เทศน์เช้า

เทศน์งานฌาปนกิจศพ นายสมชาย ชวลิตาภา

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์งานฌาปนกิจศพ นายสมชาย ชวลิตาภา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

 

เอาเนาะ ฟังพระเทศน์ พระจะเทศน์แล้วนะ เพราะพระป่า พระป่าเขาไม่มีพิธีกรรม ไม่มีการอาราธนา การอาราธนานั้นเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้ามันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เวลาเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

วันนี้เรามางานศพ เรามางานฌาปนกิจนายสมชาย ชวลิตาภา ผู้ตาย โยมสมชายกับวัดของเรามันมีความสัมพันธ์กัน โยมสมชายแกเคยไปดูแลวัดของเรา ช่วยอุปัฏฐากดูแลพระของเรา วันนี้เรามาแสดงน้ำใจต่อผู้ตาย ผู้ตายเกิดที่นี่ ผู้ตายเกิดที่นี่ ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผู้ตายเกิดที่นี่ ชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตนี้จบสิ้นกระบวนการแล้ว ชีวิตนี้ได้ถึงที่สุดแห่งชีวิต ถ้าถึงที่สุดแห่งชีวิตคือการตาย โยมสมชายได้ตายลงแล้ว ถ้าโยมสมชายได้ตายลงแล้ว สิ่งนี้ ผลของวัฏฏะ

การเกิด เกิดเพราะบุญกุศล เพราะมีบุญกุศลถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะบุญกุศลถึงทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ได้มีโอกาส ได้ทำคุณงามความดี คุณงามความดีนะ การประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบสัมมาอาชีวะจนตั้งตัวขึ้นมาได้ มีครอบครัว มีครอบครัว มีลูกมีเต้า ก็ได้ส่งเสียลูกเต้าจนถึงเรียนจบ จนมีหน้าที่การงาน ถึงที่สุดแล้วโยมสมชายก็ต้องเสียชีวิต สิ้นชีวิตไป เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด

แต่สิ่งที่สุดๆ เพราะการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่เวลาที่สุดแล้ว เพราะได้ศึกษา เพราะได้การประพฤติปฏิบัติมา เวลาโยมสมชาย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ไม่กลัวความตาย ความตายนี้ไม่กลัว เพราะการไม่กลัวความตาย เพราะได้ฝึกฝนมา

คนเราเวลาประกอบสัมมาอาชีวะ เราต้องมีสติมีปัญญา ถ้าเราไม่มีสติมีปัญญา เราจะประกอบสัมมาอาชีวะให้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไร เวลาว่ามีปัญญาประกอบสัมมาอาชีวะนั้น ปัญญาอย่างนี้คือปัญญาของโลก ปัญญาของโลกก็อาศัยอำนาจวาสนา เพราะมีอำนาจวาสนาถึงได้ศึกษาแล้วมีปัญญา เวลาใช้ปัญญา คนศึกษา จบมาเหมือนกัน แต่ใช้ปัญญาได้ไม่เท่าเทียมกัน ไม่เห็นกันเฉพาะหน้า ใครใช้ปัญญาได้มากน้อยแค่ไหนนั้นคืออำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีมันเป็นพันธุกรรมของจิต

เพราะพันธุกรรมของจิต เวลาเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การสร้างคุณงามความดีมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมแต่คุณงามความดีมา เสียสละทุกๆ อย่างเพื่อการปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาออกบวชๆ เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาจะส่งเสริม เขาจะชื่นชมขนาดไหน เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อเขา ไม่เชื่อเขาเพราะมีอำนาจวาสนาบารมี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง แล้วเข้าใจผลของวัฏฏะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ในเมื่อมีคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหักมาฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทำอย่างไรถึงจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การกระทำอันนั้น การกระทำอันนั้นออกแสวงหา ถ้าแสวงหาได้ตามความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ตรัสรู้จริงไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแทงทะลุถึงผลของวัฏฏะ ผลของกามภพ รูปภพ อรูปภพ

เพราะจิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาเกิดเป็นเรา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วมนุษย์มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ในการประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบสัมมาอาชีวะในภพชาตินี้ แต่เวลาแยกออกมาเป็นการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าการประพฤติปฏิบัติ แสวงหาความจริงจากหัวใจไง

แต่เวลาแสวงหาความจริงจากหัวใจ เห็นไหม ความสุขของเรา ความสุขทางโลก ความสุขทางโลกต้องประสบความสำเร็จในชีวิต เรามีทรัพย์สมบัติ เรามีครอบครัวที่อบอุ่น แต่เราก็ต้องตาย แต่ถ้าเวลาตายจะขึ้นมานะ เวลาตายขึ้นมา ความตายทำให้เฉา ความตายทำให้เหงาหงอย แต่โยมสมชายเขาไม่กลัว แกปรารถนาเพราะอะไร เพราะแกทำของแกมาไง เพราะแกได้ศึกษามา แกได้ประพฤติปฏิบัติมา คนที่ไม่กลัวความตาย แล้วมันจะมีอะไรเป็นของที่น่ากลัว มันไม่มีสิ่งใดเป็นของน่ากลัวเลย เขาไม่กลัว ไม่กลัวเพราะอะไร ไม่กลัวมันต้องมีสิ่งที่ทำให้ไม่กลัวไง ไม่กลัวเพราะเขาได้สร้างของเขา เขาได้ทำคุณงามความดีของเขา ถ้าเขาได้ทำคุณงามความดีของเขาแล้ว สิ่งที่ไปเผชิญหน้าข้างหน้า เพราะเรามีสมบัติพอ เรามีสมบัติ เรามีสิ่งต่างๆ ที่จะเผชิญหน้ากับความจริงข้างหน้านั้น

แต่ถ้าเราไม่มีสมบัติที่เราจะเผชิญข้างหน้านั้น เราไปข้างหน้า เราจะมีสิ่งใดเป็นสมบัติของเรา เราก็กลัวสิ เราก็กลัวของเรานะ ถ้าเรากลัวของเรา สิ่งที่เรากลัว เราเศร้าเราสร้อย เราเหงาเราหงอย เพราะเรากลัวความตาย แต่ถ้าคนไม่กลัวความตาย คนไม่กลัวความตายมันต้องมีที่มาที่ไป ทำไมถึงไม่กลัว ฉะนั้น เวลาไม่กลัว มันมีบุญกุศลส่งเสริมไป ถ้ามีบุญกุศลส่งเสริมไป สิ่งที่ส่งเสริมไปๆ เพราะมีความเชื่อ อุปัฏฐากพระมา ได้ฟังเทศน์มา มีความเชื่อว่าจิตนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะเกิด เราพร้อม เราพร้อมที่จะไป

ฉะนั้น เวลาโยมสมชายท่านเสียชีวิตไป ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด กาลเวลาในชีวิตนี้จบแล้ว แต่จิตดวงนี้ จิตดวงนี้มันจะจบไหม มันยังต้องไปเกิดตามบุญกรรมที่จะไปเกิด สิ่งที่จะไปเกิดๆ มันเป็นตามบุญตามกรรม ผลของวัฏฏะๆ ถ้าผลของวัฏฏะ เราก็เป็นผลของวัฏฏะอันหนึ่ง ถ้าเราเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว เรามีสติปัญญาไหม หน้าที่การงานต้องทำ เพราะเวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติ จะค้นคว้า เวลาปฏิบัติของเขามาแล้ว เขาก็ต้องใช้ความเพียรเหมือนกัน

การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนาค้นคว้าหาหัวใจของตัว ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตัว เพราะหัวใจของตัวเป็นสมบัติที่มีค่า สมบัติที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกอันนี้ สมบัติที่มีค่าที่สุดคือหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เราได้สร้างสมอันนั้น ทรัพย์สมบัตินั้นเราเอาไว้พึ่งพาอาศัย เราเอาไว้ใช้สอย เราใช้สอยจริงๆ พอใช้สอยแล้วมันมีความสุข แต่ถ้าเราอัตคัดขาดแคลน มันจะมีความทุกข์

ความทุกข์อย่างนี้เขาเรียกว่าทุกข์ประจำธาตุขันธ์ คำว่า “ทุกข์ประจำธาตุขันธ์” มันมีการช่วยเหลือเจือจานกันได้ มันมีการอนุเคราะห์สงเคราะห์กันได้ แต่ถ้าเวลาเป็นธรรมๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่มีใครสงเคราะห์เราได้ เราจะยากดีมีจนขนาดไหน เราต้องสร้างของเราเอง เราต้องแสวงหาของเราเอง

เวลาแสวงหาของเราเอง เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา คนคนนั้นต้องเป็นผู้ที่แสวงหาเอง ถ้าคนคนนั้นเป็นผู้แสวงหาเอง เวลาตายไปแล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเราชำระล้างกิเลสสิ้นไปแล้วมันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันคืออะไรล่ะ

ถ้าค้นหาจิต ค้นคว้าหาจิตของตัวเจอ มันถึงจะเข้าใจได้ไง ถ้ายังค้นคว้าหาจิตของตัวไม่เจอ มันเข้าใจไม่ได้ มันเข้าใจไม่ได้ มันเหมือนกับการเหยียบย่ำตัวเอง ตัวเองไม่มีคุณค่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์มีสติปัญญา ในโลกนี้ สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ มนุษย์เป็นคนสร้างทั้งหมด ด้วยมือของมนุษย์เป็นผู้สร้างมา แต่มือมนุษย์ที่จะสร้างมา มือมนุษย์ต้องมีหัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่มีคุณธรรม ถ้าหัวใจที่มีคุณธรรมนะ เราทำสิ่งนี้ไว้เป็นสมบัติของโลก สมบัติของโลกให้คนได้อนุเคราะห์ ได้ใช้สอย นี่คำว่า “ได้ใช้สอย”

เวลาเทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่มงคลชีวิต สิ่งที่เป็นเทวดามาจากไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธออย่าถามเลยว่าเทวดามีหรือไม่มี แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นเทวดา เรายังรู้เลย เพราะเรารู้ สร้างถนนหนทาง สร้างแหล่งน้ำ สร้างที่สาธารณประโยชน์ คนอื่นเขาได้มาใช้สอยประโยชน์จากเรา คนอื่นได้มาใช้สอยประโยชน์จากเรา เราทำคุณงามความดี เราสร้างบุญกุศล สร้างสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุ แต่ให้คนอื่นเขาได้ผลประโยชน์อันนั้น ถ้าผลประโยชน์อันนั้นนะ

เวลาทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีคือปลอดโปร่ง เหมือนโยมสมชายที่ว่าแม้แต่ชีวิตก็ไม่กลัวตาย เพราะมันพร้อม มันพร้อมที่จะไป มันพร้อมที่จะเผชิญ ถ้าพร้อมจะเผชิญ เวลาเขาไป เขาเป็นหัวหน้า ไอ้เราทำไปโดยความกลัว ทำไปโดยความจำเป็น เวลาไป แต่เราก็สร้างคุณงามความดีเหมือนกัน เราได้อาศัยสิ่งที่เขาอนุเคราะห์เรา เวลาเราตายไป เราก็ไปเกิดเป็นบริษัทบริวารเขาไง ไม่ใช่เป็นผู้ปกครองไง ถ้าเป็นผู้ปกครองผู้ดูแล มันจะเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ปัญญาแทงตลอดว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะไม่ให้กิเลสมันครอบงำให้เราตื่นเต้นไปกับสังคมโลก

สังคมโลก มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อยู่คนเดียวไม่ได้ แม้แต่พระ พระบวชแล้วไปอยู่ป่าอยู่เขาก็อาศัยบิณฑบาตจากศรัทธาไทยทั้งนั้นแหละ เพราะพระ พระทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ พระทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ พระต้องอาศัยศรัทธาไทย ถ้าอาศัยศรัทธาไทย เราบอกไม่ใช่สัตว์สังคมหรือ

มันก็เป็นสัตว์สังคมเหมือนกัน แต่ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ มนุษย์ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน ฉะนั้น ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ มนุษย์จะไม่เบียดเบียนกัน มนุษย์จะดูแลรักษากัน มนุษย์จะให้โอกาสกัน แล้วถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข ในบ้านในตระกูลของเรา ถ้ามีความเข้าใจกัน มีความอบอุ่นต่อกัน ในบ้านนี้มีความสุขมาก เราไปไหนก็แล้วแต่ เวลากลับบ้านนะ กลับบ้านแล้วสบายใจ บางคนออกจากบ้านไปแล้วไม่อยากกลับบ้าน เพราะในบ้านเรามันไม่น่ารื่นรมย์ ฉะนั้น ถ้าเราอยากกลับบ้านของเรา เพราะมีการเสียสละ มีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงว่าถ้ามีธรรม

ถ้ามีธรรม ธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาเพื่อค้นคว้าของเรา ปัญญาทางโลกมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลก ปัญญาในการดำรงชีพ สิ่งนี้ก็เป็นปัญญา ปัญญาทางโลกเป็นประโยชน์ แต่ประโยชน์อย่างนี้เพื่อประโยชน์การดำรงชีพ ดำรงชีพแล้วดูตัวอย่างที่นี่ ดำรงชีพ ดำรงชีพแล้วมันต้องสิ้นสุดไป ชีวิตนี้ กาลเวลาสิ้นสุดลงเมื่อเราหมดอายุขัย ถ้าหมดอายุขัย เราจบไหม เราก็บอกว่าเกิดแล้วก็ตายไง มันจะมีภพชาติที่ไหนล่ะ

ถ้ามันจะมีภพชาติที่ไหน ทำไมลูกของเราหลายๆ คน ทำไมนิสัยมันไม่เหมือนกันล่ะ ลูกของเรา พ่อแม่คนเดียวกัน ทำไมลูกมันนิสัยไม่เหมือนกัน ลูกของเราไปโรงพยาบาลตรวจดีเอ็นเอ ของพ่อแม่หมดแหละ แต่เวลาจิตของเขาๆ จิตของเขาคือปฏิภาณของเขา จิตของเขาคือพันธุกรรมของเขา เขาสร้างของเขามา จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันเป็นสันดาน สันดานที่ฝังลงไปที่ใจนี้ มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากการกระทำของตัวเราเอง

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเกิดและการตายมันมีกรรมจำแนกให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ผลของวัฏฏะๆ ไง เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมันเกิดจากการกระทำของเรา มันเกิดจากเวรกรรมของเรา ถ้าเกิดจากเวรกรรมของเรา เราเกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วมีสติสัมปชัญญะไหม

เวลาพ่อแม่ สิ่งแวดล้อมที่ดี เลี้ยงลูกต้องมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อให้ลูกของเราเชื่อฟัง เพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เพราะพ่อแม่ปรารถนาดีกับลูก ลูกเวลากลับบ้าน ถ้าเขามีความสุขมา พ่อแม่จะชื่นใจ ถ้าพ่อแม่ชื่นใจ มันจะเป็นประโยชน์ สิ่งที่สภาวะแวดล้อมที่ดี สิ่งที่ดี เพื่อจะให้ลูกเราเป็นคนดีไง ถ้าลูกเราเป็นคนดี เวลาพ่อแม่ ลูกจะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้มันเป็นคนดี ขอให้มีความสุข มีความสุขเพื่อประโยชน์กับใครล่ะ มีความสุขเพราะประโยชน์กับชาติตระกูลไง ถ้าชาติตระกูลมันร่มเย็นเป็นสุข มันเป็นประโยชน์อย่างนี้

ผลของวัฏฏะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว เรามีสติปัญญาของเรา เราจะรักษาชีวิตของเรา มันจะยากดีมีจน ขอให้มันมีความสุขในครอบครัว มันจะยากดีมีจน ขอให้มีสติปัญญา ให้เราเป็นคนดี เพราะการเป็นคนดี เป็นคนดีเพราะอะไร เป็นคนดีเพราะผู้ตาย เวลาเขาตาย เขาตายนะ ออกซิเจนเขาดึงออกเอง เขากล้าเผชิญความตาย เพราะจะบอกว่า อ้าว! ก็เขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ มันไม่มีทางรอด

อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเราอ่อนแอ เราอ่อนแอ ถ้าเราอ่อนแอ มันทุกข์ทั้งใจเรา มันทุกข์ทั้งผู้ป่วยไข้ มันทุกข์ทั้งผู้ดูแลอุปัฏฐาก ทุกข์ไปทั้งหมดเลย แต่ถ้าจิตใจเขาเข้มแข็ง เพราะเขามีคุณธรรม เขาเผชิญสิ่งใดเขาก็เผชิญได้ เพราะเขาเผชิญได้แล้ว ครอบครัว บริษัทบริวารยังมีความร่มเย็นเป็นสุข ยังมีความชื่นบาน ชื่นบานว่าในเมื่อญาติของเราก็ต้องสิ้นชีวิตไป มันเป็นความจริง

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายหมด แต่ตายไปมีสมบัติพร้อมไหม สมบัติที่นี่เป็นของตระกูล เป็นของลูกหลาน สมบัติของเราล่ะ สมบัติของเราล่ะ แล้วสมบัติไม่ใช่เอาเงินมาบริจาค สมบัติของเราคือตั้งสติ ฝึกหัดทำสมาธิ เพราะว่าเงินมันซื้อไม่ได้ เงินมันซื้อสติ ซื้อสมาธิ ซื้อปัญญาคนไม่ได้ ปัญญาคนมันจะเกิด จะเกิดจากการฝึกฝน ถ้าการฝึกฝนทางโลก เราฝึกฝนให้ลูกของเราฉลาด ให้ลูกของเรามีปัญญา อันนั้นคือการฝึกฝนให้ลูกเราหาผลประโยชน์ในการดำรงชีพ

แต่ครูบาอาจารย์ของเราเวลาฝึกฝน โยมสมชายฟังเทศน์ๆ มา จนเขาฝึกฝนของเขา เขาทำหัวใจของเขา เขาทำหัวใจของเขา มันไม่มีสิ่งใดมีค่า มันไม่มีสิ่งใดพึ่งได้ มันไม่มีสิ่งใดที่เราจะแสวงหาได้ มันมีเฉพาะหัวใจของเรา เฉพาะหัวใจของเรา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราตื่นเต้นกัน อยากจะไปอินเดีย ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แต่พระกรรมฐานเขาพุทโธๆๆ จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวอก พุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เรามีจนได้ จิตใจเราเป็นได้ ถ้าจิตใจเราเป็นได้ มันจะเป็นประโยชน์ตรงนี้ไง ถ้าตรงนี้เป็นประโยชน์ขึ้นมา จะเผชิญสิ่งใดก็ไม่กลัว จะเผชิญสิ่งใดมันจะกล้าเผชิญทั้งนั้นแหละ เผชิญกับสัจจะความจริง เผชิญกับสัจจะความจริงเพราะมันต้องเวียนว่ายตายเกิด มันยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าจิตมาประพฤติปฏิบัติ มันจะสำรอกมันจะคายกิเลสออกไปเมื่อไหร่ มันจะสำรอกมันจะคายกิเลสออกไป เห็นไหม

มางาน เรากินข้าวเราก็อิ่ม เรากินน้ำเราก็สดชื่น ถ้าเรามีสติ เราก็รู้ตัวว่าเรามีความพร้อมสมบูรณ์ เรามีสมาธิ เรามีสมาธิเราก็มีความสุขของเรา ถ้าเราเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญา มันจะเป็น เห็นไหม

เขาบอก คนไทยเกิดมาเหยียบแผ่นดินผิด เหยียบแผ่นดินผิดคือว่าแผ่นดินพระพุทธศาสนา แผ่นดินพระพุทธศาสนามันมีอริยทรัพย์ มันมีทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอกเราแสวงหากัน แต่ทรัพย์ภายในคืออริยทรัพย์ แล้วอริยทรัพย์สิ่งนี้มันเกิดขึ้น หน่อของพุทธะ เวลามันเกิดขึ้นมันต้องเกิดขึ้นจากศีล เกิดขึ้นจากสมาธิ เกิดขึ้นจากปัญญา ถ้าปัญญามันใคร่ครวญของมัน มันรู้มันเห็นของมัน เวลามันสำรอกมันคายของมัน มันจะรู้จะเห็นของมันอย่างนี้ ถ้ารู้เห็นอย่างนี้ มันยิ่งเผชิญหน้า มันจะพิจารณาของมันไป พิจารณาของมันไป พิจารณาอะไร พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาร่างกายเรานี่แหละ

แต่จิตสงบแล้วมันพิจารณาร่างกายของมัน เวลามันสำรอกมันคายออกไป คายสักกายทิฏฐิ ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวเราทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี่ ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี่ ร่างกายมันปล่อยวางโดยสังโยชน์ มันปล่อยวางโดยหัวใจ มันไม่ใช่ปล่อยวางโดยเราคิดเอง

บอกว่า เขามีสัมมาอาชีวะ เราก็มีสัมมาอาชีวะ เขามีมรรค เราก็มีมรรค เวลาเขาปล่อย เราก็ปล่อยของเราได้ ถ้ามันปล่อยของเราได้ มันปล่อยโดยสัญญาอารมณ์ ปล่อยโดยโลกียปัญญาไง ปล่อยโดยแค่ที่สังคมเขาเชื่อถือ สังคมเขาเชื่อถือ เราก็ทำเหมือนกัน เพราะเราก็มีเหมือนกัน เราทำแบบที่สังคมเขาเชื่อถือ ถ้าสังคมเชื่อถืออย่างนั้น แต่ของเรา เราไม่ได้ทำเพื่อสังคมเชื่อถือ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สังคมเชื่อถือ สังคมยกย่อง สิ่งนั้นเป็นคนที่มีคุณธรรม แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลาเป็นคุณธรรม มันเป็นคุณธรรมจากหัวใจ มันเป็นคุณธรรมจากความจริง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเรา เป็นสิทธิ์ของเขา เป็นสิทธิ์ในหัวใจไง ความเป็นสิทธิ์อันนี้ต้องให้ใครรับรอง ความเป็นสิทธิ์อันนี้มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็นของใจดวงนี้ไง

โยมสมชายตายไปแล้ว โยมสมชายจะไปเกิดใหม่ ไปเกิดเป็นอะไร เกิดใหม่เกิดเป็นอะไร

“เขาไม่เกิด เขาตายแล้ว เขาจบแล้ว ภพชาติไม่มี”

แต่โยมสมชายเขารู้ เพราะเขาพยายาม เขาลุกมานั่งพุทโธด้วย เขาลุกขึ้นมา เขาถอดออกซิเจนออก เขาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาทำของเขา เขาทำของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขามีวุฒิภาวะ หัวใจของเขามีความเข้มแข็ง ไอ้เรา เราเห็นแล้วเรายังกลัวแทนเขา นั่นล่ะถ้าเขาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีสติมีปัญญา มีความเห็นจริง

ถ้ามีความเห็นจริง ความเห็นนี้มันเกิดมาจากการฝึกหัด เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดมาจากสัจจะความจริง เกิดมาจากเราได้สังคมกับหมู่เป็นปัญญาชน เราคบเพื่อนดี ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคบเพื่อนดี คบเพื่อนที่มีคุณธรรมที่สุดคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านก็วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เราชาวพุทธเราก็ศึกษาของเรา ศึกษาแล้วจะเชื่อไม่เชื่อมันก็เป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล มันเป็นสิทธิ์ ความเป็นสิทธิ์นั้นเขาเรียกว่าศรัทธา ใครมีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อ มีความเห็นต่าง ความเห็นต่างของคน เราจะไม่เถียงกัน แล้วแต่เขามีความเห็นต่าง

แต่ถ้าจิตใจของเขาพัฒนาขึ้น จิตใจของเขาพัฒนาขึ้น เขาจะรู้ของเขา เพราะมันเป็นสมบัติของเขา มันเป็นสมบัติของเขาเอง แต่เขาจับมันทิ้งมันขว้างไป แล้วให้ไปหาวัตถุที่เป็นที่พึ่งอาศัย มันเป็นสมบัติของเขาเอง แต่มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากปิดบังไว้

หลวงตาท่านบอกว่า จอกแหนๆ มันปิดบังน้ำไว้ ถ้าเราแหวกจอกแหนออก มันก็เห็นน้ำใสๆ แต่เราไปเห็นกันแค่จอกแหน ไอ้นี่เราก็เห็นแค่ความคิดเรา เราเห็นว่าปัญญาเรา เราเห็นว่าเราเป็นคนมีความสามารถ จอกแหนทั้งนั้น แต่ถ้ามันแหวกจอกแหนออก มันจะเห็นน้ำใสใจจริง

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

มันต้องมีสัจจะมีความจริง มันไม่ใช่ว่าทุกคนยกย่องเอา ให้สังคมเชื่อถือเอา สังคมคือสังคม สังคมไม่มาเป็นมาตายกับเราหรอก เวลาจะเป็นจะตาย มันตายเฉพาะบุคคล บุคคลไหนเป็นใบไม้ร่วง เป็นใบๆ ไปเลย สังคมทั้งสังคม ใบไม้มันจะร่วงหมด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วไปไหนต่อ ก็ไม่ไปไหนต่อ ก็จบแล้วไง ถ้าจบแล้ว จบแล้ว

เวลาลูกหลานเราเกิดมา ทำไมจริตนิสัยเป็นแบบนั้น เกิดมาแล้วมีความผูกพันอย่างนั้น

สายบุญสายกรรม สภาคกรรม ใครทำกรรมร่วมกัน ใครทำสิ่งใดร่วมกันมานั้นเป็นสภาคกรรม ต้องแบ่งๆ กันไป ทุกคนทำ ทุกคนมีส่วนร่วม แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เรานั่งทำงานคนเดียว เรานั่งสมาธิคนเดียว เราใช้ปัญญาคนเดียว เพราะเวลาหลุดพ้น หลุดพ้นแต่คนเดียว แต่สังคมๆ เวลาทำขึ้นมาก็ทำเพื่อสังคม กระแสสังคม แล้วเชื่อสังคม สังคมชักนำกันไปไง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เดินจงกรมคนเดียว นั่งสมาธิคนเดียว เวลาตรัสรู้ก็ตรัสรู้คนเดียว แต่เวลาตรัสรู้คนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ สอนตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมลงมาหมดเลย แล้วสอนมนุษย์ด้วย

ประเพณีวัฒนธรรมของเราชาวพุทธมันมาจากไหน ประเพณีวัฒนธรรมชาวพุทธมันก็มาจากธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย ถ้าผ่านจากธรรมและวินัยไป มันก็จะเข้าสู่เนื้อธรรม เนื้อธรรมคือความรู้สึก ความรู้สึกที่เจ็บช้ำน้ำใจ ความรู้สึกที่ชอกช้ำ ความรู้สึกที่มันสุขสมบูรณ์ ความรู้สึกอันนี้ ใครเป็นคนทำให้มัน มันก็เป็นจากธรรมชาติไง ธรรมชาติสร้างให้ แต่พระกรรมฐานไม่เป็นแบบนั้น เกิดจากสติเกิดจากปัญญา เกิดจากการค้นคว้า ถ้าไม่มีการกระทำ ไม่มีการค้นคว้า มันจะมาจากไหน คนเราจะรวยมาโดยไม่ทำงาน เป็นไปได้ไหม คนเราไม่ทำอะไรเลย ทรัพย์สมบัติเต็มไปหมด เดี๋ยวเขาจะตรวจสอบทรัพย์สิน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจ ความจริงก็คือความจริง มันเป็นนามธรรม ใครจะตรวจสอบ ธรรมและวินัยมันจะตรวจสอบไง ตรวจสอบการกระทำของเรา ถ้าการกระทำนั้นเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงกลางหัวใจ ถ้าเป็นความจริงกลางหัวใจ กึ่งพุทธกาลมันมีพระกรรมฐาน มีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติแล้วถูกต้องดีงาม ถ้าปฏิบัติแล้วถูกต้องดีงาม เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราสนทนากัน คนโง่คนฉลาดเรารู้ไหม เวลาคนโง่ๆ มันพูด เราเบื่อไหม เวลาคนฉลาดมันพูด มันมีแง่มีมุม เวลาคนฉลาดมันพูด มันเตือนหัวใจเราใช่ไหม เวลาคนโง่มันเสียเวลา คนโง่มันคุยกัน มันเสียเวลา เราไม่อยากฟัง

ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาสนทนาธรรมๆ มันเป็นความจริงขึ้นมาจากหัวใจไง ถ้าเป็นจริงขึ้นมาจากหัวใจ มันเป็นจริงขึ้นมาจากเรา เวลาฟังธรรมๆ เขาฟังธรรมกันเพื่อเหตุนี้

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาแสดงธรรมๆ แสดงธรรมพอเป็นพิธี เพราะเราซาบซึ้งน้ำใจของผู้ตาย ผู้ตายเขาดูแลอุปัฏฐากวัดเรา อุปัฏฐากพระเรา แล้วเขาดูแลแล้วเขาก็ฝึกหัดใจเขา เขาพัฒนาของเขา แล้วเราก็ภูมิใจ เราภูมิใจที่ว่าเวลาเขาจะสิ้นชีวิต เขาลุกขึ้นนั่ง แล้วกำหนดพุทโธของเขา เขาไม่เคยกลัวความตาย เพราะความตายมันเป็นผลของวัฏฏะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ชีวิตที่เกิดขึ้น ทุกชีวิตต้องดับไปเป็นธรรมดา แต่การดับและการเกิดนั้นจะต้องให้เป็นประโยชน์กับเรา

เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง เราเป็นคนดีคนหนึ่ง เราสร้างประโยชน์กับสังคม เขาก็ยกย่องสรรเสริญเรา ถ้าเราสร้างประโยชน์กับหัวใจของเราได้ เราสร้างสมกับคุณงามความดีของเราได้ ไม่ต้องให้ใครยกย่อง กิเลสมันคอยยุคอยแหย่กลางหัวใจ มันอึดอัดขัดข้อง มันไม่มีสิ่งใดพอใจเลย กิเลสมันหลอกมันหลอน มันปลิ้นปล้อนกลางหัวใจ ไม่มีอะไรสมใจสักอย่าง

ถ้ามีสติมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ จิตที่มันไปหมกมุ่นกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันชักนำอยู่ เปลี่ยนประเด็นมัน ให้มันอยู่กับพุทธะ หายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกโธ มันเป็นสมบัติของเรา

ใครกินข้าวตักทีละคำ คนนั้นจะได้อิ่มท้อง ใครไปนั่งที่สำรับแล้วมองมัน เดี๋ยวก็กลับไปด้วยความแห้งแล้ง ถ้าเราพุทโธ เหมือนกับเราป้อนหัวใจของเรา ที่มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำ ให้มันอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ทั้งๆ ที่ทำไม่เป็นก็พยายามชักนำหัวใจเราเข้าไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา จิตมันจะเห็นคุณงามความดี

สมบัติของคนคนนั้น มันเป็นสิทธิ์ สิทธิและเสรีภาพ ความเสมอภาคของมนุษย์ มนุษย์มีสิทธิทำอะไรก็ได้ จะทำคุณงามความดีขนาดไหนก็ได้ จะทำความเหลวแหลกอย่างไรก็ได้ เป็นสิทธิของมนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์มีสติมีปัญญา มนุษย์แสวงหาของดีๆ เพื่อหัวใจของเรา เพราะผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะจะต้องเกิดไปข้างหน้าแน่นอน เวลาเกิดไปแล้วไปทุกข์ไปยากข้างหน้าแล้วจะเสียใจ แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ทำคุณงามความดี ไม่ต้องบริจาค หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ รักษาหัวใจของตัวเท่านั้น เอวัง