เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วิวัฒนาการของดาร์วิน พัฒนาการของมัน สัตว์มันพัฒนาการของมันจนมันปรับปรุงเข้ากับสภาพแวดล้อม มนุษย์เรา พัฒนาการของมนุษย์ พัฒนาการขึ้นมาจนมีความสามารถ จนสรรพสิ่งในโลกนี้ มนุษย์เป็นคนสร้าง สิ่งที่สร้างขึ้นมา สร้างเพื่อกิตติศัพท์กิตติคุณของเขา

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเข้าป่าเข้าเขาของท่านไป พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วเอาพระปุณณมันตานีมาบวชองค์เดียว แล้วท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน

นี่ไง โลกเขาสร้างของเขา สร้างถาวรวัตถุของเขาเพื่อกิตติศัพท์กิตติคุณของเขา ครูบาอาจารย์ของเราเข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อกิตติศัพท์กิตติคุณของวิหารธรรมในใจนั้นน่ะ เพราะในใจอันนั้นมันเห็นไง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สรรพสิ่งนี้มันเห็นสัจจะความเป็นจริงในใจอันนั้น ถ้าเห็นสัจจะความเป็นจริงในใจอันนั้น มันคงที่ตายตัวในใจอันนั้น เวลาคงที่ตายตัวในใจอันนั้น นั่นน่ะวิหารธรรมๆ ท่านอยู่กับความเป็นธรรมของท่าน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบสัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้วกราบอะไรน่ะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา แต่ความรื้อค้นขึ้นมานั้นคือสัจธรรม คือสัจจะความจริง สัจจะความจริงที่มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่มันสถิตอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่กิเลส มีตัณหาความทะยานอยาก มีอวิชชา มีความไม่รู้ไง ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถามมหาดเล็กนะ “เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปกับเขาอย่างนั้นด้วยหรือ”

“ใช่”

พอใช่ขึ้นมา มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คำว่า ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย” ยังค้นคว้า ค้นคว้าอยู่อย่างนั้นน่ะ เวลาสัจธรรม สัจธรรมเกิดขึ้นมา ถ้ามันสถิตอยู่ในใจ มันสถิตอยู่ในใจโดยวิวัฒนาการในการประพฤติปฏิบัติ วิวัฒนาการของจิต

พันธุกรรมของจิตๆ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่พันธุกรรมของมัน จริตนิสัยที่การสร้างสมมา มันตัดแต่งของมันด้วยภพ ด้วยชาติ ด้วยการเกิด การเกิดแล้วทำคุณงามความดี การเสียสละ การเสียสละแม้แต่ชีวิตของตน สละสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก การสละอย่างนั้นเป็นการสละของทาน เราทำทานๆ กัน เราก็เสียสละของทาน

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด “จะทำทานมากน้อยขนาดไหน ถ้าจะสิ้นกิเลสไปต้องมีการภาวนาเท่านั้น”

เราจะมีบุญกุศลขนาดไหนก็แล้วแต่ มันเป็นอำนาจวาสนา ถ้าอำนาจวาสนาทำสิ่งใดแล้วมันจะสะดวกสบาย ช่องทางมันจะมีทางออกไง แต่ทางออกแล้ว แต่ทางเฉยๆ ไม่ใช่มรรค ถ้ามรรคขึ้นมามันต้องมีวิวัฒนาการของมัน จิตต้องมีวิวัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมัน พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่มีอำนาจวาสนามหาศาลเพราะสร้างขึ้นมามหาศาล สิ่งใดของเขา เขาชัดเจนของเขา พระโพธิสัตว์ที่เริ่มอธิษฐานใหม่ๆ ทำสิ่งใดแล้ว เข้าฌานสมบัติแล้วจะกำหนดดูสิ่งใดมันก็ยังไม่ชัดเจน นี่วิวัฒนาการของพระโพธิสัตว์ วิวัฒนาการของครูบาอาจารย์ของเรา วิวัฒนาการในการภาวนา จิตใจมันพัฒนาการขึ้นมาน่ะ พัฒนาการขึ้นมาอย่างไร

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์นะ “เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน”

ระลึกถึงความตาย ระลึกถึงความตาย พระอานนท์บอก “ห้าหน สิบหน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “น้อยไป ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกไง”

ถ้านึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าคนมีจริตนิสัย เวลานึกแล้วมันสลดหดหู่ ถ้านึกแล้วถ้ามันเป็นธรรมสังเวช ถ้าธรรมสังเวช เราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าเราตายเหมือนกัน สิ่งที่มันมากระตุ้นให้เราทุกข์เรายาก เราไม่เอาสิ่งนั้น เราจะเอาคุณงามความดี

คนถ้ามันจะตายแล้ว มันคิดถึงเสียสละ คิดถึงคนอื่น มันคิดถึงคนอื่น คิดถึงสภาวะแวดล้อมไง อันนั้นคือไม่เอาฟืนเอาไฟมาเผาตนไง เอาฟืนเอาไฟมาเผาตนคือตัณหาความทะยานอยากไง ตัณหาความทะยานอยากคือว่ามันคิดสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟไง เป็นฟืนเป็นไฟ คิดเกินบวกค่าเข้าไปตลอดเวลาไง แล้วมาเผาตนเองๆ

ถ้าเราระลึกถึงความตายๆ ไง ระลึกถึงความตาย ถ้าเป็นคนจริตนิสัยระลึกถึงความตายแล้วมันเกิดธรรมสังเวช คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนาคิดแล้วมันหดหู่ หดหู่จนก้าวขาไม่ออกเลย ต้องคิดถึงรื่นเริง ต้องคิดถึงความสนุกเพลิดเพลิน ชีวิตจะชุ่มชื่น พอคิดถึงความตายแล้วหดหู่เลย

แต่ถ้าคนเขามีคุณธรรมนะ คิดถึงความตายนะ อืม! มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ ชีวิตมันมีเป้าหมาย มีเป้าหมาย เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเราไว้เพื่อเสบียงอาหาร เพื่อจิตมันจะเดินทาง

พันธุกรรม พันธุกรรมของจิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่สร้างสมมามันตัดแต่งของมันมา ถ้าเราคิดถึงความตาย เราทำคุณงามความดี มันจะตัดแต่งพันธุกรรมของจิต ถ้าจิตมันย้ำคิอย้ำทำ มันเคยทำคุณงามความดีของมัน มันคิดแต่เพื่อประโยชน์ มันไม่คิดถึงตัวมันเอง ถ้ามันไม่คิดถึงประโยชน์ นั่นน่ะมันจะได้ประโยชน์ ประโยชน์เพราะอะไร ประโยชน์เพราะเป็นคนดี เพื่อนฝูงพรรคพวกมหาศาลเลย คนที่เห็นแก่ตัว คนที่คับแคบ มันจะไม่มีใครยุ่งกับเขาเลย นี่ไง พันธุกรรมของเราได้ตัดแต่งขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์อย่างนั้น ถ้าเป็นประโยชน์อย่างนั้นมันจะเป็นประโยชน์ต่อเป็นหนทาง

แต่เวลาทำบุญกุศลมามหาศาลขนาดไหน เราต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มรรคมันจะเกิดตรงนั้น เห็นไหม ก้าวไปเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา การก้าวไปด้วยร่างกายนี้ แต่จิตใจมันอยู่ในร่างกายนี้ไง

เวลากรรมกรแบกหามเขาต้องทำงานของเขาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาก็ใช้ร่างกายของเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ การอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาก็เพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา ไอ้เราเลี้ยงปากเลี้ยงท้องขึ้นมา ถ้าเราบอกว่าเราต้องมีอาชีพ มีอาชีพของเราเป็นนักบวช เป็นพระขึ้นมา เช้าขึ้นมาบิณฑบาตเป็นวัตร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง คนที่เขาต้องการบุญกุศลของเขา ข้าวปากหม้อของเขา เขาเสียสละของเขา เราได้สิ่งนั้นมาดำรงชีพ ดำรงชีพขึ้นมาแล้วเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราไม่ใช่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กรรมกรเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาแบกหามของเขา เขาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา ไอ้เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อค้นคว้าหาหัวใจของตน ค้นคว้าหาหัวใจของตน

เวลามีศรัทธามีความเชื่ออยากประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่อาการของใจๆ ความคิดทั้งนั้น มันไม่ใช่ตัวใจ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมาก็อาการทั้งนั้น การก้าวเดินไป ก้าวเดินไปเพื่อสงบไง ก้าวเดินไปเพื่อสงบ ถ้าก้าวเดินไปมันไม่สงบ ก้าวเดินไปมันยิ่งทุกข์มันยิ่งยาก ก้าวเดินไปมันยิ่งฟุ้งซ่านออกไป ก้าวเดินไปแล้วมันมีแต่ความทุกข์ความยากไง

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา พุทโธๆ ไม่ให้ออกไป ให้อยู่ในผิวหนังนี้ ให้พุทโธอยู่ในร่างกายนี้ แล้วถ้ามันพุทโธแล้วมันไม่คิดสิ่งใด นี่ธรรมชาติของมัน เห็นไหม พลังงาน พลังงานที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วหยุดนิ่ง แสง ดูสิ ความคิดมันเร็วกว่าแสง สิ่งที่มันเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วมันหยุดนิ่ง ถ้ามันหยุดนิ่งได้ หยุดนิ่งแป๊บเดียวมันก็ไปอีกแล้ว เพราะธรรมชาติของมันอย่างนั้นใช่ไหม เราก็ต้องชำนาญในวสี ทำของเรา

คนที่ระลึกถึงความตายจะไม่ตาย ไอ้คนประมาทน่ะตาย ไอ้คนประมาทเลินเล่อน่ะมันตาย ไอ้คนระลึกถึงความตายมันไม่ตาย ไม่ตายเพราะนี่ไง ค้นหาใจของเราๆ

เวลามันจะตาย ผู้ที่พระขีณาสพจะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ เพราะอะไร เพราะเขามีอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ จิตมันจะเคลื่อนออกไป ถ้ามีสติปัญญาพร้อมมันจะเคลื่อนไปไหน

นี่ไง เพราะมันเผลอมันถึงไป เพราะมันเผลอมันถึงจับต้นชนปลายไม่ได้ จิตออกจากร่าง นี่ไง สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด เวลามันตายขึ้นมาแล้ว ผลของวัฏฏะ พ้นจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ลงนรกอเวจีไป นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตมันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

แต่ถ้ามันพัฒนาการของมันน่ะ พัฒนาการของมัน สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แต่เราเอาให้มันหยุดนิ่งได้ หยุดนิ่งได้ เรายกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาใช้ปัญญาของมัน ปัญญา อะไรตาย รื้อค้นแล้ว อะไรเป็น อะไรตาย อะไรเกิด เวลาเกิด เกิดมาจากไหน

จิตถ้ามันสงบแล้วนะ ถ้ามันเห็นความคิดที่มันเกิดจากจิต อารมณ์ เขาบอกอารมณ์เกิดอารมณ์หนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง เพราะอารมณ์เกิดอารมณ์หนึ่งมันก็กระตุ้นให้มีความสุขความทุกข์ในหัวใจครั้งหนึ่ง แล้วเวลามันตายไปมันก็เกิดใหม่ อารมณ์ที่เกิด ปฏิจจสมุปบาท ที่เขาเห็นการเกิดการดับในหัวใจน่ะ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นอาการของใจ ถ้ามันจับแล้วมันพิจารณาของมันได้ มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ไง นี่มรรคมันเกิดตรงนี้ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเกิดตรงนี้ ที่ภาวนากัน ภาวนากัน ภาวนาที่นี่ไง

แต่ถ้าจิตยังไม่สงบเลย อาการทั้งนั้น เราไปอยู่กับอาการ อาการเป็นเราไง ความคิดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา พระไตรปิฎกเป็นเรา ธรรมะเป็นเรา เรารู้หมดเลย สร้างอารมณ์ความคิด สร้างว่าเป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก มีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเรารู้จริง ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันจะรวมอยู่ในหัวใจของเรา เพราะพุทธะคือผู้รู้ ธรรมะคือสัจธรรม สังฆะคือเรา อริยสงฆ์ อริยสงฆ์มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นในใจอันนี้ เห็นไหม

ดูสิ นางวิสาขาไม่ได้บวชเป็นพระโสดาบันน่ะ เขาไม่ได้บวชไม่ได้เรียนเลย แต่เขาเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันเพราะเป็นในใจของเขา นี่เราบวชกัน อยู่ทางโลก เห็นภัยในวัฏสงสาร อยู่กับทางโลกนะ โลกมันบีบคั้น ทำความดีขนาดไหนก็ได้ความดีนิดหนึ่ง

ในธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การใช้ชีวิตในการครองเรือน วิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาเล็กๆ ตัวเดียว ทะเลทั้งทะเลน่ะท่านเปรียบเทียบ ทะเลทั้งทะเล เราวิดให้แห้งเลย แล้วได้ปลาตัวเดียว ตัวเล็กๆ อาบเหงื่อต่างน้ำขนาดนั้น ผลตอบสนองได้แค่นี้ ชีวิตทางโลก

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้ละทิ้งมันมา เรามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระบิณฑบาตเหงื่อไหลไคลย้อยมาเลย เดินจงกรมขึ้นมา เขาบอกว่าขี้เกียจ วันๆ ไม่ทำอะไร เดินไปเดินมา ไถนาก็ไม่ไถ ทำมาหากินก็ไม่ทำ มันจะเดินไปเดินมา เห็นไหม จิตใจของคนที่ต่ำๆ

จิตใจของคนสูงๆ นะ พระเจ้าพิมพิสารเห็นเจ้าชายสิทธัตถะออกมาจากราชวัง สัญญากันไว้เลย ให้กองทัพครึ่งหนึ่งไปรบใหญ่ ให้กลับไปเอาราชบัลลังก์กลับ

เจ้าชายสิทธัตถะบอก “ไม่ใช่ ออกมาหาโพธิญาณ ออกมาหาสัจจะความจริง ออกมาด้วยความสมัครใจ”

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าประพฤติปฏิบัติได้ผลแล้วให้กลับมาสอนด้วย”

ไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เวลาจะได้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาปัญจวัคคีย์ก่อน เอายสะ แล้วก็มาเอาชฎิล ๓ พี่น้อง แล้วชฎิล ๓ พี่น้องเป็นอาจารย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ถึงได้มาเอาพระเจ้าพิมพิสารถึงเป็นพระโสดาบันไง

เวลาพระเดินไปเดินมาก็ว่าขี้เกียจ ไม่ทำอะไรเลย ไอ้พระอาบเหงื่อต่างน้ำเป็นกรรมกรอาบเงื่อต่างน้ำเป็นกรรมกรจริง แต่เวลาข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมามันต้องเป็นจริง

มาวัดมาวา วัดนี้ก็กว้างขวางพอสมควร และมันอยู่ในการดูแลปกครองของใครล่ะ ก็ของพระ เช้าๆ ขึ้นมามันสะอาดหมดจด มันเป็นฝีมือของใครล่ะ แล้วว่าพระขี้เกียจหรือ พระไม่ทำอะไรเลยหรือ แล้วสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไร เทวดาทำให้ใช่ไหม เช้าขึ้นมาเทวดาจัดให้ ผีจัดให้ ไม่มีใครทำอะไรเลยหรือ มันมีหน้าที่การงานทั้งนั้นแหละ แต่เขาทำของเขาด้วยน้ำใจของเขา เขาทำของเขาด้วยหน้าที่ของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์กับเขา

นี่ไง บอกพระไม่ทำอะไรเลยๆ พระเขามีข้อวัตรของเขา เขาลงใจธรรมวินัยไง ถ้าลงใจธรรมวินัย เคารพธรรมวินัย เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ไม่เห็นตัวเห็นตนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ” เราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เวลาหลวงตาท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทั้งคืนเลย กราบแล้วกราบเล่า

ของเราเหมือนคนเล่นไพ่หรือคนไฟไหม้บ้านแล้วหนีออกจากบ้านน่ะ ถ้าคนไฟไหม้บ้านหนีออกมามันตื่นโพลงนะ มันไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรอก นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันตื่นโพลง จิตมันมีความสุขของมันน่ะ มันกราบทั้งคืนก็ได้ กราบ ๕ คืนก็ได้ กราบ ๑๐ คืนก็ได้ ถ้ามันจะกราบของมันน่ะ เพราะอะไร จิตมันตื่นโพลงขึ้นมา

ไม่เหมือนเรา กราบ ๒ ทีก็จะนอนแล้ว เมื่อย เพราะอะไร เพราะเรากราบเป็นประเพณีไง เรากราบตามเขาไง

หลวงตาท่านพูดบ่อย “ไม่ต้องมากวาดตรงนี้นะ มันสะอาดอยู่แล้ว” เวลากราบพระไง แพล็บๆ แพล็บๆ ไม่ต้องกวาด พระเขากวาดไปเสร็จหมดแล้ว ให้กราบออกมาจากใจ ถ้าใจมันเป็นจริงขึ้นมา มันกราบเบญจางคประดิษฐ์ มันกราบออกมาจากหัวใจ ถ้ากราบจากหัวใจ อันนั้นต่างหากล่ะ ศาสนาเขาสอน สอนลงตรงนั้น สอนลงไปที่ในใจของสัตว์โลก เวลาสอนลงไปที่ในใจของสัตว์โลก

เราอาบเหงื่อต่างน้ำ หน้าชื่นอกตรม สิ่งที่หามา หามาเพื่อเป็นสมบัติของเราทั้งนั้นน่ะ เป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นน่ะ แต่หัวใจมันจริงหรือเปล่า สิ่งนี้ไม่พลัดพรากจากเรา เราจะพลัดพรากจากเขา มันต้องพลัดพรากแน่นอน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ไม่มีอะไรเป็นของเราทั้งสิ้น แต่ในเมื่อมีชีวิตอยู่ไง การมีชีวิตอยู่มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบวชพระ บริขาร ๘ ปัจจัย ๔ ไตรจีวรกับเครื่องนุ่งห่ม บาตรก็อาหาร ในเรือนว่างนั่นก็เป็นที่อยู่อาศัย ยาก็น้ำมูตรเน่า ปัจจัย ๔ มันต้องมี มันเครื่องดำรงชีวิตไง

เวลากำเนิด ๔ ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ อาหาร ๔ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร เกิดในภพใดชาติใดใช้อาหารอะไร เกิดในภพใดชาติใด เป็นวิทยาศาสตร์เลย ชีวิตมันอยู่ได้อย่างไร ชีวิตต่อเนื่องไปได้อย่างไร ถ้าชีวิตนี้ไม่มีอาหาร ชีวิตนี้ไม่มีการต่อเนื่อง ชีวิตนี้อยู่ได้อย่างไร แล้วชีวิตหนึ่งภพชาติหนึ่งมันจะอยู่ได้อย่างไร แล้วชีวิตภพชาติหนึ่งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง นี่ผลของวัฏฏะๆ ผลของเวรของกรรมไง ผลของเวรของกรรม เวลาเกิดขึ้นมาแล้วเราถึงพอใจไง

เราพอใจสิ เราอย่าไปเป็นอดีตอนาคต ไม่พอใจ จะเกิดเป็นเศรษฐี จะเกิดเป็นเทวดา จะเกิดอินทร์ เป็นพรหม ก็เกิดเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่เกิดแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า คนเราไม่ดีเพราะการเกิด คนดีเพราะการกระทำ เวลาเกิดมาแล้วมันเป็นมนุษย์แล้วแหละ ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ แต่จะทำน่ะ จะทำน่ะ แล้วทำอย่างไรล่ะ

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราเอกบุรุษทั้งนั้นนะ ครูบาอาจารย์ที่สิ้นกิเลสไปน่ะ เพราะในพระไตรปิฎกบอก คนที่จะสิ้นกิเลสไปอย่างน้อยต้องแสนมหากัป ต้องสร้างบุญกุศลมาขนาดนั้นถึงจะมีสติมีปัญญา ถึงจะมีโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ไง มีอินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์แก่กล้าที่สามารถแยกแยะความรู้ความเห็นของกิเลสที่มันถาถมเข้ามาในหัวใจของเราได้ อินทรีย์แก่กล้าสามารถทำความสงบของใจได้ ใจมันสงบระงับเข้ามา อินทรีย์แก่กล้าวิเคราะห์วิจัยในธรรมะไง

สัมโพชฌงค์เป็นการวิเคราะห์วิจัยธรรมะ วิเคราะห์วิจัยธรรมะ เพราะธรรมะ ธรรมโอสถจะกำราบกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา มันเป็นกิเลสไง มันเป็นพญามารไง มันต้องการสัจธรรมนี้เข้าไปแยกไปแยะไง ถ้าไปแยกไปแยะขึ้นมา สิ่งที่ทำมา นี่เอกบุรุษทั้งนั้น แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แสวงหาจากไหน แสวงหาจากไหน

ครูบาอาจารย์ ดูสิ หลวงตาท่านบอกเลย เวลาท่านจบเป็นมหา ท่านจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาศึกษาขึ้นมาก็เชื่อนะ มรรคผลนิพพานนี่เชื่อ แต่เวลาจะปฏิบัติจริงๆ มันสงสัยน่ะ สงสัย มันจะจริงหรือไม่จริง ชีวิตนี้จะหมดไปกับเวลาอย่างนี้ใช่ไหม ชีวิตของเราจะหมดเวลาไปกับการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาอย่างนี้ใช่ไหม ฉะนั้น ถ้ามีใครบอกเรา เราจะให้ถือคนนั้นเป็นอาจารย์ของเรา

เวลาขึ้นไป ท่านตามไปที่หนองคายไม่ทัน ไปเจอหลวงปู่กู่ หลวงปู่กว่า หลวงปู่กู่ หลวงปู่กว่าก็จะเอาท่านไว้เหมือนกัน หลวงปู่กู่ หลวงปู่กว่าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วท่านปักแล้ว ปักแล้วว่าจะต้องไปหาหลวงปู่มั่นอย่างเดียว เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นใส่หงายท้องเลย เพราะความสงสัยนี้ไม่ต้องถาม มันสงสัยในใจ

มหา มาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานใช่ไหม มรรคผลนิพพานมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มันอยู่ที่หัวใจ หัวใจที่มันทุกข์มันยาก หัวใจที่มันเวียนว่ายตายเกิด มันอยู่ที่หัวใจดวงนี้ หัวใจทุกๆ ดวง นั่นน่ะพุทธะ

พุทธะ เพราะมันมีธาตุรู้ มันมีผู้รู้ มันมีจิตวิญญาณ มันถึงอยู่ที่นั่นไง เพราะที่นั่นเป็นภวาสวะ เป็นภพ ความคิดเกิดตรงนั้น ความคิดของมนุษย์เกิดจากใจ ความคิดของมนุษย์เกิดบนหัวใจ บนหัวใจ บนภวาสวะ บนภพ แต่เราไปเอากันที่ความคิดไง อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์เกิดจากจิต เกิดจากสถานที่ เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ มันต้องมีฐีติจิต

อวิชชาเกิดจากที่ไหน อวิชชาเกิดจากฐีติจิต ฐีติจิตคือภวาสวะ คือภพไง แต่อวิชชาความไม่รู้มันเกิดที่นั่น ครอบครัวมันเกิดที่นั่น พญามารมันเกิดที่นั่น เวลาเกิดที่นั่น สิ่งที่คิดออกมามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากเพราะอะไร เพราะขันธ์ ขันธ์นี้เป็นขันธมาร ขันธมารเพราะมารมันครอบคลุม พอมารมันครอบคลุมมันก็เลยเป็นมาร เป็นมารเราก็ทุกข์เราก็ยากขึ้นมาไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านจับต้องของท่านได้ ท่านจับขันธ์ของท่านได้ ท่านพิจารณาของท่านได้ ท่านสำรอกได้ ท่านคายของท่านได้ กลายเป็นขันธ์สะอาดเลย ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วนที่ทิ้ง หลวงตาท่านนิพพานไปแล้วนั่นเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน จบ จับต้องไม่ได้ แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เศษ สิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทำให้จิตนั้นมันพ้นไป สะอาดบริสุทธิ์ แต่เศษที่เหลือ อายุขัยที่เหลือ อายุขัยที่เหลือจะเป็นประโยชน์กับโลก พอหมดอายุขัยแล้ว ไม่มีร่องไม่มีรอย จะหาสิ่งใดไม่ได้ สิ่งที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่ามันเป็นความจริงไง

เวลาคนระลึกถึงความตายไง ระลึกถึงความตายแล้วเศร้าหมอง ระลึกถึงความตายแล้วมีแต่ความทุกข์ความวิตกกังวล แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีนะ ระลึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ เป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้อง เป็นวิธีการทำความสงบของใจอย่างหนึ่ง เป็นวิธีการทำความสงบของใจเพราะใจของคนมันคึกมันคะนอง

ถ้าใจของคนมันเรียบร้อย ใจของคนมีหลักฐานของมัน มันใช้พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ เทวตานุสติก็ได้ สิ่งต่างๆ ว่าก็ได้ๆ จิตมันต้องมีการกระทำ จิตมันต้องมีที่เกาะ มีที่เกาะแล้วมีการกระทำ ของมันต้องมีการเคลื่อนไหว พอมีการเคลื่อนไหวแล้ว ถ้ามันจะหยุดนิ่ง ที่ว่าน้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งไม่ไหล แต่เน่า ถ้าน้ำนิ่งไม่ไหล เดี๋ยวก็เน่า น้ำนิ่งแต่ไหล ไม่เน่า มันมีการเคลื่อนไหวของมัน มีออกซิเจนของมัน มันมีความเป็นไปของมัน

จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีการกระทำของมันเป็นความจริงของมันขึ้นมา เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นๆ คนที่จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น คนจะหลอกลวงไม่ได้เลย จิตตั้งมั่น มันมีสิ่งใดขึ้นมามันไม่เชื่อ ไม่เชื่อมันต้องวิเคราะห์วิจัย มันต้องพิจารณา ไอ้นี่ไม่ใช่หรอก เขาไม่ต้องมาหลอกหรอก ไปกับเขาเลย ไม่ต้องมาหลอก อยากจะให้เขาหลอกอยู่แล้ว รู้ว่าหลอกก็อยากจะให้หลอก

แต่ถ้ามันมีสติปัญญา ชีวิตนี้มีค่านะ ทรัพย์สมบัติที่มีเพราะมีเรา สิ่งใดที่มีในโลกนี้เพราะมีเรา เราตายลงไป ทรัพย์สมบัติมันก็กองอยู่ที่นั่น แต่เราต้องพลัดพรากจากมันไป เพราะมีเรา เราถึงมีสมบัติ เพราะมีเรามีสติมีปัญญา เราถึงได้มาสร้างบุญกุศลกัน เพราะมีเราแล้วกิเลสครอบงำ มันเลยทำเหลวแหลก ทำให้ชีวิตมันมีบาปกรรม ทำให้ชีวิตมันมีแต่ความด้อยค่า ความด้อยค่า เห็นไหม

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เพราะเป็นการกระทำ การกระทำอันนั้นทำให้จิตปฏิสนธิจิต ภวาสวะอันนี้ไปเกิดในสถานที่ที่ตอบสนองกรรมการกระทำอันนั้น ถ้าการกระทำอันนั้น เราถึงว่าใครมีสติมีปัญญาขนาดไหน พันธุกรรมของมันๆ จิตเรามาตัดแต่งของเรา เรามาดูแลรักษาของเรา เราย้ำคิดย้ำทำสิ่งใด เราจะได้มีความนึกคิดอย่างนั้น เราย้ำคิดย้ำทำ สวดมนต์เย็น นั่งสมาธิภาวนา ย้ำคิดย้ำทำให้เป็นจริตให้เป็นนิสัย ให้เป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนี้ เอวัง