เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรม เราแสวงหาสัจธรรม ถ้าแสวงหาสัจธรรมนะ แสวงหาที่ไหน เราจะทำบุญกุศลของเรา เราทำกับครูบาอาจารย์ที่เราลงใจ ถ้าเราลงใจ เห็นไหม
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาจะเป็นพระ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาสร้างมาแล้วนะ เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอายุ ๒๙ ถึงได้ออกบวช เวลาออกบวชขึ้นมา ออกไปแสวงหาอีก ๖ ปี นี่กว่าจะเป็นพระๆ
เวลาทำบุญกุศลมันเป็นอามิส อามิสคือตัดแต่งพันธุกรรมของจิต พอตัดแต่งพันธุกรรมของจิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๔ อสงไขย ทำคุณงามความดีมาตลอด ตัดแต่งมาตลอด คิดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นน่ะ พระเทวทัต พระเทวทัตเกิดขึ้นมาเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไง เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน ขึ้นมาก็จะเอารัดเอาเปรียบมาตลอด ขึ้นมาต้องกดขี่ข่มเหงกันมาตลอด
เวลามาเกิดเป็นชาติสุดท้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ชูชกมาเกิดเป็นเทวทัต พอเกิดเป็นเทวทัตก็เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน เวลาเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน เวลามีโอกาสมาบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา ๖ ปีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตเห็นเขาบวชก็บวชตามเขามา พอบวชตามเขามา พอมีอำนาจวาสนา ตัดแต่งพันธุกรรมมาๆ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะตรัสรู้ขึ้นมานะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มีญาณหยั่งรู้ มีกิจกรรม มีมรรคมีผลขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เทวทัตบวชมาแล้วก็ขึ้นมาทำสมาธิๆ ได้ฌานสมาบัติ แปลงร่างได้ มีฤทธิ์มีเดชไง มีฤทธิ์มีเดชมันแก้กิเลสไม่ได้ เวลาแก้กิเลสไม่ได้ขึ้นมา ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะปกครองสงฆ์ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาต
นี่ไง เวลาเราไปวัดไปวากัน เราจะไปทำบุญกุศลของเรา เราต้องหาพระ หาที่เราลงใจ ถ้าหาพระที่ลงใจ กว่าจะหาพระที่ลงใจได้ พระที่ลงใจนั้นเขาต้องประพฤติปฏิบัติของเขามา เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติของเขามา ไอ้การประพฤติปฏิบัติอันนั้นน่ะ มรรคที่เกิดในใจอันนั้นน่ะมันเข้าไปชำระกิเลสในใจอันนั้นน่ะ ถ้าอันนั้นมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นั่นน่ะเป็นครูบาอาจารย์เราที่ลงใจ
ในสมัยปัจจุบันนี้เราก็มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านขึ้นมา ท่านมีมรรคมีผลของท่าน ท่านใช้ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา หลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่น ถ้าพูดถึงทางโลกนี่เศษผ้าขี้ริ้ว มันไม่มีค่าไง ชีวิตมีค่าไหม ชีวิตอยู่ในป่าในเขาเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง
ไอ้พวกเรามีการศึกษา ออกมาจากเมือง มียศถาบรรดาศักดิ์ เวลาบวชขึ้นมาแล้วจะเป็นพระกรรมฐาน เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปก็ขนกันไป จะไปปิกนิก มันไปปิกนิกกันน่ะ มันไปเที่ยวป่า มันไม่ได้ไปประพฤติปฏิบัติ
เวลาเขาจะเข้าไปประพฤติปฏิบัติ เขามีแต่บริขาร ๘ เขาเข้าป่าเข้าเขาไป เราเข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อดัดแปลงของเราไง นี่พระผู้ประเสริฐ ประเสริฐก็ประเสริฐตรงที่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ เขาประเสริฐตรงนี้ เขาไม่ได้ประเสริฐที่ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณอันนั้นหรอก เขาประเสริฐที่นี่ ถ้าเขาประเสริฐที่นี่ เข้าป่าเข้าเขาไป เข้าไปด้วยมรรคด้วยผล เข้าไปด้วยการประพฤติปฏิบัติ เขาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทำจริงขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ทุกข์ๆ ยากๆ ทั้งนั้นน่ะ ไปหาบ้านน้อยๆ บ้านหลังสองหลังเพื่อแค่อาศัยดำรงชีพ แค่ให้เขาใส่บาตรให้เท่านั้นน่ะ ไอ้บ้านใหญ่ๆ ก็ไม่ไป เดี๋ยวเขาจะมารบมากวน
เวลาเข้าไปนะ มันเหมือนสัตว์ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น เหมือนเศษผ้าขี้ริ้ว ถ้าพูดถึงทางโลก แต่ถ้าพูดถึงทางธรรม จิตมันสงบ เวลาทำความสงบของใจ ใจมันสงบระงับเข้ามามันมีความสุขความสงบของมัน เวลามันออกวิปัสสนานะ วิปัสสนาอ่อนๆ จิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เวลาพิจารณาไปแล้วมันล้มลุกคลุกคลานขึ้นไป เวลาปัญญามันก้าวเดินไป มันเห็นความมหัศจรรย์ของมรรคของผลน่ะ ถ้าของมรรคของผล นี่คนนะ เอกบุรุษไง ถ้าพูดถึงธรรมๆ ถ้าพูดถึงธรรมประเสริฐที่สุด ถ้าพูดถึงทางโลกน่ะ ผ้าขี้ริ้ว แต่ถ้าเขามองในมุมของธรรมนะ โอ้โฮ!
ไอ้เราพวกเรานี่นะ มีปัญญาชนไง โอ้โฮ! บวชมาแล้วจะเป็นพระกรรมฐาน จะไปธุดงค์ นี่ถูดงไป ออกจากป่ามานี่พระกรรมฐานสดๆ ร้อนๆ เพิ่งออกจากป่ามา
สัตว์ป่ามันอยู่ในป่า ดูช้างสิ ช้างมันออกมากินพืชไร่เขานั่นน่ะ เขาเดือดร้อนอยู่นั่นน่ะ นั่นน่ะสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันอยู่ในป่า มันอยู่ป่าโดยธรรมชาติของมัน มันดำรงชีพของมันอยู่ในป่าของมัน มันมีคุณค่าอะไรล่ะ แต่ถ้ามันอยู่ในป่าแล้วมันมีคุณค่า ช้างป่า เราจะไปกราบไหว้ช้างป่า เดี๋ยวเราหาช้างไปเลี้ยงช้างกันเนาะ ไปทำบุญกับช้าง นี่ไง เวลาสัตว์ป่ามันอยู่ในป่าโดยธรรมชาติของมัน
ไอ้เราอาศัยชัยภูมิในการประพฤติปฏิบัติ เราเป็นคน เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมอง มีปัญญา เราไปป่าไปเขากันไปเพื่อดัดแปลงตน เราไม่ได้ไปป่าเพื่อเอาชื่อของป่ามาอวดอ้างเขา ถ้ามันไปป่าไปเขาขึ้นมาก็ไปป่าเพื่อดัดแปลงตน ดัดแปลงตนด้วยมรรคด้วยผลไง ดัดแปลงตนด้วยความทุกข์ความยากไง เวลาความทุกข์ความยาก กิเลสมันก็คือเรา เวลากิเลสคือเรา ถ้ามีความสุข ความสงบ ความระงับ มันพอใจขึ้นมา มันก็ว่ามันเป็นบุญกุศลของมัน เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ว่าเราทุกข์ยาก มันไม่ยอมไง
แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันทุกข์ยาก กิเลสมันทุกข์ยาก ดัดแปลงมัน สู้กับมัน ให้กิเลสมันยุบยอบลง ให้กิเลสมันหลุดทอนออกไปจากหัวใจ ถ้ามันเกลียดชังความเป็นป่า ความอัตคัดขาดแคลนนัก มึงเกลียดนัก มึงก็ไปจากใจของกูสิ ถ้ามึงเกลียดนัก เกลียดว่ากูจะทำความจริงอันนี้ ถ้ามึงเกลียดนักน่ะ มันจะหลอกลวง เห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง
เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านแล้ว เวลาหลวงตา ทุกคนจะอาราธนาท่านอยู่อีกกัปหนึ่ง อยู่อีก ๑๐๐ ปี ท่านก็พยายามรักษาใจของท่าน ท่านอยู่จนลมหายใจเข้าและหายใจออก ถ้าวันไหนหายใจเข้าแล้วไม่ออก มันตายก็จบวันนั้นน่ะ เวลาเราพยายามนิมนต์ท่านให้อยู่กับเรานานๆ ช้าง เวลาช้าง เขาทำสัจจะความจริงในใจของท่านแล้ว ท่านทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์ไง
ไอ้พวกเราเห็นช้างขี้ อยากจะขี้ตามมันไง แล้วความเป็นขี้ไง มันก็ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงไง มันมีความจริงอยู่ตรงไหน ถ้ามีความจริงขึ้นมา มันต้องรักษาข้อวัตรปฏิบัติอันนั้น มันเห็นข้อวัตรปฏิบัติอันนั้นมีคุณค่า มีคุณค่าเพราะอะไร มีคุณค่าเพราะเราได้เติบโตมาจากข้อวัตรปฏิบัตินั้น เวลาเราใช้ถนนหนทางเส้นใด เราจะรู้คุณของเขา นี่ก็เหมือนกัน เอโก ธมฺโม ทางอันเอก ทางอันเอกคือทางในใจไง ถ้าใจมันมีมันความจริงขึ้นมามันจะรักษาอันนั้น
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ “กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา อายุ ๘๐ เหมือนกัน เธอก็เป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสแล้ว พระอรหันต์ไม่มีกิเลส ทำไมเธอต้องถือธุดงควัตร ทำไมเธอต้องลำบากอยู่อย่างนั้นน่ะ”
พระกัสสปะบอก “ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเพื่อข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นพระอรหันต์”
พระอรหันต์ต้องทำอะไรอีก พระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วต้องทำอะไรอีก แต่พระอรหันต์เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นวิหารธรรม ไอ้คนก็ไม่เข้าใจอีก เห็นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นึกว่าเขาฆ่ากิเลส เวลาไอ้เราจะฆ่ากิเลสก็ล้มลุกคลุกคลาน เห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง เห็นเขาอยู่สุขอยู่สบายก็อยากอยู่สุขอยู่สบายกับเขา
ไอ้เขาอยู่สุขสบายนั่นน่ะ ช้าง เขาอาราธนาไว้ เพราะอะไร เพราะธาตุขันธ์ อยากทะนุถนอมธาตุขันธ์ของท่านไว้ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราไง ไอ้พวกเราไอ้พวกขี้ พวกขี้มันก็ต้องดัดแปลงใช่ไหม ถ้าดัดแปลง เห็นไหม
“กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา ทำไมต้องทำอย่างนั้น”
“ข้าพเจ้าทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง เพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นแบบอย่าง”
คนที่เขามีสติปัญญาเขาทำอย่างนั้นน่ะ เขาไม่เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอแลกผ้าสังฆาฏิ เพราะผ้าสังฆาฏิ ธุดงค์ พระธุดงค์ถือผ้าบังสุกุล เก็บเอาจากผ้าห่อศพ เขาพันศพแล้วทิ้งไว้ ไปเก็บเอามาแล้วมาซัก ซักแล้วมาปะมาชุน แล้วพอมันเก่าก็ปะซ้ำปะซากจนหนาเป็น ๗ ชั้นน่ะ ทีนี้มันก็หนักไง จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแลกเอา แลกเอาเพราะอะไร แลกเอาเพราะคุณงามความดีของท่าน ท่านไม่มีมารยาสาไถย ท่านไม่เสแสร้ง คนไม่เสแสร้ง ทำแต่ความเป็นจริง นั่นมันจะซื่อตรง ซื่อตรงกับมรรคกับผลน่ะ มันจะได้มรรคได้ผลขึ้นมา มันจะชำระล้างกิเลส
ไอ้เสแสร้งน่ะมีแต่ขี้ ขี้เต็มหัว เห็นเขาทำจะทำตามเขา ไอ้ที่เขาทำน่ะเพราะอะไร เพราะเขาทำดีมาแล้ว เขาทำดีมาแล้วนะ ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดประจำ มันแทงใจมาก เศษผ้าขี้ริ้ว ถ้าทางโลก เศษคน อยู่ป่าอยู่เขา
ดูสิ เราดูคนบ้านนอกคอกนา ดูชาวป่าชาวเขา มันมีค่าอะไร ดูคนภูเขา คนคนหนึ่งมันมีค่าไหม เราเห็นนะ เราเห็นว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนา ไอ้เราอู้ฮู! ปัญญาชน อู๋ย! สมบูรณ์ทุกอย่างพร้อม แต่ใจมันเผา กิเลสมันเผาในใจน่ะ ในใจมันเร่าร้อนน่ะ
เขาอยู่ป่าอยู่เขาของเขานะ เช้าขึ้นไปเขาก็ทำข้าวไร่ เขาทำของเขา เขาอยู่กินของเขาตามธรรมชาติของเขา ถึงตกเย็นขึ้นมาเขาเอาตีนก่ายหน้าผากนอนร้องเพลง เขาสบายของเขา ไอ้เรา อู้ฮู! เงินในเซฟเยอะ ไม่ได้ เดี๋ยวคืนนี้โจรมันมาลัก นี่มีแต่ทุกข์แต่ยาก
นี่ไง เวลาเราไปมองว่าเขาเป็นคนไร้ค่าๆ แต่คนไร้ค่า แต่หัวใจมันประเสริฐ ประเสริฐอย่างนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประเสริฐ ประเสริฐอย่างนั้นน่ะ ถ้าประเสริฐ ประเสริฐจากใจของท่าน ถ้าประเสริฐจากใจของท่าน ท่านดูแลตรงนี้ไง ท่านดูแลตรงนี้เพราะอะไร เพราะว่า ดูสิ พระกัสสปะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามเลย “เธอทำทำไม”
“ทำเพื่อเป็นคติธรรมแก่อนุชนรุ่นหลัง”
เวลาคนจะเดินตามมา ใครจะเดินตามมา เวลาหลวงตาท่านทำสิ่งใด เวลาท่านทำ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นๆ ท่านเชิดชูของท่าน แล้วเราก็รู้ว่าท่านอยากจะทำของท่าน อยากจะทำตรงไหน อยากจะทำ ดูสิ ท่านลงมาฉันที่ศาลาทุกวันน่ะ ท่านบอกเลยท่านอยู่กับหมู่คณะ ทั้งๆ ที่ว่าชราภาพขนาดนั้น เป็นโรคภัยไข้เจ็บอยู่ขนาดนั้น ถ้าเรามีอาหารอ่อนๆ ไปถวายที่กุฏิของท่าน ท่านไม่ต้องมาวุ่นวาย ท่านไม่ต้องแบกธาตุขันธ์ของท่านมาฉันที่ศาลา มันจะดีแค่ไหน แต่ท่านก็เสียสละ
แต่ไอ้พวกเรามันจะเอาไง เอ็งก็ต้องเหมือนกูสิ กูบิณฑบาต มึงก็ต้องบิณฑบาต กูกินอย่างนี้ มึงต้องกินอย่างนี้ แต่ไม่ได้คิดเวลาท่านทุกข์ท่านยากมาขนาดไหน
ท่านพูดประจำ หลวงตา ถ้า ๙ ปีนั้น ใครไปเห็นการประพฤติปฏิบัติของเรา จะเห็นว่าท่านแลกมาด้วยชีวิต ท่านเอาชีวิตแลกมาตลอด ขนาดท่านพูดเองบอกว่า ถ้าไอ้ ๙ ปีนั้นน่ะ เวลามาย้อนหลังแล้ว มันทำมาได้อย่างไรน่ะ มันทำมาได้อย่างไร นี่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าใจ มันทำมาได้เพราะมันมีความอยาก มันทำมาได้เพราะมันมีกิเลสไง
อย่างเช่นเรา เราเจ็บไข้ได้ป่วย เรารู้ว่าเราเป็นโรค ถ้าเป็นโรค หมอเขาบอกว่า ดูสิ เวลาผู้หญิงเวลาคลอดลูก เขาให้อยู่ไฟๆ ไปเผาไฟอยู่อย่างนั้นน่ะ เขาทำทำไมน่ะ ไปนอนเผาไฟๆ เผาไฟให้ไฟมันระบม ให้ร่างกายมันกลับมาเป็นปกติ นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย มันมีอะไรที่จะรักษาได้มันก็ขวนขวายใช่ไหม คนมันทุ่มเทใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ายังมีกิเลสอยู่ในหัวใจ มันสู้ ถ้ามันยังมีกิเลสในหัวใจ นี่ไง ท่านบอกว่า ถ้าคิดถึง ๙ ปีนั้น มันคิดแล้วมันตกใจ ทำได้อย่างไร ทำได้อย่างไร อ้าว! มาคิดถึงตอนเป็นพระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์มันไม่มีกิเลสไง ไม่มีกิเลส ทำไมต้องไปแลกมาด้วยอย่างนั้น เวลามีกิเลสอยู่ เราแลกมาด้วยชีวิตเลย เอาชีวิตเราเข้าแลก ธรรมะอยู่ฟากตายๆ เวลากรรมฐานเขาคุยกันน่ะ ธรรมะอยู่ฟากตาย เขาเอาชีวิตนี้แลกเลย
แล้วมึงจะมาอยู่สุขอยู่สบาย จะมานั่งกินนอนกิน จะมาวางตัวเป็นผู้ดี มันไร้สาระ ความไร้สาระอันนั้นน่ะมันบอกถึงว่าในใจไม่มีคุณธรรม
ถ้ามันมีคุณธรรมนะ เวลาทำขึ้นมานะ มันเป็นธรรมทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันมีสาระ ถ้ามันมีสาระนะ ไม่ทำตัวเลวๆ ไม่ทำแบบอย่างเลวๆ ไม่ทำตัวสิ่งเลวๆ ให้ลูกศิษย์ลูกหาเห็น
แต่เวลามันเป็นความจำเป็น เวลาหลวงตาท่านมาฉันที่ศาลา ท่านบอกว่า เวลาธาตุขันธ์มันต้องการ ต้องรีบฉันก่อน ถ้าไม่ฉันแล้ว เวลาธาตุขันธ์มันปฏิเสธแล้วฉันไม่ได้ ฉะนั้น กิริยาบางอย่างมันมองแล้วมันขัดกับธรรมวินัย ธรรมวินัยต้องเรียบร้อย แต่ท่านบอกว่าเวลาธาตุขันธ์มันต้องการ คือธาตุขันธ์มันต้องการ คือมันโหย ถ้ามีอะไรเข้าไปเพื่อบรรเทามัน ตอนนั้นมันเป็นความพอดี
แต่ถ้าเราคิดว่าเราจะทำเป็นแบบอย่างเป็นธรรมวินัยให้ลูกศิษย์ลูกหามันมั่นใจ เราก็ต้องอดทนไว้ อดทนไว้จนกว่ามันโหย เราก็ไม่กิน ไม่ฉัน มันก็โหยไป พอถึงเวลาแล้วมันฉันไม่ได้ คนแก่จะรู้ มันฉันไม่ได้ ท่านถึงบอกบางอย่างเวลาที่ท่านจะฉันก่อน ท่านบอกว่า ธาตุขันธ์มันต้องการ คือมันโหยมาก ผู้เฒ่านะ อายุ ๙๐ ฉันหนเดียว แล้วเช้ามามันโหย ถ้ามันโหยปั๊บ ท่านฉันนิดๆ หน่อยๆ ฉันให้ธาตุขันธ์มันก่อน นี่เวลาคนที่มีปัญญา เวลาท่านพูดอะไรมันคิด แล้วท่านทำอะไรมันทำด้วยความจำเป็น
วินัยจะยกเว้น ยกเว้นเวลาภิกษุป่วยไข้ กับเวลาภิกษุผีเข้า เวลาปฏิบัติหลง อันนี้ไม่ปรับอาบัติ ฉะนั้น เวลาชราภาพมันป่วยไข้ไหม มันชราภาพ ชราคร่ำคร่า แต่ชราคร่ำคร่า ถ้าคนที่เขามีจิตใจที่เป็นธรรมๆ เขาก็จะรักษาของเขา ถ้าคนที่ยังมีกิเลสอยู่นะ
เพราะเราอยู่ในวงการปฏิบัติ เวลาพระที่ปฏิบัติแล้วยังไม่มีคุณธรรม เขาจะบอกว่าเขาจะอดทนของเขาเพื่อให้ภพชาติสั้นเข้าๆ คือถ้าไม่มีแล้วจะไม่ฝืน เพราะฝืนอันนี้มันจะเป็นพันธุกรรมของจิต คือเวรกรรมมันเกิด คนที่ยังมีกิเลสอยู่มันมีเวรมีกรรม พอมีเวรมีกรรม มันตัดแต่งพันธุกรรม พอพันธุกรรมไปปฏิบัติแล้วมันจะมีเวรมีกรรม มันทำได้ยาก แต่ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรม อย่างหลวงตาเป็นพระอรหันต์ มันไม่มีเวรมีกรรมแล้ว มันหมดเวรหมดกรรมแล้ว เป็นแค่กิริยาอย่างนี้ มันไม่มีโทษไม่มีภัยใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ไอ้พวกเรา ไอ้พวกที่หลงตัวเองนั่นน่ะ ไอ้พวกที่กิเลสท่วมหัวนั่นน่ะ ไอ้พวกที่เห็นช้างขี้แล้วมันจะขี้ตามช้างนั่นน่ะ ไอ้พวกนี้มันตายมันรู้เอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เพราะเขาเป็นคนทำ เวลาเราอยู่กับสังคมใช่ไหม เราก็เสแสร้ง เสแสร้งฉ้อฉลไปเรื่อย เวลาเราตายไปเราจะเสแสร้งกับใครได้ไหม ก็กูทำเอง กูทำมาทั้งนั้น
นี่ไง ถึงตรงนั้นแล้วมันรู้ไง ถ้าถึงตรงนั้น ให้มันเป็นจริงแบบนั้น นี่พูดถึงว่าเราจะทำบุญกุศล เราหาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ถ้าเป็นจริงๆ ท่านไม่เสแสร้ง ถ้าไม่เสแสร้งขึ้นมา ความจริง เห็นไหม เราไปอยู่ใกล้ใครเราก็รู้เนาะ คนที่จริงใจกับเรากับคนที่ไม่จริงใจกับเรา คนที่จริงใจกับเรา สบตาก็รู้ เขาจริงใจกับเรา ไอ้คนไม่จริงใจมันไม่กล้าสู้ตาหรอก มันหลบแพล็บๆ สบตาน่ะมันหลบแพล็บ มันไม่กล้าสู้ตาหรอก มันหลอกเขา มันเสแสร้ง แต่ใจมันคิดว่ามันอวดของมัน
นี่พูดถึงว่า ถ้าวันนี้วันพระ วันที่ผู้ประเสริฐ ประเสริฐมันต้องประเสริฐตรงนี้ ประเสริฐต้องเป็นผู้นำที่ดี ถ้าเป็นผู้นำ เพราะเวลาหลวงตาท่านคุยกัน ท่านบอกท่านพยายามสร้างผู้นำ สร้างพระขึ้นมาให้นำพระ ให้นำพระ ให้พระเดินตาม ไม่ใช่สร้างพระๆ สร้างพระก็ไปโรงหล่อ หล่อกูหล่อเท่าไรก็ได้ เดี๋ยวเรี่ยไรตังค์ เรี่ยไรตังค์ไปหล่อพระ โอ๋ย! ชอบ ได้บุญเยอะ แต่ภาวนาไม่เอา
เพราะว่าเราจะสร้างพระในใจไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ลงทุนลงแรงตรงนี้สิ ลงทุนลงแรงตรงนี้ สร้างพระตัวเป็นๆ พระเป็นๆ แล้วพระเป็นๆ บอกเราได้ สมถกรรมฐานทำอย่างไร วิปัสสนากรรมฐานทำอย่างไร บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรค ๔ ผล ๔ จิตใจมันมีวิวัฒนาการของมัน ถ้ามันเป็นจริง นี่มันหล่อพระ หล่อกันด้วยมรรคด้วยผล หล่อในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจเป็นพระนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตทำอย่างไร มันลงตถาคต ลงตถาคตก็ลงทำวินัย ดูสิ มันทำความจริงอันนี้ แล้วทำความจริงอันนี้ ยืนอยู่ความจริงอันนี้
แล้วผู้ที่เขามองมาไง ดูสิ สังคมเขามองมาใช่ไหม เวลามีปัญหาในสังคม โทษแต่พระ ศีลธรรมที่มันไม่ดีก็เพราะพระไม่สอน ศีลธรรมที่มันเลวร้ายก็พระไม่รับผิดชอบ ศีลธรรมน่ะ โทษแต่พระ แต่มันไม่หล่อพระใจมัน ถ้าหล่อพระในใจ หล่อพระในใจแล้วเป็นพระขึ้นมาแล้ว ไม่โทษใคร
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด เขาชอบของเขา เขามีความเห็นของเขา เขาเป็นความสุขของเขา แต่ความสุขอันนั้นน่ะ ความสุขที่เขาไม่ใช้ปัญญาของเขา ถ้าเขาไม่ใช้ปัญญาของเขา เราไปบอกเขา เขาก็หาว่าเราไปอิจฉาตาร้อนเขา เวลาไปบอกใคร ใครก็โต้แย้งไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ สิ่งความจริงๆ เราจะหล่อพระในใจ
ทำบุญกุศล เราเสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุนี้ไป เสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุนี้ วัตถุเป็นวัตถุ ไม่มีค่าอะไรหรอก แต่มีค่าคือเจตนา คือหัวใจ หัวใจที่เสียสละมันไป หัวใจที่มีคุณค่าเหนือกว่าสิ่งของนั้น ดูสิ เวลาคนที่เขาถวายทองหลวงตา ห้ากิโลสิบกิโล หัวใจของเขามันต้องเหนือห้ากิโลสิบกิโล เขาถึงได้โยนห้ากิโลสิบกิโลนี้ทิ้งไป ทองคำสิบกิโลนี่ทานไป สละทิ้ง หัวใจเขาสูงส่งกว่า นี่ถ้ามันสูงส่ง มันสูงส่งอย่างนั้น แต่เรามองไม่เห็นน่ะ โอ้โฮ! ห้ากิโลเชียวหรือ โอ้โฮ! สร้างบ้านได้หลังหนึ่งเลยนะ ซื้อรถได้อีกคัน มันไปนู่นน่ะ เห็นไหม หัวใจของคนที่ติดข้อง แต่หัวใจที่สูงกว่าๆ
นี่ก็เหมือนกัน เรามาทำบุญกุศล เพราะจิตใจเรามันสูงส่งขนาดไหน เพราะมันอยู่ที่น้ำใจของคนนะ น้ำใจของคนที่เขาประณีตนะ เขาจะถวายของที่ประณีต ทานของเขาต้องประณีต หัวใจของคนที่หยาบมันถวายทานหยาบๆ ก็ยังดี ยังถวาย ถ้าคนที่มันเห็นแก่ตัวมันไม่ถวายให้ใคร ของกูๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นของกูเลย มันเป็นของโลก เพราะไม่มีการกระทำไง
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย เขาทำสิ่งใด ใจของเขาเป็นคนทำ เขาทำสิ่งใด ที่ว่าสิ่งที่เป็นทิพย์ๆ มันลงใจของเขา แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติท่านจี้เข้าไปตรงนั้นเลย แล้วท่านสำรอกมันเลย แล้วท่านคายมันเลย แล้วท่านฆ่ามันเลย ฆ่ามัน เจอกิเลสที่ไหน ฆ่ามัน ฆ่าด้วยอะไรล่ะ
ฆ่าด้วยข้อวัตรปฏิบัติ ฆ่าด้วยที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝากไว้ ให้ประหยัด ให้มัธยัสถ์ ให้รู้จักใช้รู้จักสอย สิ่งใดได้มาแล้วใช้แต่น้อย สิ่งที่เหลือแล้วเพื่อประโยชน์สังคม แล้วสิ่งที่ใช้แต่น้อยทำให้ธาตุขันธ์ไม่ทับจิต ถ้าจิตมันปลอดโปร่ง มันอยากกินอยากอยู่สะดวกสบายทั้งนั้นน่ะ บังคับมันๆ พยายามตัดทอนมันให้มันเบา ให้จิตมันเบา ไม่ให้มีสิ่งใดไปครอบงำมัน แล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตมันสว่างโพลงขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง