เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนี้ตอกย้ำนะ เห็นไหม อานิสงส์ของการฟังธรรม อานิสงส์ของการฟังธรรมคือเรามีสติสัมปชัญญะ ดูสิ เวลาเขาประสบอุบัติเหตุเพราะเขาประมาท พอเขาประมาทขึ้นไป เขาจะประสบอุบัติเหตุ แต่ถ้าเราฟังธรรมๆ ตอกย้ำชีวิตของเราไง ตอกย้ำชีวิตของเรา ตอกย้ำสติปัญญาของเรา ตอกย้ำ ตอกย้ำเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา ถ้าฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเราๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากเป็นที่สุด มันจะมีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราไป

เวลาเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาทำบุญกุศลๆ มนุษย์เกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ปรารถนาความสุข แต่ความสุขของโลก ความสุขทางโลก ความสุขทางโลกมันเป็นสาธารณะ ใครๆ ก็แสวงหาได้

แต่เวลาเรามีศีล เรามีศีลของเราคือมีความภูมิใจ ถ้าคนมีศีลนะ เวลาศีลของเราสมบูรณ์ขึ้นมา เราภูมิใจเรานะ อืม! คนคนหนึ่งก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน มันจะยกหาง เวลาคนที่มันมีศีลสมบูรณ์ของมันน่ะ มันจะมีความสุขของมัน มีความระลึกได้ของมัน

ถ้ามีศีล ถ้ามีสมาธิ สมาธิหาซื้อไม่ได้ เวลาสมาธิหาซื้อไม่ได้ ตอบปัญหาไป เขาเขียนคำถามกันมา น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งแต่ไหล เขาเขียนมาเลย น้ำนิ่งแต่ไหล หนูเพิ่งรู้สึก หนูเพิ่งรู้จริง รู้จริงเดี๋ยวนี้เอง น้ำนิ่งแต่ไหลๆ

น้ำนิ่งแต่ไหล จิตมันสงบไง จิตมันสงบคือน้ำมันนิ่ง จิตมันนิ่ง แต่มันไหลของมัน มันมีสติสัมปชัญญะของมันน่ะ สัมมาสมาธิมันมหัศจรรย์น่ะ

ไอ้ที่สมาธิหัวตออย่างนั้น เขาเรียกว่ามิจฉา ว่างๆ ว่างๆ เขาเรียกมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำมันนิ่ง เราหยุดนิ่งได้ จิตใจเราหยุดนิ่งได้ แต่มันเคลื่อนไหวของมันอยู่ มันมีสติสัมปชัญญะของมันอยู่ ถ้าสิ่งที่มันมีสติสัมปชัญญะอยู่ สิ่งที่มันมีสติสัมปชัญญะอยู่ โอ้โฮ! มันมีความสุข มันมีความมหัศจรรย์

ไอ้สมาธิหัวตอน่ะ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ต้องคนอื่นบอก ว่างๆ ว่างๆ ให้ว่าเป็นความว่างน่ะ ว่างอย่างไร นั่นน่ะคือหัวตอ แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เรามีศีล มีสมาธิ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมานะ แม้แต่เราฝึกหัดปัญญาของเรา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ หมายความว่า เราตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเป็นคนตรึกล่ะ

จิตเป็นคนตรึก มันเป็นคนไปหยิบไปจับมา ไปหยิบไปจับมาคือมันคิดขึ้นมา มันวิตก วิจารขึ้นมา โดยธรรมชาติของมัน มันวิตก วิจารของมันอยู่ เวลามันคิดของมัน เราขาดสติ เอ๊! เราคิดอยู่ เราคิดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันคิดโดยธรรมชาติของมัน ถ้าเวลาไปคิดแต่เรื่องที่มันพอใจ มันก็มีความสุขของมัน ถ้าไปคิดเรื่องที่ขัดแย้งใจ มันก็มีความทุกข์ของมัน

ถ้าเรามีสติ มีสติเท่าทันความคิดของเราไป ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราไป มันก็ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดเหมือนกัน พอมันมีสติปัญญาขึ้นมา ความคิดเหมือนกัน สิ่งที่มันคิดของมัน แต่มีสติปัญญา เวลาสติมันเท่าทันขึ้นมา มันเท่าทันขึ้นมา มันมีสติขึ้นมาน่ะ มันจะระลึกรู้ว่า คิดทำไม คิดทำไม พอคิดทำไม มันก็หยุด คำว่า หยุด” หยุดอย่างนี้ นี่น้ำนิ่งแต่ไหล เวลามันหยุดของมัน แต่มันมีสติสัมปชัญญะพร้อม เห็นไหม

แต่เวลาพุทโธๆ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมามันจะมีสติ เพราะอะไร เพราะพุทโธๆ เราก็ระลึกรู้ เวลาเราพุทโธๆ เวลาพุทโธมันละเอียดขึ้นมา เราก็รู้ว่าละเอียดขึ้น พอพุทโธๆ พอละเอียดขึ้นไปแล้ว โอ้โฮ! มันละเอียดมาก คนไม่เคยพบเคยเห็นไง สามล้อมันถูกหวยไง มันจะทิ้งเลย ทิ้งพุทโธ เพราะมันจะพุทโธไม่ได้ มันจะละเอียดกว่า แล้วมันขี้เกียจไง ตรงนั้นแหละมันจะเริ่มเสื่อมไป พอถึงตรงนั้นแหละมันจะเข้าไม่ได้

แต่ถ้ามันพุทโธต่อเนื่องไปๆ ต่อเนื่องไป ใครเป็นคนระลึกพุทโธ ใครเป็นคนต่อเนื่องไป เห็นไหม มันไม่มีช่องว่างเลย มันมีสติสัมปชัญญะพร้อมขึ้นไปน่ะ เวลาเป็นสมาธิๆ เราเป็นคนประกอบขึ้นมาเอง เราเป็นคนมีสติสัมปชัญญะเอง เราเป็นคนทำขึ้นมาเอง มันไม่สงสัย แล้วมันมหัศจรรย์ ไอ้ที่ว่าว่างๆ แล้วไม่รู้อะไร ไม่รู้อะไร นั่นน่ะมิจฉาทั้งนั้น

นี่พูดถึงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราปฏิบัติ เรารื้อค้นขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา แล้วสมบัติอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น มันจะเกิดขึ้นต่อหัวใจของเราค้นคว้าขึ้นมา แล้วเกิดมีการกระทำขึ้นมาจากใจของเราเท่านั้น มันจะศึกษามาขนาดไหนก็ไม่รู้

ศึกษามาเป็นปริยัติ ปริยัติหมด ศึกษาเป็นทฤษฎีหมด ศึกษามามีความรู้มากน้อยขนาดไหนก็เป็นการศึกษา มันเป็นสัญญาทั้งนั้นน่ะ พอสัญญามาแล้วก็มาจินตนาการ พอจินตนาการขึ้นมามันสมบูรณ์ พุทธพจน์เหมือนเราเลย เหมือนจิตเรา เหมือนหมดเลย เหมือนหมดเลย เหมือนก็ไม่ใช่ของเรา เป็นเหมือนเขา

ของเราก็เป็นของเราสิ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป แล้วชี้หนทางให้เรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราขวนขวายขึ้นมาขนาดไหน เรามีคุณสมบัติขนาดไหน เราก็ได้มากน้อยขนาดไหน อยู่ที่ความสามารถของเรา ถ้าความสามารถของเรา นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เธอบอกเขานะ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เขาเอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ บอก “อานนท์ ให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

ทั้งๆ ที่เป็นอามิสมันก็ทำได้ยากอยู่แล้ว เป็นอามิส เป็นอามิสคือแสวงหาวัตถุข้าวของสิ่งของต่างๆ มาทำทาน สิ่งนี้เป็นอามิส

“เธอจงบอกให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด”

ถ้าปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติบูชา ถ้าปฏิบัติบูชามันจะเกิดตรงนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ ปรารถนาให้เราประพฤติปฏิบัติ พอประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็จะเกิดสัจจะความจริงขึ้นมาในใจของเรา

มันจะผิด เริ่มต้นคนทำงานมันก็ผิดทั้งนั้นน่ะ เริ่มต้นมันจะผิดไปก่อน เพราะคนไม่เคยทำงาน แม้แต่หุงข้าว หุงข้าว ดูสิ เราหุงข้าว สอนลูกสอนหลานขึ้นมา กว่ามันจะหุงข้าวเป็น มันก็ต้องสอนให้มันเป็น แล้วถ้ามันเป็นขึ้นมาแล้วมันก็หุงข้าวเป็น แล้วหุงข้าวเป็นขึ้นมามันก็รับรู้ได้ว่าหุงข้าวแล้วเป็นอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติไปเถิด เหมือนหุงข้าว หุงข้าวไม่เป็นมันทำไปมันก็ไม่เรียบร้อย ไม่ดีงามหรอก แต่หุงบ่อยๆ หุงบ่อยๆ โอ้โฮ! ต่อไปจะเอาข้าวชนิดใด จะเอาข้าวชนิดใด จะเอาแข็งหน่อย เอานิ่มหน่อย เอาปานกลาง มันได้หมดน่ะ เพราะเราชำนาญไง

นี่ก็เหมือนกัน เธอปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติไปแล้วมันมีการกระทำ ถ้ามีการกระทำ มันจะผิดมันจะถูก การจะผิดจะถูก เราก็ฝึกหัดของเราไปไง มันจะถูกมาจากไหน มันก็ผิดมาก่อน ผิดก็เป็นครู เราก็ประพฤติปฏิบัติของเราไปตามความเป็นจริงของเราไป นี่มันเป็นสมบัติของเรานะ มันเป็นโอกาสของเรา

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ดูสิ เวลาร่างกายของเราเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราพิจารณาของเราให้มันย่อยสลายไป ดูสิ มันพุมันพองมันเน่ามันเปื่อยไปต่อหน้าต่อตา ถ้ามันผุมันพังต่อหน้าต่อตาไป มันพังต่อหน้าต่อตาไป มันเกิดธรรมสังเวช มันเกิดความสลด มันเกิดความสังเวช มันเกิดความกระจ่างแจ้งในใจ

เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ ร่างกายนี้เป็นรวงรังของโรค ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็เป็นอำนาจวาสนาเหมือนกัน ดูสิ พระสวลี พระสีวลีเป็นเลิศทางลาภ มีพระเลิศทางที่ว่าไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย เขาไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย บุญกุศลมันส่งเสริมมานะ เพราะว่าการป่วยทางการแพทย์ หนึ่ง ป่วยเพราะร่างกายมันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา ป่วยเพราะเรื่องเวรเรื่องกรรม โรคกรรมก็โรคหนึ่ง แล้วป่วยเพราะอุปาทาน อุปาทานคิดจนเป็นน่ะ เวลารักษาอย่างไรไม่หายนะ อุปาทานไง ให้เขาคิดเรื่องอื่นเดี๋ยวหายเอง นี่จิตมันคิดจนป่วย หัวใจมันวิตกกังวลจนเจ็บไข้ได้ป่วยไปน่ะ

ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นได้ ๓ อย่าง อย่างหนึ่งคือว่ามันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา คือมันเจ็บป่วยจริงๆ นั่นแหละ สอง อุปาทาน สาม กรรม

กรรมคือการกระทำ เราทำมาๆ แล้วทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเรื่องเวรเรื่องกรรม โรคเวรโรคกรรมเวลามันเกิดขึ้นนะ หมอรักษาอย่างไรดูแลรักษาอย่างไรก็ไม่หายหรอกถ้ามันไม่หมดเวรหมดกรรม หมดเวรหมดกรรม เออ! ไม่ต้องทำอะไรมันก็หาย นี่พูดถึงเวลามันเป็นความจริง เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมโอสถๆ เวลาธรรมโอสถ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่มีสัมมาสมาธิ จิตใจที่มั่นคง เราเข้าสู่ความสงบระงับ มันสละทิ้งได้หมดเลย แต่มันต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่จิตใจเข้มแข็ง ที่จิตใจมีหลักเกณฑ์ถึงจะทำอย่างนั้นได้ ถ้าจิตใจที่ไม่มีหลักเกณฑ์ทำไม่ได้หรอก มันขี้โม้ทั้งนั้นน่ะ

สิ่งเวลาครูบาอาจารย์ท่านทำมา ท่านเอามาเป็นปุจฉาวิสัชนาให้พวกเราได้เข้าใจว่าการกระทำมันเป็นอย่างไรๆ ไอ้เราศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นปริยัติ เวลาปริยัติศึกษาขึ้นมาแล้วก็จินตนาการว่าจะให้เหมือน พอให้เหมือนก็เป็นหัวตอไปหมดเลย ธรรมะเป็นอย่างนั้นหรือ

ธรรมะมันกระจ่างแจ้งนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรานะ มันเข้าใจหมด มันทะลุปรุโปร่ง แล้วทะลุปรุโปร่งมันรู้ด้วย รู้ด้วย เริ่มต้นมันมาอย่างนี้

หลวงตาท่านพูดบ่อยมาก จิตใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่า จิตใจที่สูงกว่า จิตใจที่พ้นไปแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติไป บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันจะรู้เลยว่าถ้าปฏิบัติมามันจะไปติดตรงไหน มันจะไปชน มันจะไปเจอหน้าผาที่ไหน มันต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จิตใจที่สูงกว่าท่านผ่านของท่านมาแล้ว ท่านผจญภัยของท่านมาแล้ว มันไปตรงนั้นแล้วมันจะลำบากลำบนขนาดไหน

เวลาประพฤติปฏิบัติไป เวลาน้ำป่าๆ กามราคะที่มันโหมกระหน่ำมามันรุนแรงขนาดไหน ถ้าธรรมะนี้ไม่เหนือ มันจะข้ามพ้นกามราคะไปได้อย่างไร ถ้าข้ามพ้นกามราคะไปนะ ไปถึงแล้วไปเจอตอของจิต ตอของจิต กามราคะมันเกิด เวลามันเกิดบนจิต แล้วจิตถ้าพิจารณาไป ถ้าจับต้องได้ จิตเดิมแท้มันผ่องใส มันผ่องใส มันสว่างไสว มันผ่องแผ้วไปหมด ไอ้คนไปเจอเข้าก็ โอ้โฮ! โอ้โฮ!...นั่นล่ะอวิชชา

จิตใจที่สูงกว่าท่านได้พิจารณาของท่านมา ท่านได้ผ่านพ้นมา การที่จะผ่านพ้นมามันต้องมีการกระทำมา มันต้องผ่านวิกฤติมา ต้องผ่านอวิชชามา ผ่านพญามาร ผ่านครอบครัวของมาร ทั้งครอบครัวได้ฆ่ามัน ได้ทำลายมัน แล้วทำลายมันด้วยอะไร ทำลายมันด้วยมรรคด้วยผล การทำลายทิฏฐิมานะ ทำลายความเห็นผิด ก็ยิ่งทำลายเท่าไร ยิ่งฆ่ามันได้ยิ่งประเสริฐ

แต่การทำลายกัน ทำลายกันโดย ดูพระ พระเราพรากของเขียวยังไม่ได้เลย สิ่งนี้ทำพรากของเขียวหลุดจากขั้ว เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แม้แต่สิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้ายังไม่ให้ไปแตะต้องเลยนะ ห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ทำอะไรทั้งสิ้นเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมยุยงส่งเสริมให้เราฆ่ากิเลสๆ ล่ะ

การฆ่ากิเลสประเสริฐที่สุด การทำลายกิเลส ทำลายอวิชชา ทำลายกิเลส ทำลายอวิชชาก็ทำลายทิฏฐิมานะของเรานี่ ทำลายของใคร ก็ทำลายของเรานี่ไง ในหัวใจเรานี่ไง

แล้วเวลานกมันขี้บนหัวคนอื่น ช่วยเขาหมดเลย แต่นกเวลามันขี้ใส่หัวเรามองไม่เห็น กว่าจะเห็นความผิดความพลาดของเรา กว่าจะรู้จะเห็นนะ โอ้โฮ! ต้องทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ จะไปจับไปต้องนะ

นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมามันเห็นกิเลสไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะหวั่นกลัวมาก ท่านกลัวกิเลสในใจของคน ไม่กลัวคนนะ คนไม่กลัว แต่กลัวกิเลสในใจของคน ถ้าคนที่ทำสะอาดบริสุทธิ์แล้ว คนที่ทำใจที่ผ่องแผ้วแล้ว เราไปกลัวอะไรเขา ประเสริฐทั้งนั้นน่ะ ของประเสริฐทั้งนั้นเลย แต่มันน่ากลัว น่ากลัวที่กิเลสในใจของคนนั่นน่ะมันน่ากลัว เพราะอะไร เพราะมันเคยอยู่ในใจของเราไง ในใจของเรานะ มันยอกมันย้อน มันอ้อยสร้อย มันยุมันแยง มันร้อยแปด

กิเลสในใจของคนนี้น่ากลัวมาก พอน่ากลัวมาก ถ้ามันไม่เคยเห็นมัน กิเลสเป็นเรา คิดดี คิดยอด คิดเยี่ยม โอ้โฮ! ดีหมดเลย มันไม่รู้หรอกนั่นมันสร้างเวรสร้างกรรม กว้านมาหมดเลยนะ เพราะมีการกระทำไง

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มโนกรรมเกิดนะ เวลาความคิดเกิดขึ้นนะ มโนกรรมเกิดแล้วนะ ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตนิสัย คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วคิดเล่า คิดแต่ทุกข์ คิดแต่เบียดเบียนตนเอง

แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ การคิดแล้วคิดเล่า คิดทำไม คิดแล้วคิดเล่า ถ้ามันมีสติเท่าทันนะ คิดทำไม ทำไมโง่ขนาดนี้ ทำไมอยู่ดีๆ ทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้ อยู่ดีๆ ทำไมทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้ อยู่ดีๆ ก็ทำให้จิตสงบสิ อยู่ดีๆ ก็นอนในอู่ นอนให้มีความสุขสิ อยู่ดีๆ ไปคิดทำไม อยู่ดีๆ ไปกว้านมาทำไม ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ นี่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันเท่าทัน เห็นไหม

แต่ทางโลกไม่เข้าใจอย่างนี้เลย เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา โอ้โฮ! ตรึกในธรรมขึ้นมา “อู้ฮู! จิตวิปัสสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา โอ้โฮ! ปัญญาเกิดแล้ว ปัญญาเกิดแล้ว”...มันตรึกในธรรมพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ตัวมันเองยังไม่เกิดปัญญาอะไรเลย ตัวมันเองยังไม่รู้จักตัวมันเอง ทำสมาธิยังไม่เป็น ถ้าทำสมาธิไม่เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่สติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆ ทั้งนั้นน่ะ ความคิดจอมปลอม จอมปลอมในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่มันเป็นความประเสริฐของปุถุชนไง

ปุถุชนเวลาคนใฝ่สนใจในศาสนาก็เยี่ยมยอดแล้ว แล้วคิดดูสิ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเถิด” คนไม่ปฏิบัติจะไม่รู้อะไรเลย พอคนปฏิบัติเข้าไปพอเกิดโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากเชาวน์ปัญญา เกิดจากปฏิภาณ เท่านั้นเอง ถ้ามีสติขึ้นมา มีสติเท่าทันขึ้นมามันจะหยุด ถ้าหยุดแล้วทำต่อเนื่องไป มันหยุดแล้วมันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นสมถะ แต่ด้วยความไม่รู้เท่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา โอ๋ย! ปัญญานี้รู้เท่าทัน ปัญญาในชีวิตประจำวัน”...ปัญญาในชีวิตประจำวันก็ปัญญาปุถุชนไง ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ยังไม่ยกขึ้นสู่กัลยาณปุถุชนเลย ถ้ากัลยาณปุถุชนยกขึ้นโสดาปัตติมรรค

เวลาพูดถึงการปฏิบัติของเขา ถ้าเป็นการบรรเทาทุกข์ เป็นชาวพุทธของเรา ฝึกฝนขึ้นมา ดูสิ เวลาเราสอนลูกเราให้หุงข้าว มันหุงไม่เป็นก็พยายามหุงให้มันเป็น พอหุงเป็นแล้วมันจะเลี้ยงชีพมันได้ไง

นี่ก็เหมือนกัน เราพยายามประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีหมู่คณะที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านจะชักนำเราเข้าไปสู่มรรคสู่ผล ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่จิตใจที่สูงกว่า จิตใจเสมอกัน จิตใจที่ทำเหมือนกัน มันก็วนอยู่อย่างนั้นน่ะ ความวนอยู่อย่างนั้นมันก็เป็นปฏิบัติไป ถ้าผลในปัจจุบันไม่มี แต่ถ้าปฏิบัติให้เป็นความจริงนะ คำว่า เป็นสายบุญสายกรรม” ไง สายบุญสายกรรมทำขนาดนั้นมันก็เป็นแบบนั้น

แต่ถ้าทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเรายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ถ้าจิตเราสงบได้จริง จิตสงบได้จริงยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะวิปัสสนาจริงๆ มันจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ จริง มันจะเห็นกิเลสจริงๆ ไง พอเห็นกิเลสจริงๆ มันถึงกลัวกิเลสไง

ครูบาอาจารย์ที่ท่านกลัวกิเลสในใจของคน กลัวกิเลสในใจของคน ท่านก็กลัวกิเลสในใจของท่านนั่นแหละ เพราะกิเลสในใจของเรามันทำ มันปิดหูปิดตาขึ้นมาให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นพระโพธิสัตว์ทำคุณงามความดีอย่างนั้น พระโพธิสัตว์สร้างแต่คุณงามความดี แต่ขนาดคุณงามความดีมันก็เป็นอามิสไง มันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

เวลาถ้ามันจับได้ นี่ไง ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ความดีอันนั้นน่ะ เราก็ติดอยู่ว่าคนเราทำถูกต้องทำดีงามทั้งนั้นน่ะ เราก็ติดความดีของเรานั่นน่ะ แต่ถ้ามันมีสติปัญญา เราจะเห็นกิเลสไง เห็นกิเลสความยึดติดของมันน่ะ ทิฏฐิมานะของเราไง เวลาพิจารณาไปแล้ว เวลามันย่อยสลายไปเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันเป็นไปทั้งหมดไง มันเป็นไปทั้งหมด กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งมรรค ๘ เวลามรรค ๘ มรรคมันสามัคคี มันรวมไป มันสมุจเฉทปหาน มันรวมลง มันวิปัสสนา นี่ไง ที่มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลๆ น่ะ

มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ มันก็เลยสร้างถนนอีกสายหนึ่งมาเดินไง มันมีสายดีและสายชั่ว กูก็สร้างถนนอีกสายหนึ่งมาเดินสายนี้กัน ถนนสร้างมาเดิน เราเป็นคนสร้าง มันไม่ใช่มรรคไง เพราะมรรคมันเกิดจากสัจธรรม เกิดจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมอันนั้น เราต่างหาก เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันสมกับสัจธรรมอันนั้น ความสมดุลอันนั้นมันถึงเป็นมรรคไง

ถ้าเป็นมรรคขึ้นไป เวลามันสมุจเฉทปหานไปแล้ว มันขาดไปเลย มันถึงเห็นการขาดไปของกิเลสไง ถ้ากิเลสมันขาดไป เห็นสัจจะความจริงอันนั้น เห็นไหม เพราะเห็นสัจจะความจริงอันนั้น มันจะกราบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สัจจะความจริงอันนั้น สัจจะความจริงอันนั้น แล้วสัจจะความจริงอันนั้นมันอยู่ที่ไหน

สัจจะความจริงอันนั้นมันอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะความจริงอันนั้นมันอยู่ในใจของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วสัจจะความจริงอันนั้นน่ะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความจริงขึ้นมา สัจจะความจริงอันนี้มันจะเป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นสันทิฏฐิโก มันจะประกาศกลางหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ผู้ที่ปฏิบัตินั้นน่ะ

เรากลัวกิเลสของคนๆ กิเลสของเราๆ ถ้าเราทำความจริงขึ้นมามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันทำลายอวิชชา ทำลายความไม่รู้ ทำลายทิฏฐิมานะ ทำลายตัณหาความทะยานอยาก ทำลายสิ่งที่มันไปกว้านเอาสิ่งนั้นมาเบียดเบียนจิตใจเรา เราเป็นคนทำลายในหัวใจของเรา เวลามรรคมันเกิด มรรคมันเกิดมาอย่างนี้ แล้วมันทำลายกลางหัวใจอย่างนี้ มันจะไปยอมรับไอ้ความเป็นหัวตออันนั้นไหม

ความหัวตอก็เป็นความเป็นหัวตอไง ถ้าเป็นความจริงๆ อย่างนี้ เพราะมันตื่นตัวตลอดเวลานะ สัมมาสมาธิมันตื่นตัวตลอดเวลา มันแจ่มแจ้งอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันเป็นผลงานก็เป็นความจริงขึ้นมา มันถึงจะเป็นมรรคเป็นผล

ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่ออันนี้ ที่ว่าฟังธรรมๆ นั่งฟังให้หลวงพ่อเทศนา ถ้าใครไม่ว่า ให้หลวงพ่อระบายอารมณ์

ให้มีคนพูดแทนเถอะน่า ใครพูดได้ เราจะไม่ต้องพูด

ให้หลวงพ่อระบายอารมณ์

เวลาธรรมมันพุ่งมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามาเอาอกเอาใจกันน่ะ กิเลสทั้งนั้น มาสอพลอ มาเสแสร้ง ความเสแสร้งเอาอกเอาใจกันไง นี่ไง หลวงตาท่านพูดประจำ ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนค่อยเทศน์ได้ไง พอเทศน์ไปแล้วมันจะขัดอกขัดใจเขา ถ้าขออนุญาตกิเลสก่อนไง ถ้าเป็นธรรมๆ มันแทงเข้าไป แทงเข้าไปที่ในหัวใจนั้นน่ะ แล้วแทงเข้าไปในหัวใจนั้น แล้วใครมันจะแทงได้ล่ะถ้ามันไม่รู้จัก มันยังหาใจมันไม่เจอ มันยังไม่รู้จักใจของมันเลย มันจะเอาอะไรไปแทงล่ะ มันก็แทงไม่ได้ แทงไม่เป็น ถ้าเป็นจริงก็เป็นจริงอย่างนี้

นี่พูดถึงฟังธรรมๆ เพื่อสติเพื่อปัญญาของเรา ถ้าสติปัญญาของเราเพื่อชีวิตของเรา เพื่อความดำรงชีพของเรา เพื่อผลงานของเราไง เพื่อมรรคเพื่อผลนะ

ชีวิตโลก เราก็อยู่ชีวิตของเขาไป เราอยู่กับโลก เกิดมาเป็นโลก พระก็ต้องมีปัจจัย ๔ โยมก็ต้องมีปัจจัย ๔ ต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติตัวใครตัวมันนะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน เป็นสันทิฏฐิโก มันกังวานกลางหัวใจ แล้วเวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าใช่ๆๆ เท่านั้นน่ะ ถ้าไม่ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้อุบายมา อุบาย เราก็ไปรื้อค้นของเรา ฝึกฝนของเราขึ้นมาให้มันเป็นจริงในใจของเรา เอวัง