เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังธรรมเพื่อสัจจะ ชีวิตนี้มีค่า สิ่งที่ชีวิตนี้มีค่า ถ้ามีสัจธรรม เห็นไหม นี่ถ้าทางวิชาการ โลกนี้เจริญเพราะอะไร โลกนี้เจริญเพราะทรัพยากรมนุษย์ ชาติที่เจริญแล้วทรัพยากรของเขามีปัญญา ทรัพยากรของเขามีสติปัญญาเพื่อพัฒนาประเทศชาติของเขา เพราะเขามีการศึกษา เขามีปัญญาของเขา เขาพัฒนาชาติของเขาให้มีความสะดวกสบาย ให้ชาติของเขาน่าอยู่ นั่นล่ะทรัพยากรมนุษย์
ถ้าทรัพยากรมนุษย์ ฟังธรรมๆ เพื่อมนุษย์นี่ไง ถ้ามนุษย์ของเรา เราชาวพุทธๆ เวลาเขาดูถูกทางตะวันออกเชื่องมงาย นี่ตะวันตกเขาเชื่อด้วยปัญญาของเขา ถ้าตะวันออกเราเชื่อเรื่องบุญกุศล ถ้าบุญกุศลเราก็รอว่าเมื่อไหร่บุญกุศลจะมาค้ำจุนเรา ถ้าการค้ำจุนเรา ทำบุญต้องได้บุญแน่นอน เพราะทำบุญ บุญมันมีอะไร ดูสิเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ภาวนามยปัญญา นี่บุญที่สูงสุด บุญที่สูงสุดคือปัญญาญาณ ถ้าปัญญาญาณอันนั้นมันจะมาชำระล้างกิเลสในหัวใจของผู้นั้น ผู้นั้นพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายไป
ถ้าบุญอย่างนั้น เห็นไหม นี่ปัญญาเป็นบุญ แต่เราต้องการอะไร เราต้องการทรัพย์สมบัติ เราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องการ ฉะนั้น ความต้องการอันนี้มันมีที่มาที่ไปไง นี่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในโลกนี้ไม่มีของฟรี มันต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีเหตุมีปัจจัย ถ้ามีเหตุมีปัจจัย นี่คนที่เขาทำประสบความสำเร็จของเขา เขาทำของเขามามันต้องมีเหตุมีปัจจัยของเขา ถ้าเราสร้างของเรามา เราสร้างวัตถุไว้ทางโลก
ทรัพยากรมนุษย์ มนุษย์มีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติปัญญานี่มีศีล มีธรรม มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด พูดอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลามันคิดนะมันคิดร้อยแปดเลย คิดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่กล้าพูดนะมันอาย แต่เวลาทำ ทำจะเอาเปรียบเขา พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามีศีลธรรม มีศีล มีธรรม ซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อสัตย์สุจริตอันนี้มันทำให้เราได้มีศีล มีธรรม
คำว่ามีศีล มีธรรม ถ้าโลกเขามอง มองว่าพวกเรานี่พวกที่มีคุณธรรมในหัวใจ พวกนี้เป็นคนโง่ ไม่เอารัดเอาเปรียบเขา ไม่แย่งชิง ไม่ขวนขวายตามความจำเป็น เขาพูดอย่างนั้นนะ แต่ความจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเป็นความจริงนะหลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าเอ็งเหนื่อยยาก เอ็งทุกข์ยากในชีวิตของเอ็งนะ นั่นเป็นความทุกข์ยากที่ว่าเอ็งปากกัดตีนถีบ ที่ว่ามีความทุกข์ยากขนาดนั้นแล้ว เอ็งยังไม่ได้ภาวนา เวลาภาวนาอดอาหาร อดอาหาร ๗ วัน ๗ คืน ภาวนาตลอดรุ่งไม่นอนเลย
งานอย่างที่ว่าเราอาบเหงื่อต่างน้ำ ที่ว่าเราทุกข์เรายากนั่นน่ะ งานอย่างนั้นเราทุกข์ยากด้วยประสบการณ์ชีวิตของเราจริง แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติ ดูสิเวลาอาจารย์สิงห์ทอง นี่ครูบาอาจารย์ชื่นชมมาก ชื่นชมมากเพราะเดินจงกรมจนถนนเป็นร่องเหมือนคลองน้ำเลย ท่านเดินของท่าน แต่เวลาท่านออกมาอยู่หมู่คณะท่านก็อ่อนน้อมถ่อมตน ท่านก็ไม่ได้อวดเนื้ออวดตนเลย แต่เวลาความเป็นจริงของท่าน ท่านเอาความสงบสงัดของท่าน ท่านเดินจงกรมของท่าน เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน
ดูสิเราเข้าทางจงกรม ๒ นาทีก็ตายแล้ว นี่มันคิดไง นั่งสมาธิก็นั่งไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ประสบความสำเร็จสักอย่างหนึ่งเลย เพราะอะไร เพราะว่าเวลาเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรามันยากที่สุดไง ฉะนั้น บอกว่าเราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราทุกข์ เรายากขึ้นมา งานอย่างนี้เราทำมาหมดแล้วแหละ เวลาเราทำแล้วนี่เราหวังบุญกุศลๆ บุญกุศลเวลามันเกิดปัญญา ปัญญาทางโลกนี่ ปัญญาทางตะวันตก ปัญญาเขาเรียกว่าโลกียปัญญา โลกียปัญญาทำได้
นี่วันกรรมกรแห่งชาติ โลกนี้มนุษย์สร้างด้วยสองมือของเรา มนุษย์ทำทั้งนั้น แต่มนุษย์ทำขึ้นมาแล้ว มนุษย์มีศีลธรรมในหัวใจไหม ถ้ามนุษย์มีศีลธรรมในหัวใจ นี่เวลามันย้อนกลับมางานอันละเอียดไง อัตตสมบัติ สมบัติของเรา คุณงามความดีของเรา น้ำใจของเราไง ถ้าน้ำใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อตรงนี้ไง ธรรมโอสถไง เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาเอาอะไรไปแก้ไขมันล่ะ นี่เวลาทุกข์ยากในหัวใจ กองเงินกองทองเขากองอยู่เยอะแยะเลย มันช่วยเราไม่ได้เลย เจ็บไข้ได้ป่วยเงินมันช่วยไม่ได้ เงินมันก็แลกเปลี่ยนไปหาหมอ
เวลาจริงๆ ก็ไปหาหมอ เวลาหมอรักษาขึ้นมามันประสบความสำเร็จไหม เวลาใครไปหาหมอ หมอหายไหม ถามคำแรกเลย หมอหายไหม มันหวังพึ่งเขาแล้ว นี่แล้วเราหวังพึ่งเขาแล้ว ถ้าหมอที่ดี ทุกอย่างที่ดี มีศีล มีธรรมในหัวใจนะเขาเชิดชู เขาดูแลนะ เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขา เป็นอาชีพของเขา แต่เขามีใจที่เป็นธรรม เขาทำเพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก เพราะอะไร เพราะเขาสร้างคุณงามความดีของเขา เพราะเขาซื่อสัตย์กับอุดมการณ์ของเขา เขาซื่อสัตย์กับหัวใจของเขา
แต่คนที่เวลา นี่มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลาเขาจะหาผลประโยชน์ปากเขาหวานเจี๊ยบเลย อู้ฮู โอ้โลม ปฏิโลมเลย แต่มันจะล้วงกระเป๋า นี่ไงมนุษย์คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่งไง แต่มนุษย์ต้องมีศีล มีธรรม มีศีล มีธรรมเราศึกษาของเรา เราฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำให้ใจเรามีคุณธรรมไง ถ้ามีคุณธรรมนะ ถ้าทางโลกเขาจะมองว่าเราต่ำต้อย เราไม่เทียมหน้าเทียมตาเขา ไอ้นั่นมันมองด้วยกิเลส มองด้วยกิเลส เวลามองด้วยกิเลสมันจะเอารัดเอาเปรียบคนไง แต่เราเป็นใครล่ะ
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีศีล มีสัตย์ ถ้ามีศีล มีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อศาสดาของเรา ศาสดาของเราปากสะอาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ นี่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อนาคตของเรามันจะดีงามทั้งนั้นแหละ
ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีอย่างนี้เป็นความดีในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราได้ถมมันเต็มขึ้นมา มันไม่ลังเลสงสัยสิ่งใดเลย เวลามันจะประพฤติปฏิบัติ มันจะรื้อค้นของมัน มันจะขวนขวายให้เกิดธรรมโอสถ ธรรมโอสถคือศีล สมาธิ ปัญญาไง เราศึกษานี่ศึกษาฉลากยา เราศึกษาส่วนผสมของยา นี่ทฤษฎีต่างๆ เขาก็ย้อนกลับมาที่การกระทำของเรา ถ้าเราไม่ปฏิบัติของเราขึ้นมา มันไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงขึ้นมามันมีแต่ฉลาก ฉลากคือบอกส่วนผสม บอกการกระทำ แต่เราไม่ได้ทำของเราขึ้นมาเลย
ถ้าเราทำของเราขึ้นมา นี่ทำก็ทำไม่ได้ ทำก็ทำทุกข์ๆ ยากๆ เวลาทำ เห็นไหม นี่ทำบุญกุศลก็แสนยากอยู่แล้ว ยังให้ภาวนาอีกยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่เลย งานของฉันเยอะแยะ อู๋ย ต้องรีบกลับไปทำงาน งานอย่างนั้นทำจนตายแล้วก็ต้องกลับมาทำใหม่ เราตายไปแล้วลูกหลานเราก็จะมาทำต่อ สิ่งที่ทำนี่เราก็ทำ เพราะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงความเพียรชอบนะ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ คนเราเกิดมามันต้องมีหน้าที่การงาน มันต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ นั้นมันถึงจะเป็นคนดี
เขาวัดกันที่คุณสมบัติตรงนี้ไง เรามีสติ มีปัญญาหรือเปล่า เรารับผิดชอบหรือเปล่า เรามีน้ำใจหรือเปล่า ถ้าเรารับผิดชอบ เรามีน้ำใจ คนๆ นั้นมีพรรคมีพวก มีหมู่มีคณะ เขาชื่นชม คนเรา นี่แล้วบอกว่าเราไม่ทำ ทำ ทำทั้งนั้นแหละความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ คนทำหน้าที่การงานเขาถึงวัดคนๆ นี้ดีหรือไม่ดี ทำงานประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ ทำงานแล้วงานผิดพลาดหรืองานสมบูรณ์ นี่ดูคนก็ดูตรงนี้แหละ ดูที่เขาทำนี่แหละ เขาทำออกมาเขาทำออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของเขา ถ้าความรู้สึกนึกคิดของเขานี่หน้าที่การงานไง แต่เวลาจะหยุดหยุดไม่ได้
ทางโลกเขาบอกว่าเวลาทำงานเสร็จแล้วไม่เอางานกลับบ้าน ทำงานเสร็จแล้วให้อยู่ที่ทำงาน กลับบ้านเราอยู่ในครอบครัวของเรา เราจะมาเอาความอบอุ่นของเรา ไม่เอากลับบ้าน แต่นี้เวลาคิดนี่คิดมันไม่หยุด เวลาเอาความคิดเข้าไปทับถมหัวใจ เอาไปทับถมหัวใจ ไม่เอางานกลับบ้าน แต่ความคิดท่วมหัวเลย กลับไปยังหน้าดำคร่ำเครียด ไม่เอางานกลับบ้าน ไม่เอางานกลับบ้าน นี่มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่ถ้าคนฝึกหัดทำได้
ทุกคนรู้นะศีลธรรมคนทำดีทำชั่วนี่รู้ แต่ทำไมเรายับยั้งไม่ได้ล่ะ เพราะ เพราะเราไม่เคยฝึกหัดอะไรเลย ดูสัตว์สิ สัตว์ เห็นไหม ดูสิโค ควายที่มันเป็นโคฝูงเขาซื้อตามสภาพของมัน แต่ถ้าโคใช้งาน เขามาฝึกฝนจนมันใช้งานได้ ราคามันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย นี่ไงมันฝึกหัด สัตว์เขายังฝึกได้ ถ้าเรามีสติ มีปัญญา มีอำนาจวาสนามันจะฝึก ฝึกนี่ฝึกเพื่อใคร ฝึกเพื่อเราไง ฝึกเพื่อหัวใจเราไง หัวใจนี้ดัดแปลงให้มันตรง อย่าให้มันเฉไฉ
นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ถ้าเหตุนี้ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับหัวใจนี้ นี่ตอกย้ำทุกวัน สิ่งที่ฟังทุกวัน ทำไมต้องฟังทุกวัน เพราะฟังแล้ว สิ่งที่ได้ยินได้ฟังตอกย้ำมัน นี่สิ่งที่สงสัยมันเคลือบแคลง ฟังแล้วเราต่อยอด เรามีความคิด เรามีความรู้สึก มันจริงหรือเปล่า ถ้าจริงขึ้นมานี่ฟังธรรมตอกย้ำ ถ้าถึงที่สุดมันแก้ความสงสัยของเรา เวลามันผ่องแผ้วมันปล่อยวางหมดเลย เวลาปล่อยวางหมดจะเห็นคุณค่าของใจแล้ว แต่ถ้าคนมันหยาบ ไก่ได้พลอย ไก่มันไปคุ้ยไปเขี่ยมันได้พลอยเม็ดหนึ่ง มันไม่รู้จักอะไร มันอยากได้ข้าว ได้ข้าวเปลือกสักเม็ดหนึ่งมันยังกินได้ พลอยมันกินไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราพยายามหาอัตตสมบัติ หาความจริงของเรา ถ้าจิตมันสงบจิตมันปล่อยวาง เอ๊ะ อะไร อะไร นี่เพราะมันคาดหมายไง ทุกคนจะบอกว่าสมาธิเป็นอย่างไร โสดาบันเป็นอย่างไร สกิทาคามีเป็นอย่างไร อนาคามีเป็นอย่างไร พระอรหันต์เป็นอย่างไร อ้าว เอ็งปฏิบัติเอ็งก็รู้เอง ถ้าเรามีสมบัติอย่างนั้น แต่เพราะเราจินตนาการไง พอจินตนาการไป
หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ นี่เราบอกปฏิบัติไปแล้วมันจะสะดวก มันจะง่ายขึ้น มันจะดีขึ้น เวลาปฏิบัติไป นี่บุคคล ๔ คู่นะ เวลาโสดาบัน เวลาโสดาบันละสักกายทิฏฐิ ๓ เวลาสกิทาคามี กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง แต่เป็นพระอนาคามี กามราคะ ปฏิฆะละไป เวลาจะเป็นพระอรหันต์นะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันเหมือนผู้กำหนดนโยบาย
ผู้กำหนดนโยบายเขามีประสบการณ์ของเขา มันพลิกแพลง มันตลบแตลง มันปลิ้นปล้อนไปตลอดแหละ แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป จากหยาบๆ ขึ้นมาก็อู้ฮู ลำบากลำบนแล้วนะ เดี๋ยวปฏิบัติมันจะสะดวกสบายนะ ขึ้นไปนี่ไปโดนมันหลอกหมุนอยู่นั่นแหละ แล้วจะเอาจริงเอาจังขึ้นไปมันละเอียดลึกซึ้งต่อไปเพราะมีสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา แล้วมันปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป อันนี้คือการกระทำ ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจอย่างนี้
ถ้าเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม นี่เราว่าเราปฏิบัติไปแล้วมันจะสะดวกสบายขึ้น สะดวกสบายต่อเมื่อมีฐานรองรับ ภาวนาเป็นมันจะกระเสือกกระสนไป คนเราเวลามันได้มรรค ได้ผล มันอยากได้ อยากจะภาวนา อันนั้นเป็นตัณหาซ้อนตัณหา แต่พอมีสติปัญญามันปล่อยวางนะ เราจะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่ถ้าเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาก็ให้มันเป็นตามข้อเท็จจริงนั้น เรามีสติปัญญาเราพยายามทำของเรา ความเพียรชอบ ความเพียรชอบเกิดจากเจตนาที่ดี แล้วทำของเราขึ้นไป แต่กิเลสมันก็คอยสอด คอยแทรกตลอดไป เพราะกิเลสเป็นแก่นของกิเลสอยู่ในใจของเรา
นี่มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดไม่ได้อีกเลย แต่เราคิด ความคิดมันต่ำกว่าดำริ เพราะจะเป็นความคิดมันแสดงตัวแล้ว เราไปแก้ไม่ทัน มันปลายเหตุ ต้นเหตุเราหาไม่ได้ ต้นเหตุเราหาไม่เจอ แล้วเราจะทำอย่างไร ทำอย่างไร ฝึกหัดไป ทำของเราไป เราจะทวนกระแสกลับเข้าไป ไปพิสูจน์กันที่ภวาสวะ ไปพิสูจน์กันที่ปฏิสนธิจิต
จิตเริ่มต้น จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส คำว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสมันอยู่ในหัวใจของเรา แต่ขณะในปัจจุบันนี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ สถานะของความเป็นมนุษย์ นี่สถานะของความเป็นมนุษย์ก็ความรู้สึกนึกคิดไง แล้วจิตเดิมแท้มันอยู่ไหนล่ะ นี่ไงเปลือกส้มไง เปลือกส้ม ผิวส้มมันดูแลรักษาส้มไว้ทั้งใบ
นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันมีจิต มันมีความรู้สึก มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในนั้น แล้วเปลือกส้มคือความคิดก็ปิดมันไว้ นี่มันรักษาไว้ แล้วเราเข้าใจ เปลือกส้มก็สถานะของมนุษย์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับเข้าไป นี่เปลือกส้มปอกมันออก ใยของส้มเอามันออก เนื้อส้มมันมีเม็ด เราจะกินส้มหรือเราจะกินเม็ดส้ม โอ๋ย มันใช้ปัญญาแยกแยะเข้าไปในใจนะ มันจะรู้ มันจะเห็นเข้าไป
นี่ธรรมโอสถ เราฟังธรรมๆ เพื่อเราไง ถ้ามันมีสัจจะ มีความจริงอย่างนี้ จิตใจเรามีคุณค่าอย่างนี้นะมันจะเห็นสัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เพราะจิตใจของเรามันสูงส่ง มันมองเห็นอย่างนั้นนะ สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย นี่เขาเองเขาโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำในใจของเขา เขาถึงเกิดราคะ โทสะ โมหะของเขา เขาพยายามขวนขวายเอาบาปอกุศลในใจของเขา เขาพยายามทำบาป ทำกรรมของเขา
เราเห็นแล้วเราสงสารเขาไหม เราสงสารคอยบอกเขาเขาไม่ฟังหรอก เวลาเขามองเราเขามองไอ้พวกไปวัดนี่ไอ้พวกมีปัญหา ไม่ทันคน ทำอะไรก็ไม่เป็น แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธออย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเขานิ่งอยู่เพราะอะไร เพราะเขารู้ถึงปฏิสนธิจิต แล้วมันเสวยอารมณ์ถึงเป็นความคิด ความคิดมันถึงจะพูดออกไป พอพูดออกไป นี่ท่านนิ่งเพราะท่านรู้เท่าทันความคิดของท่าน แล้วพูดออกไปกระทบกระเทือนใคร
นี่ถ้าเป็นธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมบันลือสีหนาท รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ ในหัวใจของเขามีความสงสัย ในหัวใจของเขามีความลังเลสงสัย แสดงธรรมไปมันไปชำระล้างความสงสัยอันนั้น ถ้าเขามีความคิดที่ดี ไปส่งเสริมก็ เออ ถ้าคิดอย่างนั้นมันถูกต้องดีงาม มันจะมีกำลังใจ มันจะมีการกระทำของมันขึ้นไป สัจจะความจริงอันนั้น สัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเรามีสติ มีปัญญา ถ้าเราพัฒนาใจของเราได้
แล้วพอเราพัฒนาใจของเราได้ สัพเพ สัตตา เห็นเขาทำกัน เห็นเขาขวนขวายเอาแต่ฟืนแต่ไฟเผาใจเขา เราสงสารเขาไหม เราสงสารเขา เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กๆ เด็กๆ มันเล่นสนุกสนานของมันนะ ผู้ใหญ่เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสไปกับมันนะ แต่เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เฮไปกับเขา โลกเป็นแบบนั้น ทรัพยากรมนุษย์ ประเทศชาติที่เจริญแล้ว ทรัพยากรมนุษย์ของเขามีคุณภาพ แล้วของเราฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจของเราให้มันมีคุณภาพ มันมีคุณภาพมันก็มีสติปัญญาขึ้นมา
บุญกุศลมันคืออะไร บุญกุศลคือสติปัญญาไง สติปัญญาที่มันเท่าทันโลกไง สติปัญญาเท่าทันใจของตัว เอาใจของตัวไว้ระงับได้ เท่าทันกิเลสในใจของตัว เห็นไหม นี่พิจารณาจนถอดถอนของมันหมด ถ้ามันถอดถอนของมัน นี่ทรัพยากรมนุษย์ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ถ้าประเสริฐ ประเสริฐที่ไหนล่ะ ประเสริฐในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราเป็นคนหนา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราเป็นสาวก สาวกะ ได้ยิน ได้ฟังแล้วเราพยายามขวนขวายของเรา เราจะหาทรัพย์สมบัติของเรา หาความเป็นจริงในใจของเรา นี่ทรัพยากรมนุษย์มันเป็นที่นี่ไง ดูสิหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ ดูสิมนุษย์สอนเทวดา เราอยากเห็น อยากพบเทวดา อยากเป็น เทวดามันมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น นี่ไงทรัพยากรมนุษย์ ไม่ใช่มันดีเลิศเฉพาะมนุษย์หรอก มันดีเลิศในสามโลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังเทศน์ มาถามปัญหา มาหาช่องทางออก แล้วมันอยู่ไหนล่ะ อยู่ที่หัวใจเรา เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ฉะนั้น ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อที่นี่ ตอกย้ำ ทรัพยากรมนุษย์มันมีค่ามาก ทรัพยากรมนุษย์ โลกเจริญ เจริญเพราะมนุษย์ทำ แล้วก็มนุษย์นี่แหละเบียดเบียนกัน มนุษย์นี่แหละถากถางกัน แต่เราจะไปแก้ที่อย่างนั้น เราอย่าไปแก้ที่อย่างนั้นเรายิ่งทุกข์ ยิ่งยาก เพราะ เพราะใจเรายังสามารถควบคุมไม่ได้ เราจะไปสามารถควบคุมใจของใคร เราถึงต้องกลับมาดูแลใจของเรา ทำใจของเราให้มันมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมา แล้วเรามีสัจธรรมในหัวใจของเราขึ้นมา แล้วชีวิตเราจะไม่หยำเปไปอย่างนั้น
ถ้าชีวิตเราสูงส่งขึ้นมานะ มันเห็นจริงๆ นี่ตอนนี้เรามีค่าเท่าเขา พอมีกระทบกระเทือนเราก็เดือดร้อนใจนะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะจิตใจของเรามีเท่าๆ กันไง ถ้าจิตใจของเราสูงส่งกว่านะเหมือนผู้ใหญ่กับเด็ก ถ้าเห็นเด็กมันทำอย่างนั้นเราก็เข้าใจได้เด็กมันทำอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเราสูงส่งกว่า แต่ในที่ทำงานมันก็มีกระทบกระทั่งกันเรื่องธรรมดา โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่มันมีมาแต่ดั้งเดิม เราเกิดมามันก็มี เราตายไปมันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าจิตใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติ เราฟังธรรมของเรา เราสร้างหัวใจเราขึ้นมา เราอยู่กับเขาได้โดยยิ้มๆ เลยล่ะ อยู่กับโลกยิ้มๆ ทำไมเขาทำกันอย่างนั้น ทำไมเขาขวนขวายเอาแต่บาปกรรมใส่หัวใจของเขา แล้วทำไมเราไม่ทำล่ะ เราไม่ทำเพราะเรามีจุดยืนไง เราไม่ทำเพราะเรามีสัจจะ มีความจริง มีศีล มีธรรมในหัวใจไง เราไม่ทำแบบเขา แต่เราทำคุณงามความดีของเรา
คุณงามความดีของเราทำด้วยกำลังของเรา ไม่ใช่เกินกำลังนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าถ้าหามาได้บาทหนึ่ง เก็บไว้เลี้ยงชีพ ๑ สลึง เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ ๑ สลึง ทำธุรกิจ ทำหน้าที่การงานลงทุนอีก ๑ สลึง อีก ๑ สลึงถึงฝังดินไว้ ไม่ใช่ทำเกินกำลัง แล้วถ้ากำลังเราไม่มี สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด การทำบุญกุศลที่มีค่าที่สุดคือหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ การปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลิศที่สุด
การปฏิบัติบูชา ในเมื่อทุกคนมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ตั้งสติไว้จะเป็นอานาปานสติ ถ้ากำหนดพุทโธมันจะเป็นพุทธานุสติ อันนี้ประเสริฐ ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราจะมีเหมือนเขา ไม่มีเหมือนเขา เรามีหัวใจเหมือนกัน เรามีลมหายใจเหมือนกัน เรามีความสุขความทุกข์เหมือนกัน แล้วเรามีโอกาสที่ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน ทรัพยากรมนุษย์ เราจะเป็นมนุษย์ที่ดีคนหนึ่ง เราจะมีหัวใจของเราคนหนึ่งด้วยคุณธรรมของเรา ด้วยสัจธรรมของเรา ด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง