เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ม.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรม ฟังสัจธรรม สัจธรรมกับความจริง แต่ความจริงจะอยู่ที่ไหนมันก็เป็นความจริง อย่างเช่นวันเด็ก วันเด็กมันเกิดกับเด็ก เด็กมันไร้เดียงสา เวลาเขาสัมภาษณ์เด็ก อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนดี อยากมีอาชีพต่างๆ นี่ความไร้เดียงสาของเด็ก เด็กนี่นะ ผู้ใหญ่ต้องปกป้องมัน พ่อแม่จะดูแล เกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่จะเอาตัวเองเข้าป้องกันลูกเลย เพื่ออะไร มันแก้วตาดวงใจไง สิ่งที่เป็นแก้วตาดวงใจ แต่เขาก็จิตหนึ่งนะ เราก็จิตหนึ่งนะ เวลาจิตหนึ่ง การปกป้องดูแล การคุ้มครองมันคุ้มครองโดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันคุ้มครองเลยแหละ

แต่เวลาเขาโตขึ้นมา เขาก็จะมีครอบครัวของเขา เขาจะคุ้มครองของเขา เขาจะดูแลลูกเต้าของเขาต่อไปข้างหน้า การที่มีลูกเต้าต่อไปข้างหน้า สิ่งนี้มันเป็นการผลัดกัน มันเป็นการส่งต่อ การส่งต่อ การส่งต่อของสังคม สังคมเขาส่งต่อกัน ถ้าผู้นำสังคมที่ดี สิ่งที่ดี เขาส่งต่อสิ่งที่ดีงาม เพราะเราศึกษาได้ เราเข้าใจได้ เราฝากประเทศชาติไว้กับอนุชนรุ่นหลังให้เขาคุ้มครองดูแล

เวลาเรื่องศาสนา เขาแสวงหาสามเณร เขาแสวงหาพระมาศึกษา ศึกษามาเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เพื่อสืบต่อ สืบต่อสืบทอดพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ชาติ ชาติจะอยู่ได้ด้วยสังคม สังคมที่รวมกันด้วยมีศาสนาคอยเจือจาน คอยสมาน มันจะเป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข มหากษัตริย์เป็นผู้นำ ผู้นำที่ดี ถ้าผู้นำที่ดี สังคมร่มเย็นเป็นสุขไง จะปกครองแผ่นดินโดยธรรมๆ คำว่า “โดยธรรม” โดยธรรม โดยสภาวธรรม โดยสังคม โดยความเสมอภาค ไม่ใช่เรื่องของตนเอง

ถ้าเรื่องของตนเอง เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม แต่คิดแต่เรื่องของตนเอง ผลประโยชน์ทับซ้อนไง แต่ถ้าเป็นโดยธรรมๆ โดยธรรมก็ปกครองสังคมด้วย ปกครองตัวเราด้วยไง นี่ปกครองโดยธรรม สัจธรรมอันนี้สำคัญมาก สำคัญมากนะ สำคัญมากถ้าอยู่ในหัวใจของใคร มันจะแสดงออกมาจากใจ มันแสดงออกมาจากความจริงในหัวใจนั้น มันไม่มีมารยาสาไถย มันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมโดยความเสมอต้นเสมอปลาย แสดงธรรมโดยไม่เสียดสีใคร แสดงธรรมโดยที่ไม่กดขี่ ไม่ยกย่องส่งเสริมสิ่งที่ไม่ดี นี่การแสดงธรรมแสดงธรรมอย่างนั้น เวลาแสดงธรรมอย่างนั้นแสดงธรรมโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยข้อบัญญัติไง แต่ถ้ามันแสดงธรรมตามสัจจะความจริง มันแสดงธรรมมาโดยหัวใจ ถ้าใจมันมีคุณธรรม มันแสดงออกมามันไม่มีเล่ห์กล ความไม่มีเล่ห์กลอันนั้น เราต้องการอันนี้ แล้วถ้าต้องการอันนี้ปั๊บ มันจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง

ถ้าใจของเรา ใจของเรา เราเองเราก็รักษาใจเราเองไม่ได้แล้ว มันคิดของมันไปร้อยแปด ใจของเรา เราก็รักษาใจของเราไม่ได้แล้ว เรายังไว้ใจเราไม่ได้เลย แล้วเราจะไว้ใจคนอื่นได้อย่างไรล่ะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ โดยไม่กดขี่ ไม่เสียดสี ไม่ทำใคร แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงออกมาจากใจ เพราะดวงใจนั้นได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใจดวงนั้นได้ข่มขี่ ได้ทำลายอวิชชาในหัวใจดวงนั้น นี่การทำลายอวิชชาในหัวใจดวงนั้น

ถ้าหัวใจดวงนั้น อวิชชามันครอบงำใจดวงต่างๆ แล้วผู้ที่มีหัวใจอันนี้มันไม่เท่าทันอวิชชา ไม่เท่าทันความไม่รู้ของตัวเอง เห็นไหม รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่รู้ทำความผิดพลาดไป ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มันก็จะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ตลอดไปไง

วันเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็ปกป้องดูแลมัน คุ้มครองมันเพื่อส่งต่อสังคมให้เขาไป นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราๆ ถ้ามันมีกิเลส กิเลสมันกดขี่ในหัวใจใครจะส่งต่อ ใครจะดูแลหัวใจของเรา เวลาเด็ก เราเห็น เราเห็นกันทั้งนั้นน่ะ สังคมที่ใจเป็นธรรมเนาะ มันไร้เดียงสา มันน่ารัก มันน่าทะนุถนอม แต่หัวใจของเราๆ ที่กิเลสมันข่มขี่อยู่นี่ มันน่ารัก มันน่าทะนุถนอมตรงไหนล่ะ มันไม่น่ารัก ไม่น่าทะนุถนอม

แต่นี้เวลาแสดงธรรมๆ ก็แสดงธรรมข่มขี่กิเลสอันนั้นไง ถ้าแสดงธรรมข่มกิเลสอันนั้น เสียดสีกิเลสอันนั้น นั่นมันเป็นประโยชน์ไง แสดงธรรมโดยไม่เสียดสีใคร โดยไม่ข่มขี่ใคร ก็แสดงธรรมโดยการยกย่องสรรเสริญกันไปใช่ไหม ชอบแต่สิ่งดีงามใช่ไหม ดีงามโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จโดยธรรม เดี๋ยวนี้บริษัทธรรมาภิบาลๆ ธรรมาภิบาลเพราะทำด้วยความเป็นธรรมไง ความเสมอภาคไง การทำธุรกิจมันก็ต้องมีกำไรขาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งต่างๆ แต่ธรรมาภิบาลๆ ทำด้วยความเป็นธรรม ความเสมอภาคไง ทางโลกเขายังต้องการธรรมาภิบาล

เวลาปฏิบัติธรรมๆ ปฏิบัติธรรมโดยกิเลสบังเงา ศึกษามาๆ ขนาดไหนก็ศึกษามาโดยกิเลสของเรา โดยอวิชชา โดยความไม่รู้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกไว้เลย ศึกษามาขนาดไหนให้วางไว้ก่อนๆ วางไว้ก่อน ไม่วางไว้ก่อน จินตนาการทั้งนั้น กิเลสทั้งนั้น วางไว้ก่อน ศึกษามาศึกษาเป็นแนวทางนะ แต่วางไว้ก่อน ให้มันเป็นจริงขึ้นมาไง

ที่เราทำความสงบไม่ได้เพราะเหตุใดล่ะ? ก็เพราะไปยึดติดมันไง รู้ไปหมด เข้าใจไปหมด แต่ทำอะไรไม่เป็นเลย รู้ไปหมดไง แต่ทางวิชาการ ทางวิชาการทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ให้เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นจริงขึ้นมาได้ มันต้องวางตัวมันเอง คิดดูสิ มันจะวางตัวมันเอง ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราจะปล่อยวางมันอย่างไร สิ่งที่มันทำไม่ได้ มันทำอยู่นี่ก็เพราะกิเลสมันยุแหย่อยู่นี่ ไอ้นู่นก็รู้ ไอ้นี่ก็รู้ เราก็ทำเฉียดไปเฉียดมามันก็น่าจะได้ เกือบจะได้...ไม่ได้ ไม่ได้หรอก กิเลสมันละเอียดอ่อนอย่างนั้นน่ะ แก่นของกิเลสมันสำคัญมาก

ฉะนั้น การศึกษา ศึกษาเป็นสุตมยปัญญา การศึกษาสำคัญไหม? สำคัญ โลกเจริญด้วยการศึกษานะ คนเราไม่มีปัญญา เอาตัวรอดไม่ได้ คนที่มีปัญญาเท่านั้นถึงจะเอาตัวรอดได้ เวลามีปัญญาขึ้นมา ปัญญาทางโลกไง ทีนี้ปัญญาขึ้นมาก็เป็นตัวตน ตัวตนว่าเกิดทิฏฐิ ทิฏฐิก็เกิดว่าอีโก้ ก็เกิดว่าตัวเองเก่ง แล้วเก่งอย่างไรล่ะ เราเก่ง กิเลสก็เก่งไปด้วย ดูสิ สวะอยู่ในน้ำ น้ำมากเท่าไร มันก็ดันสวะขึ้นสูง น้ำน้อยเท่าไร สวะมันก็อยู่บนน้ำนั้นน่ะ กิเลสมันอยู่บนหัวใจคนที่ฉลาดมาก

แต่ถ้าธรรมะมันอยู่ในหัวใจคนที่ดีมาก ดีและชั่ว คุณงามความดี แล้วดีของใครล่ะ คนโง่ทำความเสียหายกับสังคมได้น้อย คนฉลาด เวลาทำความเสียหายกับสังคม มันทำสังคมมหาศาลเลย แต่ถ้ามันมีธรรม คนโง่ก็ทำประโยชน์ได้แค่นั้น คนฉลาดแล้วมีคุณธรรมในหัวใจ โอ้โฮ! สังคมจะสุดยอดเลย นี่มหาบุรุษเป็นอย่างนั้นน่ะ รัฐบุรุษเป็นอย่างนั้นน่ะ เป็นเพราะเขามีคุณธรรมในใจของเขา เพราะเขามีคุณธรรมในใจของเขา เขาไม่เห็นผลประโยชน์ของเขา เขาถึงทำประโยชน์อย่างนั้น นี่รัฐบุรุษนะ

นี่ไง เราพูดถึงวันเด็กๆ เราปกป้องดูแล ปกป้องดูแลเพราะว่าการไร้เดียงสา สังคม สังคมมันโหดร้าย เด็กมันไร้เดียงสาขึ้นไป มันไม่ทันสังคม เราก็พยายามสอนให้มันเท่าทัน ให้เด็กของเราเท่าทัน อย่าให้สังคมบีบคั้นจนเกินไป โตขึ้นมาแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่ เราผ่านอย่างนั้นมา ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ กิเลสมันโหดร้าย ถ้ากิเลสมันไม่โหดร้าย มันไม่กัดกร่อนหัวใจสัตว์โลก มันกัดกร่อนหัวใจของเรา เพราะความไม่รู้เท่ามันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าใครมีสติปัญญาพอสมควร ทำคุณงามความดีของเราบ้าง เกิดมาๆ คนเกิด บุญพาเกิดนะ เวลาบุญพาเกิด เกิดมาสังคมสะท้านสะเทือนเลยถ้าคนบุญพาเกิด เวลาคนบุญเกิด แล้วเกิดขึ้นมาแล้ว เวลาถ้าเป็นจักรพรรดิ ขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มันแก้วสารพัดนึกเลย แต่มันจะมาได้อย่างไรล่ะถ้าเขาไม่ได้สร้างของเขามา ถ้าเขาไม่ได้สร้างของเขามา

เวลาสร้างมา สร้างมาจากไหน

เวลาเราสร้างมา ทำบุญกุศลแล้วมันไปไหน มันหายวับไป พอเวลามันเคลื่อนไป สิ่งนี้ไม่มีแล้ว แต่มันไปอยู่ที่ไหน มันหลงไปอยู่ที่ใจ เพราะใจเป็นคนเสียสละ ใจเป็นคนพามาทำใช่ไหม จักรพรรดิ สิ่งที่เขามีคุณธรรม เขาเสียสละ ดูพระโพธิสัตว์สิ ดูพระเวสสันดรสิ พระเวสสันดรเวลาสละลูกสละเมีย เขาว่าสละลูกสละเมียเป็นคนเห็นแก่ตัว

มันเป็นเพราะเขาขอลูกขอเมีย เขาไม่ขอตน เพราะเขาขอตนก็เอากูไป สบายมากเลย เอาเราไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เอาลูกเอาเมียไปมันสะเทือนนะ เพราะอะไร เพราะเราเป็นสุภาพบุรุษ เรารับผิดชอบ แล้วลูกของเรา แล้วเขามาขอไป โดยสัจจะ เขาขอ ขอก็ต้องให้เขา พอให้เขาไป เขาเฆี่ยนต่อหน้า มันสะเทือนหัวใจไหม

นี่ไง ที่ว่าอำนาจวาสนาบารมี สิ่งที่ทำมาๆ ที่มันเป็นจริตนิสัย การกระทำมันเป็นจริตนิสัย นิสัยมันได้บ่มเพาะมา พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่ง ตัดแต่งพันธุกรรมของเขาเข้าห้องแล็บ ไอ้ของเราตัดแต่งพันธุกรรมหัวใจด้วยบุญกุศล บุญขัดเกลามัน ขัดเกลาแต่ละภพแต่ละชาติ แต่ละภพแต่ละชาติ แล้วพอภพชาติขึ้นมา ลูกเราเกิดมา โอ้โฮ! มันมีแววมีปัญญา นั่นแหละของเขาทำมา ลูกเราเกิดมาปานกลางก็พอแล้ว แต่ถ้าลูกเกิดขึ้นมามีปัญหาขึ้นมา เขาสร้างของเขามา มันเป็นเวรเป็นกรรม นี่ไง เวลาสร้างเป็นเวรเป็นกรรม

เขาบอก “โอ้โฮ! ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ยกให้กรรมเลย เป็นลัทธิยอมจำนน อะไรก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ยกให้กรรมหมดเลย”

ถ้ามันเป็นกรรมนะ เราจะขวนขวายขนาดไหน ทำขนาดไหน กรรมมันก็เป็นอย่างนั้น แต่เราก็ทำ เพราะอะไร เพราะเอากรรมดีเจือจานกรรมชั่ว กรรมชั่วมันกรรมของเขา เวลาเขาไปโรงพยาบาล ถ้าเป็นโรคกรรม เข้าอุโมงค์ เข้าอย่างไรมันก็หาไม่เจอหรอก หาไม่เจอ พิสูจน์ไม่ได้ พอแก้กรรมนะ ไปแก้กรรมคือว่าทำบุญกุศลแล้ว พอเข้าอุโมงค์ ชับ! โรคนั้นๆ จับได้เลย

หนึ่ง มันเป็นโรคเวรโรคกรรม แต่เป็นโรคทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์หมายความว่ามันเสื่อมสภาพ ร่างกายนี้เสื่อมสภาพเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนมีอยู่ ๓ อย่าง

๑. เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยการชราภาพ เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยความเป็นจริง

๒. เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกรรม เวรกรรม

๓. เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยอุปาทาน นึกจนเป็น เห็นเขาเป็น คิดไปคิดมาเป็น อุปาทาน อุปาทานมันเกิดขึ้น ฉะนั้น ระหว่างอุปาทานกับกรรมมันใกล้เคียงกัน เราเลยแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอุปาทาน อันไหนเป็นกรรม

ถ้าเราชัดเจนของเรานะ จะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว ทุกคนก็เคยทำมาทั้งนั้นน่ะ กรรมคือการกระทำ ทำดีทำชั่ว ไม่ใช่ว่ากรรม เราจะยอมจำนนกับมัน กรรมก็คือการกระทำ แล้วเราทำดี ทำดีเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ก็คือกรรม แต่กรรมดี กรรมดีกรรมชั่ว ถ้ากรรมดีกรรมชั่ว กรรมดีนั่นน่ะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

คนเราประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในทางที่ดีตลอด อยู่ในกรรมดีตลอด แล้วมันจะให้ผลอย่างไรล่ะ กรรมดีมันให้ผลอย่างไรล่ะ แต่คนถ้ามันทำเลวมาตลอด ทำเลวจนเป็นนิสัย พอเป็นนิสัยขึ้นมา นี่กรรมให้ผลมันไง กรรมดีกรรมชั่วนั้นจะให้ผลมัน แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ที่ว่ากิเลสมันโหดร้ายๆ มันโหดร้ายตรงไหนล่ะ

เวลากรรมดีกรรมชั่ว ใครจะชักนำไปล่ะ ถ้าพอใจตนล่ะดี ถ้าไม่พอใจล่ะผิด แล้วพอใจ ใครพอใจ? ตัณหาความทะยานอยาก ถ้าตัณหาความทะยานอยาก ศาสนาพุทธถึงวางไว้ ศีล สมาธิ ปัญญาไง

ถ้าถึงความดี ความดีอะไร ความดี ศีล ๕ ศีล ๕ กรอง ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ อ้าว! ดีของเอ็ง ดีของเอ็งก็แขวนไว้ เทียบกันที่ศีล นี่เอาศีลมากรอง ศีล พอมีศีลต้องมีธรรม

พอมีศีล มีศีล “ฉันเป็นคนดี ฉันมีศีลครบ”

วัตถุมันก็มีศีล วัตถุมันไม่ขยับเลย นี่มันไม่มีธรรมไง มีศีลต้องมีธรรม เราไม่ทำร้ายเขา เราไม่ทำสิ่งใด แต่เราทำคุณงามความดี นี่ไง กิเลสมันโหดร้ายนักๆ ทุกคนโหดร้ายตรงไหนล่ะ โหดร้าย ทุกคนบอกว่าฉันเป็นคนดี ไปพูดสิ สังคมทุกคนเป็นคนดีหมด ถ้าเป็นคนดีแล้วฉันต้องทำอะไรต่อล่ะ

อ้าว! ดีก็ตายไง คนทำความดีแล้วมันต้องดีให้มากขึ้นกว่านี้ เราดำรงชีวิตได้ เราก็อยากดำรงชีวิตที่มีความสุข ถ้าดำรงชีวิตมีความสุขแล้ว เราก็จะเจือจานสังคมแล้ว ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข ฉันก็มีความสุขด้วยไง ฉันจะมีความสุขอยู่คนเดียว แต่สังคมเขาเร่าร้อนอยู่ เราจะมีความสุขไปได้ไหม ถ้าเรามีความสุข เราเจือจานให้สังคม สังคมมีความสุขขึ้นมา นี่กรรมดีมันเกิดแล้ว บารมีมันเกิดแล้ว

นี่พูดถึงว่ากิเลสมันโหดร้ายนักๆ ไง นี่พูดถึงสังคมนะ ยังไม่ได้พูดถึงการปฏิบัติเลย ยังไม่ได้พูดถึงศีล สมาธิ ปัญญาของเราเลย ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา สัจธรรมเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ก็ธรรมชาติไง แต่กูทุกข์ ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติ แต่ธรรมของเราล่ะ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมมันเกิดขึ้นหรือยัง ถ้ามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างไร

ถ้าคนไม่เคยฝึกสติ คนเรามันจะมีสติมีปัญญาพอสมควร ถ้าพอสมควรนะ ถ้ามีสติมีปัญญา ความคิดของเรามันจะไม่ฉุดกระชากลากไป ดูสิ อย่างคนที่เขาแสวงหาของเขา เขาตื่นเต้นของเขา เขาตื่นกระแสต่างๆ เขาจะไปของเขา คนที่ไม่ตื่นกระแสนะ เขาจะยืนอยู่ดูสังคมว่าทำไมสังคมตื่นกระแสอย่างนั้น นี่พูดถึงถ้าคนเริ่มมีสติ

แล้วสติมันสมบูรณ์ขึ้น เราประพฤติปฏิบัติ พอมีสติปั๊บ ความคิดเกิดไม่ได้เลย สติเท่าทันหมด นี่สติ อ๋อ! สติเป็นอย่างนี้หรือ แล้วคิดดูสิ ถ้าเราไม่เท่าทันความคิดเรา เวลาเราทุกข์เรายากไป เวลามันให้ผล กิเลสให้ผล มันทุกข์ยากไหม แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทัน เหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่เกิดกับเรานี่แหละ แต่เรามีสติปัญญารู้เหตุรู้ผลมัน เออ! ก็เป็นอย่างนี้ แล้วจะไปตื่นอะไรล่ะ ไม่ตื่นก็หยุดไง พอความหยุดแล้ว สิ่งที่กิเลสมันโหดร้ายนัก กิเลสที่มันชักนำเราไป มันชักนำเราไปได้ไหม? ไม่ได้ สติ สตินี่แหละยับยั้งเราได้เลย เราฝึกหัดๆ ขึ้นมา จะเกิดสมาธิขึ้นมา พอมีสมาธิขึ้นมาก็เกิดความสุขแล้ว ถ้ามีสมาธิขึ้นมา

สมาธิคืออะไร? สมาธิคือจิตตั้งมั่น สิ่งที่ความคิดเกิดบนจิต ความคิดเป็นพลังงาน พลังงาน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากจิต ถ้าคนตายมันไม่มีความรู้สึก แล้วความรู้สึกมันเกิดมา ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามันจะรู้สึก รู้สึกที่ดี คือปัญญามันเกิดเป็นสิ่งที่ดี เกิดกรรมดี เราร่วมด้วย แต่ถ้ามันเกิดเป็นกรรมชั่ว ยับยั้งๆ มันมีของมัน ถ้ามันพลิกของมันได้ มันคิดของมันได้ ถ้ามันมีสติปัญญา

ถ้ามันคิดไม่ทัน มันควบคุมไม่ได้ เราถึงต้องมาพุทธานุสติไง ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ ความคิดมันเกิดโดยข้อเท็จจริง ธาตุรู้ มันเป็นธรรมชาติที่มันต้องรู้ มันเหมือนพลังงานที่ต้องรู้ แล้วมันรู้โดยที่ไม่มีใครดูแลมัน เห็นไหม เด็กน้อย วันเด็กเขาคุ้มครองดูแลเพื่อให้มันเติบโตขึ้นมา จิตใจนี้มันโดยการคุ้มครอง ปกครองของอวิชชา สัจธรรมจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราฝึกฝนฝึกหัด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นศาสดา แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราประพฤติปฏิบัติ ศึกษาๆ นะ มันเป็นทางทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ศึกษาขนาดไหน ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นมานั่นวางไว้ อันนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ความสุขเกิดขึ้นที่นี่

องค์ความรู้ไง ถ้าเราพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ถ้ามันสงบขึ้นมา มันสงบขึ้นมา จิตตั้งมั่น พลังงานที่รู้ ธรรมชาติที่รู้ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติที่รู้ มันรู้โดยตัวมันเอง แล้วมันคงที่โดยตัวมันเอง มันไม่ต้องอิงพึ่งพิงอาศัยใคร มันไม่ต้องให้ใครคุ้มครองมัน มันอยู่กับสัจธรรมอันนั้น นี่สัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นๆ จิตตั้งมั่นแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาเกิดขึ้น นั่นน่ะเวลาเกิดมรรคเกิดผล เวลาฝึกหัดใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นจากการฝึกหัดการภาวนา ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์วิจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการศึกษา

การศึกษาเป็นแนวทาง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ การศึกษานั้นมันจะเป็นข้อวิตกกังวลไง เราจะถูก เราจะผิด มันจะถูกต้องหรือมันจะผิดพลาด วิตกกังวลไปหมดเลย วางไม่ลง เพราะเราศึกษามา เราศึกษามา เรารู้มาแล้ววางไม่ได้ มันก็เป็นสมาธิไม่ได้

สมาธิคือมันวางหมด มันเป็นเอกเทศ มันเป็นความสงบระงับในใจเป็นความจริงอันนั้น แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา พอปัญญามันเกิดขึ้นมา อ๋อ! ไอ้ศึกษามาแล้วอยู่นู่น ไอ้เวลาปัญญาจริงๆ มันเกิดที่นี่ ไอ้ศึกษามามันอยู่ในตำรับตำรา มันอยู่นู่น อยู่ในตู้ เวลาจริงๆ มันเกิดที่นี่ พอเกิดที่นี่ มันเป็นความจริง เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติไปถึงความจริงแล้ว ความจริงอันนี้กับความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอก แม้แต่ถ้านั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถาม เพราะมันเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันมันเป็นความจริงอันนี้ไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ ที่มันยาก มันยากตรงที่เราจะต้องเอาชนะตนเองนี่แหละ มันยาก มันยากตอนที่เราจะควบคุมใจเรานี่แหละ มันยากตรงนี้ แต่ถ้ามันทำได้แล้ว มันเป็นไปได้แล้วนะ สัจธรรมมีคุณธรรมแล้วจบ จบเพราะอะไร จบเพราะเป็นอกุปปธรรม ถ้าพิจารณาถึงที่สุดแล้วเวลามันขาดนะ เป็นอกุปปธรรม อฐานะ อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลง อฐานะที่จะเคลื่อนไหว อฐานะ คงที่ตายตัว แล้วมันคงที่ตายตัวอย่างไรล่ะ

จิตที่มันไร้เดียงสา จิตที่กิเลสมันข่มขี่อยู่นี่ ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาจะเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา แล้วความจริงอันนี้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีอัตตสมบัติอย่างนี้ติดกับใจดวงนั้นไป เอวัง