เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ เม.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ที่เราแสวงหากันนี้ เราแสวงหาคุณธรรมในใจของเรา ถ้าแสวงหาคุณธรรมในใจของเรา ดูสิ เวลาคนเขาเกิดมา สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือชีวิตของมนุษย์ ถ้าชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่เขาเป็นอยู่ทางโลก แต่ถ้าหัวใจเรามีคุณธรรมขึ้นมา เรามองสิ่งใดแล้วเราจะมีคุณธรรมในใจของเรา ถ้าคุณธรรมในใจของเรานะ มนุษย์ก็คือมนุษย์ไง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านมองเรานะ หลวงตาท่านพูดประจำ เวลามองสัตว์โลกๆ มันธรรมสังเวช มันสังเวชไง มันสังเวช คนเราเกิดมา เกิดมามีหูมีตานะ มืดสว่างเท่านั้นน่ะ แต่มันเหมือนคนมืดบอด คนมืดบอดคือมันขวนขวายขึ้นไปไง ขวนขวายกับชีวิตนี้ไป ขวนขวายกับสิ่งปัจจัยเครื่องอาศัย ขวนขวายกับสิ่งที่ว่ามันจะประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้ามันประสบความสำเร็จในชีวิต เราจะภูมิอกภูมิใจของเรามากเลย

แต่ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาจะพลัดพรากไป ถ้าคนที่มีคุณธรรมนะ เขาสละเจือจานไว้เรียบร้อย มรดกตกทอดเขาแบ่งไว้เสร็จเรียบร้อย แล้วเขาจะไปด้วยความสบายใจของเขา แต่ถ้าคนเราเวลาตายโดยปัจจุบันทันด่วน เขาไม่ทำสิ่งใดเอาไว้เลย ถ้าไม่ทำสิ่งใดเอาไว้เลย เขาเป็นห่วงเป็นใยของเขา นี่เพราะเขาประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของจิตเท่านั้นเอง เพราะจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะกี่ภพกี่ชาติมาแล้ว แล้วภพชาตินี้เกิดมามีโอกาส เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ทรัพย์สมบัติอันละเอียดไง

สิ่งที่เป็นอัตตสมบัติของจิต อัตตสมบัติของจิตคือคุณงามความดีของจิตไง จิตถ้ามันมีคุณงามความดีของมัน มันจะเป็นสมบัติของมันไปกับจิตดวงนั้นไง แต่ถ้าในชีวิตนี้ ชีวิตนี้ ในภพชาตินี้ ในภพชาตินี้เรารู้ได้ เราเห็นได้ ในประวัติศาสตร์เขาจารึกเอาไว้มหาศาลเลย มหาบุรุษๆ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ไว้ในโลกนี้ๆ ไง แต่มหาบุรุษนั้นเขาก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของเขา ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของเขา จิตที่เขาได้สร้างคุณงามความดีของเขา พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง ถ้าสอนที่ปั๊บ เขาบอกเลย บอกว่า “เขียนเสือให้วัวกลัว หลอกลวงประชาชน หลอกลวงประชาชนว่าบุญมี กุศลมี ให้ไปเอาภพชาติหน้า แล้วต้องไปเอาชาติหน้า ชาตินี้มีเท่าไรก็เสียสละให้หมด แล้วไอ้พวกที่มาตักตวงประโยชน์ก็ได้ประโยชน์” นี้เวลาคนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาคัดค้าน

ไอ้เรื่องเขาคัดค้านจะจริงหรือไม่จริงนั่นเป็นเรื่องของเขา แต่เราเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันบีบคั้นในหัวใจของเรา เรารับรู้ได้ไง ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงไง เวลามีความสุข ความสุขก็ความสุขทางโลกนี้เท่านั้น ถ้าทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ คนที่ห่างกันนานๆ มาเจอกันมันก็มีการโหยหากัน มันก็มีความสุขของมัน ความสุขอย่างนี้ สุขกับทุกข์ที่มันของคู่กันไง สิ่งที่มันของคู่กันมันมีของมันประจำโลกอยู่แล้วไง แล้วเราก็มาเพลิดเพลินอยู่กับความสุขประจำโลกนี้ไง แล้วก็ยืนยันด้วยวัตถุไง ยืนยันด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามันมีอยู่จริงไง

แต่เวลาเราจะทำบุญกุศลของเราเพื่อบุญกุศล เพื่อให้จิตใจดวงนี้มันพัฒนาขึ้น พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่มันพัฒนามาแล้ว พอพัฒนามาแล้วมาเกิดในภพชาตินี้ มันก็มีหัวใจที่สูงส่งกว่าเขา หัวใจที่สูงส่งกว่าเขา ความคิดความอ่านมันก็ดีกว่าเขา ถ้าความคิดความอ่านดีกว่าเขา

ให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา ถ้าใจที่ต่ำกว่าจะดึงใจที่สูงกว่าต่ำลงมา คนที่มีสติปัญญาทำได้หรือไม่ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา ใจที่สูงกว่าๆ ใจที่สูงกว่าคือจิตใจคนที่เป็นสาธารณะ ดูจิตใจคนที่เป็นสาธารณะแล้วเขาเอื้ออาทรกับสังคมนะ เขาอุทิศชีวิตของเขาเลย เขาอุทิศชีวิตของเขาเพื่อสังคม เพื่อโลก เขาอุทิศชีวิตของเขา เขาอุทิศทำไมล่ะ เพราะเขาเห็นคุณงามความดีไง เขาเห็นถึงสุขประโยชน์กับสังคมไง สุขประโยชน์กับคนอื่นไง

แต่ถ้าจิตใจที่มันสูงกว่า พันธุกรรมของจิตๆ ก็การกระทำนี่ไง การกระทำ การได้สั่งสมมา เรามาเสียสละทานๆ เพราะฝึกหัดใจของเรา เพราะเรามีสติมีปัญญาของเรา เราว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเรา ของที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรามันก็เป็นของเราทั้งนั้นน่ะ เราตั้งใจเสียสละออกไปเพื่อพัฒนาหัวใจดวงนี้ไง นี่พันธุกรรมของจิตที่มันทำมา จิตใจคนที่เขาเป็นสาธารณะ จิตใจคนที่เขามีคุณธรรม เพราะเขาฝึกของเขามา เขาฝึกของเขามา เวลาเขาทำสิ่งใดที่เป็นสาธารณประโยชน์ แล้วมีคนมาใช้สอยของเขา เขาปลื้มใจของเขา เขามีความสุขของเขา เขามีความสุขของเขาเพราะเขาเจือจาน เจือจานความสะดวก เจือจานให้กับสังคม นี่จิตใจของเขา

แต่ถ้าจิตใจของคนที่มันหยาบ “ทำไปทำไม เราไม่ได้อะไรเลย” จะทำสิ่งใด ทั้งๆ ที่เป็นสมบัติสาธารณะมันก็จะไปฉ้อโกงว่าเป็นของเราๆ แล้วมันเป็นของเราไม่ได้หรอก เพราะสมบัตินี้เป็นสมบัติประจำโลก แต่ไอ้ความคิดนั่นของเรา ไอ้เจตนาที่คดโกง ไอ้เจตนาที่ทำร้ายนั่นน่ะ อันนั้นน่ะ บุญกุศลอยู่ตรงนั้นไง สมบัติมันก็เป็นสมบัติอยู่อย่างนั้นน่ะ ไอ้ความคิดอันนั้นน่ะ ไอ้ความคิดอันนั้นมันติดกับใจดวงนั้นไง

ฉะนั้น ที่เรามาวัดมาวากัน มาวัดมาวามาเสียสละ มาทำทานของเรา ทำทานของเรา นี่วัตถุทาน เราให้โอกาสกัน ดูสิ เรามาแล้ว ใครมาช้ามาหลัง บัณฑิตเขาช่วยเหลือเจือจานกัน เราเปิดโอกาสให้ต่อกัน ไอ้นี่มันเป็นเรื่องน้ำใจ เรื่องของวัตถุ เราเสียสละของเราอยู่แล้ว เพราะเรามีของเรามา แต่เรื่องของน้ำใจ แล้วเรื่องของวัตถุไม่จำเป็นจะต้องมาแข่งขันกัน เรามีน้ำใจของเรา น้ำใจของคนมันเป็นเอง มันเป็นเอง คนเราถ้ามันศรัทธาเริ่มต้นมันก็ทำของมันด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่คนที่จิตใจเขาละเอียดอ่อน จิตใจเขาสรรหา

ดูนางวิสาขาสิ เขาทำอะไรเขาสรรหา เขาสรรหาของเขา สรรหาเพราะอะไร สรรหาเพราะจิตใจของเขา จิตใจของเขาละเอียดอ่อน จิตใจของเขา เขาปรารถนาบุญของเขาละเอียดอ่อน เขาปรารถนาให้บุญของเขาละเมียดละไมกับใจของเขา สิ่งนี้มันเป็นความคิดของเขา

แล้วเราไปดูว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น ทำไมต้องทำขนาดนั้น

เพราะทำขนาดนั้น เพราะจิตใจของเขาเป็นอย่างนั้น แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างนั้น นี่พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมมันตัดแต่งอย่างนี้ ถ้ามันตัดแต่งอย่างนี้แล้วยิ่งมาภาวนา ถ้าภาวนา ถ้าจิตมันสงบได้ จิตสงบได้เป็นการยืนยันของจิตว่าธรรมะมันมีอยู่จริงไง ถ้าธรรมะมีอยู่จริง ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วสมาธิล่ะ สมาธิเราก็มีอยู่แล้ว เราก็เอาสมาธิเป็นตัวตั้ง เอาธรรมะเป็นตัวตั้งแล้วมาวิเคราะห์วิจัยกันว่ารู้ธรรมๆ

รู้ธรรมมันรู้จำทั้งนั้นน่ะ รู้จำเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนามามันก็กบเฝ้ากอบัวไง เวลานกมันไปที่ผลไม้ “ของกูๆ” มันกินจนอิ่มท้องแล้วมันยังว่า “ของกูๆ” ของกูก็กินได้อิ่มท้องเท่านั้นน่ะ เดี๋ยวมันก็เน่า เดี๋ยวมันก็หลุดจากขั้ว เดี๋ยวมันก็ตกไปที่แผ่นดิน “ของกูๆ” มันไม่ได้อะไรหรอก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิเคราะห์วิจัยศาสนา แหม! มีปัญญารู้มาก แต่มันไม่เคยเอาชนะใจของตัวเองได้เลย ถ้าการเอาชนะใจของตนได้เลยนั้น นี่ตบะธรรม ตบะธรรมมันแผดเผา มันแผดเผาหัวใจ ถ้าเราชนะใจของเราได้ เราชนะใจของเราได้ นี่คุณธรรมไง คุณธรรมจะครอบคลุมหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้มันมีคุณธรรม คำว่า “มีคุณธรรม” มันจะคิดนอกเรื่องนอกราวมันมีสติปัญญารู้เท่าหมดแหละ ถ้ามีสติปัญญารู้เท่า เราไปเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวทำไม ดูสิ ทางโลกเขา โลกธรรม ๘ เสียงติฉินนินทามันมีอยู่ทั่วโลกอยู่แล้ว ทำไมจิตใจของเราทำไมมันคิดขึ้นมา ทำไมไปกว้านเอาเข้ามาอีกล่ะ ทำไมมันโง่ขนาดนี้ไง

เวลาหลวงตาท่านพูดซึ้งมากนะ ท่านบอกพวกเราคิดไม่ทัน คิดไม่เป็น ครูบาอาจารย์ท่านคอยตบไว้ๆ คือมือเราจะจับสิ่งใด ท่านบอกว่านั่นน่ะๆ มันก็เหมือนปัดมือเราออก ปัดมือเราออก แต่นี้จิตใจมันจะคิด จิตใจมันจะคิด จิตใจมันจะไปไขว่คว้า แล้วเราทำไมไม่ทันมันล่ะ ถ้าเราทันมัน เราต้องฝึกฝนที่นี่สิ

เราศึกษาธรรมะมามหาศาลเลย แล้วสติมันเป็นอย่างไรล่ะ สติมันก็ ส.เสือ ต.เต่า สระอิ ในตำราน่ะ แล้วเวลามาคุยกันก็โม้กันปากเปียกปากแฉะ แต่มันไม่สามารถยับยั้งใจมันได้เลย ถ้ายับยั้งใจไม่ได้ นี่ไง เราเป็นชาวพุทธนะ เราขาดตรงนี้นะ เราขาดการฝึกฝนขึ้นมา เราขาดการฝึกฝนขึ้นมา มนุษย์อยู่ที่ไหน มนุษย์มันคืออะไร มนุษย์ก็ภพชาติหนึ่งๆ ภพชาติหนึ่ง นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะนะ อจินไตย ๔ เรื่องของกรรม เรื่องของกรรมนี่อจินไตยเลยล่ะ คือเราจะเกิดภพชาติใด กรรมนี้เกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกคนจะถามปกติ ทุกคนจะถามเลยว่าเวลาเราตกทุกข์ได้ยาก นี่มันกรรมอะไร นี่มันกรรมอะไร เราทำอะไรของเรามา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอจินไตย มันจะสาวไปภพชาติใดล่ะ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำมาๆ ฉะนั้น คนที่เขาทำคดโกงของเขา เขาเห็นแก่ตัวของเขา แล้วเขามีบุญกุศลของเขา เขาก็ร่ำรวยของเขา

สาธุ! เอ็งรวยไปเถอะ ถ้ามันได้มาด้วยความทุจริต ได้มาด้วยความไม่ถูกต้องดีงาม เอ็งรวยไปเถอะ ไม่สน เราไม่ต้องการสิ่งนั้น ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งไง แต่ถ้ามันร่ำมันรวยมาด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความถูกต้องดีงาม ดูสิ พระสีวลีเขาทำบุญกุศลของเขามา เขาทำสิ่งใด บุญกุศลเขาเป็นเลิศๆ ตลอด

เวลาพระอรหันต์ที่กินข้าวไม่เคยอิ่มเลย ก็เพราะเขาทำของเขามา เขาทำของเขามานั่นเป็นลาภ เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาก็พิจารณาของเขา เขาสามารถเอาชนะใจของเขาได้ เขาจะทุกข์จะจนจะเข็ญใจขนาดไหน เขาก็ภาวนาของเขา เขาก็สู้กัดฟันทนของเขา เขาทำของเขาขึ้นมา เขารักษาหัวใจของเขาได้ ถ้าเขารักษาหัวใจของเขาได้ มรรคมันเกิดตรงนั้นไง ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามรรคญาณ ปัญญาญาณที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นในหัวใจ

ถ้าเป็นพระสีวลีมีมหาศาล ลาภสักการะมหาศาล สิ่งใดเราไปเห็นแล้วเราก็เปรียบเทียบ แล้วเราก็ไปน้อยเนื้อต่ำใจ คำว่า “น้อยเนื้อต่ำใจ” นั่นน่ะ กิเลสทั้งนั้นน่ะ พอน้อยเนื้อต่ำใจมันเสวยอารมณ์แล้ว มันเสวยมิจฉาทิฏฐิ มันเสวยความทุกข์ความยาก แล้วถ้ามันมีความทุกข์ความยาก มันจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาได้ไหม ถ้ามรรคผลขึ้นมามันก็บอกว่าก็กรรมของเรา ก็การกระทำของเรา เราแจ่มชื่น ชื่นใจในลาภของเรา เราบิณฑบาตของเรา เรามีลาภสักการะแค่ไหน เราพอใจของเรา ไอ้นั่นมันของเขา

นี่ไง เวลาถือธุดงค์ๆ เราถือธุดงค์ตรงนี้ไง ธุดงค์ ครูบาอาจารย์ธุดงค์ ถ้ามีคนเขาศรัทธา มันก็มีลาภสักการะ ไอ้คนที่เขาไม่ศรัทธา ก็ข้าวเปล่าๆ ยังดี มีข้าวให้ฉันก็ดีแล้ว ธุดงค์ไปบางทีไม่ได้อะไรเลย เพราะบิณฑบาตไปแล้วมันผิดเวลากับเขา ลมเปล่าๆ ฉันลมไป อาหารทิพย์ ถ้ามันมีสติปัญญามันก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจใช่ไหม

พระบวชใหม่เป็นอย่างนี้หมด “เราทำความดีขนาดนี้ ทำไมเราไม่เทียบเท่าเขา ทำไมคนอื่น” นี่น้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้

นี่ไง หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาเข้าพรรษาพระถือธุดงค์กันเยอะแยะเลย เพราะพระทุกองค์ก็อยากจะได้มรรคได้ผล แล้วธุดงควัตรขัดเกลากิเลสใช่ไหม เราเอง กิเลสเราก็สู้มันไม่ได้อยู่แล้วนะ ใช้ธุดงควัตรช่วยขัดเกลา แล้วช่วยขัดเกลานะ แล้วเราก็จำพรรษา

ที่บ้านหนองผือ หลวงตาท่านเล่าประจำ มันไม่มีตลาด มันเป็นบ้านที่อยู่ในป่า สิ่งใดก็แล้วแต่ ชาวบ้านเขาก็หาเอาจากหัวไร่ปลายนา เขาดูแลพระได้ แล้วพอมันมีประชาชนเข้าไปจากสกลฯ เข้าไปจากอะไร พระมันอดมันอยากมันก็อยากได้ใช่ไหม มันบอกเลยนะ หลุดไปทีละองค์สององค์ องค์สององค์ ไปหมดเลย ท่านถึงบอกว่า “เอ๊ะ! ทำไมคนที่มุ่งมั่นขนาดนั้น ทำไมจิตใจมันอ่อนแออย่างนั้น” ท่านถึงรักษาบาตรท่านให้มากขึ้น รักษาบาตร ท่านไม่ให้ใครแตะเลย พอจัดบาตรเสร็จแล้วเอาผ้าปิดไว้ ท่านก็ไปอุปัฏฐากบาตรของหลวงปู่มั่น นี่ไง ท่านทำของท่าน

ไอ้พระก็น้อยเนื้อต่ำใจๆ เพราะคนมีกิเลสเป็นอย่างนั้นหมด พระบวชมาก็บวชมาด้วยญัตติจตุตถกรรม บวชมาด้วยธรรมวินัย มันไม่ได้บวชหัวใจ หัวใจไม่ใช่เป็นพระอรหันต์หรอก หัวใจก็เป็นปุถุชนนี่แหละ มันก็มีความคิดเป็นธรรมดา “แล้วเราทำคุณงามความดีขนาดนี้ ทำไมเราไม่เทียบเท่าคนอื่น ทำไมคนอื่นไม่เห็นคุณงามความดีของเรา” มันน้อยเนื้อต่ำใจไปหมด เราก็เป็น บวชใหม่ๆ เราก็คิดหมดแหละ ความคิดใครห้ามกันไม่ได้หรอก เราก็เคยคิดอย่างนี้เหมือนกัน ทำดีทำไมไม่ได้ดี ทำดีอยู่ท้ายแถว บวชใหม่ๆ อยู่ท้ายแถว อยู่หลังสุดเลย ไม่เคยได้อะไรอย่างสมใจอยาก ไม่เคยได้เลย นี่มันก็คิด ความคิดใครห้ามได้ มันห้ามไม่ได้หรอก

นี่ไง หลวงตาท่านเคยเจอสภาวะแบบนั้น พระถือธุดงค์ ถือธุดงค์เพราะอะไร เพราะความคิดใหญ่ ความคิดอยากพ้นทุกข์ ความคิดอยากได้มรรคผลนะ เวลาจะเข้าพรรษาอธิษฐานเลย จะทำคุณงามความดีอย่างนั้น จะทำอย่างนั้น ถ้าทำคุณงามความดีอย่างนั้นจะได้ผลตอบสนองอย่างนั้น พอทำดีแล้วมันจะได้สมาธิอย่างนั้น จะได้ปัญญาอย่างนั้น เราจะได้เป็นพระอรหันต์อย่างนั้น พอไปค่อนพรรษา โอ้โฮ!

มันได้แต่กิเลสไง เกิดกิเลส เกิดการน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดการคิดร้อยแปด แต่ถ้ามีสติปัญญา เราก็เคยคิดอย่างนั้น แล้วเราก็คิดแบบที่เราพูด ก็เราทำมา เราทำของเรามา เราทำมาได้แค่ไหนมันก็ได้แค่นี้ ก็เราทำมา มันกลับภูมิใจนะ เราคิดตลบ คิดย้อนกลับ ก็มันเป็นบุญกุศลของเรา เราทำขนาดนี้ คนทำคุณงามความดีขนาดไหน ถ้าคนเขาเข้าใจผิด คนเขาก็ไม่เห็น เขาก็ไม่เห็นความดีของเอ็งหรอก ไม่ต้องไปเรียกร้องให้ใครมาเห็นความดีของใครหรอก แต่ไอ้พวกเราที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ก็ต้องการเรียกร้องให้คนเห็นความดีของเราไง เราทำความดี ทำความดีก็จบแล้ว พอจบแล้วนะ เราก็ขวนขวายของเรา ในทางจงกรม นั่งสมาธิ เอาเข้าไปสิ ถ้าปัญญามันจะเกิด มันจะเกิดในการกระทำนี้ แล้วพอทำไป พอมันชนะขึ้นมาอย่างนี้เรื่อยๆ มันชนะใจของเราไง พอมันชนะใจของเรา มันก็รั้งใจของเราไว้ได้ใช่ไหม พอรั้งใจเราได้ ถ้ามันพุทโธมันก็พุทโธชัดๆ เป็นเนื้อหาสาระใช่ไหม

ไอ้นี่พุทโธ พุทโธนู่น อยู่คนละประเทศเลย ไอ้คิดก็คิดพุทโธ พุทโธต้องภาวนานะ ต้องพุทโธนะ พุทโธท่องเอาไกลๆ แต่ไอ้ความคิดมันยังน้อยใจอยู่นี่ น้อยใจอยู่นี่ แล้วเมื่อไหร่มันจะสงบล่ะ

แต่ถ้ามันคิด มันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้วนะ พุทโธก็พุทโธมาจากจิตสิ ไอ้น้อยใจ ตัวตรงน้อยใจให้มันคิดพุทโธขึ้นมา ไอ้พุทโธไกลๆ เข้ามามันก็ละเอียดเข้ามา พอพุทโธๆ เวลามันหยาบๆ ก็นึกเอา ตะโกนเอา ถ้ามันนึกไม่ได้ ตะโกนเลย พุทโธๆ แย่งกับมัน ชิงกับมัน ชิงกับใคร ชิงกับกิเลส ชิงกับความเคยชิน ชิงกับเจ้าวัฏจักร เจ้าวัฏจักรมันใหญ่โตมาก มันคุมหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนอยู่ในอำนาจของมันหมด แล้วอยู่ในอำนาจของมัน มันบังคับบัญชาของมัน แล้วเราจะมาปลีกแยกจากมันไป ปลีกแยกจากมัน พอมันสงบลงได้ มันสงบลงชั่วคราว จิตนี้ปลีกแยกจากมันไป พ้นจากการควบคุมของพญามารชั่วครั้งชั่วคราวเพราะมันจิตสงบ จิตสงบแล้วไม่ได้แก้อะไรเลย แต่ให้มันได้สงบก่อน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานการกระทำจะเกิดขึ้นตรงนั้น

เราหาที่ทำงานของเราไม่เจอ ทุกคนสมัครงานแล้วไม่มีที่ทำงาน รับงานไว้แล้วไล่ไปทำงานที่บ้านมึง นี่ไง ไปทำงานที่ความคิดไง อู๋ย! คิดร้อยแปดเลย พอจะเข้าพรรษาอธิษฐานถือธุดงค์ ต้องได้พระอรหันต์ในปีนี้ แล้วพอทำไปครึ่งพรรษาค่อนพรรษามันน้อยใจเรื่องธุดงค์ เรื่องไม่มีไก่ย่างตกใส่บาตร มันเดือดร้อนตรงนั้น แล้วของมันย้ำคิดย้ำทำทุกวันนะ ของเล็กน้อยก็เป็นของใหญ่ ของที่มันน้อยใจทุกวัน มันเหยียบย่ำทุกวัน หัวใจนี้มันล้มเหลวหมดเลย แล้วคิดดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์อยู่ข้างนอกนู่น ที่หลวงตาท่านบอกว่าตบมือๆ จิตมันไปขวนไปขวาย มันไปกอดไว้เลยนะ แล้วครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านก็เทศน์นะ ท่านก็เทศน์ ท่านก็พยายาม ศาสนทายาท หลวงปู่มั่นท่านต้องการมาก เพราะว่าอะไร เพราะท่านทุกข์มาก่อน

คนเรานะ พ่อแม่ที่ทุกข์ยากมาแล้วไม่อยากให้ลูกมาทุกข์ยากกับเรา หลวงปู่มั่นท่านแสวงหา ท่านค้นคว้า ท่านไม่มีอาจารย์ ท่านไปทั่วทวีปเอเชียนี้ ท่านไปหาๆ ให้คนสอน สุดท้ายเวลาท่านปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาจิตท่านติดขึ้นมาท่านไปหาหลวงปู่เสาร์ บอกว่าจิตมันติดอย่างนี้ หลวงปู่เสาร์บอกว่า “ปัญญาท่านมาก ท่านต้องแก้ตัวท่านเอง”

หลวงปู่มั่นท่านทุกข์ท่านยากมาก่อน ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะประสบความสำเร็จมา ท่านต้องกระทำความจริงของท่านมา แล้วพอประสบความสำเร็จมา ท่านถึงเห็นกิเลส เพราะท่านผ่านกิเลสมา ท่านเห็นว่ามันร้ายกาจนักไง ท่านถึงพยายามนะ พยายามส่งเสริม พยายามปกป้อง พยายามดูแลนะ แต่การดูแลมันดูแลด้วยอารมณ์ความรู้สึก ดูแลด้วยความนึกคิดในใจ ความนึกคิดในใจที่มันไปฉกไปฉวย ไปหยิบไปจับต้องสิ่งที่ผิดๆ ท่านดูแลตรงนั้น

แต่ไอ้พวกเราไปแล้วนะ ก็อยากให้ท่านดูแลความสงบสุข อยากจะกินอิ่มนอนอุ่น โอ๋ย! ถ้าอาจารย์รักจริง อาจารย์ต้องทำให้เราอย่างดีที่สุดเลย

ไอ้นั่นมันไปเพิ่มกิเลสไง ออกจากวัดนั้นไปก็บอก ดูสิ อาจารย์ทะนุถนอมเราขนาดนั้น อาจารย์ให้ไอ้นั่นให้ไอ้นี่ ไปโฆษณาชวนเชื่อกัน

หลวงปู่มั่นจะให้หรือ ท่านให้แต่คุณธรรม ท่านให้แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านให้แต่โอกาสประพฤติปฏิบัติ ท่านพยายามจะชักนำให้เราไปสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ถูกต้องดีงามโดยพลัดพรากจากครอบครัวของมาร ไอ้ครอบครัวที่มันปกป้อง มันครอบคลุมหัวใจนี้ มันครอบคลุม ท่านเอาตรงนี้ไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หน้าที่การงานของเรา เราแสวงหาของเรา มันประสบความสำเร็จทางโลก บุญกุศลมันได้มามันก็แช่มชื่น ชื่นใจ นี่ก็เหมือนกัน มันสมบัติของวัฏฏะ สมบัติของวัฏฏะเป็นสมบัติสาธารณะ ทุกคนก็มีสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เกิดในใจคน ไม่มีใครฉกฉวย ไม่มีใครแบ่งแยกได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากจะให้พวกเราเป็นศาสนทายาท อยากให้บรรลุธรรม ท่านยังเป็นคนชี้นำ คนชี้นำให้เราประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านต้องการศาสนทายาทขนาดไหน ท่านต้องการคนสืบทอดศาสนาต่อไป ท่านก็เป็นคนชี้นำเท่านั้น คุณธรรมในใจ อริยทรัพย์ ทรัพย์ในใจ แล้วมันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ในหัวใจเรานี่ มนุษย์ประเสริฐที่นี่ไง ประเสริฐที่นี่

เราเห็นทรัพย์สมบัติของโลก โลกธรรม ๘ เราเห็นสมบัติของโลก เราไม่เห็นทรัพย์สมบัติความเป็นจริง ศาสนทายาท ถ้าเป็นศาสนทายาทแล้ว ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ถ้าท่านได้คุณธรรมของท่านแล้วท่านไม่เกิดอีก ท่านตายไปแล้ว ตายไปแล้วก็จบ เพราะมันไม่มีการเกิด ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเกิดในภพชาตินี้ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเพื่อให้เราเผชิญกับกิเลส เผชิญกับสัจจะความจริง เกิดมาแล้วให้ทำ

แต่เราเกิดมาแล้วเราเผชิญกับเวรกับกรรมไง กรรมดีก็ประสบความสำเร็จ กรรมชั่วก็มีแต่ความทุกข์ความยาก เราเกิดมาเผชิญกับกรรมไง แต่ถ้าเกิดมาเผชิญกับกรรมแล้ว เกิดมาเราเผชิญกับกรรมแล้วเรายังแบ่งเวลาของเรามาประพฤติปฏิบัติ มาเอาจริงไง เอาจริง เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ไง มนุษย์มีศักยภาพไง มนุษย์มีจิตมีวิญญาณไง จิตวิญญาณนี้มันเป็นที่จะพ้นจากทุกข์ไง ถ้ามันพ้นจากทุกข์ขึ้นมาได้ ทำตรงนี้ๆ ฟังธรรมๆ ตอกย้ำตรงนี้ ตอกย้ำเพื่อหัวใจของเราไง ทำเพื่อเราๆ ไง

โลกเราก็ทำ งานของโลก ในพระไตรปิฎก ทางของฆราวาสทางคับแคบ ต้องประกอบสัมมาอาชีวะ ถึงเสร็จแล้ว ถึงกลางคืนแล้วต้องมาทำวัตรสวดมนต์แล้วมานั่งภาวนา เช้าขึ้นมาก็ต้องไปทำงาน ทางคับแคบคือว่าหน้าที่การงานมันแบ่งเวลาเราไปเยอะเลย

ทางของสมณะ ทางของสมณะทางกว้างขวาง สมณะนะ พระเณรของเราถ้ามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบก็จะมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบบ้าง แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ ๒๔ ชั่วโมง มาฉันเสร็จแล้ว เก็บเช็ดบาตรเสร็จแล้วเข้าทางจงกรมภาวนาได้เลย มีก็ตอนบ่ายมาทำข้อวัตร แล้วก็เดินจงกรมได้เลย ทางของสมณะทางกว้างขวาง การประพฤติปฏิบัติตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติทั้งหมด นี้เป็นทางของสมณะ เขาถึงได้เสียสละความเป็นฆราวาส เสียสละความเป็นมนุษย์มาบวชเป็นพระได้เพศของสมณะ ได้เพศของนักบวช ให้ได้หนทาง ให้ได้การประพฤติปฏิบัติที่กว้างขวางมาก แต่ทำได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ครูบาอาจารย์ไง

ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามขนของท่านไง ท่านต้องการสร้างศาสนทายาทไง ท่านต้องการผู้สืบต่อไง คนสืบต่อมันสืบต่อในหัวใจไง ไม่ใช่สืบต่อพินัยกรรม ไม่ได้สืบต่อจากการยกย่องบูชา มันต้องสืบต่อจากความรู้จริงในใจ ถ้าในหัวใจนั้นมันได้ประพฤติปฏิบัติ มันได้ชำระล้าง มันได้พลิกแพลงของมัน มันมีองค์ความรู้ มันมีวิธีการ มันมีความจริงอยู่ในนั้นไง ถ้าเราไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีวิธีการความจริงนั้น เราจะไปสอนใคร

เวลาสอน เขาก็ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เอาแต่ตำรามาพูดกันไง มันไม่มีความจริงในใจไง ถ้ามีความจริงในใจนะ มันต้องมีชีวิตนั้นเป็นแบบอย่าง ชีวิตหลวงปู่เสาร์ ชีวิตหลวงปู่มั่น ชีวิตของหลวงตา ชีวิตของหลวงปู่ลี นี่ชีวิตของท่าน ดูสิ ผู้ที่มีคุณธรรมเขาดำรงชีวิตแบบใด เอวัง