เทศน์เช้า

กฐินวัดป่าสันติพุทธาราม

๑๕ พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์กฐิน วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาล่ะ ตั้งใจฟังธรรมะก่อน ฟังธรรมะนะ วันนี้วันสำคัญ เราจะถวายกฐินกัน คำว่า “จะถวายกฐิน” มันมีที่มาที่ไปไง ที่มาที่ไปเพราะมันเป็นพุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระออกพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วผ้ามันชำรุด มันขาดมันแคลน

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าออกพรรษาแล้วให้ชุมชนนั้น วัดไหน ชุมชนไหน ให้ชุมชนนั้นหาผ้าเพื่อถ่ายผ้าให้กับพระ นี่ในพรรษาแล้ว นี่ไง มันเป็นพุทธานุญาต พุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่พุทธานุญาตมา ฉะนั้น สิ่งที่การทอดกฐินนี้มันมีที่มาที่ไปไง ที่มาจากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญกุศลๆ สร้างบุญกุศลมหาศาลเลย คำว่า “บุญกุศลมหาศาล” สร้างมาให้หัวใจมันเข้มแข็งไง

ถ้าคนรู้จักเสียสละ จิตเป็นกุศล คิดสิ่งใดจะคิดบวก ถ้าจิตใจของคน จิตใจมันเห็นแก่ตัว คิดสิ่งใดมันจะคิดลบ แล้วคิดลบมันคิดลบกับใครล่ะ? คิดลบกับตัวเอง คิดลบกับตัวเองเพราะอะไร เพราะคิดลบแล้วตัวเองมีความทุกข์

ถ้าคิดบวก คิดบวกในทางโลกเขาบอกคิดบวกเป็นผู้ที่เสียหาย เพราะคิดบวกคิดถึงคนอื่น ไม่ได้คิดถึงตัวตน แต่คิดลบ คิดถึงตน นั่นล่ะมันทำให้ตนทุกข์ตนยาก คิดบวก คิดบวกเราคิดช่วยเหลือเจือจานคนอื่น นี่เราเป็นผู้ที่เสียสละ นี่ไง การคิดบวกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญกุศลมาอย่างนี้ พอสร้างบุญกุศลมาอย่างนี้ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราต้องเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ เราต้องเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ”

เราจะบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีที่มาที่ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ลอยมาจากฟ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างสมบุญญาธิการมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ไปศึกษากับเขาๆ โลกเขามีกัน มีการศึกษา เราก็ไปศึกษากับเขา ยิ่งศึกษาเท่าไรแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองศึกษาเท่าไรก็ไม่เข้าใจตัวเอง จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางหมดเลย วางหมดแล้วต้องมาค้นคว้าด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีมาเป็นพระโพธิสัตว์ มันไม่มีใครมีปัญญามากกว่านั้น มันไม่มีใครมีปัญญามากไปกว่านั้น ไม่มีใครมีปัญญาที่จะค้นคว้าสิ่งนี้ได้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามา ๖ ปี เวลามาค้นคว้าเองตั้งแต่กำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เราก็มองข้ามกันไปไง เราจะไปหาทรัพย์สมบัติ เราจะไปหาข้าวของเงินทอง แต่เราไม่คิดว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เพราะลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ทำให้ชีวิตเรามายืนอยู่นี่ได้ไง ถ้าลมหายใจเข้าแล้วไม่ออก ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ถ้าตายไปแล้วทรัพย์สมบัติที่หามามีประโยชน์กับใคร

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงระลึกถึงอานาปานสติ เวลากำหนดไปแล้ว เวลาเริ่มต้นบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดอย่างนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาค้นคว้าในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมรรคญาณ ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา” เสวยวิมุตติสุขๆ เราจะบอกว่ามีความสุขความร่มเย็น ถ้ามีความจริงแล้วมีความสุขความร่มเย็น เพราะความสุขความร่มเย็นอันนั้น เวลาจะเผยแผ่ธรรมจะคิดถึงใคร

พอคิดถึง คิดถึงอาฬารดาบส เพราะว่าไปศึกษากับเขามา เขาได้ฌานสมาบัติ เขาก็ตายไปแล้ว ไปมองปัญจวัคคีย์ เพราะปัญวัคคีย์อุปัฏฐากมา ๖ ปี คนที่อยู่ ๖ ปี ช่วยเหลือเจือจานกันมา ๖ ปี เขาทำอะไรมา รู้ว่าจิตใจเขาสมควร ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ไปเทศน์ยสะ ไปเทศน์ได้ยสะเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เวลาพระอรหันต์ทั้งหมดนะ “เธอทั้งหลาย ทั้งเราด้วยเป็น ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก” นี่บ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นโลกก็ชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณ ทรัพย์สมบัติ นี่บ่วงที่เป็นโลก

บ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมไง “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก” นี่เผยแผ่ธรรมไป เวลาเผยแผ่ธรรมไป นี่สิ่งที่เป็นกุศลๆ แล้วเวลาพระมากขึ้น อนุญาตให้มีการทอดกฐิน ให้มีการทอดกฐินก็เพื่อความมั่นคง ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ทอดกฐินก็เรื่องผ้า แต่เวลาเราทำบุญกุศลอย่างอื่นมันก็เป็นอย่างอื่น ฉะนั้น เวลาเผยแผ่ธรรมมา ธรรมก็ต่อเนื่องกันมา พอมาถึงกึ่งพุทธกาล เราจะเข้าหาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์อำนาจวาสนาขนาดนั้น ค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเกิดมากึ่งท่ามกลางพระพุทธศาสนา ศาสนามีอยู่แล้ว พระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว ศึกษากับใครศึกษามาก็ติดขัดไปหมดแหละ เพราะปฏิบัติไปแล้ว เพราะหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติไปแล้วมันก็ไปไม่ได้ เวลาย้อนกลับมา ย้อนกลับมาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ เวลาศึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา เวลามันเข้าถูกทาง ลาพระโพธิสัตว์แล้ว พิจารณากายไปแล้วมันชำระล้างกิเลส มันผ่อนคลายลง มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมาได้ ท่านถึงวางข้อวัตรปฏิบัติไว้

แล้วเวลาท่านขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ เวลาหลวงปู่ฝั้นท่าน ไปเยี่ยม เพราะท่านห่มผ้าร้านไป เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงลูกศิษย์ท่านจะปั้นของท่านไง “พระเจ้าชู้ พระขุนนาง”

คำว่า “เจ้าชู้” ไง สีผ้า ผ้าสีมันแวววาว “พระเจ้าชู้ พระขุนนาง” เวลาประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่ออะไร เราปฏิบัติเพื่อชำระล้างกิเลส เราปฏิบัติเพื่อจะกำจัดกิเลส ทีนี้คนจะกำจัดกิเลส เหมือนพ่อแม่สอนลูกเลย พ่อแม่สอนลูก ต้องให้ลูกเข้มแข็ง ให้ลูกฉลาด นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์จะสอนลูกศิษย์ เวลาสอนลูกศิษย์ ดูสิ หลวงปู่มั่นเวลาท่านจะบวชพระ เวลามาเป็นปะขาว ต้องให้ท่องปาติโมกข์ได้ก่อน ให้ตัดเย็บผ้าได้ก่อน ตัดเย็บผ้าๆ นี่กรรมฐานกลับมาทำให้ศาสนามั่นคง มั่นคงเพราะอะไร

ผู้ที่ขับรถเป็น เวลารถไปเสีย เราจะไปหาใคร? เอาเข้าอู่ ผู้ที่เป็นนายช่าง เวลารถเขาเสียแล้วเขาซ่อมของเขาได้ ถ้าเวลาบวชพระปาติโมกข์ก็สวดได้ ผ้าก็เย็บได้ ทุกอย่างทำได้หมด แล้วมันจะไปตื่นเต้นกับอะไร เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป สิ่งใดมันขาดตกบกพร่อง ท่านก็ปะชุนของท่าน หลวงปู่มั่นท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้อย่างนี้ ถ้าวางข้อวัตรปฏิบัติไว้อย่างนี้ กรรมฐานเราถึงเข้มแข็งขึ้นมาไง

แล้วเวลากรรมฐานเข้มแข็งขึ้นมา ถ้ามีครูมีอาจารย์ อย่าเป็นพระเจ้าชู้ อย่าเป็นพระขุนนาง ไอ้พวกขุนนาง จับหยิบสิ่งใดก็ไม่เป็น ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ แล้วก็วางตนว่าเป็นผู้มีเกียรติศัพท์เกียรติคุณ แล้วทำอะไรเป็น ทำสิ่งใดไม่เป็น จับสิ่งใดไม่เป็น

ครูบาอาจารย์ท่าน บอกว่า วินัยฝากเจ๊กไว้ ถึงเวลาก็ซื้อร้านเจ๊กไง สิ่งใดก็ฝากเจ๊กไว้ ทำไมมันทำไม่เป็นล่ะ แล้วทำไมต้องทำด้วยหรือ เพราะของมันมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองใช่ไหม ร้านเจ๊กเยอะแยะไปหมดเลย ซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พระทำไม่เป็น ทำไม่เป็นเหมือนการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไม่เป็น มันจะเอาอะไรมาเป็นความจริง

ถ้าปฏิบัติความจริงนะ เวลาศึกษาธรรมะมามีความรู้สูงส่งกันทั้งนั้นแหละ แต่ไม่มีสติ ถ้ามีสตินะ มันทำสภาวะแบบนั้นไม่ได้ ไปไหนนะ จะทำเป็นขุนนาง ทำเป็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไอ้นั่นมันเป็นอะไร ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันต้องเข้ามาสู่ที่ใจนี้

เราจะบอกว่า เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านวางรากฐานไว้ ถ้าวางรากฐานไว้ วางรากฐานไว้แล้วเราศึกษามา เราประพฤติปฏิบัติมา เรามีหลักเกณฑ์ของเรามา หลักเกณฑ์ของเรามา มันถึงเป็นที่ไว้วางใจ ถ้าเป็นที่ไว้วางใจ เราก็ขวนขวายกันมา ขวนขวายกันมาเพื่อบุญกุศล เวลาทำบุญกุศลนะ เวลาทำบุญกุศล เวลาประพฤติปฏิบัติทำเพื่ออะไร? ก็ทำเพื่อหัวใจ ทำเพื่อหัวใจ สิ่งนั้นทำเพื่อหัวใจ เพราะเวลามันทุกข์มันสุข มันทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เวลามันทุกข์ มันบีบคั้นหัวใจ หัวใจนี้ทุกข์ยากมาก สรรพสิ่งข้าวของมีพร้อมทุกอย่างเลย แต่หัวใจมันทุกข์ หัวใจมันทุกข์ แล้วสิ่งที่มันแก้ไขมันได้ล่ะ

สิ่งที่มันแก้ไข หลวงตาเทศน์สอนประจำ ขอให้มีสติ ถ้ามีสติ มันยับยั้งความคิด ความคิดมันไปกว้านเอามา มันไปกว้านเอาเชื้อเอาไขมา เอาความทุกข์ยากมาเผาตัวเรา เราก็บอกมันเป็นหน้าที่การงาน เราเป็นคนที่ฉลาด

ฉลาดเวลาทำงานให้มันฉลาดสิ เวลาจะพักไม่ต้องไปฉลาดหรอก ถ้าฉลาด นั่นน่ะมันหลอกตัวเอง นี่สำคัญตนว่าฉลาด กิเลสมันสุมหัวอยู่นั่น มันไม่รู้ว่ามันฉลาด ถ้ามีสติ สติเรายับยั้งของเรา

นี่พูดถึงว่า การทำบุญกุศลก็เพื่อหัวใจ การประพฤติปฏิบัติเพื่อคุณธรรม สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน คนเราทำความสงบของใจไม่ได้ เรื่องการภาวนาไม่ต้องมาพูดกัน สัญญาทั้งนั้น จำได้หมายรู้ พอจำได้หมายรู้ ท่องจำนี่ปากเปียกปากแฉะ รู้ไปทุกเรื่อง รู้ไปทุกอย่าง แต่ไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีข้อเท็จจริงเลย

แต่ถ้ามีข้อเท็จจริง เราตั้งสติปั๊บ ความคิดหยุดหมด ถ้ามีสติ ความคิดไปไม่ได้ ที่มันคิดอยู่อย่างนี้เพราะมันขาดสติ ถ้ามันขาดสติ ความคิดมันถึงได้ไหลจรมันไปไง แต่ถ้ามีสติปั๊บ มันหยุดหมด ถ้ามันหยุดหมดแล้ว นี่โดยธรรมชาติของจิต ธรรมชาติที่รู้มันต้องรู้ของมันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ารู้ของมันอยู่ตลอดเวลา เรารู้โดยมีสติ เรากำหนดรู้ของเรา เรารู้ในอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตา หลวงปู่มั่นท่านสอน รู้ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก รู้ในพุทโธ รู้ในคำบริกรรม แล้วถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา มันรู้อะไร? มันรู้ในปัญญาอบรมสมาธิ รู้ในปัญญาอบรมสมาธิ แต่ทางโลกเขาเข้าใจกันว่าเวลาเขาใช้ปัญญาๆ นั้นเขาว่านี่คือภาวนามยปัญญา เขาว่าปัญญาทางศาสนา

ปัญญาทางศาสนายังไม่เกิด ปัญญาทางศาสนามันจะเกิดบนจิต เกิดบนจิต ปัญญาทางโลกเกิดบนสมอง เกิดจากการค้นคว้า เกิดจากการแสวงหา การค้นคว้า การแสวงหาเพราะสถานะของมนุษย์ มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด ความคิดนี้คิดอะไรก็ได้ คิดแล้วเป็นความจริงหรือเปล่า

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความคิดอย่างนี้ ดูสิ หนามยอกเอาหนามบ่ง เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านสอนบอกว่า ให้ใช้ความคิด ให้ใช้ความคิด ใช้ปัญญาอบรมสมาธิใช้ความคิดย้อนกลับไป เพราะปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง แล้วปัญญามันรู้เท่าความคิดของเรา ถ้าปัญญามันรู้เท่าความคิดของเรา มันก็ปล่อยความคิดใช่ไหม ความคิดมันจะปล่อยได้ต่อเมื่อมีสติปัญญา ถ้ามันปล่อยมีสติปัญญา นั่นก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง แต่ความเข้าใจของโลกว่านั่นน่ะเป็นปัญญาๆ...มันไม่มีปัญญาอะไรขึ้นมาทั้งสิ้นเลย แต่ถ้ามันเป็นปัญญาขึ้นมา เราจะบอกว่าถ้ามันเป็นปัญญาจริงๆ มันต้องเป็นปัญญาแบบครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนมา ถ้าท่านสอนมา ท่านสอนมาเพราะอะไร

ดูสิ เวลาจะไปบวชกับหลวงปู่มั่น จะต้องหัดตัดเย็บ จะต้องหัดท่องปาฏิโมกข์ จะต้องทำให้เป็นก่อน แล้วเราถึงได้บวช บวชแล้วถึงได้ภาวนา ถ้าภาวนา ถ้าภาวนาเป็นความจริง มันจะมีคุณธรรมขึ้นมา คุณธรรมอันนี้ไง คุณธรรมอันนี้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเรา ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” ถ้ามันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ มันไม่เป็นโมฆะบุรุษ ไม่ติดในลาภสักการะ ไม่ติดในชื่อเสียง ไม่ติดใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ติดใดๆ ทั้งสิ้นมันก็ทำเพื่อประโยชน์กับศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนา มันถึงได้เข้มแข็งมาไง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้า ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติของท่านเพื่อความเข้มแข็งของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” ถ้ามันเจริญมันก็เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เพราะมันเจริญขึ้นมาจริงๆ มันมีคุณค่าจริงๆ

เพชรนิลจินดามันอยู่ในเหมือง เราไม่เคยเห็นมัน เราก็ว่าไม่สวยงาม เพชรนิลจินดาเขาเอามาเจียระไนแล้วประดับไว้บนเครื่องประดับมันก็ดูสวยงามใช่ไหม จิตใจของคนถ้ายังไม่ได้คิดพิจารณา จิตใจของคนถ้ายังไม่ได้แก้ไข จิตใจของคนถ้ายังไม่ชำระล้าง มันจะไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดเลย ถ้าไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดเลย มันจะไม่เป็นประโยชน์กับเรา ทั้งๆ ที่เราเกิดมา เรามีปัญญา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง ความจริงมันเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าความจริงเกิดขึ้นอย่างนี้

นี่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ทำมา ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำมา สิ่งที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงผู้ที่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านพิจารณาของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน เวลาหลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนหลวงปู่ตื้อ เวลาหลวงปู่มั่นท่านสั่งสอน เห็นไหม สิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเรา ต่อไปนี้ เราเอาสิ่งนี้มาเพื่อค้ำยันกับสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง สิ่งนี้เราศึกษา

ในธรรมวินัยนะ พระอรหันต์องค์หนึ่ง จะเป็นพระอรหันต์ได้ต้องสร้างบุญญาธิการมาแสนกัป ถึงจะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าสร้างบุญญาธิการมาแสนกัป แล้วครูบาอาจารย์ของเราที่มาให้เรากราบไหว้บูชากันอยู่นี่ ท่านทำอะไรของท่านมา ท่านถึงประสบความสำเร็จของท่าน เราถึงพยายามจะเอากลับมาฟื้นฟูๆ

นี่ประวัติหลวงปู่ตื้อ ต่อไปจะเป็นประวัติอาจารย์สิงห์ทอง จะพิมพ์เสร็จก่อนปีใหม่นี้ ต่อไปประวัติหลวงปู่จวน จะไปประวัติหลวงปู่พรหม จะพิมพ์ทั้งหมด เพราะพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ต้องเป็นพระอรหันต์จริงๆ ด้วย คำว่า “จริงๆ” ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุที่มาที่ไป ถ้าเหตุที่มาที่ไป ท่านทำอย่างไรถึงเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่จับแพะชนแกะ แล้วเราก็ทำไม่ได้เป็นประโยชน์เลย

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ฉะนั้น สิ่งที่ทำเป็นจริงขึ้นมาเพื่ออะไร นี่ทำบุญกุศลกันก็เพื่อความสุขในใจของเรา ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อคุณธรรมในใจของเรา แล้วในหัวใจของเรา ปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันต้องเป็นของมันไปอย่างนี้ เราจะรู้หรือไม่รู้ มันก็เป็นของมันอย่างนี้ แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมากึ่งพุทธกาล เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันเป็นอำนาจวาสนาของเรา อำนาจวาสนาของเราเพราะเราเกิดมาร่วมบุญร่วมกุศลกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติตามความจริงของท่าน ท่านถึงได้ความจริงของท่านขึ้นมา

แล้วความจริงของท่าน ดูสิ ถ้าในสังคมมันมีแต่เงินปลอม เงินปลอมนั้นจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ถ้าในสังคมใดมีแต่เงินจริง เงินจริงใช้ประโยชน์กับสังคมนั้น สังคมนั้นจะมั่นคงขึ้นมา ในเมืองไทยเราตั้งแต่กึ่งพุทธกาล ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบรรลุธรรมของท่านขึ้นมา ท่านวางหลักเกณฑ์ไว้จนพวกเรามั่นใจ จนพวกเราเข้มแข็ง ยอมรับความจริง เราถึงขวนขวายทำกัน

ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราไม่ขวนขวาย ทรัพย์สมบัติของเรา ใครไม่เสียดาย เราหามาน้ำพักน้ำแรงเราทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละเพื่ออะไรล่ะ อันนี้มันเป็นทรัพย์สมบัติจากหน้าที่การงานของเรา เราได้กันมาใช่ไหม แต่หัวใจๆ หัวใจ เห็นไหม ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์เราท่านนั่งตลอดรุ่งๆ ตลอดรุ่งเพื่อดัดแปลงหัวใจๆ มันบังคับ มันทำเป็นความจริงอย่างนั้น อันนั้นจะเป็นประโยชน์กว่า ประโยชน์กว่าเพราะมันเป็นคุณธรรม เป็นสัจจะความจริงไง ถ้าเป็นสัจจะความจริง ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้

เราจะบอกว่า ความมั่นคงของศาสนา ถ้าความมั่นคงของศาสนา เริ่มต้นมาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านจะสอนพระนะ ท่านบอกว่า เหมือนการปั้นหม้อ ท่านไม่เคยถนอมเลย การปั้นหม้อเขาจะต้องอาศัยดิน เขาจะนวดของเขาเพื่อการปั้นหม้อนั้นมันจะปั้นขึ้นมาได้สวยงามไง แล้วปั้นขึ้นมาแล้วมันใช้ประโยชน์ได้ไม่รั่วด้วย

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านสั่งสอน ทุกคนจะบอกว่าหลวงปู่มั่นดุ นั่นก็มันเป็นเทคนิคของท่านน่ะ ท่านจะปั้นพวกเราขึ้นมา แต่เวลาจะปั้นขึ้นมา มันก็อยู่ที่วาสนา วาสนา เห็นไหม ดูสิ เวลาคนที่มีปัญญา ดูพระสารีบุตรนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตร เพราะหลานพระสารีบุตรจะไปต่อว่าพระสารีบุตร จะไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเอาตระกูลของพระสารีบุตรมาบวชเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ไปถึงบอก “ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจสิ่งต่างๆ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้หมดแล้ว “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอก็ต้องไม่พอใจความรู้สึกที่เธอไม่พอใจอันนั้นด้วย เพราะเป็นวัตถุอันหนึ่ง”

พระสารีบุตรถวายพัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

ไม่ได้สอนพระสารีบุตร สอนหลานพระสารีบุตร ทำไมพระสารีบุตรได้คุณธรรมขึ้นมาล่ะ นี่คนมีปัญญา เพราะคนมีปัญญานะ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์มันเก็บมาเป็นประโยชน์หมด แต่ถ้าคนไม่มีปัญญานะ เขาสอนเจาะจงมันก็ปฏิเสธว่าไม่ได้สอนเรา มันผลักทิ้งหมดล่ะ แต่ถ้าคนมีปัญญานะ มันเก็บหมด อะไรเป็นประโยชน์กับเราไม่เป็นประโยชน์กับเรา

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนามันเจริญขึ้นมา มันมีความมั่นคงขึ้นมา เราต้องมีสติมีปัญญานะ ถ้ามีสติปัญญา เราแยกแยะเอา เวลาถึงที่สุดนะ คนถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ เขาก็พยายามจะให้คนมีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อคือมันเคารพตนเองไง

ถ้าเรามีศรัทธานะ เราจะเคารพตัวเรา ถ้าเราไม่มีศรัทธานะ เราจะไม่เคารพตัวเรา แล้วถ้ามันจะเคารพตัวเราแล้วนะ เรามีศรัทธามีความเชื่อ มีสติปัญญาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ ต้องพิสูจน์ อย่าเชื่อ อย่าเป็นเหยื่อ เราไม่ต้องการเป็นเหยื่อใครทั้งสิ้น สัจจะความจริงมันมีของมันอยู่ สัจจะความจริงมีอยู่ แต่สัจจะความจริง เข้าหาสัจจะความจริงกันอย่างไร

ถ้าเข้าหาสัจจะความจริง ถ้ามันเป็นความจริง เราต้องเข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้นได้ด้วย ถ้าเราจะเข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเราเข้าได้จริงแล้วเราถึงจะเชื่อ เชื่อจากการประพฤติปฏิบัติไง เชื่อจากความจริงของเราไง

อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้ามีศรัทธา ศรัทธาเพื่อเคารพตนเอง ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความมั่นคงของเรา นี่เราทำอะไร ทำอะไรล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่ ทำอะไรแล้วไม่จริงไม่จัง เพราะเราไม่ศรัทธาตนเอง ถ้าเราศรัทธาตนเอง เราทำได้ แต่ทำได้แล้ว ผลที่เกิดขึ้น ผลที่เป็นความจริง ผลที่เป็นความจริงมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริง มันจริงอย่างไร ถ้ามันจริงอย่างไร เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติกันด้วยปัญญาที่อ่อนด้อย เวลาเราจะกำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเราก็บอกว่า “นี่มันของพื้นๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา”

ไอ้นั่นมันสัญญา ไอ้ที่ว่าปัญญาๆ มันจำเขามาทั้งนั้น

ถ้าปัญญาความจริง ดูสิ เวลาธรรมมันผุด เวลาความคิดมันเกิด นั่นน่ะเวลาธรรมมันผุดนั่นยังไม่ใช่เลย แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความจริง เราทำความสงบของใจ ใจสงบแล้วรำพึงไป รำพึงไปเหมือนกับแสงเลเซอร์ เหมือนกับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ จิตเราสงบแล้วเรารำพึงไป รำพึงไปให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา ให้เห็นจิต ให้เห็นธรรม ถ้าจิตมันสงบแล้วมันรำพึงไป มันเห็นแล้วมันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนหัวใจมาก มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร

เพราะว่าสักกายทิฏฐิ เราสำคัญตนกันว่าร่างกายนี้เป็นของเรา เราเกิดมานี่จริงๆ เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่แหละ แต่สิ่งที่ได้มา ได้มาจากบุญกุศลนะ เพราะมันสำคัญตอนเกิดนั่นน่ะ พอเกิดมาเป็นเราแล้วเป็นเราไปทั้งชีวิตอายุขัยนี้ ถ้าอายุขัยนี้ เรามีสติมีปัญญา จิตสงบแล้วเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงนั่นเป็นมรรค ถ้าเห็นตามความเป็นจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีมรรคมีผลของมัน ถ้ามันมีมรรคมีผลของมัน การกระทำอันนั้นจะเป็นประโยชน์กับการปฏิบัตินั้น

แล้วถ้าใครเห็นผลตามความเป็นจริงแล้วนะ ไอ้ที่เขาพูดๆ กันน่ะขำๆ ไอ้ที่เขาคุยกันน่ะขำๆ ไม่จริงสักเรื่อง ไม่มีอะไรจริงเลย แต่ถ้าเป็นความจริง มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราก็ศึกษาธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วก็มาพูดกันปากเปียกปากแฉะ

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา การที่ไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมามันต้องมีมรรคญาณ มันต้องมีเหตุมีผลมันถึงเจาะได้ มันต้องมีเปลือกไข่ มันต้องมีไก่ มันถึงเจาะออกมา การเจาะออกมาเขาเรียกว่า “มรรคญาณ” คือการกระทำของจิต

ไอ้ของเราไปศึกษามา ไปจำมา เราไม่ทำอะไรเลย เราไม่ทำอะไรเลย เราไปจำคำพูดนั้นมา แล้วเราก็สร้างภาพว่าเป็นอย่างนั้นๆ แต่ไม่มีการเจาะ ไม่มีการกระทำ แล้วเอ็งรู้อะไรล่ะ เอ็งรู้อะไรกัน ก็จำเขามาไง ศึกษาธรรมะด้วย ได้ประกาศนียบัตรอีกต่างหาก ที่บ้านล้อมเต็มบ้านเลย แต่เอ็งรู้อะไรล่ะ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย รู้ที่ว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” เพราะรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เราศึกษาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เราก็เข้าใจได้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แล้วเราใช้ประโยชน์อะไรกับมันบ้างล่ะ แต่เราศึกษาแล้ว เราเข้าใจแล้ว เราก็ไม่หวั่นไหวไปกับมันใช่ไหม เราเข้าใจแล้วเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติ เราก็จบ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติ มันก็ตื่นเต้น นั่นเราศึกษา แล้วได้อะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะเรายังเกิดยังตายอยู่ไง เพราะเรายังเวียนว่ายตายเกิดไง

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ จิตนี้เห็นอาการของจิต จิตนี้เห็นการกระทำของตัวมันเองไง อาการคือเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต จิตนี้เป็นพลังงาน ความคิดเกิดจากมัน แต่ไม่มีใครเคยเห็นมัน ถ้าใครเคยเห็นมันนะ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด ความคิดเป็นอาการเกิดดับ แต่เพราะจิตมันเสวย จิตมันเสวย จิตมันรับรู้ มันถึงเป็นอันเดียวกัน

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันไม่เสวย มันจับได้ พอมันจับได้มันก็พิจารณา ความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันคืออะไร ความคิดมันเกิดดับอย่างไร ความคิดมันมีผลลบผลบวกอย่างไร นี่คือวิปัสสนา วิปัสสนาบ่อยครั้งเข้าๆ ถ้ามันตทังคปหาน มันปล่อยชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันขาด คุณธรรมเกิดแล้ว คุณธรรมเกิดเพราะว่า สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด มันเป็นทิฏฐิอันหนึ่ง มันได้ขาดไป สีลัพพตปรามาส ความลูบคลำมันไม่มี วิจิกิจฉาไม่เกิด ถ้ามันจริงทีเดียวเท่านั้นแหละ มันจริงทีเดียวเท่านั้นแหละ ถ้ามันจริงทีเดียวอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ความเป็นจริงของท่าน ศาสนาถึงมั่นคงไง

“พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

บ่วงที่เป็นโลก ความเชิดชูศรัทธาของสังคม นั่นล่ะบ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำคุณงามความดีขนาดไหนต้องเกิดตามความดีนั้น สร้างบุญกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้น นี่มันเป็นทิพย์ มันยังติดในบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์นั้นอยู่

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้วนะ มันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เพราะมันได้ชำระล้างสิ่งที่เป็นพื้นฐาน เป็นตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ถ้ามันชำระล้างหมด สิ่งนั้นหมดสิ้นไป นี่ศาสนามั่นคงอย่างนี้ มั่นคงอย่างนี้ เริ่มต้นเพราะจะมั่นคงอย่างนี้ได้ก็ต้องตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่ข้อวัตรปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านอย่างนี้มันถึงเข้มแข็งมา

เวลาพระจะมาบวชต้องฝึกหัดให้ตัดผ้า ฝึกหัดให้ท่องปาฏิโมกข์ แล้วถ้าทำได้จริง มันไม่เป็นขุนนางไง มันเป็นพระจริงๆ พระจริงๆ สิ่งใดที่มันชำรุดเสียหาย มันก็ซ่อมแซมของมัน ไม่ต้องไปเจ็บปวดโอดโอยกับสิ่งที่เราใช้สอยอยู่ว่ามันขาดแคลน

มันจะไปขาดแคลนไปไหน มันขาดแคลนก็ขาดแคลนความเพียรเอ็งน่ะ ถ้ามันขาดแคลนก็ขาดแคลนความมั่นคงของเอ็งน่ะ ขาดแคลนความขยันหมั่นเพียรน่ะ ถ้าทำสิ่งนั้นขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์ทั้งตนก่อน ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น

เวลาเราคิดเบียดเบียนตนนะ คิดสิ่งใดก็แล้วแต่ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองเสร็จแล้วก็จะทำร้ายคนอื่นเพราะเกิดเป็นความคิดแล้ว นี่ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำให้ตนเป็นคนดีขึ้นมาแล้ว มันไม่เบียดเบียนตนแล้วมันจะไปเบียดเบียนใครล่ะ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าของท่าน ท่านมีความสุขของท่านนะ แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ท่านเกิดมาเป็นผู้นำ ท่านเกิดมาเป็นแบบอย่าง หลวงปู่เสาร์ท่านถึงได้สร้างวัดไว้มาก สร้างเป็นสิ่งที่เป็นความมั่นคงของศาสนา แล้วพวกเราเกิดมาอนุชนรุ่นหลัง หลวงปู่มั่นได้ไปปักกลดที่ไหน ที่นั่นจะเป็นวัดขึ้นมาๆ เป็นวัดขึ้นมาก็เพราะพวกเรานี่แหละ พวกเรานี่พวกอนุชนรุ่นหลังซาบซึ้งบุญคุณของท่าน ท่านได้เสียสละของท่าน ท่านทำเพื่อประโยชน์ของท่าน

เราไปที่ไหนท่านเคยไปอยู่ ทุกคน พระก็จะไปพักที่นั่น แล้วจะสร้างเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา สิ่งที่ทำอย่างนี้ก็เพราะว่าเคารพบูชา การเคารพบูชานั้นเคารพบูชาด้วยหัวใจ ถ้ามันเคารพบูชาด้วยหัวใจ มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา มันเป็นประโยชน์อย่างนี้

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นการทอดกฐิน มันก็เป็นการทอดกฐินจากพุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเป็นการทอดกฐิน พระกรรมฐานเราตัด เนา เย็บ ย้อม มันก็เกิดจาก หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกสอนมา ท่านฝึกหัดให้ทำ เพราะพระมันทำเป็นแล้ว เวลาทอดกฐินมันก็ทอดได้สะดวกสบาย ทอดได้ง่ายดาย แต่ถ้ามันไม่เป็น มันไม่เป็น ทำอะไรไม่ได้

ภิกษุกะผ้า ตัดผ้า เนาผ้า เย็บผ้า ย้อมผ้าไม่เป็น ไม่ให้กรานกฐิน เพราะทำไม่เป็น ภิกษุจะกรานกฐินได้ต้องกะผ้า เย็บผ้า ย้อมผ้า เย็บผ้า ทำได้ เขาเรียกว่ามาติกา ๘ ถ้ามาติกาตรงนี้เกิดขึ้นมันถึงมีอานิสงส์กฐิน ถ้ากฐินไม่มีการกระทำมาติกา ๘ ไม่มีอานิสงส์ ทำกันเล่นๆ! ทำกันพอเป็นพิธี!

แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันต้องมีมาติกา ๘ มาติกา ๘ เห็นไหม แล้วใครไปฟื้นฟูขึ้นมา ไม่ใช่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์หรือ ใครเป็นคนฟื้นฟูขึ้นมา แล้วฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ทำแล้วทำเป็นแบบอย่าง ท่านต้องเสียสละความมั่นคงของท่าน เสียสละปัญญาของท่านเพื่อประโยชน์กับพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดรวมหมู่ชนขึ้นมาเป็นชาติ แล้วศาสนา ศาสนาสิ่งใดที่มันจะทำให้เราขวนขวาย ให้เราค้นคว้าหาความดีของเรา ความดีของเรานะ ความดีของเรา ทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันเป็นความดีของเรา ความดี เห็นไหม เห็นหน้ากัน ชื่นใจกัน นี่ความดีของเราอยู่ในใจ

ความสุขความทุกข์มันอยู่ในใจ เห็นสิ่งใดแล้วชื่นชม เขามีกุศลจิต จิตของเขาเป็นกุศล เขาทำคุณงามความดีของเขา เห็นแล้วชื่นชม ถ้าเห็นเขาทำคุณงามความดี แล้วทำอะไรต่อล่ะ ก็เขาทำแล้ว ความดีของเขา เขาทำแล้ว แล้วเราทำอะไรล่ะ แข่งกับเขาสิ จะไปทำดีแข่งกับเขา กุศลจิต เห็นเขาทำดีแล้วเราชื่นชมไปกับเขา แล้วเราพยายามขวนขวายของเรา ถ้าจิตใจมันพัฒนา มันดีขึ้น มันจะขวนขวาย แล้วมันจะทำ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานั่งอยู่โคนต้นไม้ทั้งวันทั้งคืน ทำคุณงามความดีอย่างนี้ คุณงามความดี เราทำหน้าที่การงานแล้วเหนื่อยยาก เวลาเขานั่งปกติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทั้งวันทั้งคืนทำกันไม่ได้ เวลาไปอาบเหงื่อต่างน้ำบ่นว่าทุกข์ เวลาให้นั่งเฉยๆ ก็นั่งไม่ได้ นั่งไม่ได้เพราะอะไร เพราะใจมันไม่พร้อม ไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี ไปอาบเหงื่อต่างน้ำ ไปฟันฟืนนั่นน่ะเก่ง แล้วมันได้อะไรมา ได้มาวันละ ๓๐๐

แต่นั่งเฉยๆ มันได้คุณธรรมนะ เทวดา อินทร์ พรหมเคารพบูชา เพราะเทวดา อินทร์ พรหมยังรู้สิ่งนี้ไม่ได้ จะรู้สิ่งนี้ได้ต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงของท่าน แล้วท่านทำคุณงามความดี เขาถึงว่าเป็นกุศลจิต จิตที่เป็นกุศล คิดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ เราก็ปรารถนาให้ใจของเราเป็นแบบนั้น บอกหัวใจตนเองเนาะ ใจเอ้ย! เอ็งอย่าเบียดเบียนข้ามากเกินไปนะ อย่าทำให้ข้าทุกข์เกินไปเนาะ บอกมัน บอกหัวใจที อย่าเบียดเบียนเราจนเกินไปเลย ให้กูมีความสุขบ้าง ขอมัน

แต่ครูบาอาจารย์ของเราให้ปฏิบัติ ตั้งสติกำหนดพุทโธ กำหนดคำบริกรรม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเราทำได้จริง กิเลสมันตามไม่ทัน กิเลสตามไม่ทัน จิตมันจะสงบ จิตมันสงบมันจะมีความผ่องแผ้ว มันจะมีความสุขของมัน ความสุขหาได้กลางหัวใจของสัตว์โลก ไม่ใช่ความสุขหาได้จากข้างนอก ความสุขหาได้จากกลางหัวอก ในหัวอกนี้ตั้งสติแล้วกำหนดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วดูคุณธรรมในใจของเราเอง

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เขาไปอินเดียกัน เราพูดบ่อย เขาไปอินเดีย เขาไปทำไม เขาไปหาแร่ธาตุ ไปหาต้นโพธิ์ ไปหาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แต่เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ให้กำหนดพุทโธ

เขาต้องใช้เงินซื้อตั๋วเครื่องบิน เราใช้สติ ใช้คำบริกรรมสื่อสารเข้าไปหาพุทธะของเรา เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กลางหัวอก แล้วสิ่งที่เขาทำกัน ไร้ค่า ไร้ค่า ค่าจริงๆ มันอยู่ที่หัวใจของเรานี้ ถ้าจะทำบุญกุศลก็ทำเพื่ออันนี้ไง

เราจะมาทอดกฐินกันเพราะว่าเป็นพุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราทำกันนี้เราทำเพราะด้วยครูบาอาจารย์ของเราท่านฝึกฝนพวกเรามา เพราะเราได้รับการฝึกฝนมา เห็นไหม คนมีพ่อมีแม่ คนมีครูบาอาจารย์ คนมีครูบาอาจารย์ที่ฝึกฝนมา มันไม่ลืมบุญลืมคุณ มันเห็นบุญเห็นคุณของครูบาอาจารย์ของเรา มันทำเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วทำเพื่อประโยชน์กับเราแล้ว ประโยชน์ของเราแล้วมันจะได้ประโยชน์กับผู้อื่น ประโยชน์กับสังคม สังคมได้ประโยชน์จากอันนั้นด้วย เอวัง