เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ สัจธรรม เวลามีความสุข มีความสุข คนชื่นใจ ใครก็ชื่นชมทั้งนั้นน่ะ ความชื่นชมอันนั้นเขาแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา คนจะประสบความสำเร็จของเขา เขาต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน เราไปเห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งทั้งนั้นน่ะว่าเขาประสบความสำเร็จๆ เขาแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา เขาซ้อมมาเป็นวันๆ เขาทำของเขามา เขาแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา เขาแลกมาด้วยความเพียรของเขา เขาแลกมาด้วยความมุมานะของเขา เขาทำของเขามาเขาถึงได้ของเขา

ถ้าเราอยากได้ของเรา เราต้องมีความมุมานะของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ต้องมีอำนาจวาสนาของเรา ถ้าเรามีอำนาจวาสนา ดูสิ เวลาเขาเป็นมือท็อปไฟฟ์ขึ้นมา เขาบอกเลยว่าเขาไม่กลัวใครทั้งสิ้น เจอใครก็ได้ ไม่กลัวใครเลย คำว่า “ไม่กลัวใครเลย” เขามีความสามารถของเขา สุขภาพกาย สุขภาพใจของเขา เขามีเทคนิคของเขา จิตใจเขานิ่งของเขา เขาสามารถสู้ของเขาได้ ถ้าเขาสามารถสู้ของเขาได้ เขาไม่เคยกลัวใครเลย ถ้าเขาไม่กลัวใครเลย เขาถึงจะมีความสามารถของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาพระเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรามีองค์ความรู้จริงขึ้นมา ถ้าเรามีองค์ความรู้จริงขึ้นมามันกลัวใคร มันไม่กลัวใครหรอก เพราะอะไร เพราะมันมีความรู้จริง มีอะไรถามมา

หลวงตาท่านพูด เราฟังแล้วมันซาบซึ้ง ถามให้เราจนเสียทีวะ ถามมา ใครมีปัญหามีอะไรถามมา ใครมีปัญหาเกี่ยวกับธรรมะ ใครมีปัญหาเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติให้ถามมา ถามให้เราเสียที ถามให้เราจนเสียทีสิ เพราะมันไม่มีความจนไง เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่มีลับลบคมในในใจอันนั้นไง มันทะลุปรุโปร่งไปหมดไง ถ้ามันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันมีความจริงในใจอันนั้นมันจะกลัวอะไรล่ะ มันไม่เคยกลัวสิ่งใดเลย

แต่ของเรามันมืดบอดไง มันมืดบอด ถ้ามันมีความจริงอันนั้นๆ เขาจะประสบความสำเร็จของเขา เขาแลกด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา ครูบาอาจารย์เราจะประสบความสำเร็จของเรานะแลกมาด้วยชีวิต ธรรมะฟากตายๆ ทั้งนั้นน่ะ แลกมาด้วยชีวิตนะ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไป กิเลสมันปลิ้นมันปล้อนแล้วแหละ เอ็งทำไปแล้วเดี๋ยวเอ็งจะเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ทำไปแล้วเดี๋ยวเอ็งจะเป็นเอ็งจะตายนะ

เวลามันจะตาย ขอดูหน้ามันเลย อะไรตายก่อน อะไรตายก่อนเลย ความตายมันเป็นอย่างไร อะไรมันจะดับดิ้นไปจากหัวใจดวงนี้ ขอดูหน่อย นี่มันเอาความตายเข้าแลกเลยล่ะ ทีนี้เวลาทำงาน หลวงตาท่านพูด ถ้ายังไม่ได้ภาวนา ยังไม่ได้ต่อสู้กับกิเลส อย่ามาพูดนะว่าทำงานหนัก อย่าเพิ่งคุยว่าทำงานหนัก ไอ้คนทำงานๆ เราแลกมาด้วยชีวิตทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราแลกมาด้วยชีวิต แลกมาด้วยสัจจะด้วยความจริงอันนี้ขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาอยู่ในหัวใจแล้วมันจะไปกลัวสิ่งใดล่ะ เสายาว ๘ ศอก ปักหลักลงไปในดิน ๔ ศอก ๔ ศอกมันจะเผชิญกับคลื่นลม เผชิญกับโลกธรรม ๘ โลกธรรมกระหน่ำมาเลย กระหน่ำมาเลย มันจะเผชิญกับสิ่งนั้นไง

แต่ของเรามันไม่ใช่ เราไปเกาะกระแสอย่างเดียวไง อยากเป็นอยากดีอย่างเขา แต่ขี้เกียจขี้คร้าน ทำอะไรก็ทำไม่จริงไม่จังสักอย่างหนึ่ง ดูสิ เวลาคนเราถ้ามันเป็นคราวที่ว่าไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย ใครประสบความสำเร็จคนแรก คนนั้นเขาจะได้ความชื่นชมมาก แต่ถ้ามีคนประสบความสำเร็จมหาศาลเลย เราก็ประสบความสำเร็จด้วย มันดาษดื่น มันมีดาษๆ มีทั่วไปหมด มันไม่เป็นแรงจูงใจใครเท่าไร

นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคน เราเกิดในยุคสมัยใด เราเกิดในช่วงใด ถ้าเราเกิดในยุคสมัยของใคร เราทำความจริงของเรา ในยุคสมัย อำนาจวาสนาของคน เวลาอำนาจวาสนาของคน ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดขึ้นมา เอกํ นาม กิํ หนึ่งเดียวไม่มีสอง ไม่มีสอง ไม่มีใครตรัสรู้คู่ เป็นไปไม่ได้ แม้แต่องค์เดียวก็เกือบเป็นเกือบตาย องค์เดียว เราก็รอกันจนหมดยุคหมดคราวกว่าจะได้พบได้เห็นแต่ละครั้งแต่ละหน แล้วมันเป็นจริงขึ้นมา นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง ไม่มีใครเทียบได้เลย ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เอกํ นาม กิํ พูดสิ่งใดต้องเป็นสิ่งนั้น เวลาบอกเลย เวลาสุปปพุทธะเป็นพ่อของเทวทัต เวลาไม่พอใจที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกื้อหนุนเทวทัต มายืนขวางๆ จะไปบิณฑบาต ขวางไว้หมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอีก ๗ วันข้างหน้าธรณีสูบ หนีขนาดไหน ไปอยู่ที่ไหนขึ้นมา ถึงเวลาแล้วลงไปธรณีสูบหมด นี่หนึ่งไม่มีสอง พูดสิ่งใดต้องเป็นอย่างนั้นๆ

เวลาเขาพูดไปแล้ว สุปปพุทธะเขาก็รู้ของเขา เขาก็เป็นนักรบเหมือนกัน ขึ้นไปบนปราสาท ๗ ชั้นเลย เราไม่ลงไปในดิน มันจะสูบได้อย่างไร สูบได้อย่างไร ถึงเวลาแล้วด้วยความผูกพัน เวลาม้าส่วนตัว เวลามันคึกมันคะนอง มันต้องเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะไปปลอบมัน ไอ้นี่พอถึงเวลาวันที่ ๗ มันดีดเลย มันดีดในกรง เปิดออกมา เปิดหน้าต่าง ทันทีเลย หนึ่งไม่มีสอง เวลาพูดสิ่งใดต้องเป็นสิ่งนั้นเลย ถ้ามันเป็นสิ่งนั้น เพราะอะไร เพราะความจริงในใจอันนั้น ถ้าความจริงในใจอันนั้น

นี่พูดถึงว่าใครประสบความสำเร็จเราก็ชื่นชมทั้งนั้นน่ะ แต่ประสบความสำเร็จ ย้อนกลับมาดูเรา ย้อนกลับมาดูนะ ดูที่ว่าเขาประสบความสำเร็จนะ ดูสิ เวลาเขาฝึกซ้อม ชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตของเขาไม่มีชีวิตส่วนตัวเลย อยู่กับการฝึกซ้อมอันนั้นตลอดมา แล้วฝึกซ้อมมาแล้วลงไปแสวงหา ไปแข่งขันเขาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตทั้งชีวิตนั่นน่ะ ชีวิตทั้งชีวิตทำแล้วก็เป็นประสบการณ์เท่านั้นเอง

แต่เวลาคนที่ประสบความสำเร็จมีมากน้อยขนาดไหน มันต้องมีอำนาจวาสนามาเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนามาอย่างนี้มันก็ต้องมีความเพียร พรสวรรค์ๆ มันต้องมีแสวงหา มีการกระทำ ถ้าทำก็เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเป็นอย่างนั้นน่ะ ดูสิ เวลานักกีฬา นักกีฬาบุคคลมันก็เป็นคนคนเดียวนะ แต่เวลานักกีฬาเป็นทีม ที่ว่าทำไมทางตะวันตกเขาชื่นชมเรื่องการกีฬา เพราะการกีฬามันเกิดสปิริต สปิริตของทีม ถ้ามันเกิดสปิริตของทีม สปิริตของทีมนั่นล่ะมันทำให้ประสบความสำเร็จ แล้วสปิริตมันเข้ามากับสังคมเราได้ไง คนจะอยู่ร่วมกัน มันมีสปิริตขึ้นมา มันมีน้ำใจต่อกัน พอมีน้ำใจต่อกัน มันไม่กระทบกระเทือนไป สิ่งนั้นมันจะมาทำให้สังคมมันไม่กระทบกระเทือนจนเกินไปไง มันมีสิ่งรองรับเวลากระแทกของสังคมไง

เวลาสังคมมันมีปัญหาขึ้นมา มันกระแทกกระทั้นกัน ถ้ามันมีสปิริตขึ้นมา มันเห็นถึงคราวของเขา ถึงคราวของเขา เราเห็นเราไม่ชอบใจ เราไม่ชอบใจ เราก็ต้องยอมรับ ยอมรับ ถ้ามีสปิริตขึ้นมา สังคมมันก็ดีขึ้นมา สังคมมันดี มันดีเพราะน้ำใจนักกีฬา นี่เป็นยาวิเศษ ทำคนให้เป็นคนดี ถ้าคนดีขึ้นมา เป็นคนดีขึ้นมาเป็นอาชีพได้อีกต่างหาก ถ้าเป็นอาชีพขึ้นมาแล้วมันแสวงหาอย่างนั้น

เราย้อนกลับมาเรา ย้อนกลับมาเรา เราจะเอาสัจจะเอาความจริง เราจะเอาธรรมะ แล้วธรรมะขึ้นมามันก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของเรา เวลาไปหาครูบาอาจารย์ หาครูบาอาจารย์เราไปหาคติธรรมทั้งนั้นแหละ คติธรรมคอยชี้คอยนำ คอยให้กำลังใจ เวลาปฏิบัติไปหัวหกก้นขวิดนะ มืดแปดด้าน ทำสิ่งใดมันก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที ทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จสักที ศีล สมาธิ ปัญญา เขาบอกถ้ามันมีสมาธิจะมีความสุขๆ ประพฤติปฏิบัติมาจนป่านนี้มันจะเอาความสุขมาจากไหนล่ะ ความสุขต่อเมื่อจิตมันสงบ มันสุขแน่นอน สุขในตัวมันเอง สุขเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นวิทยาศาสตร์เลย

วิทยาศาสตร์ เวลาเราดูถูก ดูถูกมากนะ วิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎี มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น มันคงที่ตายตัวไง แต่ธรรมะมันพัฒนาการ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันวิวัฒนาการ บุคคล ๔ คู่ไง ทีนี้การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จากปุถุชนคนหนา จากทำสมาธิไม่ได้ ไม่รู้จัก มันได้แต่ชื่อ ได้แต่ชื่อขึ้นมา ไม่เป็นความจริงสักทีหนึ่ง

เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา ความสุขอันนั้นมันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ คนที่ไปสัมผัสสัมมาสมาธิครั้งแรกจะบอก เอ๊อะ! นี่มันคืออะไร นี่มันคืออะไร มันแปลกประหลาด มันมหัศจรรย์ ถ้ามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ นั่นแหละความจริงของมัน ความจริง ผลของมัน รสของธรรมไง รสของธรรม รสของสัจจะข้อเท็จจริงไง แต่มันยังไม่รู้จักของมันไง แต่พอมันบอกนี่เป็นสมาธิ อ๋อ! นี่หรือสมาธิ อยากได้ จบเลย อยากได้อันนี้ไง เป้าหมายไง จะเอาแต่ผลไง แต่เราไม่มีวิธีการไง

วิธีการของเรามันสู่เป้าหมายอันนั้นไง ถ้าสู่เป้าหมายอันนั้น จิตมหัศจรรย์นัก แล้วมันดีดดิ้น มันไม่ฟังใคร แม้แต่เจ้าของมันก็ไม่ฟัง แม้แต่ตัวมันเองก็ไม่ฟัง ตัวเองปรารถนาอยากได้อยากดี เวลาทำจริงขึ้นมาก็ทำโดยปลิ้นปล้อนหลอกลวง หลอกลวงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันโป้ปดมดเท็จหลอกตัวเราเอง นี่เวลากิเลสมันทำ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะปฏิบัติเอาสัจจะความจริงขึ้นมา แล้วให้กิเลสมันหลอกมันล่อ กิเลสมันปลิ้นปล้อนอยู่ในใจ แล้วก็พุทโธๆ ต้องฝืนกับมัน เพราะธรรมชาติธาตุรู้ ธรรมชาติธาตรู้ สสารมันไม่มีชีวิต พลังงานไม่มีชีวิต

แต่เวลาสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระสารีบุตรเป็นคนพูดเอง จิตนี้คือพลังงาน แต่พลังงานเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นสันตติสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันโดนครอบงำไว้ด้วยพญามาร พญามารครอบงำไว้หมด เวลาครอบงำไว้ เรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษา ศึกษาด้วยอำนาจวาสนาบารมีนะ ด้วยอำนาจวาสนาบารมี

อำนาจวาสนาบารมี หมายถึงว่า พันธุกรรมของจิตเราได้สร้างบุญกุศลของเรามา ถ้าสร้างของเรามา เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เรามาพบพระพุทธศาสนา คนเกิดเป็นมนุษย์เยอะแยะเลย แต่เขาไม่นับถือพระพุทธศาสนา นับถือศาสนาอื่น ความเชื่ออื่น ความเชื่อของเขา เขาก็ทำตามความเชื่อของเขา แต่ของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงการสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ การสิ้นสุดแห่งทุกข์มันสิ้นสุดที่ใจ ถ้าใจมันสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราต้องค้นหาใจของเราให้เจอก่อน ถ้าค้นหาใจเราเจอก่อน ใจมันคืออะไร

สัญญาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้น ความรู้สึกนึกคิดด้วยความอยากๆ ความอยากแต่มันมีพื้นฐานด้วยอำนาจวาสนาบารมีไง ถ้าอำนาจวาสนาบารมีอันนั้นมาศึกษาๆ ศึกษา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราถึงต้องมีสติมีปัญญา ต้องฝืนกันไง ฝืนที่ธรรมชาติของมัน พลังงานมันส่งออก พลังงานมันจะคิด มันเสวยอารมณ์ มันไม่ใช่เสวยอารมณ์ มันเป็นสายใยของมันเลย มันเป็นปัจจยาการ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเราจะหยุดมัน เราจะหยุดมัน พุทโธๆ สิ่งที่มันจะไปตามที่การกระทำของมัน เราฝืนไว้ด้วยคำบริกรรมพุทโธ เอาพุทโธเข้าไปสอดแทรกไว้ สอดแทรกจิตให้มันพาดพิงพุทโธไว้ พุทโธๆ พุทธานุสติ พุทธานุสติ เวลามันสงบเข้ามาโดยข้อเท็จจริงขึ้นมา “อันนั้นมันคืออะไร อันนั้นมันคืออะไร” แต่ถ้ามันไม่สงบนะ “ว่างๆ ว่างๆ” มันว่างตามของมันไปไง นี่พูดถึง

นี่ไง ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงๆ ถ้ากิเลสมันไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวงขึ้นมา เราจะมีสติมีปัญญาทำอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ปั๊บ เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านพยายามจะรักษา รักษา ท่านจะให้อุบายไปเรื่อยๆ ให้อุบายไปเรื่อยๆ เราจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะมีความสามารถขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะยืนอยู่สูงกว่าเราตลอด มนุษย์ที่อยู่สูงกว่าเรา ท่านมองลงมาท่านเห็นหมดแหละ แล้วท่านพยายามจะดึงให้เราขึ้นไป มนุษย์ที่ยืนอยู่สูงกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามจะดึงเราขึ้นๆ ดึงที่ไหน ดึงที่หัวใจไง

เวลานางวิสาขาเป็นพระโสดาบันเป็นที่ไหน เป็นที่หัวใจนั้น ไม่ได้เป็นที่ร่างกายนี้ เป็นที่ในหัวใจนั้น แต่ในหัวใจนั้นเป็นปั๊บ มันก็ให้ร่างกายเป็นไปด้วย เพราะคนเคารพนับถือไง นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นอย่างนี้

พูดถึงถ้ามันมีสปิริต สปิริตขึ้นมามันก็ทำเพื่อประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ มันตีเป็นเงินไม่ได้ มันตีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เรามองไม่เห็น แต่มีคุณค่ามาก เหมือนวัฒนธรรม วัฒนธรรมความเชื่อของสังคม เราก็ดูถูกดูแคลนกัน ดูถูกดูแคลนกัน เพราะวัฒนธรรมความเชื่อมันหล่อเลี้ยงหัวใจนะ มันหล่อเลี้ยง ดูสิ ถึงคราวประเพณีวัฒนธรรม ทำสิ่งใด สังคมใด ชนกลุ่มใดเขาเชื่อของเขา เขาทำของเขาเป็นวัฒนธรรมของเขา วัฒนธรรมของเขามันสมานให้สังคมนั้นมีปสาทะ มีความเข้าใจกัน มันมีประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีประโยชน์ มันตีเป็นเงินเป็นทองไม่ได้ สภาวะแวดล้อม เวลาไม่เห็นมีค่าสิ่งใดเลย แต่ไปฟื้นฟู เงินถมลงไปเลย ถมขนาดไหนก็เอามันขึ้นมาไม่ได้ ความเชื่อของสังคมไง วัฒนธรรมประเพณีไง เราจะเอาเงินที่ไหนไปถมล่ะ ตอนนี้ก็กลับมาที่เด็กนี่แหละ กลับมาฟื้นฟูที่เด็ก อะไรก็ยัดเยียดลงไปที่เด็กนั่นแหละ ต้องเด็กทั้งนั้นน่ะ

ถ้ามันมีคุณค่าๆ นี่พูดถึงการกีฬา เราเทียบเคียงมาให้เป็นธรรมะ แล้วธรรมะขึ้นมา เราก็ต้องการความจริงทั้งนั้น เราก็ต้องการของเรา ฉะนั้น สิ่งที่เขาได้มา เราก็ชื่นชมนะ แต่เขาแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเขา เขาทำของเขามา ถ้าเขาทำของเขามา เขาประสบความสำเร็จ เราก็ชื่นชมเขา แต่ชื่นชมแล้ว เวลาเราทำสิ่งใดมันต้องลงไปที่นั่น ลงไปที่หยาดเหงื่อแรงงานอันนั้น แล้วหยาดเหงื่อแรงงานอันนั้นถึงทำให้เราเป็นคนดีขึ้นมา

เขาตีกินอีก “สังคมอุปถัมภ์ อุปถัมภ์ค้ำชูกัน”

คำว่า “อุปถัมภ์” มันก็เป็นชาติตระกูลก็มาอุปถัมภ์นั่นแหละ เราอุปถัมภ์ ถ้าไม่อุปถัมภ์มันจะดูแลกันได้อย่างไร แต่เวลาถ้ามันเข้าสู่สังคมแล้วมันก็วัดกันด้วยความสามารถทั้งนั้นน่ะ ความสามารถของคน ความสามารถของผู้ที่กระทำมันต้องทำให้ได้ ถ้ามันมีธรรมนะ ธรรมาภิบาล เราทำเพื่อประโยชน์กับเราไง ทำเพื่อความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงได้มันก็เป็นความจริงได้นะ ถ้าความจริงขึ้นมามันเป็นอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์ นี่ประโยชน์

ฟังธรรมๆ มีสิ่งใด ธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าครูบาอาจารย์ของเราถ้าจิตใจเป็นธรรมนะ มันมองสิ่งใดเป็นธรรมไปหมดเลย นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ

ถ้าจิตใจเรากิเลสหนา ธรรมะเป็นธรรมชาติไหม เห็นทองคำมันก็จะคว้าของเขาแล้ว เห็นอะไรมันจะไปเอาของเขาหมด เป็นธรรมชาติหรือ มันเป็นธรรมชาติอยู่ มันเป็นสัจธรรมอยู่ แต่จะไปหยิบไปฉวยมาเป็นของเราๆ มันเป็นของเราได้ไหมล่ะ ถ้าหยิบฉวยมันก็ผิดกฎหมาย หยิบฉวยมาเดี๋ยวตำรวจก็จับ

แต่ถ้ามันเป็นของของเราเขามอบให้ๆ หมดล่ะ นี่ไง ถ้าเป็นของของเรา เราปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้ามันเป็นจิตใจที่เป็นธรรมแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ปฏิบัติขึ้นมา จิตใจของคนที่ปฏิบัติมันเหนือธรรมชาติ เพราะมันข้ามพ้นธรรมชาติไปไง

ธรรมชาติคือการเวียนว่ายตายเกิด ธรรมชาติคือวัฏฏะ แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไปแล้ว หัวใจของเราทำลายภวาสวะ ทำลายภพ มันพ้นจากวัฏฏะ มันเหนือวัฏฏะมันเลยเหนือธรรมชาติ เอวัง