เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราฟังธรรม แสวงหาสัจธรรม ถ้าไม่มีสิ่งที่ดีงาม เขาไม่แสวงหาหรอก ทุกคน คนเหมือนคน คนเท่าคน คนไม่ยอมให้ใครเหนือกว่าคน แต่ถ้าเราแสวงหา แสวงหาทำไมล่ะ เราแสวงหา แสวงหาสัจธรรม เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อไง มนุษย์ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อนะ มันจะทำให้มนุษย์คนนั้นมีคุณค่า มนุษย์หน้าด้าน ไม่เคยเชื่ออะไรเลย ไม่เคยแสวงหาสิ่งใดเลย แล้วยังคิดว่าตัวเองเก่งนะ ถ้าตัวเองเก่งของเขา ถ้าเก่งทำไมเอาตัวไม่รอดล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแสวงหาของท่านเองนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “หนึ่งไม่มีสอง” หนึ่งไม่มีสอง เพราะไม่มีใครมีความสามารถอย่างนั้น เราไม่มีความสามารถอย่างนั้นนะ แต่เพราะเราเกิดมา เราเกิดมาด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ดูสิ มนุษย์เกิดมาทั่วโลกเลย แต่มนุษย์ที่เขาว่า เราจะเรียกร้องกันว่าทางตะวันตกของเขาเจริญๆ...ใช่ เขาเจริญทางวัตถุ

แต่เวลานะ เราอยู่ในวงการพระ เวลาพวกดอกเตอร์ พวกศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรป เขาศึกษาทางวิชาการ พอเขาศึกษาทางวิชาการแล้วเขาอยากจะปฏิบัติ เขาก็ต้องมาบวชทางตะวันออกเรานะ เวลาเขามาบวช เขาคุยกับเราไง บอกว่า คนเมืองไทยเหมือนกับกบเฝ้ากอบัว เขาเอง สิ่งที่เป็นทางวัตถุของเขาพร้อมของเขา แต่หัวใจเขาทุกข์ หัวใจเขาทุกข์ เขาหาทางออกไม่ได้ หาทางออกไม่ได้

เวลาของเรานะ เราเกิดทางตะวันออก เรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุขแก้ทุกข์ได้

เวลาเราไปเผยแผ่ เผยแผ่ศาสนา ทางตะวันตกเขาต้องการอะไร เขาต้องการสมาธิ เขาต้องการความมั่นคงของใจ เวลาพระไปนะ ถ้าสอนทำความสงบของใจได้ เขาจะหาความสุขของเขา ไอ้นี่ของเรา เรากบเฝ้ากอบัว กบเฝ้ากอบัวไง เราอยู่กับพระพุทธศาสนา แต่เรามองข้ามไปๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนถึงพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็สอนถึงหัวใจของเรานี่ไง

เวลาเราไปวัดไปวา มีวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่เราเสียสละทาน ก็สละเพื่อหัวใจของเรา สละเพื่อหัวใจของเรา มันเป็นอุบายไง อุบาย เห็นไหม เวลาปู่ย่าตายายเขาสอนลูกสอนหลาน สอนลูกหลานว่า ไปโรงเรียนอย่ารังแกใครนะ อย่าลักของของใครนะ เขาสอนลูกสอนหลานของเขาให้เป็นคนดี

นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราสอนเราให้เสียสละทาน การเสียสละทานของเราก็เสียสละเพื่อหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันรู้จักเสียสละ ถ้ารู้จักเสียสละมันก็จะฟังคนรอบข้าง

เวลาเราทุกข์เราร้อนกัน เราทุกข์ร้อนเรื่องอะไร เรื่องคนบ้านใกล้เรือนเคียง บ้านใกล้เรือนเคียงกระทบกระทั่งกันทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าจิตใจเราเป็นสาธารณะ เราเห็นใจเขา เห็นใจเรา ต่างคนต่างเห็นใจกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนถึงคนที่มืดบอด สอนให้รู้จักเสียสละทานไง ไอ้นี่เราเสียสละทาน เราก็เสียสละเพื่อความมั่งมีศรีสุข เพื่อความร่ำรวย เพื่อวัตถุไง ทางตะวันตกเขามีวัตถุพร้อม เขายังทุกข์ยังยากของเขาไปเลย แต่เวลาเราเสียสละของเรา เรามีบุญกุศลของเรา เราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเรา มันมีบุญไง เพราะอะไร

ดูสิ เวลาในพระพุทธศาสนา พระสีวลีเป็นผู้ที่เสียสละทานมามาก เป็นเอตทัคคะเลิศในทางลาภสักการะ ในทางทำบุญ ท่านจะร่ำรวยของท่าน เพราะท่านทำของท่านมา เห็นไหม ถ้าเราทำของเรามา เราทำของเรามา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา ถ้าเรามีอำนาจวาสนา สิ่งที่เราทำสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นประสบความสำเร็จ อันนี้มันก็เป็นบุญกุศล เราไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้ปฏิเสธว่าห้ามมีวัตถุๆ แต่เราจะมีวัตถุก็มีด้วยความถูกต้องชอบธรรม แต่ถ้ามันถูกต้องชอบธรรม เพราะบุญกุศลของเรา แต่ถ้าเราทำของเรามา มันขาดตกบกพร่องสิ่งใด เราก็ขยันหมั่นเพียรของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ สอนให้วิริยอุตสาหะ

เวลาพระเราเวลาบวชมาแล้ว เขาบอกบวชพระมาแล้วมันสุขสบายไง บวชมาแล้ว บวชมา บวชจากฆราวาส บวชมาเป็นพระภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์เห็นภัยในวัฏสงสาร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งของตน แล้วประพฤติปฏิบัติน่ะ นี่งานของพระไง งานของพระก็งานที่พยายามเอาชนะใจของตนไง ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา พระองค์นั้นก็จะมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม

บวชเข้ามา บวชมาญัตติจตุตถกรรม บวชมาเป็นโลก สมมุติสงฆ์ไง เป็นสงฆ์โดยสมมุติไง แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสงฆ์ในหัวใจ พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระก็ต้องมีหน้าที่การงานของเรา

เวลาที่ว่าเราทำบุญกุศลของเราก็เพื่อเหตุนี้ไง เพื่อหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันเป็นสาธารณะไง คือว่าเราเสียสละได้ เราให้อภัยได้ เรารับฟังสิ่งใดได้ ถ้ารับฟังสิ่งใดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเขาคงเข้าใจผิด เขาคงไม่ตั้งใจทำ ความโกรธเราก็น้อยลง แต่เขาจงใจทำเรานี่ โอ้โฮ! โกรธมาก โกรธมากเลย อันนี้คืออะไรล่ะ

เรามาวัดมาวา เรามาเสียสละ นี่เป็นวัตถุ นี่เป็นทาน เป็นอามิส เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การให้ธรรมเป็นทานประเสริฐที่สุด การให้ปัญญาคนไง ถ้าการให้ธรรมเป็นทานประเสริฐที่สุด การให้ปัญญา เรา เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ให้ปัญญาเรื่องไหนล่ะ ให้ปัญญาเรารู้จักเท่าทันตัวเราไง เราให้รู้จักเท่าทันตัวเรานะ

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

ดูสิ เขาต้องหาสิ่งใดก็แล้วแต่เพื่อความสุขของเขา ไอ้ของเราอยู่นิ่งๆ มีความสุข อยู่โคนไม้ มีความสุข อยู่ในเรือนว่างมันมีความสุข ความสุขเกิดมามันเจือด้วยอามิสไง แต่เราจะมีความสุขนะ ต้องได้เงินเยอะๆ ต้องมีคนชื่นชมเรามากๆ

เวลาคนชื่นชมนะ เวลาหลวงตาท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านบอกว่า หาบ้านน้อยๆ สองหลังสามหลัง ถ้าบ้านมันมากเกินไป เห็นไหม ธรรมดาใช่ไหม เราพึ่งพาอาศัยกันใช่ไหม เราไปบิณฑบาตกับเขา เขาทุกข์เขายากขึ้นมา เขาก็อยากปรึกษาพระใช่ไหม เขาจะมาคุยธรรมะเพื่อเขาต้องการธรรมะใช่ไหม ไอ้เราเองเราก็เร่าร้อนในหัวใจใช่ไหม

ท่านบอกว่า ท่านไปหาบ้านน้อยๆ สองหลังสามหลัง ถ้าบ้านมากเกินไป เขาจะมากวน มากวนคือมากวนเวลาของเราไง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ เหมือนกับเราเองเรายังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ เราจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยให้เราหายก่อนไง ถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยเราหายแล้ว เราจะไปช่วยเหลือคนอื่นไง ไอ้นี่เราเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่นะ แล้วก็จะไปช่วยคนอื่น มันไม่ไหวไง ฉะนั้น ไม่ใช่เห็นแก่ตัว

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องชำระล้างตนให้ได้ สอนตนนี่ลำบากกว่าสอนคนอื่นหลายเท่าเลย เราจะเห็นคนอื่นผิดไปหมด คนนูนก็ผิด คนนี้ก็ผิด ไอ้นู่นก็ผิด บ้านใกล้เรือนเคียงผิดหมด บ้านเราไม่ผิด นี่ไง สอนตนน่ะแสนยาก ทีนี้สอนตน ภิกษุบวชมาแล้วมาสอนตนก่อนไง สอนตนได้แล้ว จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งน่ะ

จากใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนั้นยังไม่ได้ฝึกหัด ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ใจดวงนั้นจะเอาวิธีการสิ่งใดไปสอนเขา สิ่งที่เวลาสอนกันอยู่นี่สอนด้วยทางวิชาการ เราศึกษาเล่าเรียนจบมาแล้ว จบปริญญามาด้วยกันทุกๆ คน มีงานทำไหม บางคนจบมาแล้วเขามีงานทำนะ ทำแล้วเขามีหน้าที่การงานของเขาสูงส่งนะ เราจบแล้วเตะฝุ่นๆ นี่ไง ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้เป็นวิชาชีพ ปัญญาทางโลกไง

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วทำเป็นหรือเปล่า ศึกษามาให้ทำ ปริยัติเขาศึกษามาให้ปฏิบัติ ปริยัติ นี่ไม่ได้ปฏิเสธการศึกษา โลกเจริญเพราะการศึกษา คนเราเจริญด้วยการศึกษา คนเราต้องมีปัญญา ถ้าคนเราไม่มีปัญญา เราเป็นเหยื่อของเขา ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา เราจะไม่เป็นเหยื่อของคนใช่ไหม แต่ถ้าคนที่มีปัญญามากแล้วขี้โกงมาก ทำความเดือดร้อนให้สังคมมหาศาลเลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการคนดีๆ ไง ไอ้เรื่องปัญญามันฝึกฝนกันได้ ขอให้เป็นคนดีก่อน ขอให้เป็นคนซื่อสัตย์ ขอให้เป็นคนมีสัจจะในหัวใจของเขา แล้วเขาฝึกฝนเขาได้ ฝึกฝนเขาได้

นี่ก็เหมือนกัน ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานก็ให้คุณธรรม ให้หัวใจของสัตว์โลก พระพุทธศาสนาสอนถึงคุณงามความดีก่อน ให้มีสัตย์ เรามีความสัตย์มีความซื่อของเรา สัตย์ สัตย์อะไร สัตย์ในตัวของเราไง สัจจะในหัวใจอันนี้ ถ้าหัวใจนี้ให้มันมีสัตย์ของมัน แล้วถ้ามีสัตย์ ทำอะไรให้ทำจริง ทำเสร็จแล้วนะ ทำด้วยคุณงามความดีของเราไง

โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทา ใครจะติฉินนินทาเรื่องของเขา เขาจะรู้ได้อย่างไร เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก ความลับไม่มีในโลกเพราะเราเป็นคนทำใช่ไหม เราคิดอะไรเราก็รู้ไง ความลับมีในโลกไหม ถ้าความลับไม่มีในโลก ถ้าเราชนะตัวเราเอง คนอื่นเขาจะไม่เชื่อเราก็เรื่องของเขา

เวลาเขาพูด ทำไมต้องไปฟังเขา เต้นตามเสียงเพลงของเขา การประชาสัมพันธ์ การชักนำโน้มน้าวสังคมไป ไอ้เราก็เป็นเหยื่อไปหมดเลย ไปกับสังคมทั้งหมดเลย แล้วไม่มีจุดยืนเลยหรือ ไม่มีสัจจะความจริงเลยหรือ ถ้าเรามีสัจจจะมีความจริงของเรา หัวใจนี้สิ หัวใจของข้ายิ่งใหญ่ หัวใจของข้ายิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะอะไร ยิ่งใหญ่เพราะว่าได้การอบรมรักษามา ได้การกระทำมา ได้ศึกษามาในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ปริยัติศึกษามา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เอาหัวใจนี้ให้ได้ ถ้าใครเอาหัวใจนี้ได้ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน

ทุกคนหางานทำ แล้วไม่ได้งานทำ พระก็เหมือนกัน พระเวลาทำความสงบของใจเข้ามาได้ ถ้าจิตสงบแล้ว สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ความคิดเกิดที่ไหน ความคิดเกิดบนจิต แล้วจิตมันอยู่ไหน ไม่เห็นจิต เห็นแต่ความคิดของตน ความคิดของตนมันบีบบี้สีไฟหัวใจดวงนี้ แล้วก็เอาความบีบบี้สีไฟอันนี้ไปศึกษาธรรมะ แล้วก็จะเอาธรรมนี้ไปสั่งสอนคนอื่นไง แต่ตัวมัน มันไม่รู้จักตัวของมันเองไง

ถ้าตัวมันเองนะ ปริยัติเรียนแล้วต้องปฏิบัติ ปฏิบัติให้มันรู้จริงในหัวใจของตนก่อน ถ้ารู้จริงในหัวใจของตนก่อน จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นว่างเปล่า ใจดวงนั้นไม่มีสิ่งใดเลย แล้วใจดวงนี้เอาสิ่งใดไปสอนคนอื่น เวลาสอนคนอื่นก็สอนตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตีความผิดไง ตีความผิด เห็นแก่ตัวไง กิเลสมันบังเงาไง นี่หมาห่มหนังเสือ เอาหนังเสือมาห่มแล้วว่าตัวเองเป็นเสือไง หมามันก็คือหมา เวลามันจะคำรามเหมือนเสือมันคำรามไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันเป็นเสือนะ การแสดงฤทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดคือการบันลือสีหนาท การแสดงสัจธรรมออกมาจากใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมันมีสัจธรรม มันจะบันลือสีหนาทออกมาเป็นสัจธรรม ถ้ามันไม่มีธรรมในหัวใจดวงนั้น มันจะเห่าขนาดไหนมันเป็นเสียงหมา มันไม่ใช่เป็นเสียงเสือ

ถ้าเรียนมาขนาดไหน เรียนมาแล้วมันก็เป็นปริยัติน่ะ ไม่ได้ปฏิเสธการศึกษา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ให้ศึกษาแล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้ได้ ถ้าศึกษาแล้วยังฝึกหัดขึ้นมาไม่ได้ “โปฐิละใบลานเปล่า ใบลานเปล่า” การศึกษาสูญเปล่าไง

ในทางการปกครอง รัฐบาลเขาว่าการศึกษาที่สูญเปล่า การศึกษาที่ศึกษาแล้วประชากรไม่ได้คุณภาพ ศึกษามาแล้วประชากรไม่มีคุณภาพ ศึกษามาแล้วไม่มีความรู้ ศึกษามาแล้วไม่เป็นประโยชน์ไง

แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ศึกษาแล้วให้ประพฤติปฏิบัติ ศึกษาแล้วให้มาเคี่ยวมาเข็ญขึ้นมาไง หลวงปู่มั่นท่านพยายามเคี่ยวเข็ญของท่าน ท่านพยายามกระทำของท่าน แล้วเวลาเราเข้าไปฝึกหัดก็บอกว่าท่านดุร้ายๆ

ท่านดุร้ายกับกิเลสของเราไง กิเลสของเราทำให้เราเศร้าหมอง กิเลสของเราทำให้เราเจ็บช้ำ กิเลสของเราทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กิเลสของเราๆ แล้วใครทำ

ช่างตีเหล็กเขาจะตีเหล็กต่อเมื่อเขาเอาเหล็กนั้นเข้าไปในเตาจนเหล็กนั้นแดงแล้วเขาจะตีเหล็กนั้น ตีจากเหล็กนั้นขึ้นมาเป็นมีด เป็นสิ่งของใช้สอย นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านมีการกระทำของท่าน ท่านเป็นช่าง

ตีเหล็กไม่เป็นไปตีมันก็ไม่เป็นมีดหรอก

ช่างใหญ่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นช่างใหญ่ ท่านเป็นคนตีเหล็กๆ ตีเหล็กก็ตีในหัวใจเรานี่ไง ถ้าเราเข้าไป หัวใจของเรามันก็เหมือนเหล็กดิบๆ สิ่งที่มันมีแต่สนิม มันมีแต่ความเร่าร้อนน่ะ เราต้องตบะธรรม เราพยายามฝึกหัดของเรา เพื่อเข้าเตาเผามันให้มันแดงขึ้นมา เผามันให้มันสมควรแก่การงาน แล้วครูบาอาจารย์ท่านจะตีๆๆ น่ะ ท่านจะตีเหล็กนั้นขึ้นมาให้เป็นเคียว ตีเหล็กนั้นให้เป็นมีด ตีเหล็กขึ้นมาให้เป็นประโยชน์ไง

ไอ้เราเป็นเหล็กนี่ไม่ยอมให้ตี ดิ้นใหญ่เลย ครูบาอาจารย์ดุ ครูบาอาจารย์ไม่ดี ไม่ดีสักคนหนึ่ง กิเลสดี การถือเนื้อถือตัวนี้ดี ทิฏฐิมานะนี่สุดยอด จะนั่งบนหัวคนนี่ดี แต่ถ้ายอมตนล่ะไม่ดี ไม่ดีเลย

การลง การยอมตนนั้น สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์เพราะใจมันเปิด ถ้าใจมันเปิดมันจะเป็นประโยชน์อันนั้นนะ หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงบอกลงใจหรือไม่ ฉะนั้น เวลาหลวงตาเข้าไปหาหลวงปู่มั่น ท่านจะลอง

โปฐิละ โปฐิละใบลานเปล่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนน่ะ ท่านคิดได้ ท่านมีสติปัญญานะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดแบบนี้ มันต้องมีเหตุผล ท่านมาใคร่ครวญของท่าน พอใคร่ครวญของท่านปั๊บ ท่านสละความที่มีอำนาจวาสนา คือเป็นอาจารย์ใหญ่

โปฐิละ โปฐิละลูกศิษย์ลูกหาเต็มไปหมดเลย เป็นนักปราชญ์ เป็นศาสดาจารย์ แต่ใบลานเปล่าๆ คิดได้แล้ว พอคิดได้แล้วจะไปปฏิบัติ พอปฏิบัติ ไปถึงสำนัก ตั้งแต่เจ้าอาวาสจนสามเณรน้อยเป็นพระอรหัตน์หมดเลย บอกว่า โอ้โฮ! เขามีชื่อเสียงร่ำลือทั่วโลกธาตุ ไอ้เราอยู่ในป่าในเขาจะไปสอนได้อย่างไรน่ะ ผลักไปเรื่อยๆ จนไปถึงสามเณรน้อย สามเณรน้อยบอกว่า ถ้าจะฝึกจริง จะให้ไปตัดกอไผ่ จะให้ไปเอาน้ำ ให้ลงใจ

คำว่า ลงใจ” ก็เหมือนเราบุญกุศล เวลาเราทำบุญกุศลนะ มีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราฝึกหัดหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันยอมรับฟังสิ่งใดบ้างไง มันไม่ทุกข์เกินไปนะ มันไม่ทุกข์เกินไป

ไอ้สิ่งที่มันทุกข์ๆ ทุกข์เพราะทิฏฐิมานะ ทุกข์เพราะเราเผาลนใจเราเองน่ะ บอกโปฐิละจะเอาไอ้นั่น ให้ลงใจ พอลงใจแล้ว ท่านเปรียบเทียบ เพราะว่าเขาเป็นนักปราญ์ เห็นไหม ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก มีรูอยู่ ๖ รู ให้ปิด ๕ รูนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดใจไว้ แล้วคอยจับเหี้ยตัวนั้น

เหี้ยตัวนั้น เหี้ยตัวนั้นคือจิตใจของเรา เหี้ยตัวนั้นน่ะ คอยจับเหี้ยตัวนั้น เขาก็ตั้งสติคอยจับเหี้ยตัวนั้น พอจับเหี้ยตัวนั้นได้ เอาเหี้ยตัวนั้นมาสอบสวน เอาจิตใจของเรามาสอบสวน สอบสวนหาสัจจะหาความจริง เห็นไหม มันต้องลงใจ ถ้าลงใจแล้วมันจะเปิด มันจะฟัง ถ้าไม่ลงใจแล้วไม่ฟังหรอก กูเก่ง กูแน่ กูยอด สุดยอดคน คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ธรรมะนะ สูงสุดสู่สามัญ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระที่ไม่มีชื่อเสียงมีกิตติศัพท์กิตติคุณเลยในทางโลก แต่ท่านมีคุณธรรมในหัวใจอย่างมหาศาล พวกเราน่ะยกย่อง ในวงกรรมฐานเรียกว่า ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่

ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้กับลูกศิษย์ลูกหา ท่านเป็นนายช่างใหญ่ที่ได้ตีเหล็ก ที่ได้ถนอมลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมา แล้วท่านปฏิบัติอย่างไร

เวลาอาจารย์กงมานะ ท่านมาเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหา เห็นลูกศิษย์ลูกหานะ โอ้โฮ! บิณฑบาตนะ มีปัจจัยเครื่องอาศัยเต็มไปหมดเลย ครูบาอาจารย์เล่าต่อๆ กันมานะ ท่านร้องไห้ “กรรมฐานจะหมดแล้วล่ะ” หมดเพราะอะไรล่ะ ดูมันอยู่มันกินกันสิ กินซีฟู้ด กินกุ้ง กินปลา กินหอย ท่านบอกกรรมฐานจะหมดแล้วล่ะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงท่านคิดอย่างนั้น หลวงปู่กงมาร้องไห้ เห็นพระอยู่กันอุดมสมบูรณ์

แต่เวลาเราพูดถึงหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง ท่านทุกข์ท่านยากของท่าน แต่ท่านเป็นช่างใหญ่ ท่านมีวิชาการของท่าน ท่านแสวงหาเพื่อหัวใจของท่านได้

เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐานไง ลูกศิษย์กรรมฐาน ความเป็นอยู่จากข้างนอก ปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องอาศัย ไม่ใช่คนโง่หรอก คนจะประพฤติปฏิบัติต้องคนฉลาด คนฉลาดมันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย การเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพอย่างนี้คือเลี้ยงชีพเพื่อชีวิตของเรา แต่เราต้องพยายามประพฤติปฏิบัติเพื่อหัวใจของเราไง ศึกษาแล้วประพฤติปฏิบัติเพื่อเอาใจดวงนี้ เอาใจของเรา

ให้สงสารตน ให้สงสารตัวเอง ไม่ได้สงสารใครเลย สงสารตัวเรานี่ สงสารหัวใจดวงนี้ ดวงที่มันทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ แล้วพยายามตั้งสติ อย่าให้มันดิ้นรนจนเกินไปนัก ทำความสงบของใจขึ้นมา แล้วฝึกหัดหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง