เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฉะนั้น เวลาวัดปฏิบัติ วัดปฏิบัติเขาจะมีข้อวัตรปฏิบัติของเขาเพื่อวัดหัวใจของเขา แล้วถ้าเข้าถึงหัวใจนะ หลวงตาเวลาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า น้ำตาไหลพรากกลางหัวใจ มันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะว่าสิ่งที่ค้นคว้ามาทั้งชีวิต อดมื้อกินมื้อประพฤติปฏิบัติมา ขวนขวายมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์
เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ สิ่งนี้ถ้าเราไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นไว้เราจะมีอำนาจวาสนาได้แค่นี้หรือ เพราะ เพราะเวลาหลวงตาพอท่านบรรลุธรรมขึ้นมา จะสอนใครได้ จะสอนใครได้ พูดไปเขาก็หาว่าเราบ้า จะบอกใครได้ จะบอกใครได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็คิดอย่างนั้น มันจะบอกเขาได้อย่างไร มันจะบอกเขาได้อย่างไร
สิ่งนั้นว่าบุญ เวลาบุญหรือบาปมันอยู่ที่กลางหัวใจ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกของเรา เรามีเจตนาคุณงามความดีของเรา อันนั้นมันเป็นบุญ เป็นบุญเพราะเราคิดแต่เรื่องดีๆ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา อย่าคบคนพาล อย่าคบคนเลว ให้คบบัณฑิต แล้วความคิดที่มันเป็นพาลในหัวใจ มันเป็นพาลมันทำลายหัวใจเราอยู่เราคบมันอยู่ตลอดเวลาไง เวลาจะคบบัณฑิตๆ คิดดีๆ คิดไม่ได้เลย คิดไม่ได้เลย คิดดีๆ มันหายไปไหน
นี่ไงบุญ บาปมันอยู่ที่ไหน บุญ บาปมันอยู่ที่ไหน บุญ บาปมันอยู่ที่หัวใจนี้ ดูสิเวลาคนตายแล้วเขาเอาไปเผาในเชิงตะกอนมันไม่เคยบอกว่ามันร้อนเลย คนตายแล้ว เผาแล้วมันเป็นผุยผงไปหมดเลย มันไม่บ่นว่าเจ็บว่าปวดเลยนะ เวลาคนเป็นๆ มันบ่นทุกข์บ่นยากกันอยู่ มันบ่นอยู่ตลอดเวลา อะไรมันบ่นล่ะ มันทุกข์มันยากมันทุกข์มันยากที่ไง ถ้ามันทุกข์ยากที่ เราทำบุญกุศลมันเป็นอุบาย มันเป็นอุบายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ประชาชน ให้บริษัท ๔ ให้เสียสละทาน
การเสียสละทานคือการเสียสละความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจ สิ่งที่มันของเราใครไม่รัก อดมื้อกินมื้อ หามาปากกัดตีนถีบ แล้วทำไมเราต้องไปถวายทานๆ ถวายทานฉันไม่มีจะกินเอาอะไรมาถวาย ทุคตะเข็ญใจเขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้ของเขาเพราะเขาไม่มีของเขา ถ้ามีของเขา ถ้าคนมีคุณธรรมในใจ ไม่มีของเรานะเราก็อนุโมทนากับเขา เราเห็นคนเขาทำความดี เรามันเกิดมาทุกข์ทนเข็ญใจ เพราะเวลาเราทำกรรมของเรามาอย่างนี้ เขาทำกรรมของเขามา เขาทำบุญกุศลของเขา เห็นแล้วเราก็สาธุไปกับเขา
ถ้ามันเป็นธรรมาภิบาล ถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามันเป็นโลกนะมันจะเหยียบย่ำกัน มันจะเหยียบย่ำกัน มันจะทำลายกัน ทำสิ่งใดแล้วก็จะประกาศให้เขารู้สามโลกธาตุ เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่มั่นท่านทำอะไรท่านทำทิ้งเหว ท่านทำเบื้องหลัง ท่านปิดทองก้นพระ เวลาพ่อแม่สอนลูก เราได้อะไรจากลูกเราล่ะ เราให้ทุกอย่างกับลูกเรา เราให้ เราต้องไปประกาศกับใครไหม ฉันเป็นพ่อแม่ฉันต้องเลี้ยงลูกนะ อ้าว มันก็ต้องเลี้ยงโดยธรรมชาติ
ครูบาอาจารย์นะท่านจะสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์มันมีทิฐิมานะ ไปรู้ไปเห็นสิ่งใด ความรู้ความเห็นนั้นจริงไหม จริง เห็นจริงๆ รู้จริงๆ นั่นแหละ แต่เป็นความจริงไหม ไม่จริง ไม่จริงหรอก เห็นนิมิต รู้นิมิตต่างๆ ไม่จริงทั้งนั้นแหละ มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นแหละ แล้วไปบอกว่าไม่จริงมันจะเชื่อไหม ก็มันไขว่คว้ามา มันสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของมันมา แล้วบอกว่าไม่จริงมันเถียงกันตาย นี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นท่านบอกว่าสิ่งใดที่เห็นมาแล้วมันเป็นอดีตแล้ว มันเป็นอะไรก็วางไว้ก่อน เราทำคุณงามความดีของเรา เราพยายามทำความดีของเราต่อเนื่องไป
เวลามันแบก แบกปุ๋ยมา ปุ๋ยคอกมา แบกปุ๋ยคอกมาเดินทางไกล แบกปุ๋ยคอกมา ฝนตกนะ มากันสองคน อีกคนฉลาดมาก พอแบกปุ๋ยคอกมา พอไปข้างหน้าไปเจอแร่เหล็กเขาทิ้งปุ๋ยคอก เขาเอาแร่เหล็กนั้นไป ไอ้คนที่แบกปุ๋ยคอกมามันยังแบกต่อไปนะ มันแบกมาไกลมันเกิดทิฐิ ไปข้างหน้าเขาไปเจอเงิน ไอ้คนฉลาดมันทิ้งเหล็กนั้นมันไปเอาเงินนั้นนะ มันแบกเงินกลับบ้านมันไป ไอ้คนที่แบกปุ๋ยคอกมา เฮ้ย ฉันแบกมาไกลแล้วฉันไม่ยอม มันเดินไปข้างหน้ามันไปเจอทอง มันทิ้งเงินนะมันไปเอาทอง ไอ้คนแบกปุ๋ยคอกมายังแบกปุ๋ยคอกมันต่อไป พอไปถึงบ้านนะ ไอ้คนที่เอาทองมาไปฝากภรรยา ภรรยาอู๋ย ปลื้มใจสามีเราฉลาด ไอ้คนแบกปุ๋ยคอกมามันเอาปุ๋ยคอกไปให้ภรรยามัน ภรรยามันไม่ให้เข้าบ้านเลยล่ะ มันเอาปุ๋ยคอกมาว่าเอามาทำไม
ความรู้ความเห็นจริงไหม จริง แต่มันเป็นความจริงไหม ไม่จริง ไม่จริงเพราะมันเป็นประโยชน์ ประโยชน์ยังไม่สมประโยชน์ ไม่เป็นความจริงข้างหน้าไง แต่มันแบกปุ๋ยคอกมาตั้งแต่ต้น มันแบกมา มันแบกของมันมา มันไม่แบกมามันจะแบกมาได้อย่างไร ฝนตกมาเปียกแฉะมาเลย เวลาน้ำมันซึมมามันไหลมาท่วมตัวเลย กลับไปถึงภรรยานะ อู๋ย ฉันแบกมาไกลนะ กลิ่นเต็มตัวเลย ความดีความชอบ อยากจะเอาความดีความชอบ
เราจะบอกเขาได้อย่างไร เราจะบอกเขาได้อย่างไร ก็มันแบกมาตั้งแต่ต้น ไอ้คนที่ฉลาดมันก็แบกมาด้วยกันนั่นแหละ เพราะเราเกิดมาจากสมมุติ เราเกิดมาจากอวิชชา เพราะเราเกิดมาเรามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้เหมือนกันทั้งนั้นแหละ แล้วจะบอกให้มันทิ้งได้อย่างไร ทิ้งได้อย่างไร ทิ้งได้อย่างไรก็ฉันต้องมีปัญญา ฉันต้องทำมาหากินนะ คือปัญญาของฉัน แล้วฉันไม่ใช้ปัญญาฉันจะมีหน้าที่การงานได้อย่างไร
พ่อแม่ที่ฉลาดเขาจะฝึกลูกเขา ฝึกลูกเขาให้เป็นคนดี เพราะว่าถ้าเป็นคนดีแล้วเขาจะปลอดภัยกับสังคม ถ้าลูกของเขาเอารัดเอาเปรียบ ทำสิ่งใด เพื่อนเขาก็จะน้อยไปเรื่อยๆ แล้วทำสิ่งใดไปเขาจะมีโทษไปข้างหน้า เราสอนลูกเราให้เป็นคนดี ถ้าสอนลูกให้เป็นคนดี แล้วถ้ามันฉลาดด้วยนะ ดีด้วย ฉลาดด้วย เก่งด้วย สุดยอดเลย แล้วถ้ามันดีแล้วนะ มันดีมันมีความสุขของมัน ถ้ามันฉลาดไม่เทียมหน้าเทียมตาเขามันจะทำอย่างไร อันนั้นก็อำนาจวาสนาของเรา เราก็ฝึกฝนของเราไป นี้ลูกของเรา
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราๆ ถ้าหัวใจของเราสุขทุกข์มันอยู่ที่ไหน สุขทุกข์มันอยู่ที่ไหน ว่าปัญญาๆ ปัญญากิเลสทั้งนั้นเลย เวลาเห็นคนอื่นนะ เห็นโทษคนอื่นผิดหมดเลย คนนู้นก็ทำไม่ดี คนนี้ก็ทำไม่ดี คนนี้ก็ทำไม่ดี แต่มันไม่ได้มองตัวมันเองเลย เวลาพูดกันคนนู้นก็หนวกหู คนนี้ก็หนวกหู ไอ้คนพูดหูมันอยู่กับปากไม่ได้ยินหรือ ตะโกนบอกคนนู้นบอกคนนี้แล้วหูกับปากมันอยู่ติดกันมันไม่ได้ยินหรอกเพราะมันพูด ถ้าคนอื่นพูดไม่ได้นะ คนอื่นพูดหนวกหู
ก็เหมือนกัน เห็นเขาไปหมด คนอื่นทำผิดเห็นไปหมดเลย แต่เวลาเราผิดพลาด ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เบียดเบียนตนก่อนแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น มันเบียดเบียนหัวใจเราแล้วนะ แต่เพราะมันเป็นเราไง กิเลสของเรา เราก็ว่าเป็นเรา เราก็ชื่นชมว่าเราคิดถูกไง ข้างหน้าคุกมันจะรอขังไว้นั่นน่ะ คิดถูก แต่ถ้าเป็นเด็กดี ทำคุณงามความดีนะ ความดีมันเหนือโลก
ถ้าความดีนะ สิ่งใดก็แล้วแต่ถ้าดีเกินไป กฎหมายยังไม่มีเขาก็ยังไม่ว่าหรอก แต่ถ้ามันมีปัญหาปั๊บเขาบัญญัติกฎหมายไปเรื่อยๆ ทีนี้เวลาคนบัญญัติด้วยกฎหมายใช่ไหม จะดีจะชั่วบังคับกันด้วยกฎหมาย คนเราเสมอภาคด้วยกฎหมาย แต่เวลาเสมอภาคด้วยกฎหมาย ไอ้คนที่ฉลาดกว่ามันก็เล็ดลอดไปตามแง่มุมของกฎหมายนั่นแหละ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ว่าปัญญาๆ ไอ้อย่างนั้น ถ้าปัญญาอย่างนั้นมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลกมันเบียดเบียนตน มันเบียดเบียนตนมันไม่เป็นจริงไง แต่ถ้าเป็นปัญญาทางธรรมนะทำความสงบของใจเข้ามา เป็นพื้นฐานเลย ถ้าเราเท่าทันความคิดเรามันต้องหยุดหมด ถ้าความคิดหยุดหมด จิตมันจะเข้ามาเป็นอิสรภาพของมันเอง ถ้าจิตเข้ามาเป็นอิสรภาพของมันเอง เพราะเราปฏิสนธิจิตเกิดในวัฏฏะ คนที่เกิดมีจิต มีหัวใจเป็นผู้พาเกิด แล้วถ้าใครทำความสงบของใจเข้าไปได้ เข้าไปถึงตัวจิต จิตมันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่คิด
ความคิดนั่นน่ะ ดูสิอำนาจวาสนาของจิต พันธุกรรมของมัน ถ้ามันปล่อยเข้ามามันก็ปล่อยเข้ามาสู่ธาตุรู้ สู่ธาตุรู้ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันก็เป็นความจริงอันนั้นไง ถ้ามันเข้าไปสู่ความสงบอันนั้น จะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จะเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ จะทำอย่างใดขอให้จิตเข้าไปสงบให้ได้ ถ้าจิตมันสงบได้ ธาตุรู้เหมือนกันหมด ธาตุรู้เหมือนกันหมด ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แต่เราไปทำฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติมันส่งออกแล้วมันเสวยอารมณ์ เพราะมันเสวยอารมณ์มันมีกำลังของมันมันถึงไปรู้เรื่องของคนอื่น ถ้ารู้เรื่องของคนอื่นแล้วเรื่องตัวเองมันไม่รู้
นี่ไง ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทุกข์ยากอัตตกิลมถานุโยค เวลามันมีความสุข มันมีว่างๆ มันมีความพอใจ นั่นล่ะกามสุขัลลิกานุโยค แล้วมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ ทางสายกลางก็เมตรหนึ่งก็แบ่งครึ่ง ๕๐ เซ็นกูไปทางนี้ ไอ้นี่มัน ๕๐ เซ็น มันไม่ใช่จิต ทางสายกลางๆ กลางของคนขี้ขลาด คนขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าสู้กับกิเลสของตัวเอง ไม่กล้าเข้าไปเผชิญกับความคิดของตัวเอง ความคิดของเรากิเลสมันหลอกใช้อยู่ ขี้ขลาดตาขาว ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ
ว่างๆ ไปทางที่หลบไง หลบซะไม่ไปค้นคว้าหาสิ่งใด ไม่ทำสิ่งใด ลงไปอยู่กับความว่างอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันมีพลังงานของมัน ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะความไม่รู้เราถึงเวียนว่ายตายเกิดมา ทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ด้วยคุณงามความดี ด้วยครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมา เราได้ทำตามท่านมา ด้วยบุญกุศลอันนี้ได้เสวยภพเสวยชาติที่มีความสุข มีความสุขขนาดไหน เวลาหมดอายุขัยมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
นี้เป็นความดีของโลก ความดีของวัฏฏะ ความดีของทำดีและทำชั่ว แต่มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางในสัจธรรมเรายังไม่เคยพบเคยเห็น ครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา มันทาน ระดับของทาน เวลาทานมันก็มีการเสียสละ มันมีการกระทำ มันก็เรื่องธรรมดา แต่เรื่องธรรมดา ทานเสร็จแล้วจะทำทานมากน้อยขนาดไหน ถ้าเราจะค้นคว้าความจริงเราก็ต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา เพราะ เพราะมันเป็นปัจจัตตัง สุขทุกข์เรารู้
ครูบาอาจารย์ท่านมีความสุขก็มีความสุขของท่าน ท่านมีความสุขของท่านนะ หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าเราอยู่คนเดียวมีความสุขมาก แต่ที่มันต้องออกมาเพราะมันเห็นแก่ไอ้ตาดำๆ ต้องออกมาเพื่อน้ำใจของคน ถ้าท่านอยู่ของท่านคนเดียวท่านมีความสุขมาก สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ แต่อยู่ที่ใจมันต้องเป็นความจริงนะ ไม่ใช่สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราก็สร้างปั้นหน้ากัน เพราะสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ แชร์ลูกโซ่มันถึงได้มหาศาลไง เพราะสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ ใครทำแล้วได้ผลประโยชน์นะ มันเอาความโลภมาหลอกไง
ไอ้เราอยากได้ผลประโยชน์ตอบแทนเราก็โลภไปกับเขาไง สุขทุกข์อยู่ที่ใจมันต้องมีเหตุมีผล สุขทุกข์อยู่ที่ใจมันต้องเป็นปัจจัตตัง สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ มันอยู่ที่พฤติกรรม ถ้าสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ เอ็งต้องมาหลอกเขาทำไม ถ้าสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ หลวงตาท่านบอกท่านอยู่เฉยๆ ของท่านจะมีความสุขของท่านมากไง แต่เพราะไอ้ตาดำๆ นี่แหละ ไอ้เพราะเราต้องมาเห็นน้ำใจของคนนี่แหละท่านถึงต้องมาแบกขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงของคน
ไอ้พวกขี้มันต้องการเอาความเห็นของตัว มันต้องการให้คนเอาใจ ไอ้พวกขี้มันต้องการให้คนยกย่องมัน ไอ้พวกขี้มันต้องการให้คนสรรเสริญมัน แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านอยู่ของท่าน มีความสุขของท่าน ความสุขของท่าน ถ้ามันจะปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างไร มันต้องมีเหตุมีผลสิ มันต้องเป็นความจริงสิ ถ้าปล่อยวางๆ มันก็อากาศไง ว่างๆ ว่างๆ ในตุ่มในไหมันก็ว่างถ้ามันไม่มีน้ำ แล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร ความว่างๆ ความว่างมันเป็นผลนะ แต่ความว่างมันต้องมีที่มาที่ไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อประสบการณ์ตามจริงของเรา ฟังท่าน ใครฟังแล้วเชื่อคนนั้นโง่มาก ฟังแล้วเอาไปคิดไตร่ตรอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอง อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อว่ามีมุมมองเหมือนเรา อย่าเชื่อๆๆ ให้เชื่อประสบการณ์มันว่างจริงหรือเปล่า มันว่างทำไมไม่มีอะไรเป็นแก่นสารในชีวิตเราเลย มันว่างแล้วทำไมไม่สามารถบังคับว่าอะไรดีอะไรชั่วในใจเราได้
ไอ้ธรรมาภิบาลทำดีทำชั่ว ความดีของโลก เราทำมาหากินกันอยู่นี่ปากกัดตีนถีบเป็นความดีไหมเป็น แต่เป็นความดีในชาติในตระกูล เป็นความดีเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อความมั่นคงของชาติของตระกูล แล้วความดีของเราล่ะ ความดีของเรา ความดีของเรา เราอยู่กับชาติตระกูลใช่ไหม ชาติตระกูลเรา พี่น้องเรามันก็มีคนเห็นแก่ตัว มีคนใจเป็นธรรม มีทั้งนั้นแหละ ในชาติตระกูลของเราก็มีคนดี คนเลวเหมือนกัน ในความคิดเรามันก็มีเหมือนกัน แล้วหัวใจเราล่ะ หัวใจเราล่ะ
นี่ไงวัดป่าๆ ไปวัดที่ปฏิบัติเขาวัดกันที่หัวใจ ถ้าหัวใจมันดีนะ มันสงบ มันระงับนะ มันอยู่โคนไม้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มันไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไรทั้งสิ้น พิธีกรรมอันนั้นมันเป็นศาสนพิธี คำว่าพิธี หลวงตาท่านบอกว่าปฏิบัติกันพอเป็นพิธี เห็นเขาปฏิบัติกันก็ไปเหยาะๆ แหยะๆ ไปกับเขา ฉันก็นักปฏิบัติเหมือนกัน ฉันก็เป็นชาวพุทธ ฉันก็ได้ปฏิบัติแล้ว ใครปฏิบัติไม่ได้ถามฉันฉันรู้
ตัวเองยังไม่รู้จัก ถ้ารู้ต้องรู้ตัวเอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ ถ้าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเวลาปฏิบัติออกพรรษาแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาใครปฏิบัติแล้วขัดข้องสิ่งใดจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนพยากรณ์ ถูกหรือผิด ทำหรือดี ควรส่งเสริมอย่างไร ใครที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้มรรคไม่ได้ผลก็พยายามส่งเสริมให้ทำให้มากขึ้น คนที่ทำดีแล้วก็ทำให้ดีมากขึ้น คนที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว คนนั้นท่านสาธุ สาธุ เขาจบแล้ว เขาจบแล้ว
ในสมัยพุทธกาลนะพระเวลาปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่สามเณรน้อย มาช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระมัคคุเทศก์ เป็นพระต่างๆ เป็นผู้ดูแล นั้นพระอรหันต์ทั้งนั้นนะ แต่เวลาพระที่เป็นแขกจรมามันเห็นสามเณรน้อยมันไปลูบหัวเล่น มันนึกว่าเด็กน้อยไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนั่นพระอรหันต์นะ เอ็งไปลูบหัวเล่นอยู่พระอรหันต์นะ เวลาเรามาเราแบกทิฐิมานะมาไง เราว่าเราใหญ่เราโตไง เราว่าเรามีปัญญามากๆ ไอ้พระอรหันต์เขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขาทำข้อวัตร เขาทำข้อวัตรดูแล ทำถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา
นั่นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์อ่อนน้อมถ่อมตน เขามีความสุขในใจของเขา ความสุขมันจบแล้ว ไอ้ข้างนอกมันมีอะไรอีกล่ะ ข้างนอกสมมุติทั้งนั้น สมมุติเป็นสมมุติชั่วคราว ถ้าสมมุตินะดูสิเวลาเงินเฟ้อเขาไปซื้อทองคำกันเพราะอะไรล่ะ เพราะทองคำมันมีค่าในตัวมันเอง ไอ้เงินนั่นสมมุติทั้งนั้นแหละ เวลาจะหนีเงินเฟ้อไปซื้อแร่ธาตุ แร่ทอง ไปซื้อแต่ของมีค่าในตัวมันเอง แล้วกระดาษไม่เก็บไว้ล่ะ กระดาษไม่เก็บไว้ สมมุติทั้งนั้น สมมุติทั้งนั้น
อันนั้นมันแร่ธาตุนะ แต่เวลาจริงๆ ธาตุรู้ ธาตุรู้ของเราธาตุรู้มันมีค่ามาก มันมีค่ามาก แต่เรามองข้ามกันไป หลวงตาท่านสอนบ่อย หัวใจมันเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจเรา เวลามันทุกข์มันยากเรียกร้องความช่วยเหลือ เราจะไปให้ใครช่วยเหลือล่ะ มีมรรคมีผล เวลามีสติมีปัญญาเราจะช่วยเหลือ เวลาเรามีสติขึ้นมา ตกใจ ทุกข์ยากสิ่งใด พอมีสติขึ้นมา ใจเอ้ย พอขาดสติเอ็งก็ตกใจอย่างนี้ เอ็งก็ดิ้นรนไปอย่างนี้ พอสติมันมาเราก็มีสติปัญญาปลอบหัวใจของเรา กำหนดพุทโธ พุทโธให้มันมีที่พึ่ง แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้น มรรคญาณมันเกิดขึ้น มันชำระมันฟอกมา
พอใครประพฤติปฏิบัติเห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่เราทำมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ฟองอวิชชาคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เจาะฟองอวิชชานั้นออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมวินัยไว้ให้เราฝึกหัด เวลาเราไปฟอกเราจะฟอกเปลือกไข่ เราจะทำลายเปลือกไข่ เราจะทำลายสิ่งที่ครอบงำหัวใจเรา แล้วใครเป็นคนทำล่ะ เราเป็นคนทำ ถ้าเราเป็นคนทำเราจะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ เราจะซาบซึ้งครูบาอาจารย์เราหรือไม่
ครูบาอาจารย์เรามาต้องทำอย่างนั้นมา ท่านต้องเห็นของท่านมา ท่านทำของท่านมา ท่านประสบความสำเร็จของท่านมา แล้วท่านสอนเราๆ ถ้าเรายังจับต้องไม่ได้เราก็ยังตีโพยตีพายกันอยู่ รู้เห็นนิมิต รู้ความแตกต่าง อวดรู้ อวดเห็น อวดไปทั่ว ครูบาอาจารย์ของเรานะท่านเก็บไว้ในใจ แล้วให้คนเป็นพูดคำไหนมันก็ถูก คนไม่เป็นพูดคำไหนมันก็ผิด แค่นั้นท่านก็รู้หมดแล้ว ความรู้อย่างนั้น พูดถึงนะท่านมีความสังเวช ความสังเวชว่าคนรู้มันควรจะรู้จริง แต่เขารู้ไม่จริงมันเลยเป็นอย่างนั้น เห็นไหม จริตนิสัย นิสัยสันดาน สันดานมันเป็นแบบนั้นไง
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะต้องปราบสิ่งที่เป็นทิฐิมานะในใจ ถ้าปราบได้มันก็เป็นประโยชน์ตรงนั้น ถ้าปราบไม่ได้นะเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เอวัง