ทอนกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “อุบายอดอาหาร”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ศิษย์มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการอดอาหาร อยากจะขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะเพิ่มเติม คือศิษย์อยากทราบว่าในการใช้อุบายอดอาหารของเรา เราสามารถดื่มนํ้าปานะหรือของขบฉันปรมัตถ์ในช่วงหลังเที่ยงได้หรือไม่ ผิดหรือเปล่า มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามอะไรในเรื่องนี้อย่างไรหรือว่าต้องดื่มแต่นํ้าเปล่าเท่านั้นตลอดระยะเวลาที่เราตั้งใจอดอาหาร
ศิษย์ขอโอกาสเล่าถวาย เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปภาวนาที่วัด พอดีก่อนไป ได้ฟังเทศน์หลวงพ่อเกี่ยวกับการอดอาหาร จึงคิดว่า นี่เป็นวันสําคัญ น่าจะถือโอกาสทดลองอดอาหารดู ก็ได้ทําเป็นครั้งแรก ก่อนทําก็กลัวและสงสัยต่างๆ นาๆอยากจะถามหลวงพ่อ แต่ก็ไม่กล้า และในที่สุดก็เลยลองทําไปเลย เพื่อดูว่าจะได้ผลอย่างไร ศิษย์ก็ได้อดอาหาร ดื่มแต่นํ้าเปล่าอยู่ ๓ วัน แต่ตั้งใจอดจริงๆอธิษฐานแค่วันแรกวันเดียว วันที่ ๒ และ ๓ เป็นเพียงการทดสอบว่าทนไหวไหมกะว่าถ้าไม่ไหวก็จะกินมื้อเช้า ถ้าทนไหวก็อดต่อไป กะว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยดื่มนํ้าปานะ แต่ทนไหว อดต่อไป ดูกําลังตัวเองอย่างนี้จนครบ ๓ วัน
ในวันแรกมีอาการหิวบ้าง แต่ก็ทนได้ วันที่ ๒ อาการดีขึ้น รู้สึกตัวเบาขึ้นจริงๆ และไม่หิวทรมานเหมือนวันแรก แต่พอวันที่ ๓ ช่วงบ่าย ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย หายใจไม่เต็มอก เดินจงกรมแล้วต้องนั่งพักพอสมควร แล้วช่วงทําข้อวัตรก็เหนื่อยมากจนกวาดไม่ไหว ต้องนอนพัก ไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาการของร่างกายจริงๆ หรือกิเลสหลอกเรา จึงเกิดความคิดว่า ถ้าเราต้องอดจนไม่สามารถทําข้อวัตรหรืออดจนทําให้ภาวนาได้น้อยลง อย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้อง จึงคิดว่า ครั้งต่อไปถ้าจะอดอาหารอีก บางทีอาจต้องดื่มนํ้าหวาน นํ้าปานะ หรือกินมะขามป้อมบ้าง
ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะว่าเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าตั้งใจอด ต้องนํ้าเปล่าเท่านั้น หรือพอจะดื่มนํ้าหวานช่วยได้บ้าง อย่างไรจึงเหมาะสมควรที่สุดกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง
ตอบ : นี่คําถามเนาะ คําถามเรื่องการอดอาหาร
การอดอาหารนี่นะ พูดถึงโดยชาวพุทธเรา ชาวพุทธเรานะ ศึกษาธรรมะศึกษาแล้วพยายามจะเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างตัวเองว่าคนรู้คนเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง เขาก็ไม่รู้อะไรเลย คือเราอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ เราก็ไม่ได้รสชาติไม่ได้ความรู้ แต่เวลาเราอ่านหนังสือแล้วเราก็จะมีความรู้มากๆ
ฉะนั้น เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพูดกันเป็นคําที่แบบว่าเป็นคําตายตัวเลยว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามให้อดอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามให้อดอาหาร ทุกคนจะคิดอย่างนี้แต่ถูกนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เองว่า อย่าอดอาหาร ห้ามอดอาหารเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจถึงกิเลสของคน กิเลสของคนมันสุดโต่ง มันไปทางใดทางหนึ่ง ถ้ามันไปทางซ้าย มันก็จะไปซ้ายตลอดเลย ถ้าไปทางขวา มันก็ลงขวาตกขอบไปเลย คนเรามันจะสุดโต่งไง แต่คนที่สมดุล คนที่พอดีมันหายาก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าห้ามอดอาหารไว้ก่อน
เราเห็นด้วยนะ การห้ามอดอาหาร ถ้าการอดอาหาร การอดอาหารมันเป็นคุณงามความดีโดยตัวมันเองนะ ทุกคนก็ต้องว่าอดอาหารแล้วมันดี ทุกคนก็ต้องตั้งใจทํา พอเราจะอดอาหาร เราก็อด อดอย่างเดียว อด อดจนตายเลย
ถ้าอดอาหารมันเป็นคุณงามความดีในตัวของมันเองนะ เวลาชนกลุ่มน้อยแอฟริกาไม่มีจะกิน เวลาเกิดภัยพิบัติ โอ้โฮ! เด็กๆ นี่นะ หนังหุ้มกระดูกเลย มันน่าสงสารน่ะ นั่นน่ะเขาอดอาหารน่ะ ถ้าอดอาหารแล้วประเสริฐ ต้องไปกราบไอ้พวกแอฟริกาที่มันอดอาหาร ผอมๆ นั่นน่ะ สวัสดีครับ กราบแล้วจะได้บุญเยอะๆ
พระพุทธเจ้าถึงได้ห้ามอดอาหารไง เพราะคนเราคิดไม่เป็น โลกียปัญญาปัญญาทางโลกประมาทเลินเล่อ คิดไม่รอบคอบหรอก คิดไม่เป็นหรอก ฉะนั้นพระพุทธเจ้าบอกห้ามอดอาหาร แล้วชาวพุทธเราก็ยืนยันกันมาตลอด ยืนยันเพราะอะไรล่ะ
อย่างเช่นเรา ถ้าเราบวชแล้วนะ เราก็บอกเลย “พระพุทธเจ้าห้ามอดอาหารนะ”
“ทําไมล่ะ”
“ถ้าอดอาหารแล้วฉันอด ฉันหิว” มันพูดเข้าข้างตัวเองไง
“พระพุทธเจ้าห้ามอดอาหารนะ”
“แล้วพระพุทธเจ้าให้ทําอย่างไรล่ะ”
“หูฉลามนํ้าแดง กระเพาะปลาผัด พระพุทธเจ้าให้ฉันอย่างนั้น” นี่ถ้ามันพูดมันพูดอย่างนี้ แล้วพอพระพุทธเจ้าเห็นคนเรามันสุดโต่งไง เวลาห้ามอดอาหารก็กลัวตัวเองทุกข์ กลัวตัวเองยาก กลัวตัวเองจะมีปัญหา
นี่เวลาย้อนกลับไป เห็นไหม เวลาพระเทวทัตไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรม ๕ ข้อ ห้ามอยู่ในกุฏิ ให้อยู่โคนไม้ ห้ามรับกิจนิมนต์ ห้ามฉันเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาตอีกล่ะ ไอ้นั่นมันก็สุดโต่งไปอีกอย่างหนึ่ง สุดโต่งว่าจะไม่ได้หมดเลย
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เนื้อ ๓ ส่วน เนื้อ ๓ ส่วน หมายความว่าเขาไม่ได้เจาะจงฆ่าเพื่อเรา คือเนื้อตัวนั้นเขาไม่ได้ตายเพราะเรา เขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา เราไม่รู้ไม่เห็นกับการฆ่านั้น เราไม่รู้และไม่เห็น เนื้อ ๓ ส่วนไง ไม่ได้เจาะจงเพื่อเรา ไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา เพราะอะไร เพราะเรื่องของโลกเขามีของเขาอยู่แล้ว คนที่เขาปรารถนาอยากจะมีธุรกิจของเขา เขาทําของเขาอยู่แล้ว แล้วเขาไม่ตั้งใจจะฆ่าเนื้อนั้นมาขายให้พระหรอก เพราะพระไม่มีสตางค์จะไปซื้อเขาหรอกแต่ถ้าชาวบ้านเขาจะทําอาหารของเขา แล้วเขาแบ่งสิ่งนั้นทําบุญกุศล พระฉันได้ นี่เนื้อ ๓ ส่วนคือไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ไม่ได้เจาะจง นี่เนื้อฉันได้ แต่เทวทัตบอกว่าไม่ได้หมด เห็นไหม
ฉะนั้น ถ้ามันได้ปั๊บ มันจะขัดแย้งกับโลกเลย แล้วมันจะอยู่กันแบบว่าภิกษุให้เลี้ยงง่าย ภิกษุให้เลี้ยงง่าย ให้อยู่สะดวกสบาย อย่าไปแอ๊กชัน ฉันก็ต้องฉันอย่างนี้อย่างเดียว อย่างอื่นฉันไม่ได้ ไม่ได้
เขามีอะไรก็ฉันอย่างนั้นน่ะ ชุมชนกลุ่มใดเขากินอะไรก็กินตามเขา เขามีอะไรก็อยู่กับเขา หัวใจเอ็งทําให้ดีๆ ให้มั่นคงขึ้นมา แล้วทําให้เป็นขึ้นมา แล้วเดี๋ยวค่อยสอนเขาเรื่องบุญเรื่องกุศล นี่พูดถึงเนื้อ ๓ ส่วนไง
ฉะนั้น เวลาบอกว่าพระห้ามอดอาหาร ก็ห้ามอดอาหารเลย แต่เวลาเราบวชเข้ามาแล้ว เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านทําเป็นตัวอย่างนะ ตอนอยู่กับหลวงตานะ ตอนนั้นท่านเข้มข้นมากนะ เดี๋ยวๆ หลวงตาก็อด ๓ วัน อด ๔วัน พอหลวงตาอดนะ พวกนี้หายไปค่อนวัดเลย ถ้าหลวงตาไม่อดนะ โอ้โฮ! ยังฉันกันเป็นปกติ ถ้าวันไหนหลวงตาอดอาหาร ๓ วันนะ รุ่งขึ้นพระหายไปครึ่งวัดค่อนวัดเลย นั่นน่ะท่านเตือนตลอด
ครูบาอาจารย์ท่านเห็นประโยชน์กับมันไง ท่านเห็นประโยชน์กับมัน แต่เราเห็นแต่โทษไง เราเห็นแต่โทษความหิวโหย ความกระหาย เราเห็นอย่างนั้นไง ถ้าเห็นอย่างนั้น เวลาปฏิบัติแล้วมันเหมือนกับเราขาดอาวุธไปอย่างหนึ่ง ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส การอดอาหารเป็นการทอนกําลังของกิเลส เราทอนกําลังของมันไง ถ้ากําลังมันเข้มข้น กําลังมันแก่กล้า แล้วเราก็บอกเราจะต่อสู้กับกิเลสเราพยายามจะเผชิญหน้ากับมัน เผชิญหน้ากับมัน
หลวงตาท่านบอกว่าจะสู้เสือด้วยมือเปล่าไง เราเป็นคนมือเปล่าๆ เข้าไปในป่าไปเจอกับเสือ ไม่มีอาวุธอะไรไปสู้กับเสือเลยไง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาวุธไปสู้กับมันไง การอดนอนผ่อนอาหารมันเป็นอาวุธ มันเป็นอาวุธไปสู้กับเสือ แต่ไม่ใช่เสือ มันไม่ใช่กิเลส แต่มันเป็นอาวุธ มันเป็นวิธีการที่จะเข้าไปเผชิญกับเสือ เข้าไปเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั้นการอดอาหาร ครูบาอาจารย์ท่านให้อด แต่การอดอาหารนี้ เราจะไปสู้กับเสือ เราจะมีเครื่องมือไปสู้กับเสือ การอดอาหารมันเป็นการผ่อนกําลังของกิเลส มันตัดทอนน่ะ
เวลาอดอาหาร เวลาเขาพูดนี่ถูก เวลาอดอาหาร อดไปหลายๆ วัน ตัวมันจะเบา เดินจงกรมนี่สบาย ไอ้พวกที่ง่วงนอนๆ น่ะ ไอ้ที่นั่งหลับๆ นั่นน่ะ อดอาหารมันแก้ได้หมด ไอ้ที่นั่งแล้วสัปหงกโงกง่วง เวลานั่งทีไร ตกภวังค์ทุกที นั่งทีไร หายไปเลยนั่นน่ะ ไอ้ตัวนี้แหละตัวแก้ ถ้าคนเป็น
แต่อดอาหารแล้วหิวไหม หิว ธรรมชาติ ไม่มีอาหาร มันก็ต้องหิวเป็นธรรมดาหิวแน่นอน อดอาหาร หิวไหม หิว หิวมาก แต่หิวนี่นะ มันทนได้ หิวแล้วมันไม่ตายคนเรานะ อดอาหารหลายๆ วันเข้า จนไม่มีอาหาร จนร่างกายขาดนํ้าตายนะเพราะว่าเขาอดอาหารจนตาย
แต่นี้เราอดอาหารเพื่อทอนกําลังของกิเลสไง ให้ร่างกายมันไม่แข็งแรงจนเกินไปไง ให้ร่างกายมันเบา อดอาหารหลายๆ วันนี่นะ เดินไปเหมือนคนฟื้นไข้คนที่เป็นไข้หนักๆ แล้วหายจากไข้ อาการแบบนั้น อดอาหารนี่มันจะเบาหมดโหวงเหวงเลยล่ะ เดินจงกรม ไอ้ที่ว่านั่งก็หลับๆ อดอาหารดู ถ้าอดอาหาร ถ้าอด๗ วัน ๘ วัน นั่งหลับ มาคิดบัญชีเราได้เลย ทีนี้มันไม่กล้าอด เวลาอดแล้วมันจะเป็นจะตาย
ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าห้ามอดอาหาร มันเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้แนะสิ่งใดแล้ว สัทธิวิหาริกหรือลูกศิษย์ลูกหาพยายามจะทําตาม แต่ทําตามด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่น ทําแล้วตายเปล่า อดอาหารก็อดอาหารจนตาย ไม่ได้อะไรหรอก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหาร ๔๙ วัน ตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีความคิดว่า กิเลสมันอยู่กับเรา เราต้องพยายามชําระล้างมันด้วยการกลั้นลมหายใจ ด้วยการอดอาหาร อดอาหารจนสลบ ช็อกไปถึง ๓ หนน่ะ เพราะตอนนั้นท่านยังไม่มีปัญญาไง แล้วท่านก็คิดนะ ถ้าคนไม่มีปัญญานะ ถ้าอดอาหารก็จะอดแบบท่าน คืออดอาหารจะสู้กับกิเลส คิดว่าการอดอาหารนั้นคือการประหัตประหารกิเลส เพราะคิดว่ากิเลสมันอยู่กับเรา ถ้าอดอาหาร กิเลสมันต้องตายไปกิเลสมันหัวเราะเยาะเลย อดเลยๆ อดให้ตาย ตายแล้วเอ็งยังอยู่ในอํานาจของกูอย่างเดิมไง อดอาหารมันฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก แต่อาวุธอันนี้สําคัญมาก
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรม อดอาหารมาแล้วท่านถึงสลบไง ท่านถึงบอกว่า ถ้าคนที่ไม่มีปัญญานะ มันจะทําแบบนี้ แล้วจะตายกันเป็นเบือเลย ฉะนั้น ท่านบอกว่าห้ามอดอาหาร แล้วถ้าอยู่ในบุพพสิกขาห้ามอดอาหาร แต่ถ้าใครจะอดอาหารเพื่อเป็นวิธีการ เราอนุญาต ถ้าอดอาหารเป็นวิธีการ เป็นอาวุธ เป็นอาวุธที่จะไปสู้กับกิเลส เราอนุญาต ฉะนั้น พออนุญาตปั๊บ มันก็เข้ามาที่ว่าอดอาหารแล้ว
พออดอาหารนะ หนูไปวัดแล้วหนูอดอาหาร จะถามหลวงพ่อก็ไม่กล้า แล้วถ้าอดอาหาร ต้องดื่มนํ้าเปล่าๆ ใช่ไหม
เดี๋ยวนี้คงไม่ต้องหรอก เพราะเดี๋ยวนี้ยาคูลท์นี่เต็มเลย คนให้เยอะแยะ แต่สมัยหลวงปู่มั่นท่านบอกอดอาหารแล้วกินแต่นํ้า ไม่มีอะไรเลย หลวงตาบอกว่าแม้แต่ไอ้พวกนํ้าปานะ นํ้าตาล เอามันมาถ่ายรูปมันยังไม่มีเลย ตอนอยู่ในป่าในเขา ไอ้พวกนี้มันไม่มีหรอก ภิกษุไปองค์เดียว ไปอยู่ในป่าองค์เดียว มันจะมีนํ้าปานะมาจากไหน ภิกษุนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ของท่าน มันมีใครไปคอยอุปัฏฐากท่าน
หลวงตาบอกว่า เราอยู่ในป่า ๙ ปี เราสมบุกสมบันมา ใครรู้ใครเห็นกับชีวิตของเราบ้าง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านไปเผชิญกับกิเลสในใจของท่านในป่าในเขา มีใครเอาอัฐบริขาร เอาปัจจัยเครื่องอาศัยไปถวายท่าน ไม่มี
หลวงปู่ชอบอดอาหาร อดจนผอมแห้งเลย แล้วพอถึงสุดท้ายในประวัติหลวงปู่ชอบ นางฟ้าลงมาเลย จะเอาอาหารทิพย์มาลูบใส่ร่างกายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบ เพราะท่านภาวนาของท่าน
ท่านบอกไม่ได้หรอก ผู้หญิงอยู่กับผู้ชายไม่ได้ ผู้หญิงเข้าใกล้พระไม่ได้
นางฟ้าบอกว่า ก็มีท่านเห็นคนเดียว คนอื่นไม่เห็นหรอก
แล้วมาทําไมล่ะ
ก็มาอยากได้บุญ เห็นแล้วสงสาร อดอาหารไง ทุกข์ยากมาก
แล้วจะทําอย่างไรล่ะ
ก็เอาอาหารทิพย์ลูบตามร่างกาย มันจะซึมเข้าไปตามผิวหนัง
ทําอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะผู้หญิงมาโดนตัวพระไม่ได้
ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรมาต่อกันไง ก็เป็นห่วง เป็นอาลัยอาวรณ์ มาดูแลไง
นี่ไง เวลาประวัติหลวงปู่ชอบเวลาท่านอดอาหาร อันนี้อดอาหาร ถ้าอดอาหารอย่างนี้ไปนะ อันนี้เป็นมรรคหรือเปล่า ไม่เป็น อันนี้แก้กิเลสได้หรือเปล่า ไม่เป็น อันนี้เป็นอํานาจวาสนาบารมีของหลวงปู่ชอบ หลวงปู่มั่นไม่เห็นได้อย่างนี้เลยครูบาอาจารย์องค์อื่นทําไมไม่เห็นมีเทวดามาลูบให้บ้างเลย แต่เวลามา ท่านก็ไม่ยอมนะ นี่บารมีของพระแต่ละองค์ไม่เหมือนกันนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าสมัยครูบาอาจารย์เรา ไอ้พวกว่าจะฉันนํ้าปานะได้หรือเปล่า จะฉันสมอได้หรือเปล่า
มันไม่มีให้ฉัน มันไม่มี ฉะนั้น อดแบบนี้ อดก็คืออด แต่ในปัจจุบันนี้แม้แต่ความเพียรชอบ เรามีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ครูบาอาจารย์ท่านก็ส่งเสริมอยู่แล้ว ฉะนั้น ถ้านํ้าปานะมีอยู่ ฉันได้ กินได้ นํ้าปานะ ตั้งแต่เพลไป เพราะนํ้าปานะมันเป็นบรรเทาทุกข์ไง อย่างเช่นพวกนํ้าอัฐบานมันเป็นยาระบายเวลาพวกสมอ พระฉันข้าวแล้ว ตอนนี้ทางโลกเขาบอกเลย อย่าถวายขาหมูพระมากนัก เพราะพระเป็นเบาหวานทั้งนั้นเลย ความดันสูงมาก พระเมืองไทยฉันแต่ของหวาน ทางการแพทย์เขาสอนคนนะ สอนคนทําบุญ อย่าไปใส่ของหวานพระเยอะเกินไป เดี๋ยวนี้พระมีแต่ไขมัน แต่เวลาพระเราอดอาหารมันขับถ่ายหมด มันไม่มีหรอก
เวลาว่าฉันนํ้าปานะได้หรือไม่
ได้ ถ้ามีนะ ถ้ามี ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านสอนไว้ไม่ให้เป็นภาระสังคมอย่าไปเป็นภาระเขาจนเกินไป แม้แต่เขานะ อาบเหงื่อต่างนํ้าได้ ๕ ได้ ๑๐ ได้แต่ของดีๆ มาถวายพระ แล้วพระก็ยังมาเรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ มันไปเบียดเบียนประชาชนจนเกินไป แล้วถ้าเรามีสิ่งใด เราก็ใช้สิ่งนั้น ถ้าเรามี เราก็ฉัน เราก็ดื่มถ้าเราไม่มี เราก็ดื่มแต่คุณธรรม มีศีลมีธรรม มีความมานะบากบั่น
ความหิวนะ เวลามันหิวนะ เวลาอดอาหาร เวลามันหิวนี่หิวมากเลย แล้วใช้ปัญญาไล่เข้าไป ลิ้นหรือหิว กระเพาะหรือหิว ลําไส้หรือหิว อะไรเป็นตัวหิว พอปัญญามันทัน ทันความคิด มันปล่อย พับ! ความหิวนี่หายหมดเลย โล่งโถง ว่างสบายหมดเลย ก็เป็นแป๊บเดียว พอมันคลายออกมาก็หิวอีกแล้ว
เพราะโดยข้อเท็จจริงกระเพาะมันไม่มีอาหาร มันก็ต้องย่อยเป็นธรรมดา นี่มันทํางานแบบวิทยาศาสตร์ แต่จิตใจของเราไปรับรู้ มันก็ทุกข์มันก็ยากไปด้วยเวลาอดอาหารไปนะ ท้องมันร้องคร่อกๆ คร่อกๆ โอ๋ย! มันมีแต่นํ้า นี่ประสบการณ์ของการอดอาหาร
อดอาหารนี่สุดยอดมาก มันเป็นอาวุธ มันเป็นวิธีการที่เราจะสู้กับกิเลส ฉะนั้นเวลาเราจะสู้กับกิเลส สิ่งนี้มันไปทอนกิเลสนะ เราจะสู้กับกิเลส แต่มันเหมือนกับว่าเอากําลังทั้งสองฝ่ายแล้วเข้าปะทะกัน แล้วไม่มีใครได้ชนะ ตกขอบทุกที แพ้ทุกทีอดนอนผ่อนอาหารมันจะช่วยเรื่องนี้ได้มากเลย
แต่ถ้าคนยังไม่เป็น อดนอนผ่อนอาหาร พออดนอนก็หิวนอนมาก โอ๋ย! ง่วงนอนนี่ทุกข์มากเลย เวลาอดอาหารมันก็ทุกข์มากเลย อาศัยแบบนี้ ๒ วัน มาฉันสัก๕ วัน หยุดสัก ๑ วัน สัก ๒ วัน
เพราะตอนหยุดไม่กินข้าวนี่นะ แล้วพอมากินข้าว มันจะเกิดปัญญามากเลยอาหารที่มันได้มามันก็แค่หล่อเลี้ยงร่างกาย เมื่อวานทั้งวันไม่ได้กินก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย มันมีความภูมิใจ แต่ถ้าเรากินทุกวัน เราอยู่คุ้นเคยกับมันทุกวัน เราจะเลือกสิ่งที่เราพอใจ แล้วก็ไปนั่งสัปหงกโงกง่วงโดยที่เราไม่เท่าทันตัวเองเลย
เวลาไปอดอาหาร เวลาอดอาหารทุกข์ยากมาก แต่มันได้ประสบการณ์ไง มันได้ว่า เราไม่กิน ๑ วัน ไม่กิน ๒ วัน ไม่กิน ๓ วัน ไม่กิน ๔ วัน ไม่กิน ๗ วัน ทําไมเรายังอยู่ได้ล่ะ แสดงว่าอาหารมันก็แค่มาบรรเทาทุกข์เฉยๆ ไง เราไม่ต้องไปยอมจํานนกับมันขนาดที่ว่าเห็นอะไรก็มีความอยากไปหมด
ความอยากคือกิเลส ความต้องการคือกิเลส ความไม่สันโดษเป็นกิเลส มันเป็นกิเลสทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าอยู่คุ้นชินกับมัน ทําทุกวัน “ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ก็ถูกต้องก็ทําถูกหมด ไม่เห็นผิดเลย” แต่พอไปอดอาหารปั๊บ มันจะมีสิ่งนี้มาเทียบ แล้วเวลาเทียบอย่างนี้ขึ้นมาเขาเรียกปัจจัตตัง มันรู้จําเพาะตัวมันเอง
การอดอาหารมีประโยชน์มาก มีประโยชน์มาก ฉะนั้น เวลาใครอดอาหารนะเราจะบอกว่า อดอาหาร เราลงทุนลงแรงด้วยกระเพาะของเรานะ เอาร่างกายของเราไปเสี่ยงภัย ถ้าเราเอาร่างกายเราเสี่ยงภัย เราต้องมีสติปัญญา เราต้องมีสติปัญญาว่าเราจะได้ประโยชน์จากมันไง คือเราลงทุนแล้วเราต้องได้ประโยชน์ไม่ใช่ลงทุนแล้วเสียเปล่า เห็นเขาทําก็ทําตามเขา ทําไม่ใช้สมองอย่างที่เราพูดนี่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ทําแล้วต้องใช้สมอง ต้องมีความคิด
ก็บอกว่า สมองไม่ใช่ปัญญาไง ปัญญาเกิดจากจิตไง แล้วทําไมใช้สมองล่ะ
ใช้สมองนี่เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาเบสิก ปัญญาพื้นฐาน ปัญญาในการหาจิตของเรา ก็ปุถุชนก็ต้องเริ่มตั้งแต่ปุถุชน มนุษย์ก็เริ่มต้นจากความเป็นมนุษย์ไม่รู้ก็เริ่มต้นจากความไม่รู้ แต่ใช้ปัญญาเข้าไป ปัญญาอย่างนี้คือการศึกษา ศึกษาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาจากประวัติของครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่เกิดภาวนามยปัญญาของเรา
ปัญญามันมีสุตมยปัญญาคือปัญญาการศึกษา มีสมองก็ต้องคิด ก็ต้องอ่านต้องวิเคราะห์ ต้องหาเหตุหาผล พอหาเหตุหาผลแล้ว การดําเนินงาน การภาวนามันก็มีช่องมีทาง เห็นไหม จะสู้เสือ มันชักมีอาวุธแล้วนะ จะสู้เสือ มันชักมีมีด มีปืนมีผาหน้าไม้แล้วนะ
ไปสู้เสือมือเปล่าๆ เข้าไปสู้กับเสือมือเปล่าๆ ภาวนาไม่รู้เหนือรู้ใต้ อู๋ย! จะสู้กับกิเลส จะต่อสู้กับกิเลส
สู้เสือมือเปล่าเข้าไป เดี๋ยวหงายท้อง พอหงายท้องขึ้นมานะ “มันกึ่งพุทธกาลแล้วแหละ มรรคผลคงไม่มีแล้วล่ะ” เวลามันหงายท้องมานะ ไปเลย
แต่ถ้ามีสมองมันเริ่มคิด คิดอย่างนี้ คิดเป็นช่องเป็นทางขึ้นไป แต่ปัญญายังเป็นปัญญาการศึกษา ปริยัติเขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ทีนี้พอปฏิบัติขึ้นมา เขาถามว่า ถ้าอดอาหาร จะฉันนํ้าหวานได้ไหม จะฉันสมอได้ไหม
ได้ เพราะมันมี เราไม่ไปเดือดเนื้อร้อนใจต้องไปแสวงหามา ไม่ใช่ว่าได้แล้วก็ไปสั่งมาไว้ก่อน จะอดอาหาร จะสั่งอาหารไว้ให้ครบเลย สั่งอาหารแล้ว เดี๋ยวจะอดอาหารนะ อดอาหารหยาบๆ จะมากินอาหารละเอียด
ถ้ามันมีอยู่ เราก็ใช้ของเราไปอย่างนั้น แต่สมัยครูบาอาจารย์เราไม่มี เราจะบอกว่า ถ้าไม่มี หลวงตาท่านบอกว่าเบอร์หนึ่ง อันดับหนึ่งคืออดอาหาร ดื่มแต่นํ้าอันดับสอง เราก็มีส่วนนํ้าปานะ อันดับสาม เราอดอาหารแล้ว อดแล้วเราดูแลร่างกายของเราให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา
ทีนี้เขาบอกอดอาหารนะ ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่คําถาม คําถามเขาถามดีมากนะ คําถามดี เราว่าอย่างนี้มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นอานิสงส์ของเขา เพราะฟัง เห็นไหม จะไปอยู่วัดของหลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อเทศน์เรื่องอดอาหาร หนูจะถามหลวงพ่อก็ไม่กล้าถาม ก็เลยอดเลย
ถ้าจะถามอยู่ พอจะถามหลวงพ่อแล้วจะอดอาหาร ป่านนี้ยังไม่ได้อด ป่านนี้ยังไม่มีประสบการณ์อันนี้มา พอมีประสบการณ์อันนี้มา บอกโอ้โฮ! มันสุดยอดอดอาหาร ๓ วัน อดวันแรกก็พอทนได้ วันแรกทนได้แล้วมันดีด้วย ก็เลยลองวันที่๒ ลองวันที่ ๓ พอวันที่ ๓ จะไปกวาดวัดนี่หน้ามืดเลย
เวลาคนเขาไปประสบอุบัติเหตุ เวลาแผ่นดินไหว แล้วมันทับคนไว้ ๗ วันไม่ตาย เขากินอะไร เราจะบอกว่า ทางโลกนะ เวลาเขาเกิดวิกฤติ เขาจําเป็นต้องอดเขายังอดเพื่อดํารงชีวิตเขาได้
ไอ้ของเรา เรานักบวชนะ เรานักปฏิบัตินะ เราจะสู้กับกิเลสนะ การอดอาหารของเรา ไม่ใช่ว่าเราไม่มี พระตอนเช้าบิณฑบาตมานี่เต็มบาตรทุกวัน แล้วทําไมไม่ฉันล่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ฉันเพราะไม่มีจะฉันนะ เราไม่ฉันเพราะว่าเรามีสติปัญญานะ เราจะวางอาหารหยาบๆ แล้วเราจะมีคุณธรรม
เราพูดกับพระ พระถามว่า อดอาหารได้อะไร
เราบอกได้ธรรม ได้คุณธรรม ได้สติได้ปัญญา แต่ถ้าเราฉันอาหาร เราก็ได้แต่กากเดนไง เศษข้าวไง รสชาติไง เราก็ได้แต่ตรงนั้นไง
แล้วใครบ้างไม่เคยกินอาหาร อาหาร ใครไม่เคยกิน มันไม่มีข้อมูลว่าอร่อยมันไม่ชอบหรอก สิ่งที่ชอบก็คือเคยกิน แล้วเอ็งเคยกินแล้ว เอ็งกินครั้งที่ ๒ ครั้งที่๓ เอ็งได้อะไรขึ้นมา เอ็งก็เคยกินแล้ว กินอีกก็กินซํ้าซาก ก็กินของเก่า แล้วเอ็งได้อะไรต่อเนื่อง นั่นกินตามกิเลสไง แต่ถ้าเราเคยกินแล้ว รสชาติเราก็รู้แล้ว แต่ถ้าเราละได้ นี่คุณธรรม เราอดอาหาร แต่เรากินธรรม กินสติ กินสมาธิ กินปัญญาของเรา ปัญญาหัวใจมันเสวย มีความสุขมาก ถ้ามีความสุขมาก มันจะเป็นประโยชน์นะ
ฉะนั้น เวลาที่ว่า สิ่งที่เขาทําวันที่ ๑ วันที่ ๒ วันแรกๆ ก็หิวบ้างทนเอา วันที่ ๒อาการตัวเบาขึ้น
ไอ้ตัวเบานี่สําคัญ เพราะว่าคนภาวนาจะรู้ เวลาอดอาหารนี่ตัวเบามาก มีตัวเบาเลยนะ เป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิอีกเรื่องหนึ่งนะ ตัวเบาหมายความว่ามันไม่มีธาตุขันธ์ไปทับจิตไง
หลวงตาพูดประจํา ธาตุทับจิต ธาตุขันธ์ กินอาหารอุดมสมบูรณ์ โอ้โฮ! พลังงานมันเหลือใช้ ดูสิ เวลาไอ้พวกสัตว์เวลามันอดอาหาร มันจะดึงพลังงานไขมันมาใช้ก่อน นี่เราอดจนไม่มีอะไรเหลือเลย นํ้าย่อยนี่ไหลเลย
หลวงตาท่านบอกเลยนะ ท่านฉันอาหารเข้าไปก็ไหลออกมาเป็นอย่างนั้นเลยคือฉันอะไรเข้าไปก็ออกมาเป็นอย่างนั้นน่ะ มันไม่ได้ย่อยอะไรเลย เพราะระบบย่อยมันวิการ มันไม่ได้ทํางาน จนไม่มีอะไรจะทํา มันไม่มีอาหารให้ย่อย มันนานจนมันไม่ทํางาน แล้วเวลาท่านผ่านของท่านไปแล้ว ท่านก็ต้องมาฟื้นฟูร่างกายไง
แล้วท่านก็พูดให้ย้อนกลับไปว่าที่ทํามาสมบุกสมบันนี่เสียใจไหม ไม่ ถ้าไม่มีการสมบุกสมบันอันนั้นก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้แจ้งอย่างนี้ สิ่งที่รู้แจ้งอันนั้นมันส่งเสริมมา อันที่อดนอนผ่อนอาหารมันส่งเสริมมา มันเป็นเครื่องส่งเสริม มันไม่ใช่การแก้กิเลส
ถ้าเป็นการแก้กิเลส ถ้าอดอาหารเป็นของดี คนที่ว่าพวกคนแอฟริกาอดจนตาย เขาไม่มีจนตาย ไม่มีจนตาย เขายิ่งทุกข์ยิ่งยาก ไม่มีกิน จิตใจมันดิ้นรน ยิ่งเห็นคนมีแล้วเราไม่มี โอ้โฮ! มันยิ่งกระวนกระวาย ทําไมคนเหมือนกัน ทําไมเขามีทําไมเราไม่มี ทําไมคนเหมือนกัน เขากินฝ่ายเดียว เราไม่ได้กิน อู๋ย! กิเลสมันยิ่งยุแหย่ มันยิ่งทุกข์
แต่ของเรามีพร้อมหมดเลย แต่เราไม่กิน เราไม่กินเพราะเราจะเอาคุณงามความดีของเรา เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้ มันเป็นประโยชน์อย่างนี้ ฉะนั้นเวลาอดอาหารเป็นวิธีการ มันเป็นวิธีการ มันเป็นอาวุธ แต่เวลาถ้าสิ่งที่มันจะได้ตัวเบาๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตมันก็สงบได้เร็วขึ้น จิตสงบมันก็สงบได้ดีขึ้น คนที่ภาวนาสัปหงกโงกง่วง การสัปหงกโงกง่วงนั้นหายไป นั่งนี่ตัวตรงปิ๊ง แต่จิตจะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิอีกเรื่องหนึ่งนะ นั่งตัวตรงปิ๊งเลย แต่จิตจะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิ ต้องมีคําบริกรรม แล้วจิตมันจะลง ลงดีมาก ถ้าลงดีมาก อดอาหารมันเป็นประโยชน์แบบนี้ นี่ไง มันไปทอนกิเลสไง
บอกวันที่ ๑ รู้สึกว่าตัวเบามาก วันที่ ๒ วันที่ ๓ ร่างกายมันชักมีปัญหา แล้วพอมันกวาดจนกวาดไม่ไหว นี่กิเลสหลอกเราหรือเปล่า ถ้าเราทําข้อวัตร พอเขามีปัญญาขึ้นมา หรืออดจนทําภาวนาได้น้อยลง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
เวลาเขาคิดเลย วันแรกมันดี ทุกอย่างมันสมดุลหมด ร่างกายมันยังพอได้พอวันที่ ๒ เวลาวันที่ ๒ มันก็ยังพอได้ วันที่ ๓ เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายมันไม่เคย พอกลับมาฉันอาหารก็จบไง
เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านอดอาหารนะ ๗ วัน ๘ วัน โอ้โฮ! ดีมากเลยทีนี้คนเราไม่กินก็ต้องตาย ท่านมีปัญญาไง ถ้าอดไปอย่างนี้ บางคนนะ ถ้ากิเลสมันสวมรอยนะ อดอาหารแล้วสุดยอด อดอาหารแล้วเป็นพระอริยเจ้า อดอาหารแล้วเป็นพระอรหันต์ อดจนตายเลย กิเลสมันหลอก
เวลาถ้าพอกิเลสมันจะหลอก ท่านพลิกกลับเลย เดินจงกรมนะ อดอาหารดีมากๆ เลย ร่างกายมันเบา ภาวนาก็ดีมากเลย แต่ร่างกายมันต้องการอาหารร่างกายต้องการอาหาร ถ้าเราไม่มีอาหารบํารุงร่างกายเลย มันก็จะถึงวิกฤติ มันก็ถึงตายได้ ถ้าตายได้ ภาวนาของเรามันภาวนายังไม่รอดไง เรายังไม่เกิดวิปัสสนาเรายังไม่เกิดปัญญา เรายังไม่เกิดการรู้แจ้ง ถ้าเราตายไป มันก็เสียเปล่า ฉะนั้นพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องไปบิณฑบาตมาขบฉัน
ทีนี้พอมันจะไปบิณฑบาต มันจะเถียงกันแล้ว กิเลสกับธรรมจะเถียงกันในใจแล้ว เออ! ถ้าไปฉันแล้วมันก็ภาวนาไม่ดี ไปฉันแล้วพรุ่งนี้ก็อืดเป็นเรือเกลือเลยล่ะถ้ามันเชื่อนะ มันก็ไม่ไปๆ กิเลสมันยุนะ
การตายมันมีสองประเด็น เพราะว่าเราเคยภาวนามา เวลาภาวนา เวลามันจะตายมีสองอย่าง อย่างหนึ่งกิเลสหลอกให้ตาย อย่างหนึ่งคืออดอาหารแล้วตายจริงๆ คือตายโดยข้อเท็จจริงกับตายโดยกิเลสมันพลิกแพลง มันหลอกเอาจนตายฉะนั้น ใครภาวนาไปจะเจอตรงนี้ไง
พระอริยเจ้าที่ว่าผ่านวิกฤตินะ อยู่ฟากตายๆ ฟากตายอยู่ตรงนี้ไง ฟากตายตอนหนึ่งกิเลสจะตาย แต่ถ้าเราไม่ทันนะ กิเลสมันจะหลอกเราให้ตาย เหมือนกันเพราะหลอกคือเราเชื่อ เราเชื่อคือเรามั่นใจ มั่นใจว่าทําไปมันจะไปเจอวิกฤติอย่างนั้นเลย แล้วพอไปเจอวิกฤติอย่างนั้นน่ะ เราจะมีปัญญาเท่าทันไหม
ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะเตือน แต่ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์นะ เราจะต้องใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของเราว่าควรไม่ควร วิกฤติอย่างนี้จะแก้อย่างไร เราจะเดินหน้าหรือจะถอยหลัง ถ้าเดินหน้าไป ถ้าเราตายล่ะ บางทีกิเลสมันก็หลอกแล้ว จะตายแล้ว ตายแล้วนะ อดอาหารจะตายแล้วนะ
เวลาหลวงตาท่านพูด ถ้าจะตาย ขอดูตายก่อน แล้วคนกินทั้งวันมันไม่เห็นตาย ทําไมอดแค่นี้มันจะตาย ตายให้มันตายไป เห็นไหม กิเลสมันเสี้ยมตลอด
เราบอกว่าเราจะสู้เสือมือเปล่า เราจะสู้เสือต้องมีอาวุธใช่ไหม อาวุธ ถ้ากิเลสมันมีอยู่ กิเลสมันก็เอาอาวุธทําร้ายเราเหมือนกัน กิเลสมันก็เอาปัญญาทําร้ายเราเวลาอดอาหารมันมีวิกฤติไปหมด
เวลาคนจะสู้กับมัน ถ้าสู้กับมันมีปัญญา พรุ่งนี้เราจะบิณฑบาตเนาะ กิเลสก็บอกว่า โอ๋ย! บิณฑบาตมาแล้วก็ภาวนาไม่ดี ไม่กินได้ไหม อ้าว! ไม่กินสักวันหนึ่งพรุ่งนี้กินได้หรือเปล่า คนถ้าอดอาหารบ่อยๆ จะเป็นอย่างนี้ อดอาหารต่อเนื่องเป็นหลายๆ ปี พอถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องไปกินเพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ รักษาชีวิตไว้เพื่อปฏิบัติ พอปฏิบัติ เราก็ประคองเอา ไปบิณฑบาตมาก็ฉันครึ่งหนึ่ง ฉันพอประมาณมันมีผ่อนอาหารกับอดอาหาร แล้วถ้าทํามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา
เราจะบอกว่า การอดอาหารมันเป็นวิธีการ มันเป็นอุบาย มันเป็นข้อเท็จจริงที่มีประโยชน์มาก แต่คนต้องใช้ให้มันเป็นกาลเทศะ ต้องใช้เป็น ใช้เป็น ใช้ได้ ใช้เป็นประโยชน์ ถ้าใช้ไม่เป็น กิเลสมันก็พลิกแพลงมาหลอกเราซะ นี่มันมีประโยชน์มาก แต่คนใช้เป็น เหมือนปืน ข้าราชการเขาเตือนประจํา บ้านใดมีปืน เก็บไว้ให้พ้นมือเด็กนะ ไอ้เด็กมันเห็นพ่อมันเช็ดปืนๆ เดี๋ยวเด็กมันก็เช็ดบ้าง แล้วมันเล่นไปเล่นมามันยิงตายหมดนะ ปืนเอาไว้ใกล้มือเด็กไม่ได้นะ ปืนต้องเก็บไว้ให้ห่างพ้นจากมือของเด็ก
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อาวุธที่มันเป็นประโยชน์นะ เราจะต้องใช้เป็น ต้องใช้ให้ถูกต้อง ต้องใช้ให้ดีงาม แล้วดีจริงๆ เดี๋ยวนี้คนเราส่วนใหญ่แล้วเห็นเขาทําก็ทําตามๆ กันไป อดก็อดบ้าง
เขาไม่มีจะกินเขาถึงอด แล้วคนก็ดูถูกถากถางนะ ไอ้พระที่เขาอยู่กันแล้วไม่ได้ภาวนา พอเจอพระอดอาหารก็จะแซวนะ ไอ้ที่มันอดอาหารเพราะมันไม่มีจะกินไอ้พวกนี้ไม่มีบารมี มันไม่มีใครสนใจมันน่ะ พวกเรานี่สุดยอด คนใส่บาตรเต็มเลย ไอ้พวกนั้นมันไม่มีจะกินมันถึงอดอาหาร
มันโง่ มันโง่มันยังไม่รู้จักว่ามันโง่ มันยังไปดูถูกเขาน่ะ
การอดอาหารมันมีผลกระทบทั้งภายนอก ภายนอกหมายถึงพระที่เขาไม่ได้ทําเขาก็เดือดร้อน พระที่เขาไม่เคยสนใจเลย เขาก็ลําบากใจ ไอ้สังคมมันก็บีบคั้นมา
ไอ้ใจเราก็ไม่อยากทําหรอก ใครอยากทุกข์ ก็ไม่มีใครอยากทําทั้งนั้นน่ะ แต่อยากฆ่ากิเลส มันเป็นอาวุธที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้ ใครจะหยิบจับมาใช้กับไม่หยิบจับมาใช้ ใครหยิบจับมาใช้ คนนั้นก็ได้ประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอาวุธไว้ให้ ให้พวกเราไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ แล้วเอ็งไม่ใช้มันก็เรื่องของเอ็งไง เอ็งใช้ไม่เป็น เอ็งไม่เป็นประโยชน์ก็เรื่องของเอ็ง แต่ครูบาอาจารย์ท่านใช้แล้วท่านได้ประโยชน์มาไง
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ถึงว่าอดนอนผ่อนอาหาร ถ้าถึงเวลาแล้วอดอาหาร แต่ใช้ให้เป็น ทําให้เป็น แล้วมันจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าเป็นประโยชน์มาก เวลาอดอาหารไปนี่ตัวเบา ไอ้ที่ว่าตกภวังค์ ไอ้นั่งหลับน่ะ จิ๊บๆ สบายมาก เพียงแต่เอ็งจริงหรือเปล่า ขอถามว่าเอ็งจริงหรือเปล่าเท่านั้น ถ้าเอ็งจริงนะ มันมีวิธีการแก้ได้หมดแหละ
แต่นี่เวลาแก้ แก้อยู่ข้างนอก นั่งหลับ เวลาแก้ พอแก้เสร็จแล้ว แก้ก็ยังหลับเพราะอะไร เพราะข้อมูลทิ้งไว้ข้างนอก กูไม่ทํา ก็กูพอใจ ฟังก็เท่านั้นน่ะ อุบายวิธีการนะ เราฟังแล้วมันไม่เข้าถึงใจ มันก็แค่นั้น
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตรเวลาหลานพระสารีบุตรไปต่อว่าพระพุทธเจ้า ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจเพราะว่าเอาพระสารีบุตรมาบวช เอาพระเรวัตตะมาบวช เอาพระจุนทะมาบวช ตระกูลของพระสารีบุตรมาบวชเป็นพระอรหันต์หมดเลย หลานของพระสารีบุตรไม่พอใจมากจะพูดตรงๆ ก็ไม่กล้า ก็บอกว่าไม่พอใจนั่น ไม่พอใจนี่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แล้วนะ “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจอะไรเลย เธอก็ต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย” คือไม่พอใจความคิดที่เอ็งกล่าวว่าเขา ที่เอ็งบอกไม่พอใจๆ เอ็งต้องไม่พอใจในความไม่พอใจของเอ็งด้วย เพราะความไม่พอใจของเอ็งก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง
พระสารีบุตรนั่งพัดอยู่น่ะ เป็นพระอรหันต์ปึ๊ง! เขาไม่ได้สอนพระสารีบุตรเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรยืนฟังอยู่ด้วย พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ นี่ปัญญาที่มันใช้เป็น ปัญญาที่มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม เขาไม่ได้สอนตัวเองเลย เขาสอนคนอื่นด้วย ยังเอามาเป็นประโยชน์ได้
ไอ้นี่เขาสอนอยู่ตรงๆ เลย ตัวต่อตัวเลย นู่น กองไว้ข้างนอกนู่น ก็กูจะเอาแบบนี้ ทําไม อ้าว! ก็ฟังอยู่ แต่กูไม่ทํา จะทําไม ก็ฟังอยู่เต็มหูน่ะ
การกระทําคือกิจกรรม กิจจญาณ คือการกระทําของจิต จิตเกิดสติ ทําความสงบเกิดขึ้นที่จิต จิตออกใช้ปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต จิตมันไม่ขยับไม่เขยื้อน จิตไม่มีการกระทํา กิจจญาณไม่มี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนากับปัญจวัคคีย์ อยู่ด้วยกัน ๖ ปีปฏิเสธตลอด เวลาไปฉันข้าวของนางสุชาดา ทิ้งหมดเลย มักมาก ออกไปฉันอาหารของเขา ไม่สนใจเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วจะเล็งญาณ จะสอนใคร อุทกดาบส อาฬารดาบสก็ตายเสียแล้ว คนที่มีพื้นฐานเคยอุปัฏฐากมา ๖ ปีมีหลักมีเกณฑ์คือจิตมันมีสมาธิอยู่ ก็ปัญจวัคคีย์ พอปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ปฏิเสธบอกว่าไม่รับนะ พวกเราอย่ารับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะมาแล้วล่ะ เมื่อก่อนเราอยู่กัน ๖ ปี ทําอะไรก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้พอเราทิ้งมา จะมาหาเราอีกแล้ว คงจะไม่มีใครอุปัฏฐากล่ะมั้ง เราอย่ารับนะ นัดกันนะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถึง มันด้วยสัญชาตญาณ รับหมดเลย เวลาจะเทศน์ก็ยังดื้อดึง ยังขัดขืนในใจไง นี่เวลาพูด ตกอยู่ข้างนอก ไม่ถึงใจหรอก ไม่สน พูดไปเถอะ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังก็ฟังพอเป็นพิธี ฟังก็ว่าฉันพอฟังเพราะฉันเป็นลูกศิษย์ ฉันก็ฟัง แต่ฉันไม่สนใจ เพราะฉันก็มีทิฏฐิของฉัน ฉันก็มีปัญญาเยอะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เคยได้ยินไหมว่าเราบอกว่าเราเป็นพระอรหันต์ อยู่ด้วยกัน ๖ ปี ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ตอนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพระอรหันต์เพราะอะไรล่ะ
เพราะมีกิจจญาณ สัจจญาณ มีสัจจะมีความจริง มีกิจกรรม มีการกระทําในใจ มีมรรคมีผลไง จิตใจมันเคลื่อนไหวไง พอจิตใจมันเคลื่อนไหว มันเกิดมรรคไงนี่ไง ภาวนามยปัญญามันเกิดตรงนี้ไง พอมีกิจกรรม เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีการกระทํา การอดอาหารมันเป็นวิธีการเท่านั้น ถ้ามันมีกิจกรรม มีกิจจญาณ กิจจญาณคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญามันขับมันเคลื่อนขึ้นไป มันขับมันเคลื่อนที่ไหน ขับเคลื่อนบนจิตนี้ ถ้าขับเคลื่อนบนจิตนี้ มันสํารอกกิเลสในหัวใจนี้ ถ้าสํารอกกิเลสในหัวใจนี้ มันเห็นคุณค่าไง
พื้นฐานเบสิกเริ่มต้นจากอดนอนผ่อนอาหารขึ้นมา จิตใจมันถึงมีกําลังขึ้นมามันถึงสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา มันถึงทําขึ้นมาให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาในใจของมัน พอในใจของมันก็เป็นกิจกรรมไง กิจจญาณๆ มีกิจจญาณ มีสัจจญาณ เราถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีวงรอบของมัน ๑๒ รอบ ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้
เกิดจากผ่อนอาหาร เกิดจากอดอาหาร เราทอนกิเลสไง เราบอกมันเป็นประโยชน์ มันดีมาก สิ่งที่ดีๆ มันเป็นแบบนี้ ฉะนั้นถึงว่าที่เขาถามมา เราบอกว่าไอ้นี่มันเป็นเชาวน์เป็นปัญญา เป็นวาสนาของใคร ใครจะฝึกใครจะหัด ใครจะลองอย่างไร มันจะได้ผลของมันอย่างนั้น ที่เขาทําของเขา เวลาเขาดีของเขาแล้ว เวลาเขาบอกวันที่ ๓ กวาดแล้วร่างกายมันไม่ไหว ถ้าจะอดต่อไป มันจะทําข้อวัตรไม่ได้เขาเลยมาคิดว่า ถ้าอย่างนี้ภาวนาได้น้อยลง อย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้อง
ถูกต้อง “อย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้อง” เราก็ผ่อนอาหาร ๒ วัน ๓ วันก็มาฉันหนหนึ่ง ครูบาอาจารย์ท่านว่า หลวงตาท่านพูดประจํานะ ถ้าจะอดอาหารก็ต้องรู้ถึงกําลังของตน
เรารู้ว่ากําลังของตนจะทนได้กี่วัน คราวนี้ได้ ๓ วัน เราก็ไปกินข้าว เรากินข้าวกินข้าว ๒-๓ วันให้ร่างกายมันฟื้นฟู พอฟื้นฟู มันอืดอาด ก็อดอาหารต่อไปได้กี่วันแล้วเราก็เทียบเอา เวลาไม่อดอาหาร หัวใจเราเป็นอย่างไร เวลาอดอาหาร หัวใจเราเป็นอย่างไร แล้วสิ่งนี้มันเป็นบาทฐาน แล้วเราก็ทําต่อเนื่องขึ้นไปๆ พัฒนาขึ้นไป เราทอนกิเลสเพื่อให้จิตใจเราก้าวเดินไปได้
เราไม่ได้ทอนกิเลสอะไรเลย จะทําอะไรก็เป็นทุกข์เป็นยากไปหมด จะทําอะไรก็พระพุทธเจ้าห้าม พระพุทธเจ้าห้าม
พระพุทธเจ้าบอกนะ ห้ามเบียดเบียนกัน ห้ามทําลายกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชมการฆ่ากิเลส พระพุทธเจ้าห้ามเบียดเบียน ห้ามทําลายกันพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้สามัคคีต่อกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญการฆ่ากิเลส
การฆ่ากิเลส ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ท่านบอกนะ ตัดป่าถางป่าทั้งหมดเลย แล้วไม่ได้ถางต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว เพราะต้นไม้ป่าเขามันเป็นวัตถุ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นนามธรรม
ตัดป่าทําลายป่าทั้งป่าเลย แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ชําระล้างกิเลสสะสางกิเลสสิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจทั้งหมดเลย แต่ไม่มีอะไรบุบสลายในร่างกายนี้เลย อยู่ครบสมบูรณ์ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ครบสมบูรณ์
เราถึงว่าการอดนอนผ่อนอาหารเป็นการทอนกิเลส เป็นการบั่นทอนให้มันเบาบางลง แล้วเราก็ต้องหาฝึกฝนของเราให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดกิจจญาณ เกิดสัจจญาณในหัวใจของเรา มีวงรอบ ๑๒ เราปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เอวัง