เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็น คนเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา คนเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา มันก็ธรรมดานั่นแหละ แต่ถ้ามันมีกำลังใจ กำลังใจมันก็มีของมันอยู่ กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ว่ามันช่วยตัวเองไม่ได้ ยาก็ไม่มี พึ่งแต่ยา กินยาไป ๒ เม็ด จะมาตอนกลางคืนแล้วก็ยุ่ง ยุ่งมากๆ อันนี้มันเป็นความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ถ้าเจ็บไข้เป็นธรรมดานะ เวลาทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ เรื่องร่างกายมนุษย์เป็นเรื่องความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากนะ เวลานักวิทยาศาสตร์เขาวิเคราะห์สิ่งใด เขาวิเคราะห์มา เขาวิจัยมาจากร่างกายของมนุษย์
แต่เวลาในทางศาสนาของเรา เวลาทางศาสนาของเรา เราพยายามจะทำความสงบของใจของเราขึ้นมา ถ้าใจสงบแล้วนะ ถ้าเห็นกาย ถ้าเห็นกายมันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นไตรลักษณ์ มันกลับเสื่อมสลาย มันเสื่อมสลาย มันเน่าให้เราเห็นไป
แต่ทางวิทยาศาสตร์ อย่างเช่นเลนส์ต่างๆ ก็ใช้มาจากตามนุษย์ อย่างเช่นอวัยวะต่างๆ เขาพยายามวิจัยของเขา นักวิทยาศาสตร์เห็นเรื่องร่างกายมนุษย์เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก แล้วมหัศจรรย์ ใครทำมา ใครสร้างมา ธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างธรรมชาติมา แต่เวลาของเราเกิด ธรรมชาติสร้างมา โลกนี้มันกี่สิบกี่ร้อยล้านปี แต่ว่าคนเกิดมาอายุ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ถ้าอายุ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ซับซ้อนๆๆ เข้ามา แต่มันสำคัญๆ ที่หัวใจนั้นไง ถ้าหัวใจ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าคนเราจิตหนึ่งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเก็บน้ำตาไว้แต่ละภพแต่ชาติ น้ำทะเลสู้ไม่ได้ ซากศพที่เราตายลงๆ ที่เราฝังไว้ ซากศพที่เราตายลง เราฝังไว้ เรามานั่งอยู่บนกองกระดูกของเรานะ เรานั่งอยู่บนกองกระดูกของเรา มานั่งอยู่ซากศพของเรา มานั่งอยู่ซากศพเพราะมันซับซ้อนๆ มาไง สิ่งที่ร่างกายนี้มันซับซ้อนๆ มา แต่หัวใจสิ หัวใจที่มันพัฒนาการ ดูสิ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
คำว่า ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา เป็นพระโพธิสัตว์ๆ ท่านสร้างคุณงามความดีมาไง คุณงามความดี ใจดวงหนึ่งจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทำความดีมาขนาดนั้น ทำคุณงามความดีมาขนาดนั้น พันธุกรรมของมันๆ มันตัดแต่งของมัน แต่เวลามาเห็น เวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาทำลายอวิชชาในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา อวิชชามันเป็นนามธรรมๆ นะ
เวลาคนบอกว่าสังโยชน์ๆ มันตัวเป็นอย่างไร เวลาเราบอกพระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ พระสกิทาคามี กามราคะปฏิฆะอ่อนลง พระอนาคามี กามปฏิฆะขาดไป เวลาพระอรหันต์ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะ รูปฌาน อรูปฌาน มานะ มานะคือความยึดมั่นของใจ อุทธัจจะคือความขยันหมั่นเพียร ความฟุ้งออกไป แล้วอวิชชาคือความไม่รู้มันเป็นอะไร มันเป็นนามธรรมทั้งนั้น มันมีตัวตนอยู่ที่ไหน เวลามันมีตัวตนอยู่ที่ไหน แต่มันสถิตอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก แล้วพอมันสถิตอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก แล้วมันก็หลอกมันก็ล่อ หลอกล่อไป หลอกล่อไป สิ่งที่เป็นนามธรรม หัวใจนี้เป็นนามธรรม เวลาสังโยชน์ ๓ ก็เป็นนามธรรมเหมือนกัน เป็นนามธรรม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านละแล้วท่านบัญญัติไว้ พระอรหันต์ต้องละสังโยชน์ ๑๐ แล้วละสังโยชน์ แล้วละอย่างไร
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะละสังโยชน์ เวลาตัดขาดดั่งแขนขาด ดั่งแขนขาด คนเราตัดแขนออกไปมันไม่รู้หรือว่าแขนมันขาดออกไป แล้วเวลามันตัดแขนของมัน ดั่งแขนขาด ขาดแล้วเป็นอกุปปธรรม ขาดแล้วเป็นความคงที่เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสมุทัยเจือปนเข้ามา ไม่มีสมุทัยคือไม่มีเชื้อโรค ไม่มีสิ่งต่างๆ เข้าไป นี่มันพัฒนาที่นี่
เวลาบอกว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์มันก็มหัศจรรย์นะ ร่างกายมนุษย์มหัศจรรย์มาก แล้วพยายามคิดค้น เวลาทางวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น อายุขัยของมนุษย์ยาวขึ้น อายุขัยมนุษย์ยาวขึ้นเพราะว่าการบำรุงรักษาอันนั้น นี่ภพชาติหนึ่งไง แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเรา ธรรมะอยู่ฟากตาย เวลามันจะเป็นจะตายขึ้นมามันพิสูจน์กันเลย อะไรตายก่อน ขอดูซิ อะไรตายก่อน สุดท้ายแล้วนะ ไม่มีอะไรตาย พอไม่มีอะไรตาย จิตผ่องแผ้ว ผ่องแผ้วขึ้นมาเลย พอผ่องแผ้วขึ้นมามันก็ได้ ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ จิตใจที่มีคุณธรรมในใจ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ จะอยู่เมื่อไหร่ก็อยู่ได้ถ้ามีอิทธิบาท ๔
อิทธิบาท ๔ มันคืออะไรล่ะ มันเป็นจิตตะ วิมังสา จิตเขาก็ดูแลหัวใจของเรานี่แหละ มีความหมั่นเพียรของเรา อิทธิบาท ๔ ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ มันดูแลของมันไง ถ้าดูแลของมัน ดูแลหัวใจอันนี้ไง ถ้าหัวใจอันนี้มันเป็นประโยชน์ๆ ที่เรามาวัดมาวากันก็มาเพราะเหตุนี้
เวลามาวัดมาวากันก็เพื่อมาพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันพัฒนาขึ้น ดูทางโลกสิ เด็กของเรานะ ถ้ามันมีปัญญาของมัน มันคิดได้ของมัน มันก็จะเติบโตขึ้น ผู้ใหญ่ของเราที่ว่างานของโลกเราก็แสวงหาของเรา เวลาเรามีสติมีปัญญารู้เท่าทันคนนะ ใครจะมาโกหกมดเท็จอย่างไรรู้เท่าทันหมด แล้วเรายังรู้เท่าทันตัวเราด้วย
อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เวลาเรารู้จักเท่าทันเขาหมดแล้วเรายังรู้เท่าทันหัวใจของเราด้วย แล้วเราก็เงียบเสียไม่พูด ไม่พูดหรอก เพราะพูดไปแล้วก็กระทบกระทั่งกัน อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าพูดออกไปแล้วมันกระทบกระเทือนกันไง พอพูดออกไปแล้ว คนเขาจะรู้ว่าเราคิดอะไรไง ท่านจะเก็บของท่านไว้ ท่านเก็บของท่านไว้ ท่านรู้เท่ารู้ทันแล้วท่านเก็บของท่านไว้ เก็บของท่านไว้เพราะมันไม่มีประโยชน์ไง แต่ถ้าเมื่อใดมีประโยชน์นะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ของเรามานะ ท่านบอกเวลาหลวงปู่มั่นจะเทศน์ โอ้โฮ! ฟ้าผ่าๆ ฟ้าผ่าขึ้นมา ดูสิ เวลาฝนตกฟ้าร้อง มันจะได้ความชุ่มชื่นขนาดไหน ฟ้าผ่าๆ มันผ่ากลางหัวใจของเราไง แล้วผ่ากลางหัวใจนะ คนที่เป็นธรรม สัมมาทิฏฐิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเอะอะมะเทิ่งขึ้นมา พวกพระจะไปถามปัญหา แล้วท่านจะเสียงดังขึ้นมา พระที่อยู่รอบข้างวิ่งไปเลยล่ะ ไปใต้ถุนนั้น ไปฟังธรรมอันนั้น ใครๆ ก็อยากได้ยิน ใครๆ ก็อยากได้ฟัง เพราะธรรมอันนั้นมันจะชี้เข้ามาในใจ แล้วของเรา เรากำลังค้นคว้าของเราอยู่ เรากำลังปฏิบัติของเราอยู่ เราไม่มีช่องทางไป ถ้ามันจับต้องได้ มันจับนะ พอท่านพูดสิ่งใด เราจับเป็นคติธรรมของหัวใจ
พอคติธรรมของหัวใจ เหมือนกับเรามืดบอด เหมือนเราทางตัน พอท่านมีแสงเลเซอร์ชี้ให้ โอ๋ย! มันพุ่งไปเลย มันพุ่งไปเลย นี่ถ้าคนมันได้ประโยชน์อย่างนั้นแล้วนะ โอ้โฮ! อยู่ที่ไหนก็จะไป ขอให้พูดมาเถอะ ดูสิ เวลาพระสารีบุตรบอกพระอัสสชิว่าเห็นพระอัสสชิบิณฑบาตแล้วนุ่มนวลมาก ไปถามว่าบวชกับใคร
เราเพิ่งบวชใหม่ เรายังไม่มีธรรมะลึกซึ้งอะไรหรอก
อย่างนั้นท่านก็พูดมาเท่าที่ท่านรู้ แล้วหน้าที่ของเราคือแทงตลอดในความรู้สึกของเราเอง คือแทงตลอดในสติปัญญาของเราเอง ให้พระอัสสชิพูด
เวลาพระอัสสชิพูดขึ้นมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปดับที่เหตุนั้น
พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันขึ้นมาทันทีเลย เห็นไหม เราจะใช้ปัญญาของเราแทงตลอดของเราเอง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราขวนขวายของเรา สติปัญญาของเรา เราขวนขวายของเรา แล้วมันอั้นตู้ คำนี้เป็นคำของหลวงปู่อ่อน มรรค ๘ มืด ๘ ด้าน หลวงปู่อ่อนท่านพูดนะ มรรค ๘ มืด ๘ ด้าน มืดบอดหมดเลย มรรค ๘ ทางอันเอกมันปิดกั้นหมดเลย ไปไม่ถูกหรอก
ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ขึ้นมา ท่านแสดงธรรมๆ แสงเลเซอร์มันชี้เลย ส่องไปเลยนะ แล้วเราพยายามขวนขวายไปนั่น นี่เวลาครูบาอาจารย์ เราอยู่กับครูบาอาจารย์อยู่อย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดออกมา ท่านทำสิ่งใดออกมา ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจับได้ เราจับได้ จับแล้วพิจารณาตาม จับแล้วพิจารณาตาม มันจะเป็นประโยชน์ตรงนี้ อาจารย์ลูกศิษย์กรรมฐานเขาเป็นกันอย่างนี้ ฉะนั้น หลวงตาถึงได้พูดไง พูดว่าถ้าในกรรมฐานเรา การปฏิบัติสูงสุดคือการฟังธรรม เพราะมันฟัง มันชุบมือเปิบเลย แล้วอันดับ ๒ ก็นั่งตลอดรุ่ง นี่หลวงตาท่านพูดประจำ สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมันจะแทงทะลุไปนี่อันดับ ๑ เวลาฟังธรรม
ฉะนั้น เวลาอยู่บ้านตาดนะ เวลาท่านจะรวม บอกเลย รวมพระ รวมพระคือขึ้นศาลา พอขึ้นศาลาปั๊บ เรียบร้อยปั๊บ ท่านลงมาเทศน์เลย เทศน์เสร็จ จบ ไปภาวนาต่อ อยู่อย่างนั้นน่ะ
ถึงเวลาท่านจะสั่งเลย รวมพระ รวมพระก็พระทั้งหมดขึ้นศาลา พอขึ้นศาลาเสร็จแล้วนั่งเรียบร้อยปั๊บ เดี๋ยวท่านลงมาแล้ว พอลงมาท่านก็ใส่เลย ใส่เลย ใส่แล้ว เสร็จแล้วพอจบ อ้าว! กลับ ภาวนาต่อ นี่ครูบาอาจารย์เราทำกันมาแบบนี้ เพราะอะไร เพราะต้องการให้หัวใจเราเบิกบานไง
เบิกบานคือว่าถ้าจิตใจมันสงบระงับ อยู่ในวัดมันก็อยู่สุขสบายนะ ถ้าจิตใจมันดิ้นรนนะ มันอยากจะไปๆ ร่างกายมันอยู่นี่ จิตใจอยู่ในร่างกายนี้มันเต้นโครมๆๆ เลยแหละ แต่ถ้าจิตใจมันสงบนะ โอ๋ย! สุขมาก แหม! มันมีความสุขขนาดนี้เลยเนาะ แหม! ความสุขอย่างนี้ใครๆ ก็หาไม่ได้ มันอยู่ในใจเรา นี่ไง ถ้าอบรมสั่งสอนเราก็เพราะแบบนี้ไง ให้หัวใจมันมีความสุข ความสงบ ความระงับ แล้วมีสติปัญญาฝึกฝนขึ้นมา จะชำระล้างกิเลสได้ต้องเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา
ครูบาอาจารย์ท่านยื่นให้ ท่านยื่นให้นะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง แต่ใจของเราถ้าจะเป็นจริงขึ้นมา เราต้องขวนขวายของเราขึ้นมา มันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากใจของเรา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาก็เกิดมรรค ถ้าไม่เกิดมรรคมันก็ไม่เกิดผล ถ้ามันเกิดมรรคอันนั้น มันก็รื้อค้นขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ารื้อค้นในหัวใจของเรา นี่ปฏิบัติอย่างนี้ อยู่กับครูบาอาจารย์ท่านทำกันอย่างนี้ นี่พูดถึงกรรมฐานไง แล้วกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักอย่างนี้มันจะเหลือเท่าไรล่ะ เพราะอะไร เพราะไม้หลักมันปักขี้ควายไง ถึงเวลาแล้วก็หาลูกศิษย์เยอะๆ แล้วก็สร้างกระแสกัน แล้วก็หมุนไปเวียนมา มรรค ๘ มืด ๘ ด้านน่ะ
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สว่างไสว มรรค ๘ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภัททิยะไง ภัททิยะไปถามท่านตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน ภัททิยะก็มาถามเลย ศาสนาไหนก็ว่าดี ศาสนาไหนก็ว่าดี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า อย่าพูดไปเลย เพราะเราใกล้ตายแล้ว มันไม่มีเวลา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล
ศาสนาทุกศาสนาเป็นการจำกันมา เป็นการท่องบ่นกันมา เป็นการก็อปปี้กันมา มันไม่มีเหตุมีผลหรอก แต่ถ้ามันจะมีมรรคมีผลนะ มันต้องขึ้นมาจากหัวใจ เกิดจากภาวนามยปัญญา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วท่านถึงอาจหาญมาก มันเกิดจากหัวใจดวงนั้น แล้วมันจะกลัวใคร หัวใจดวงนั้นน่ะ หัวใจดวงนั้นมันรอบของมัน ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ มันรู้รอบของมันในใจของมัน แล้วมันจะไปไหน มันก็อยู่นั่นล่ะ นี่สัจจะความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วมันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในใจเรานี่แหละ ที่เรามาฝึกมาฝนกันอยู่นี่ไง
การศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษามาโลกเจริญด้วยปัญญา แต่ปัญญาอย่างนี้ปัญญาวิชาชีพ ปัญญาทางโลก ปัญญา วันกรรมกร วันแรงงาน แรงงานมนุษย์มีเชาวน์มีปัญญาก็ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขึ้นมา สร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขึ้นมาแล้วก็ต้องมาบำรุงรักษามัน แต่ถ้าของเรา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราจะสร้างหัวใจของเรา แล้วสร้างหัวใจของเราแล้ว เราดูแลของเราเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ อานนท์นะ เรานิพพาน เราก็เอาธรรมของเราไปเท่านั้น เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย
พระอานนท์เสียใจมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน จะไม่มีคนสอน เพราะว่าท่านยังเป็นพระโสดาบันอยู่ เราเอาของเราไปเท่านั้น อานนท์ เวลาผู้ที่ใครดับขันธ์ก็เอาแต่ธรรมะของเขาไป สิ่งที่ธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ที่นี่จะเป็นศาสดาของพวกเธอ พวกเธอต้องขวนขวายบากบั่นทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเธอ ถ้าเป็นสมบัติของเธอแล้วนะ เธอจะองอาจ เธอจะกล้าหาญ เธอจะไม่กลัวสิ่งใดเลย เพราะในหัวใจของเธอผ่องแผ้ว
นี่ไง พระพุทธศาสนา หัวใจมันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่อะไรเลย สิ่งอื่นนี้เป็นเครื่องประกอบทั้งนั้น หลักของพุทธศาสนาคือสัจธรรมเท่านั้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วเราตรัสขึ้นมาบนหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจนี้ไง เอาหัวใจนี้ให้มันฉลาดไง เอาหัวใจนี้ให้พ้นจากการครอบงำของกิเลสไง แล้วหัวใจของเรามันก็ครอบงำอยู่นี่ไง เราก็พยายามของเรานี่ไง เพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เอวัง