะภาวนาขึ้นมา พอถ่านไฟมันจุดติดไฟแล้วมันแดงโล่เลย คือมันเผาทั้งเป็น เผาทั้งไม่เป็นนั่นล่ะ เวลาไม่เป็นมันสกปรก มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่เวลาจุดไฟขึ้นมาแล้ว ดูสิ เวลาภาวนาขึ้นมาแล้วคิดว่ามันจะไปได้ๆ มันล้มลุกคลุกคลานไปหมดเลย มันทำอย่างไร

นี่ไงเราเกิดมาโดยสมมุตินะ เกิดมาโดยโลก เกิดมาในสภาวะสังคมอันหนึ่ง แต่ถ้าเราจะหยุดเอาปัญหา เรามองกันด้วยทางโลกไง เรามองด้วยทางโลกมันก็ข้อวัตรปฏิบัตินั่นแหละ ความสวยงาม สมณะสารูปมันก็จริงอยู่ เวลาเราปฏิบัติเราต้องอยู่ในกรอบ เราทำของเราขึ้นมา แต่เวลาใจขึ้นมาอาบัติทางใจมันไม่มีไง ความรู้สึกนึกคิดมันคิดจินตนาการไปได้หมดเลย มันมีแต่เรื่องกรรมทั้งนั้นแหละ

เพราะมีคนมาถามปัญหาบ่อยมากเลย เวลาเข้าไปหาพระมันจะติจะเตียนตลอด เวลาภาวนาไปแล้ว จิตเวลามันลงไปแล้วมันมีความโต้แย้งตลอด มันขัดมันแย้ง แต่ครูบาอาจารย์ของเรา มันเชื่อมั่น มีศรัทธา มีความเชื่อ มีความมั่นคงมาตั้งแต่ต้น แต่เราทำของเราเองไปไม่ได้เอง เวลามันเป็นไปได้นะไอ้ความโต้แย้งอย่างนี้มันไม่มี มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน มันมาจากการกระทำ มันมาจากกรรมเก่าของคนแต่ละคนเท่านั้น

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปแล้วพอมันเข้าไปสู่ใจของตัว เวลาที่ว่าถ่านมันแดงโล่ๆ มันเผาเราทั้งนั้นแหละ มันเผาเราทั้งนั้นแหละ เวลามันเผาเราทำอย่างไรให้มันสงบขึ้นมาล่ะ พอเวลามันสงบขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สิ่งที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ว่างๆ ว่างๆ นั่นสัญญาอารมณ์สร้างความว่าง พยายามสร้างอารมณ์ว่าง อารมณ์ไม่ใช่จิต เราสร้างอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด เวลามันคิดออกไปมันเบียดเบียนตนเองนั่นแหละขยะ พิษ เป็นพิษเป็นภัยเอาเข้ามาทำลายตัวเองไง นั่นแหละความคิด

สิ่งที่เป็นความคิด สิ่งที่มันเป็นสัญญาอารมณ์ แล้วคิดให้ว่างๆ ว่างๆ พอมันว่างด้วยอารมณ์ อารมณ์ว่างมันมีความสบายใจไหม สบายใจ แต่จริงๆ มันเป็นสมาธิไหม มันไม่เข้าสมาธิเพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าสู่จิต ถ้ามันเข้าสู่จิตต้องทำอย่างไร เข้าสู่จิต พุทโธ พุทโธ พุทโธคำบริกรรมตัวมันเอง มันจะกล่อมตัวมันเอง มันกล่อมตัวเอง พุทโธจนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้เพราะอะไร เพราะพุทโธนั่นคือขันธ์ ๕ ไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

วิตก วิจาร ระลึกพุท ระลึกโธอยู่ มันเป็นเสวยอารมณ์ มันเป็นอารมณ์ สัญญาอารมณ์ๆ อารมณ์มันเกิด พุทโธ พุทโธอารมณ์ทั้งนั้นแหละ แต่อารมณ์หนึ่งอารมณ์พุทธานุสติ ไม่ใช่อารมณ์กิเลส อารมณ์กิเลสมันคลุกเคล้าไปหมดแหละ แต่เราพุทโธ พุทโธ พุทโธ อารมณ์ไหม อารมณ์ พุทโธจนพุทโธไม่ได้ นั่นสมาธิแท้ แต่พุทโธมันยังพุทโธได้อยู่ มันเริ่มเป็นสมาธิมันก็สบายๆ พุทโธมันละเอียด มันละเอียดมาก โอ้โฮ ใจมันว่าง มันยังพุทโธได้ นี่อุปจาระ แต่มันเข้าอัปปนามันพุทโธไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ปัญญาอบรมสมาธิเราหาเหตุหาผลกับความคิดของเรา ความคิดมันเผ็ดร้อน ความคิดมันมีแต่ความทุกข์ความยาก ความคิดมันคิดมาจากไหนล่ะ ไล่มันไปๆ เวลามันปล่อย มันปล่อย ขณะปล่อยอย่างนี้เวลาเป็นสมาธินะมันก็ไม่เหมือนกับพุทโธ เพราะพุทโธสมาธิมันจะดื่มด่ำมาก แต่เวลามันปล่อยอย่างนี้ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอย่างนี้มันเป็นสมาธิว่าเป็นสัจจะ เป็นความจริง แต่มันไม่ดื่มด่ำเหมือนพุทโธ

ถ้าอย่างนี้มันเป็นสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วเราก็แปลกใจใช่ไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราก็จิตสงบทุกวันเลย เราก็ว่างๆ ทำไมมันไม่สุขสักที แตกต่างกันตรงนี้ไง ทำไมมันไม่สุขล่ะ มันอารมณ์สบายใจ ว่างๆ ว่างๆ มันไม่เห็นแปลกประหลาดเลย แต่ลงสมาธิสิ ให้มันลงจริงๆ สิ งง เพราะสมาธิมันพูดออกมาไม่ได้ไง มันพูดเทียบเคียงกับความจริงอันนั้นไม่ได้เลย นั่นแหละคือความจริง แต่ไอ้นี่มันเป็นสัญญาอารมณ์ เราถึงทำกันไม่ได้จริงอยู่นี่ไง

ถ้าทำจริงๆ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สิ่งที่เป็นภาวะสังคม เรื่องสังคมเป็นเรื่องโลก เรื่องสมมุติ แต่สัจธรรมมันจะกังวานในหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วกังวานในหัวใจ พุทธศาสนาสำคัญที่นี่ ถ้าสำคัญที่นี่ สิ่งสภาวะแวดล้อม ทาน ศีล สภาวะแวดล้อมทั้งนั้นแหละ จริงๆ แล้วต้องประพฤติปฏิบัติถอดถอนเสี้ยนหนามในใจให้ได้ ถ้าถอดเสี้ยนหนามในใจได้ นั่นล่ะอัตตสมบัติ สมบัติประจำหัวใจของเรา อันนี้เรามาเป็นอามิสไง

สิ่งที่เป็นอามิสเราต้องเสียสละ เราทำของเราเป็นอามิสเพราะมันเป็นวัตถุ แต่ถ้ามันเป็นความจริง เวลาสงบขึ้นมาเราน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราทำสิ่งนี้ไม่ได้ เราอยู่บ้านของเรา ห้องพระที่ไหนเราก็ภาวนาได้ ในที่เรือนว่างที่ไหน ทางเงียบสงัดเราเดินจงกรมที่ไหนก็ได้ ใจของเราแท้ๆ เลย อัตตสมบัติมันอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่โคนไม้ อยู่ในที่สงบสงัด ที่ไหนทำได้หมดเลย นั่งอยู่ที่ไหนก็ทำได้ เพราะใจมันอยู่กับเรา เราต้องการหัวใจของเรา

ทรัพย์สมบัติมันอยู่ในบ้าน ทรัพย์สมบัติมันอยู่ในตู้เซฟนะ เวลาพลัดพรากไปแล้วมันก็คาอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าพุทโธ ถ้าจิตสงบ ถ้าอัตตสมบัติอยู่ในใจของเรา เราไปไหนมันก็ไปกับเรา ถ้าเราตายไปมันก็ไปกับจิตดวงนี้ สมบัติมันค้างอยู่บนโลกนี้ สมบัติเป็นสมบัติสาธารณะ แต่อัตตสมบัติ บุญกุศลไปกับใจดวงนี้ ใจดวงนี้ได้บุญกุศลมันจะไปกับเรา เราแสวงหาที่นี่ไง

เวลาเราเห็นกัน เห็นกันแต่วัตถุธาตุ เรายกกันมาเรามีแต่วัตถุธาตุ แต่ค่าของน้ำใจล่ะ หัวใจอันนั้นล่ะ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา พุทธศาสนาสอน นั่นล่ะเราเกิดมากับโลกๆ โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เหรียญมีสองด้าน โลกกับธรรมๆ อยู่กับโลกเราก็รู้ เราก็เข้าใจ แต่คนถ้าติดโลกหมดมันก็เอาโลกเป็นตัวอย่าง เอาโลกเป็นใหญ่ แล้วธรรมอยู่ไหน ธรรมอยู่ไหน

หัวใจที่ทุกข์ที่ยากอยู่นี่ สัจธรรมที่มันกังวานหัวใจ หัวใจของเราแท้ๆ หัวใจของเราแท้ๆ เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพุทธศาสนาเป็นกบเฝ้ากอบัว ไม่ได้สิ่งใดติดหัวใจเราไปเลยหรือ ถ้าได้ติดหัวใจเราไปเลยเราต้องมีความเข้มแข็งแล้วทำของเราขึ้นมา ถ้าทำของเราขึ้นมานะ ธรรมเหนือโลก ไม่มีใครรู้กับเรา สังคมกระทบกระเทือนเขารู้กันได้ แต่ใจเราเป็นธรรมไม่มีใครรู้ได้ เว้นไว้แต่เทวดา อินทร์ พรหมมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น

เวลาหลวงปู่มั่นท่านตรัสรู้ธรรมแต่ละขั้นๆ เพราะท่านมีอำนาจวาสนา เทวดา อินทร์ พรหมมาอนุโมทนาเลย เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขามีแต่หัวใจ เขารู้เรื่องทิพย์ เขารู้แต่ความรู้สึก เขาไม่มีร่างกายเหมือนเรา แต่พวกเราเอาแต่ร่างกาย เอาแต่โลกๆ เอาแต่ภาวะสังคม เอาแต่ความนุ่มนวลของโลกไง แต่เราไม่เห็นหัวใจมันนุ่มนวล มันอ่อนไหวขนาดไหน ถ้านุ่มนวลอ่อนไหวขนาดไหน นั่นเราทำตรงนั้น โลกกับธรรมมันก็อยู่กับเรา กายกับใจ โลกกับธรรม กายกับใจ ก็ของเรานี่แหละ เตือนเราๆ ให้เราค้นหาของเรา ค้นหาของเรา เอาสมบัติของเราให้เป็นสมบัติของเราให้ได้ เอวัง