เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ม.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะเพื่อสัจจะ สัจจะ สัจจะอริยสัจจะ สัจจะคือสัจจะของโลก เรารู้ได้เรื่องของสัจจะ ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่อริยสัจจะ อริยสัจจะเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเพราะอะไร เพราะมันไม่เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติไง ถ้าธรรมชาติมันมีการเปลี่ยนแปลงของมัน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะต้องเป็นอนัตตา ธรรมะเป็นอนัตตา

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถือว่ามีขั้นตอนขึ้นไป อกุปปธรรมๆ มันเหนือธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ เพราะมันพ้นไปจากกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติจะไม่มีเข้าไปเจือปนกับสิ่งที่เป็นสัจธรรมอันนั้น เพราะมันพ้นออกไป ถ้าไม่พ้นออกไปมันจะเป็นอกุปปธรรมได้อย่างไร ถ้ามันเป็นอกุปปธรรม เพราะมันเหนือฐานะไง เหนือฐานะที่การเปลี่ยนแปลง แต่ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงอย่างนั้น เพราะชีวิตของเรามันเกิดมาโดยธรรมชาติ ชีวิตเราเกิดมาจากเวรจากกรรม

ถ้าเกิดจากเวรจากกรรม คนเราเกิดมาใช้เวรใช้กรรม เกิดมาสร้างเวรสร้างกรรม เกิดมาสร้างคุณงามความดี เกิดมาทำเพื่อประโยชน์กับตน ถ้าประโยชน์กับตนนะ เกิดมาแล้ว เกิดมา ชีวิตนี้มีค่ามากๆ มีค่ามากเพื่อประพฤติปฏิบัติไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก คนเราไม่ได้ดีและชั่วด้วยการเกิด คนเราดีและชั่วด้วยการกระทำ

เวลาดีและชั่วที่การเกิด นี้เรื่องบุญเรื่องกุศล ถ้าบุญกุศล เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในพ่อแม่ที่สัมมาทิฏฐิ เกิดในพ่อแม่ที่ดี ครูบาอาจารย์ของเราเกิดทางภาคอีสาน เกิดมาพ่อแม่ปรารถนาจะให้บวช พ่อแม่ปรารถนาหวังพึ่งใบบุญ พ่อแม่ปรารถนาทั้งหมดเลย เราเกิดกันที่ภาคกลาง “อย่าบวชนะ บวชให้บวชได้ ๑๕ วันพอ ห้ามบวชเกินกว่านั้น” นี่เกิดในประเทศอันสมควรและไม่สมควรไง

ถ้าเกิดในประเทศอันสมควร ครูบาอาจารย์เราเกิดในประเทศอันสมควร แม้แต่หลวงตาท่านพูด ท่านเกิดมาท่านอยากมีครอบครัวของท่าน จนแม่ก็อยากให้บวช พ่อก็อยากให้บวช แต่ตัวเองก็อยากจะมีครอบครัว อยากจะมีครอบครัว แต่ถึงที่สุด ด้วยน้ำตาของพ่อ ด้วยอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีของคนเกิดมา มันเกิดมาพร้อมๆ ทั้งๆ ที่ใจเราไม่พร้อม แต่สภาวะสังคมแวดล้อมมันบีบให้พร้อม ถ้าบีบให้พร้อม สภาวะแบบนั้น นี่อำนาจวาสนาของการเกิดและการตาย

การเกิดเกิดจากบุญพาเกิดไง แต่คนเกิดมาแล้ว คนเกิดมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกคนไม่ใช่ดีเพราะการเกิด คนดีเพราะการกระทำ เราเกิดแล้วเราทำคุณงามความดีไง ถ้าเราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์มันเป็นอริยทรัพย์ เพราะอะไร เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์มีสิทธิเลือกได้ ถ้าเลือกได้ เลือกทำสิ่งใด เลือกทำคุณงามความดีของเรา แต่คุณงามความดีของเรามันอยู่ที่กิเลส มันอยู่ที่ความนึกคิดของคน

คุณงามความดีดีตรงไหนล่ะ

ดีที่พ่อแม่ชอบไง พ่อแม่ชอบๆ พ่อแม่ก็มีครอบครัวไง

ถ้าดีของธรรมล่ะ ดีของธรรม ดูพระกัสสปะ พระกัสสปะเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่ก็ปรารถนาให้ครองเรือน เพราะรับผิดชอบมรดกตกทอดไป เพราะทรัพย์สมบัติหามาด้วยความทุกข์ความยาก แล้วถ้าจะตายไปโดยไม่มีใครรับสมบัติ นอนตายตาไม่หลับ สุดท้ายก็ให้พระกัสสปะมีครอบครัว พระกัสสปะก็มีครอบครัว

นี่อำนาจวาสนานะ ไปเจอผู้หญิง ผู้หญิงก็คิดเหมือนพระกัสสปะเลย ก็เลยมาสัญญากันว่าเราอยู่พรหมจรรย์ด้วยกัน คืออยู่ในครอบครัว แต่งงานกันโดยนาม แต่เราอยู่กันด้วยพรหมจรรย์ แล้วเอาดอกไม้ปักไว้ที่หัวนอน ถือพรหมจรรย์ขอให้สดชื่นตลอดเวลา อุปัฏฐากพ่ออุปัฏฐากแม่ จนพ่อแม่เสียชีวิตไปทั้งสองฝ่าย แล้วออกบวชร่วมกัน พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ พระกัสสปะเป็นผู้ที่ทำสังคายนา

พระกัสสปะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เขาจะมาเผาศพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดอย่างไรก็ไม่ติดถ้าไม่รอพระกัสสปะมาก่อน พอพระกัสสปะมาแล้วนะ ไฟติดขึ้นมาเองเลย

นี่ไง อำนาจวาสนาของคน พ่อแม่ก็คิดไปอย่างหนึ่ง ธรรมะก็คิดไปอย่างหนึ่ง เราเกิดมาสร้างคุณงามความดี...ใช่ คุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ คนเราไม่ได้ดีที่การเกิด ดีที่การกระทำ แล้วทำอะไรล่ะ ถ้าทำอะไร ทำทางโลกก็ได้โลกไง ทำทางโลก ทำทางโลกก็ได้ลูกได้หลานไง ทำทางโลกก็ได้ทรัพย์สมบัติไง

ถ้าทำทางธรรม ทำทางธรรมเราก็จะมาประพฤติปฏิบัติไง ถ้าทำทางธรรมมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บวชเรียนมาแล้วๆ เข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้าเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เวลาทางโลกมันก็มีดีและชั่ว เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็มีสัมมากับมิจฉา ถ้าเวลาปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิมันก็ถูกต้องดีงามขึ้นไป คนเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี

เวลาประพฤติปฏิบัติด้วยมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นของเรา ดูสิ อาวุธนี้เขาเอาไว้ให้ป้องกันตัว อาวุธนี้เขาไม่ได้ให้เอาไว้ทำร้ายตัวเอง ศีล สมาธิ ปัญญา เขาเอาไว้ให้ฆ่ากิเลส ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาขึ้นมา ปัญญานี้กิเลสมันพาใช้ เวลากิเลสพาใช้ก็หลอกลวงตัวเอง ถ้าหลอกลวงตัวเองก็มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิก็คือความเห็นผิด ทั้งๆ ที่ปัญญาของเรา ปัญญาของเราทำไมทำลายตัวเราล่ะ ปัญญาของเราทำไมไม่ให้เราก้าวหน้าไปล่ะ ปัญญาของเราทำไมไม่ให้เรางอกดีงามขึ้นไปล่ะ ทำไมปัญญาของเราทำให้เราหลงผิดล่ะ

คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด มันดีเพราะการกระทำ พระบวชมาแล้ว พระบวชมา หลวงตาท่านพูดประจำ บวชมาโกนหัว โกนผม โกนคิ้ว โกนไปหมดเลย ถ้าโกนถึงกะโหลกศีรษะก็โกนได้ บวชมาด้วยบุญกุศล มันก็บุญกุศลทางโลกไง พ่อแม่หวังพึ่งพาชายผ้าเหลืองๆ บวชแล้วไปค้ำจุนพระพุทธศาสนา

บวชแล้ว ดูสิ บวชแล้วตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมา ภิกษุสงฆ์เราไม่เคยขาดวรรคขาดตอนเลย ถ้าสงฆ์ขาดตอน จะบวชพระต่อเนื่องกันมาไม่ได้ บวชมาแล้วบวชมาค้ำจุนศาสนา บวชมาเพื่อศึกษา ศึกษามาแล้วก็มาเป็นมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง ของกูๆ ใครแตะต้องไม่ได้ พระไตรปิฎก ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครอย่าแตะๆ แต่หัวใจมันคิดอะไรน่ะ หัวใจมันมีคุณธรรมขึ้นมาหรือไม่

ถ้าหัวใจมีคุณธรรมขึ้นมา ธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะ สัจธรรมเป็นสาธารณะ เป็นสาธารณะเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยมรรคด้วยผลไง ด้วยมรรค ด้วยการกระทำไง ถ้าทำคุณงามความดีขึ้นมา ตบะธรรมมันจะไปแผดเผากิเลสในหัวใจของเราไง ถ้ามันแผดเผากิเลสในหัวใจด้วยความถูกต้องดีงาม ด้วยเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงาม มันก็เป็นสัจจะเป็นอริยสัจจะ แต่ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา

ดูสิ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลเยอะมากที่พระตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหน ไม่ให้ใครเข้ามาในเขตวัด หวงลาภ หวงชื่อเสียง หวงเกียรติคุณ ตกนรกอเวจีทั้งนั้นน่ะ เวลาตายไป บวชพระ

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ ไม่ต้องมาพึ่งพา ท่านออกไปแสวงหา ท่านออกไปเผยแผ่ ท่านออกไปช่วยเหลือเจือจานเขา ออกไปเพื่อประโยชน์กับโลก เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำ ท่านทำอย่างนั้น ความเป็นจริงมันเป็นสัจธรรมไง

แต่ถ้ามันไม่เป็นสัจธรรม ตระหนี่ถี่เหนียว “ของกูๆ” ลงนรกทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่พูดถึงว่าถ้าคนที่เป็นธรรมๆ ฟังธรรมๆ คนเราไม่ได้ดีด้วยการเกิด ดีด้วยการกระทำ บวชมาแล้ว บวชมาเป็นบุญกุศลไหม? บวชมาเป็นบุญกุศล พอบวชมา ดูสิ ทางโลกเขาศีล ๕ ศีล ๘ เราศีล ๒๒๗ เรามีศีลมีธรรม เรามีคุณธรรมในหัวใจ บวชแล้ว บวชแล้วต้องบวชหัวใจ บวชแล้วต้องภาวนาสิ ภาวนาขึ้นมาให้มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาสิ

ถ้ามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอกว่า แม้แต่นั่งอยู่ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถามธรรมะเลย ไม่ถามเรื่องความสงสัยในใจเลย ถ้ามันเป็นความจริงในใจขึ้นมาแล้ว นี่ไง แล้วมันของใคร เป็นของกูหรือเปล่าล่ะ ถ้าของกูๆ ก็มีกูอยู่ไง มีกูมันก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นของกูอยู่ เพราะมีตัวมีตนอยู่ ถ้ามีตัวมีตนอยู่ มันเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมา มันว่ามันก็ดีเหนือเขา อยู่เหนือเขา ถ้าเหนือเขา

เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

นี่มันสำคัญตน ถ้ามีกู มีกู ถ้ามีกูแล้วมันได้อะไรล่ะ แต่ถ้ามันมีสัจจะความจริงขึ้นมา มันมีคุณธรรมขึ้นมา มันทำลายหมด ทำลายตัวตนของเรา ทำลายตัวตนมันเป็นประโยชน์ของเรา แล้วมันเป็นขึ้นมาแล้วมันมีวิหารธรรม มีสัจธรรม มีคุณธรรมในหัวใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจากมรรคญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านต้องมีคุณธรรมของท่าน ถ้าไม่มีคุณธรรม เกิดความสงสัย ดูสิ เราเกิดปัญญา บางทีปัญญาเราเกิดขึ้นมา โอ้โฮ! มันแจ่มแจ้งมากเลย พอความคิดใหม่มา ไปแล้ว งงแล้ว แล้วมันรุ่งขึ้น ต่อไปสองวันสามวัน ทีนี้หันรีหันขวางเลย ปัญญาอย่างนั้นหรือ นั่นคือปัญญาหรือ ถ้าปัญญาอย่างนั้นมันเป็นจินตมยปัญญา ปัญญาที่เราฝึกหัดใช่ไหม

แต่เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซากขึ้นมาด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความถูกต้องดีงามของมัน มันจะจางคลายของมัน มันจะปล่อยวางของมัน ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวาง ทำพิจารณาบ่อยครั้งเข้าๆ เวลามันสมุจเฉทปหาน มันขาด ดั่งแขนขาด เวลากิเลสมันขาดออกไปจากใจ เอ็งไม่รู้ว่ากิเลสขาดได้อย่างไรล่ะ เกิดมาเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจทุกคน คนที่เกิด คนเกิดคือมีกิเลสทั้งนั้นน่ะ มีอวิชชาถึงพามาเกิด เวลาเกิดขึ้นมาแล้วมันหลอกลวงให้เรามาเกิด

คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด มันเกิดมาเพราะมีเวรมีกรรมใช่ไหม พิจารณาซ้ำพิจารณาซากขึ้นมา พิจารณาหลายครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นอนัตตา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว เพราะมันเป็นอนัตตา แต่ของกู ก็ตัวกูมันไม่รู้ไม่เห็น ไอ้ตัวกูไปรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไอ้กูไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมา มันก็เลยเป็นอนัตตาอยู่อย่างนั้นไง แต่เวลากูไปรู้ไปเห็นเข้า กูไปรู้ไปเห็นอนัตตาเข้า กูเป็นอนัตตา กูทำลายอนัตตา อ้าว! มันเป็นอะไรขึ้นมานั่นน่ะ มันเป็นอะไรขึ้นมา

นี่ไง ถ้ามันมีคุณธรรม มันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นอันนั้นไง มันมีวิหารธรรมไง มันมีธรรมในหัวใจไง มันมีธรรม ถ้าธรรมไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร ดูสิ เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาตรัสรู้ธรรม เวลาแสดงสัจธรรม แสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แล้วธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ มันมีสัจจะมีความจริง แต่ใครไปรื้อไปค้นขึ้นมาล่ะ ถ้ามันไม่มีความรู้ความเห็นอันนั้น ไม่มีมรรคญาณอันนั้น ไม่มีสติปัญญาอันนั้น ใครไปรู้ไปเห็นขึ้นมาล่ะ

เราก็ศึกษากัน ชาวพุทธกี่ล้านคน เราก็ศึกษาได้ทั้งนั้นน่ะ เราเข้าใจเรื่องธรรมะหมดเลย ไอ้ของกูๆ มันปิดไว้ เรารู้ธรรมะ เรารู้ไง ไอ้ตัวว่าเรารู้ๆ ดูสิ อาวุธเขาเอาไว้ป้องกันตน ไอ้นี่อาวุธไว้ทำลายตัวเอง ของกูๆ ไอ้กูมันทำลายตัวเอง สำคัญตน สำคัญตนว่ารู้ว่าเก่ง สำคัญตนว่ามีปัญญา สำคัญตน ปัญญาอยู่ข้างนอกนู่นไง เพราะมันไปรู้ ปัญญากองอยู่นู่น แล้วกูก็สำคัญตนว่ากูรู้ๆ ไอ้ปัญญาก็อยู่ข้างนอกนู่น นี่ทำลายตัวเอง

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ ปล่อยวางให้หมด คนเราเกิดมาด้วยอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันหยาบละเอียดแตกต่างกัน ใครมีสิ่งใดที่สุมขอน ไฟสุมขอนในใจ สิ่งที่สุมขอนในใจ เราพิจารณาของเรา เราใช้ปัญญาของเราพิจารณาของเรา เราจะพิจารณากิเลสๆ กิเลสเป็นนามธรรม

ฉะนั้น เวลากิเลสเป็นนามธรรม จิตสงบแล้วให้เห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นธรรมก็คืออารมณ์ความรู้สึกนั่นแหละ เห็นธรรมก็คือกิเลสนั่นแหละ สัจธรรม ธรรมารมณ์ๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้น จิตเห็นอาการของจิต อาการที่เกิดขึ้น อาการที่กระทบ อาการที่หงุดหงิด อาการที่มันกระเทือนหัวใจ เราพิจารณาของเราไปสิ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาของมันไง ถ้าเวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา จะทำลายกิเลสที่ไหน จะไปฆ่ากิเลส เหมือนนักเลงเลย จะไปทะเลาะกับเขา จะไปยิงฆ่าเขา ยิงฆ่าเขาเสร็จแล้วติดคุก มันได้อะไรขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน จะฆ่ากิเลสๆ กิเลสมันอยู่ไหนล่ะ

แต่ถ้าเราพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นที่อยู่ของกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอาศัยสิ่งนี้นอนเนื่องอยู่กลางหัวใจ แล้วมันก็หลอกลวงในใจตัวนี้ มันก็หลอกลวงให้เราอยู่ในอำนาจของมันอยู่อย่างนี้ เพราะมันหลอกลวงอย่างนี้ เราไม่รู้เท่าทันอย่างนี้ เราถึงได้มาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี่ ถ้าพิจารณาซ้ำพิจารณาซากขึ้นมา พิจารณาต่อเนื่องไปๆ เวลามันขาด ดั่งแขนขาด ดั่งแขนขาดคือกิเลสมันขาดออกไปจากใจ ถ้ากิเลสมันขาดออกไปจากใจเป็นชั้นเป็นตอนๆ ขึ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่

ใจดวงนี้เป็นได้หลากหลายนัก ใจดวงนี้เป็นมาร เป็นเปรต เป็นผี ตกนรกอเวจี มันทำลายเรามาขนาดไหน ทำลายเราแล้วยังไปทำลายคนอื่นต่อเนื่องกันไป เวลาเราพิจารณาขึ้นมา มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันชำระล้าง มันคายกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เราก็เป็นคนทำเอง เราเป็นคนทำเอง เราเป็นคนทำเอง เราสมุจเฉทปหาน มันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ไง สัจธรรมๆ เขาเอาไว้ชำระล้างกิเลสไง ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้เพื่อประโยชน์ เพื่อสำรอก เพื่อคายกิเลสออกไปไง แต่ถ้ากิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมามันก็เอาสิ่งนี้ “พุทธพจน์ๆ” คำก็พุทธพจน์ สองคำก็พุทธพจน์

คำว่า “พุทธพจน์” คือตัวเองไม่มีความมั่นใจ ถ้าเป็นพุทธพจน์ความจริงไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านก็พูดถึงพุทธพจน์ เพราะอะไร เพราะว่าเวลาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตา เวลาท่านสิ้นกิเลส กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่าแม้แต่ตัวอักษรท่านจะไม่ตีตัวเสมอเลยนะ ตัวอักษร ตัวอักษรที่สามารถสื่อสารธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ท่านจะยกให้สูงขึ้นๆ ท่านเคารพขนาดนั้นนะ

ท่านไม่ใช่เคารพแค่พระพุทธเจ้านะ เคารพสิ่งที่สื่อสารเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านยังเคารพเลยล่ะ ความเคารพในหัวใจ ความเคารพจากจริงใจ มันเคารพโดยสัจจะ เราไม่ใช่เคารพแบบอวดเขา “เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้า” หลวงตาถึงพูดไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม เหยียบย่ำพระพุทธเจ้าไป ธรรมและวินัยคือศาสดา ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เหยียบย่ำมันไป แล้วอวดแสดงธรรม

แต่เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์เราไม่ทำอย่างนั้น ท่านเคารพด้วยหัวใจ นั่นแสดงออกด้วยน้ำใจ น้ำใสใจจริง การแสดงออกด้วยน้ำใสใจจริงเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ คำว่า “ทำความดี” นะ มันดีจากน้ำใจ ใจของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันสงบมาได้ มันมีสติปัญญาขึ้นมาได้ น้ำใสใจจริงอันนั้นคือมรรคญาณ เพราะอะไร เพราะน้ำใสใจจริงอันนั้นมันก็จะไปชำระไอ้ความสำคัญตน ตัวกูของกูในใจนั่นน่ะ ไอ้กูๆๆ นั่นน่ะ

ถ้าทำสมาธิไม่เป็น ไม่รู้จัก ไม่รู้ไม่เห็น ใครทำความสงบของใจได้นั่นคือตัวมัน แล้วตัวมันสำคัญตนนัก ขนาดทางโลกยังเกิดทิฏฐิมานะจะเอาชนะคะคานกัน แล้วเวลาเข้าไปรู้ไปเห็นขึ้นมา มันจะเกิดความสำคัญตนมากน้อยขนาดไหน แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา มีสัจธรรมอันนั้น เราเห็นว่าอันนี้โลกเขารู้กับเราไม่ได้หรอก

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัตินะ ท่านไม่อยากคุยกับใคร ถ้าคุยไปเขาบอกมึงบ้า เพราะมันเหนือโลก ในโลกไม่มี ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะคุยกัน ท่านคุยกันด้วยนักปฏิบัติด้วยกัน ถ้านักปฏิบัติด้วยกัน เขาคุยกัน เขาเข้าใจกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไง สัจธรรมอันนั้น แล้วมันหาคนคุยลำบาก เรามีแต่สภากาแฟตั้งอยู่เกลื่อนเลยเมืองไทย มีแต่สภากาแฟ ธรรมะสภากาแฟน่ะ ขี้โม้ แต่สัจธรรมอันนี้ สัจธรรมอันนี้ เรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ใครจะคุยกับใคร

เวลาหลวงตาท่านไปคุยกับหลวงปู่แหวน เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกัน ท่านสนทนาธรรมกันด้วยสัจธรรม ด้วยความจริงอันนี้ไง นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าหัวใจเป็นธรรม เป็นธรรมเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ แล้วมันมีน้ำใสใจจริงไง มันมีวิหารธรรม มีความจริงในใจ มันมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสโลก โลกเป็นอย่างนั้น เราต้องอยู่กับโลกนะ ถ้าเรามีสติปัญญา เราอยู่กับโลก ไม่เหยียบย่ำใครทั้งสิ้น

ที่พูดนี้พูดให้เหยียบย่ำกิเลสเรา เหยียบย่ำกิเลสในใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอาอันนี้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เอวัง