เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะของเราสดๆ ร้อนๆ นะ ดูสิ เราพิมพ์หนังสือมา เราไปค้นคว้ามา ไปขุดมา หลวงปู่ตื้อท่านเสียไปแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้ว ถ้าล่วงไปแล้วนะเวลาท่านมีชีวิตอยู่ท่านแสดงธรรมเป็นของสดๆ ร้อนๆ เวลาสดๆ ร้อนๆ สังคมสมัยนั้นได้ประโยชน์ไง แต่ท่านสร้างบารมีของท่านมา ท่านสิ้นไปแล้ว ท่านฌาปนกิจแล้วเป็นพระธาตุหมดเลย

ถ้าเป็นพระธาตุ ของที่มีคุณค่าเราไปขุดไปค้นมา ไปขุดค้นมาให้เป็นที่รื่นเริง เป็นที่น่าภูมิใจของเราชาวพุทธไง เพราะชาวพุทธ ศาสนาพุทธศาสนาแห่งเหตุแห่งผล ใครทำคุณงามความดีก็ได้คุณงามความดีนั้น ใครประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์มันจะได้ที่สุดแห่งทุกข์ มันสดๆ ร้อนๆ ของมันสดๆ ร้อนๆ ใครทำก็ใครได้ไง สัจธรรมอันนี้เป็นความจริง ครูบาอาจารย์ท่านทำแล้ว ท่านพิสูจน์แล้ว

ในวงกรรมฐานเราเวลาครูบาอาจารย์ ดูสิ เจ้าคุณธรรมเจดีย์ ลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น ท่านเป็นอุปัชฌาย์ไง เวลาท่านบวชให้ๆ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วท่านเป็นอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ใครปฏิบัติได้ผลท่านจับคุยกันๆ จับคุยกันคือธมฺมสากจฺฉา มันตรวจสอบกันๆ ไง การตรวจสอบกันมันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ความสะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบริสุทธิ์ได้คุยกัน ได้ตรวจสอบกัน มันรื่นเริง มันเป็นคุณงามความดีทั้งนั้น

ถ้าคุณงามความดีทั้งนั้น สิ่งนั้นเราเอามาเป็นหลักใจ เอามาเป็นหลักใจ ฟังธรรมๆ ของเก่าแก่ แต่เวลาของสดๆ ร้อนๆ ของสดๆ ร้อนๆ ออกจากปัจจุบันนี้ ออกจากปัจจุบันนี้ก็ออกจากหัวใจที่ทุกข์ที่ยากนี้ แต่เวลาของหลวงปู่มั่นเวลาท่านออกจากหัวใจของท่าน หัวใจของท่านสะอาดบริสุทธิ์ ความที่สะอาดบริสุทธิ์ น้ำอมตะธรรม หลวงตาท่านบอกว่าในหัวใจของท่านตักไม่เคยบกพร่อง หัวใจของท่านเป็นคุณธรรม ตักไม่บกไม่พร่อง น้ำอมตะธรรมมันล้น มันล้นในหัวใจนั้น มันล้นในใจนั้น มันมีความสุขในหัวใจนั้น แต่เวลามันออกจากหัวใจที่คนทุกข์คนยาก คนทุกข์คนยากมันก็ด้วยสัญญา ด้วยการคาดด้วยการหมาย ด้วยการด้นการเดา

สิ่งนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลามันออกจากหัวใจของคนที่เป็นธรรมๆ น้ำอมตะธรรมมันล้นหัวใจ ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง พวกเรามันทุกข์มันยากตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง แต่สัจธรรมอันนั้น ความจริงอันนั้น ความจริงอันนั้น ตักไม่หมดไม่สิ้น ตักไม่หมดไม่สิ้น แต่จะให้ใครตักล่ะ เขาไม่ตัก เวลาเขาไม่ตัก เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เสียสละ สอนให้ทำคุณงามความดี การเสียสละมันทุกข์มันยาก

มันทุกข์มันยาก ดูสิ ความตระหนี่ถี่เหนียวมันเที่ยวไปกว้านมาเป็นของมัน แล้วไม่ได้อะไรเลย เวลากว้านของมัน สิ่งนั้นเป็นของเราๆ ไปกว้านมา ไปกว้านมาแล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยนะ ถ้ามันเป็นสุจริต ได้มาโดยธรรมาภิบาล ของนั้นเป็นสุจริตด้วยศีล ด้วยธรรม มันก็เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของสมมุติ ถ้ามันได้มาด้วยทุจริต สิ่งที่ได้มามันสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าสร้างเวรสร้างกรรม ที่ว่าได้มาๆ ไปขวนขวายมามันเป็นประโยชน์สิ่งใด

ถ้าเราเสียสละๆ วางไว้ เราวางไว้ สมบัติของโลกเราหามาแล้วก็วางไว้กับโลกนี้ โลกใช้ประโยชน์กับโลกนี้ แต่หัวใจของเราล่ะ เราเกิดมาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติมีอริยทรัพย์ อริยทรัพย์อันนี้เอามาใช้ทำอะไร ถ้าเราเอามาใช้ๆ ถ้าคนมีสติปัญญา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ถ้าเป็นฆราวาสนะท่านแสดงอนุปุพพิกถาก่อน ท่านแสดงเรื่องศีล เรื่องทาน เรื่องให้เขาเข้าใจของเขา

พอจิตใจมันเข้าใจ จิตใจเข้าใจ ดูสิ คนเวลามีปัญญา เวลาคุยกัน คนที่ปัญญาเสมอกันเขาคุยแล้วเขาเข้าใจกันหมดเลย เวลาปัญญามันแตกต่าง วุฒิภาวะมันแตกต่างกัน คุยกันมันไม่ค่อยเข้าใจกัน ไม่ค่อยเข้าใจกัน หัวใจที่มันหยาบ หัวใจที่มันเรื่องโลก หัวใจที่มันเรื่องตัณหาความทะยานอยากมันพูดเรื่องสัจธรรม พูดเรื่องธรรมะมันฟังไม่เข้าใจหรอก ถ้าไม่เข้าใจนะฟังเหมือนกันแต่ตีความแตกต่างกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงอนุปุพพิกถาให้เขามีพื้นฐานก่อน ถ้ามีพื้นฐานแล้วท่านถึงแสดงอริยสัจ

ถ้าแสดงอริยสัจ สัจจะมีหนึ่งเดียว ครูบาอาจารย์ของเราเวลาปฏิบัติธรรมไปแล้วเวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์เหมือนกันหมด เหมือนกันโดยอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ แต่วิธีการแตกต่างกันหมด วิธีการแตกต่างกัน เพราะว่าจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน คนสร้างอำนาจวาสนามาแตกต่างกัน แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรม ใครประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง ถึงที่สุดแห่งทุกข์ๆ มันเป็นความจริง สัจธรรมอันนั้นเป็นอันเดียวกัน

ถ้าเป็นอันเดียวกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม อริยสัจ สัจจะ สัจจะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อนาคตกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะมาตรัสรู้อริยสัจอันนี้อันเดียวกัน อันเดียวกัน มันมีหนึ่งเดียว มันมีสัจจะมันมีหนึ่งเดียว ถ้าครูบาอาจารย์ปฏิบัติตามความเป็นจริงมันจะเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าเป็นความจริงอย่างนั้น ดูสิ ธรรมะๆ ของที่มันมีอยู่นั่นน่ะ ฟังธรรมๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบัน มันสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ แล้วมันก็ออกจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง

ใจดวงหนึ่ง ดูสิ พระไตรปิฎก สิ่งนี้เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราเคารพกัน พวกเราศึกษากัน เวลาศึกษากัน เวลาศึกษาด้วยกิเลส ศึกษามาแล้วก็มีความลังเลสงสัย มีการประพฤติปฏิบัติแล้วไม่แน่ใจ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ ท่านมีชีวิต ผิดท่านบอกว่าผิด ถูกท่านบอกว่าถูก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันสวนไง เวลาสวนขึ้นมาธรรมะนั่นน่ะ ธรรมะเวลาแสดงธรรม ธรรมข้อเดียว ธรรมบาทเดียว

เวลาหลวงตาท่านไปเถียงหลวงปู่มั่น จะบอกว่าท่านเวลาเถียงหลวงปู่มั่นไม่ได้เถียงด้วยทิฐิมานะ ไม่ได้เถียงด้วยอวดดี อวดเก่ง อวดรู้ ไม่ใช่ เราแสวงหาสิ่งนี้ เราหาครูบาอาจารย์เกือบเป็นเกือบตาย เราแสวงหาพ่อแม่ เราแสวงหาคนปกป้องดูแลเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป กิเลสกับธรรมในหัวใจเรามันต่อสู้กัน เวลากิเลสมันโดนขีดวง ดูสิ สัมมาสมาธิมันขีดวงกิเลสไว้ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันเกิดปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันยังมีสมุทัยเจือปนอยู่ แต่ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เราก็มีปัญญาของเรา เราก็ปฏิบัติของเรา แต่มันไปไม่ได้มันติดขัด

เวลาขึ้นไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นความจริง แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติ กิเลสกับธรรมในหัวใจยังต่อสู้กันมันก็มีความแปลกแยก มีความเห็นแตกต่าง แต่มันเห็น แต่มันเห็น แต่มันทำ แต่มันทำ เวลาขึ้นไปสนทนาธรรมเราก็ต้องพูดถึงความเห็นของเรา เพราะเราโอบอุ้มมันอยู่ เรากอดมันอยู่ แล้วเราอยากจะสละ เราอยากจะวางมันวางไม่ได้ แล้วทำอย่างไรล่ะ แต่เวลาขึ้นไปหาท่าน เวลาโต้แย้งกันโต้แย้งกันด้วยธรรม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลชีวิต เป็นมงคลแห่งการประพฤติปฏิบัติ

หลวงปู่มั่นท่านก็แสดงธรรมด้วยหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ท่านก็รู้ ท่านผ่านวิกฤติอย่างนี้มา ตั้งแต่ถ้ำสาริกา ตั้งแต่ขึ้นไปเชียงใหม่ ท่านผ่านวิกฤติอย่างนี้มา ท่านรู้จักกิเลสดี แต่คนปฏิบัติกิเลสกับธรรมในหัวใจของเรา เราเคลิบเคลิ้ม เราเห็นว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มีการโต้แย้งกันๆ โต้แย้งกัน นี่ไงว่าโต้แย้งกัน ไม่ได้โต้แย้งกันด้วยทิฐิมานะ โต้แย้งเพราะเรามีความรู้ความเห็น ถ้าความรู้ความเห็นมันก็โต้แย้งกัน

หัวใจที่เป็นธรรม เป็นธรรมๆ มันก็เป็นธรรมวันยังค่ำ แต่ของเรายังประพฤติปฏิบัติธรรม กิเลสกับธรรมในหัวใจมันกำลังต่อสู้กัน เวลาต่อสู้กันนะ เวลาต่อสู้มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าของเราเราไม่ได้ต่อสู้ เราเคลิบเคลิ้ม เราหลงใหล กิเลสมันบังเงา มันบังเงาว่าเราเป็นอันเดียวกัน เรารู้เหมือนกัน เราชัดเจนเหมือนกัน เราเป็นธรรม

เวลากิเลสมันบังเงา แล้วก็อ้างอิงไปอย่างนั้นแหละ ทีนี้คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็เชื่อ เชื่อเพราะเราเชื่อว่าท่านเป็นผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลต้องไม่พูดปดมดเท็จ แต่กิเลสมันหลอกในใจผู้ทรงศีลนั้นก่อน กิเลสมันไปพลิกแพลงในใจของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรไง ถ้าผู้ทรงศีลไม่รู้ตัวเองผิดอะไร พูดออกไป

ผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลก็โกหกได้ ผู้ทรงศีลพูดด้วยความไม่รู้ แต่ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรู้ของจริง ผู้ทรงศีล ทรงศีลด้วยอธิศีล อธิศีลมันเป็นศีลในใจ เราอาราธนาศีล อาราธนาเอา อาราธนาแล้วก็ถือศีล ๔ นะ สุราเอาไว้ก่อน เราอาราธนาเราก็ยังแบ่งแยกว่าจะถือกี่ศีล กี่ข้อๆ แต่เวลาวิรัตน์เอาเรามีสติมีปัญญาเราอยากได้ อยากเป็น เราวิรัตน์ไม่ต้องขอกับใคร

ศีลคือความปกติของใจ ใจเรามีอยู่แล้ว เรารักษาของเรามันจะเป็นปกติของมันขึ้นมา แต่เวลาปกติแล้วเดี๋ยวกิเลสมันตอแยขึ้นมามันก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่นี้ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเป็นอธิศีล มันขยับตัวเมื่อไหร่มันรู้ตลอดเวลา มันสมบูรณ์ในตัวมันเอง ถ้ามันขยับคือมันเสวย ถ้ามันเสวย เสวยเป็นความคิด มีเจตนาทำสิ่งใดมันเสวย แล้วท่านมีสติปัญญาตลอด อธิศีลมันเป็นศีลโดยธรรมชาติ มันเป็นศีลโดยข้อเท็จจริงเลยล่ะ อย่างนั้นแหละ

นี่ไงคุณธรรมแท้มันเป็นอย่างนั้นไง แต่ของเราเราขอเอา จิตใจของเรามันยังต่อสู้กัน เวลาธมฺมสากจฺฉา เหมือนเราเป็นคนไข้ เราเป็นคนไข้ เราเป็นคนป่วย เราไปหาหมอเราก็ต้องว่า หมอจะหายเมื่อไหร่ โรคนี้จะกินอย่างไร ยาจะทำอย่างไร คนที่ประพฤติปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันยังโต้ยังแย้งกัน กิเลสกับธรรมในหัวใจมันยังต่อสู้กัน เวลาหาครูบาอาจารย์ ฉะนั้น บอกว่าเวลาท่านโต้แย้งๆ ไม่ได้โต้แย้งด้วยทิฐิมานะ ไม่ได้อวดรู้อวดเก่ง ไม่ได้ว่าอยากจะชนะคน อยากจะเหนือคน

อยากฟัง อยากฟังอยากรู้ อยากรู้ความจริง แล้วเราก็รู้อยู่เต็มๆ หัวอกอยู่นี่ มันจริงหรือไม่จริงล่ะ สุดท้ายแล้วท่านบอกว่ามันไม่จริง ไม่จริงเพราะมันมีสมุทัยเจือปน มันมีความรู้ ความเห็นของเราเจือปน มันมีกิเลสเจือปน สมุทัยมันเจือปนขึ้นมา มันถึงไม่สะอาดบริสุทธิ์ไง มันถึงเป็นไปไม่ได้ไง ถ้าเป็นไปไม่ได้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านก็ให้กำลังใจ ท่านบอกว่าที่ทำมามันก็ถูก มันถูกแล้วล่ะ แต่มันต้องถูกให้มากขึ้นไปกว่านี้ ถูกให้เป็นความสะอาดบริสุทธิ์

คำว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ๆ เราก็ ๙๙.๙๙ อยู่นั่นแหละมันไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์สักที ไอ้จุดนั้นแหละมันหลบตัว เดี๋ยวมันแสดงตัวขึ้นมามันยิ่งเกินร้อย มันควบคุมหมดเลย เรามีอำนาจวาสนาอย่างนี้ ฟังธรรมๆ จากครูบาอาจารย์ที่ท่านสดๆ ร้อนๆ มันเป็นประโยชน์อย่างนี้ไง จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่งนะ เราประพฤติปฏิบัติอยู่ เรามีมืออยู่มือหนึ่ง แล้วเราแสวงหาอยู่ แสวงหา แต่มันไม่มีมือไหนยื่นมาไง มันไม่มีมือไหนยื่นมาเลย เราก็ค้นคว้าเอาจากธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ จดจารึกกันมาเราก็ค้นคว้าอย่างนั้น มืออย่างนั้นเราออกมาแล้วเราตีความไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง แล้วมือที่ส่งมานั้นมันสะอาดบริสุทธิ์ด้วยใช่ไหม มันไม่ใช่มืออย่างเรา มืออย่างเรามือยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่มันมีเชื้อโรค มีเชื้อโรคอยู่ ยื่นไปอย่างไร คนที่วุฒิภาวะเขาไม่เข้มแข็งเขาก็กลัว เขาก็ระวังของเขา เชื้อโรคจะติดตัวเขาไป แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา มือของเราเราแสวงหาของเรา ทำของเรา เราก็อยากมือหนึ่งอยากจะให้มือครูบาอาจารย์ชักจูงเราขึ้นไป

หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้เอง จิตใจที่สูงกว่า จะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา คนที่ทำสมาธิไม่ได้ คนที่ทำสมาธิชำนาญเขาก็แตกต่างกันแล้ว ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ถ้ายกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรคคือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาแล้วเวลามันเป็นไปไม่ได้มันก็เสื่อมถอยมันไป แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ท่านเสื่อมถอยแล้วท่านพยายามฟื้นฟูขึ้นมา พยายามทำของท่านให้มั่นคงขึ้นมา

ถ้ามันขึ้นมา จิตมันสงบไปแล้ว เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เริ่มต้นใหม่แต่มันละเอียดลึกซึ้งมากกว่า มันชัดเจนมากกว่า ทำซ้ำทำซากขึ้นไป เวลามันสมุจเฉทปหาน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล จิตใจที่สูงกว่า สูงกว่าอย่างนี้ บุคคล ๘ จำพวก บุคคล ๘ บุคคล จากใจดวงหนึ่ง บุคคลคนเดียวมันเปลี่ยนแปลงมีสถานะแตกต่างกันไป สถานะแตกต่างกันไปเพราะว่าการประพฤติปฏิบัติ กุปปธรรม อกุปปธรรม

ถ้ากุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตามันยังแปรสภาพ มันยังระหว่างที่เรากำลังพัฒนาตัวเราเองอยู่ มันยังไม่มีสถานะใดรองรับ แต่เวลามันสมุจเฉทปหานไปอกุปปธรรม อกุปปธรรม อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลง อฐานะที่มันจะเสื่อมสภาพ ธรรมะมันมีที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้เราจะเดินได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้เราจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร

คนเรามันต้องพัฒนาได้ แต่พัฒนาไปแล้ว ระหว่างพัฒนา พัฒนาไปทางมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิยิ่งพัฒนายิ่งเลวลง แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยิ่งพัฒนายิ่งดีขึ้น ยิ่งพัฒนายิ่งเจริญงอกงามขึ้น พัฒนาซ้ำพัฒนาซากจนถึงที่สุดเวลามันขาด อกุปปธรรมไม่ต้องพัฒนาแล้วในภพภูมินี้ แต่ภพภูมิหน้า ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามียังต้องพัฒนาขึ้นไป เวลาพัฒนาขึ้นไปก็มีครูบาอาจารย์

นี่ไงที่หลวงตาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นก็เพราะเหตุนี้ไง เหตุนี้เราอยากจะพัฒนา เราอยากจะเติบโต จิตใจอยากเติบโตขึ้น เติบโตขึ้นจนถึงที่สุดเวลามันทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพแล้วมันเติบโตไป เติบโตจนเหนือฟ้า เติบโตจนเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือการเปลี่ยนแปลง เหนือทุกอย่างเลย แล้วมันเหนือที่ไหนล่ะ เหนือในหัวใจนะ มันไม่ใช่เหนือที่ว่าดาวเหนือ ดาวใต้ เราอยู่ดาวเหนือเราเหนือกว่า ดูสิ เวลาไทยภูเขา เขาบอกเขาอยู่บนภูเขา พวกไทยใหญ่นะ เขาบอกไทยน้อยกินน้ำจากใต้ศอกเขา เพราะเขาอยู่ต้นน้ำ เอ็งอยู่ปลายน้ำ

มันยังมีเหนือมีใต้ มีสูงมีต่ำ ถ้ามีเหนือมีใต้ มีสูงมีต่ำ มีเหนือมีใต้ที่ไหนล่ะ แต่ถ้ามันเหนือโลก เหนือโลกคือเหนือภวาสวะ เหนือภพ ภพมันคืออะไร ภพคือปฏิสนธิจิต ภพคือการเวียนว่ายตายเกิด เพราะจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันถึงเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ เวลาพิจารณาไปถึงที่สุดแล้วมันถอดมันถอนทำลายหมด มันเหนือภพ เหนือภวาสวะ เหนือภพ เหนือหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ไม่มีการเคลื่อนไปและเคลื่อนมาของมันเต็มที่ของมัน

นี่ไงครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านปฏิบัติของท่านมา ธรรมะเก่าแก่ๆ ของครูบาอาจารย์ของเรามา แล้วเวลาท่านนิพพานไปแล้ว สิ่งที่วางไว้ สิ่งที่วางไว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกว่าอานนท์ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา แล้วสังคายนาแล้วสิ่งนั้นท่องจำกันมา เวลามาสังคายนาครั้งที่ ๒ ถึงได้จดจารึกมาเป็นธรรมและวินัย

ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านพูดเป็นสัจจะความจริงถ้าท่านมีชีวิตของท่านอยู่ ธรรมวินัยของท่าน ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน สัจธรรมในหัวใจของท่าน ท่านค้นคว้าของท่านมา ท่านก็อยากจะเจือจานสังคม แล้วสังคมพวกเรามันอ่อนแอ อ่อนแอเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน เราได้ฟังท่านมาเราตีความอย่างไร เราตีค่าอย่างไร เราทรงข้อวัตรปฏิบัติ ทรงสัจธรรมอันนั้นของท่านไว้ไม่ได้ มันน่าเสียดายไง เราไปรื้อค้นรื้อฟื้นเอาของเก่าๆ ของเก่าๆ เอามาเก็บรักษาไว้ รักษาไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลัง รักษาไว้เพื่อค้นคว้า เพื่อจะไปต่อหน้า ทำเพื่อประโยชน์ไง

ของเก่าของแก่มันมีคุณค่า เราก็เอามาเคารพบูชากัน ของใหม่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ แล้วพยายามขวนขวายจะเอาใจของตัวให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ นี้ของใหม่ ของสด ของสดๆ ร้อนๆ ของมีคุณค่า ของเก่าแก่ ของครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านนิพพานไปหมดแล้ว แต่สังคม สังคมที่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ตีความบิดเบือน ความเห็นของตัว มันด้อยค่า มันเสื่อมค่า ค่ามันไม่สมบูรณ์ เราทำของเรามันจะสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์เราทำไว้ด้วยสุดความสามารถ ความสามารถของคนไง

ความสามารถของคนมันก็เป็นจริต เป็นนิสัย เป็นความชอบ ไอ้คนที่ไม่ชอบๆ ไม่ชอบส่วนไม่ชอบ ไม่ชอบมันเป็นกระพี้ เป็นเปลือก แก่นของมันๆ แก่นของมันคืออริยสัจ แก่นของมันคือสัจจะความจริง ต้องเอาสัจจะเอาความจริงอันนั้นไว้เป็นที่ยึดมั่น เอาสัจจะความจริงนั้นไว้เพื่อประโยชน์กับเรา นี่ธรรมะเก่าแก่ ธรรมะเก่าแก่เราอุตส่าห์ไปรื้อไปค้นมาเพื่อมาถนอมรักษาไว้เพื่อเชิดชูบูชาไว้ แล้วพวกเราเราจะเอาธรรมะสดๆ ร้อนๆ เอาธรรมะใหม่ๆ เอาธรรมะที่มีชีวิต คือความสุข ความทุกข์ในใจเราประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อคุณธรรมของเรา เพื่ออำนาจวาสนาของเรา ปฏิบัติเพื่อเรา เกิดมาชาติหนึ่งไม่เสียชาติเกิด เอวัง