เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังสัจธรรมไง เวลาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุขทุกข์อยู่ที่ใจ สุขทุกข์อยู่ที่ใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ่งที่สัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข คำว่า “เสวยวิมุตติสุข” มันสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเผยแผ่ธรรมๆ ขึ้นมา เราไปวัดไปวา เราไปแสวงหาบุญกุศลของเรา เราต้องไปวัดไปวา เราอยู่ในสังคมที่มีความเมตตาต่อกัน สังคมที่มีน้ำใจต่อกัน จะมีความสุขมีความสงบไง ความสุขอันนั้นเป็นความสุขจากภายนอกไง เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาความจริงแล้วมันต้องเป็นการประพฤติปฏิบัติในใจของเรา

ทีนี้การประพฤติปฏิบัติในใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งมันมีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น พอมีแก่น แก่นสารอันนั้นคือแก่นสารในใจของมนุษย์ไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง เราแสวงหากันเกือบเป็นเกือบตายไง แต่ความจริงเราแสวงหา เราก็แสวงหาหัวใจของเราไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านออกธุดงควัตร เที่ยวป่าเที่ยวเขาไปตลอด แล้วเที่ยวป่าเที่ยวเขาไป เราก็จะไปแสวงหาสัจธรรมกันในป่าในเขานั้นไง สิ่งที่เราแสวงหาสัจธรรม เราแสวงหาสัจธรรมในใจของเราไง แต่เราอาศัยป่าอาศัยเขานั้นเป็นเครื่อง เป็นสภาวะแวดล้อมเพื่อให้การประพฤติปฏิบัติเราไม่เกาะเกี่ยวกับโลกไง

เวลาโลก สัตว์สังคมๆ ไง เวลาอยู่ในป่าในเขา เราอยู่ในสภาวะแวดล้อมอย่างนั้น เวลาคนเรามีความสะเทือนใจ มันจะหดหู่เศร้าสร้อย แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันธรรมสังเวชๆ มันสังเวช

ของเราเวลาหดหู่ เวลาจิตใจเราหดหู่เศร้าสร้อยขึ้นมา มือเท้าอ่อนเลย ทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะมันหดหู่ไง มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงมรณานุสติ ให้ระลึกถึงความตายตลอดเวลา จะได้ให้จิตใจไม่เห่อเหิมจนเกินไป ถ้าจิตใจมีสติสัมปชัญญะ ทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์กับเรา เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันท่วมท้นขึ้นมา มันไม่มีวันตาย มันจะกว้านทั้งหมดในโลกนี้มาเป็นของมันน่ะ มันไปกว้านมาหมดเลย

ระลึกถึงความตายๆ ระลึกถึงความตายแล้วมันก็หดหู่ บางคนระลึกถึงความตายแล้วขาอ่อนเหมือนกัน แต่เวลาเราระลึกถึงความตายขึ้นมา ระลึกถึงความตาย ถ้าคนเราจิตใจมีอำนาจวาสนาบารมี ระลึกถึงความตายแล้วมันองอาจกล้าหาญไง เพราะว่าในเมื่อเราทำสิ่งใด เวลาเราระลึกถึงความตาย ทรัพย์สมบัติของเราใช้จนตายมันก็ไม่หมด เรามีสติปัญญาอยู่กับหัวของเรา เราสามารถดำรงชีพได้ทั้งนั้นน่ะ เรามีปัญญา เราทำอะไรก็ทำได้ไง แล้วเราจะไปแสวงหาทำไม เราต้องตาย

เราจะแสวงหามา ถ้าแสวงหาโดยเป็นธรรมๆ ขึ้นมานะ แสวงหามาเพื่อประโยชน์ คนที่เขามีทรัพย์สมบัติของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขา เขาจาคะของเขา มันเป็นบารมีของเขา เขาสร้างอำนาจวาสนาของเขา ของของเขามีของเขา เขาสร้างประโยชน์ของเขา เขาทำอย่างนั้นมาเพราะอะไร เพราะเขาต้องหมดอายุขัยของเขาไป

ไอ้ของเราเวลาตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตา มันจะไปกว้านมาหมดเลย การกว้านมาหมดเลยอันนั้นคือตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเราทำหน้าที่การงานของเรา อันนี้มันเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะว่าคนเกิดมา คนเกิดมามีปากมีท้อง คนเกิดมา เราเป็นญาติกันโดยธรรมนะ

เวลาเราเกิดมาพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกใช่ไหม คนเรามีเกิดก็มีพ่อมีแม่ มีสายบุญสายกรรมทั้งนั้นน่ะ แล้วเราเป็นญาติกันๆ มีปากมีท้องเหมือนกัน มีสุขมีทุกข์ในใจเหมือนกัน เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรมๆ ไง แต่ถ้ากิเลสมันไม่เป็นญาติกันโดยธรรม มันเกิดมาเพื่อแก่งแย่ง มันเกิดมาเพื่อเหยียบย่ำ มันเกิดมาเพื่อจะเอาชนะคนอื่น นี่ไง มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุขทุกข์อยู่ในใจ สุขทุกข์อยู่ในใจ ความบกพร่องของเรา เราหาของเราไม่เจอ ถ้าความบกพร่อง เราหาแต่ความบกพร่องของเราไง เราหาความบกพร่องของเรา จิตใจนี้มันพร่องอยู่เป็นนิจ จิตใจพร่องอยู่มันก็สั่นไหว เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมา จิตใจมันอิ่มเต็ม ถ้าจิตใจมันอิ่มเต็ม มันไม่หิวไม่กระหาย สิ่งที่ว่าเราแสวงหาเพื่อเราๆ เราแสวงหาเพื่อโลก แสวงหาเพื่อประโยชน์กับสังคม เราแสวงหา ผู้นำที่ดีๆ สิ่งใดได้มาแล้วแบ่งปันกันให้สังคมนั้นมีความเสมอภาคต่อกัน เป็นหัวหน้าที่ดีๆ

พระเจ้าอโศกมหาราชเวลาท่านยกทัพไปปราบพวกอริและศัตรู ไปชนะเขาทั้งนั้นน่ะ แต่ไปเห็นสภาพของคนตายแล้วท่านสังเวช สุดท้ายท่านก็เผยแผ่โดยธรรมไง เผยแผ่โดยความเมตตา เผยแผ่โดยปัญญาของคน ให้เจ้าแคว้นนครต่างๆ ก็ให้มีความเมตตากับลูกบ้าน ให้ดูแลไป นี่เป็นสังคม มีความเคารพ มีความรัก มีความเอ็นดู มีความระลึกถึงกัน นี่เผยแผ่โดยธรรมๆ จิตใจคนที่มีธรรมมันมีน้ำใจต่อกันไง

เขามา เขาไม่รู้ของเขา เขามาด้วยความเดือดร้อนของเขา ดูสิ สังคมไทยๆ ใครมาถึงชานเรือนบ้านช่องของเรา เรามีน้ำท่ารับรองเขา เพราะเขาหิวเขากระหายของเขามา เราให้น้ำให้ท่าเขาเพื่อประโยชน์กับเขา นี่ไง ถ้ามันโดยธรรมๆ มันร่มเย็นเป็นสุขไปทั้งนั้นน่ะ แล้วโดยธรรมๆ แล้วกิเลสล่ะ กิเลสมันมักมากอยากใหญ่ เราจะต้องกำราบมัน ถ้ากำราบมัน ความผิดของเรา เราจะดูความผิดของเรา ความผิดตรงไหน ความผิดที่จิตใจมันดิ้นรนอยู่นี่ไง ความผิดในหัวใจของเรา

ธรรมะๆ สุขทุกข์อยู่ในใจ สุขทุกข์อยู่ในใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหา มีปัญจวัคคีย์เป็นผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ ๖ ปี เที่ยวแสวงหากับเจ้าลัทธิต่างๆ มันมีสังคมทั้งนั้นน่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญจวัคคีย์ละทิ้งไป อยู่โคนต้นไม้องค์เดียว เวลาสำเร็จอยู่โคนต้นโพธิ์ แต่ความสำเร็จ สำเร็จในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มืดบอด สิ่งที่มองไม่เห็นต่างๆ มันกระจ่างแจ้งไปหมดเลย มันกระจ่างแจ้ง ๓ โลกธาตุ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์เพราะอะไร เพราะเขามืดบอดทั้งนั้น ใจเขามืดบอด

นี่ไง ถ้าหัวใจของเรามันมืดบอด หัวใจของเรามันไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเรา มันค้นหาความผิดของตนไม่เจอ ถ้าเราค้นหาความผิดของเราไม่เจอ เราจะมีความอุดมสมบูรณ์ เราจะมีอำนาจวาสนา จิตเราต้องเป็นสัมมาสมาธิสิ จิตเราต้องตั้งมั่นได้สิ นี่มันตั้งมั่นไม่ได้

ทำงานอย่างอื่นในโลกนี้ทำได้ทุกอย่างเลย งานอะไรมาบริหารจัดการได้หมดเลย แต่หัวใจของตนทำไม่ได้ นั่งสมาธิก็นั่งไม่ได้ ให้จิตมันสงบก็ทำไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้เลย ไหนว่าสมบูรณ์ไง ไหนว่าจิตของเราอิ่มเต็มไง ถ้าอิ่มเต็ม มันอิ่มเต็มได้ไหม มันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่เสวยอารมณ์มันก็ไม่เป็นเหยื่อของกิเลส

เวลาเราบกพร่องอยู่เป็นนิจ กิเลสมันก็เอานั่นมาล่อ เอานี่มาล่อ ไปหมดเลย ถ้ามันอิ่มเต็มแล้วเอามาล่อ ล่อ ไม่กิน ล่อ ไม่เอา ของฉันมีอยู่แล้ว ของฉันสมบูรณ์อยู่แล้ว ถ้าสมบูรณ์อยู่แล้ว ถ้าเรายกขึ้นสติปัฏฐาน ๔ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าปัญญาอย่างนี้โลกุตตรธรรมๆ มันธรรมเหนือโลกๆ เหนือโลกเหนือสงสารเลย ไอ้นี่มันธรรมใต้โลก นึกเอา ชอบใจเอา ไปคว้ามา ไปกว้านมาเพราะมันหิว อารมณ์ผ่านเข้ามาหยิบหมด คว้าหมดเลย ของฉันๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นของฉันสักอันหนึ่ง เพราะอะไร เพราะมันเป็นของหลอก

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงเราอิ่มเต็มแล้วเราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เวลามาแล้วถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง มันวิปัสสนาของมัน มันทำของมัน เป็นความจริงของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นทำความจริงขึ้นมามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มีการกระทำขึ้นมา เราทำกับมือ ของเราทำเอง ใครจะมาติฉินนินทาเรื่องของเขา โลกธรรม ๘ เขาติฉินนินทา หวั่นไหวไปกับเขา

เราทำของเรามาๆ เราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม ด้วยเวรด้วยกรรมคือความคิดนั่นแหละ จริตนิสัยของคน ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมา นิสัยสันดานเป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วมันก็จะเป็นนิสัยสันดานในชาติปัจจุบันนี้ แล้วนิสัยในชาติปัจจุบันนี้มันก็มีความคิดความเห็นอยู่อย่างนี้ ความคิดความเห็นอย่างนี้ นี่ไง สิ่งต่างๆ เราไม่เห็นความบกพร่องของเราเลย ทำสิ่งใดก็ทำไม่ได้เลย

เวลาเราทำของเรา เราทำของเรามา เราทำของเรามา โลกเขาจะติเตียนอย่างไรให้เขาติเตียนไป ติเตียนมาเลย โลกธรรม ๘ ติเตียนมาเลย เราทำของเราเอง ถ้าเราทำของเราเอง ใครจะติเตียน ติฉินนินทาก็เรื่องของเขา แต่ความจริงในใจของเราไง ถ้าเราทำความสงบระงับในใจของเราได้ เราอยู่ในป่าในเขาของเรา เราทำความสงบระงับในใจของเราได้ โลกเขาจะติเตียนมันเรื่องของโลก โลกเขาสรรเสริญกันเชิดชูกัน แล้วหัวใจบกพร่อง หัวใจว้าเหว่กัน อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ไง ร้อนอยู่ตลอดเวลาไง แล้วอันนั้นเป็นประโยชน์อะไร นี่ไง สังคมๆ พระพุทธศาสนาสอน สอนอย่างนั้น สุขทุกข์ในใจ สุขทุกข์ในใจ

ที่เรามาวัดมาวากันเพราะเรายังแสวงหาไม่ได้ ยังแสวงหาไม่เจอ เราก็ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพราะอะไร อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะไม่คบคนพาล คนพาลมันจะพาไปเที่ยวยิงนกตกปลานู่นน่ะ เที่ยวโรงพยาบาลโรงบ้า เที่ยวเรื่องอบายมุข ถ้าเราเป็นบัณฑิต บัณฑิต ไม่เห็นมีอะไรเลย ไปวัดก็มีแต่ต้นไม้ ต้นไม้กับใบหญ้า ไม่เห็นมีอะไรเลย...ต้นไม้กับใบหญ้านั่นน่ะมันเป็นธรรมชาติ ถ้าจิตมันอ่อนโยน จิตมันเข้ากับสัจธรรมได้ มันมีความสุขนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขอยู่ที่ไหนบ้าง อยู่โคนต้นไม้ทั้งนั้นน่ะ ไม่ได้อยู่วิมานชั้นฟ้าไหนเลย เขาอยู่วิมานชั้นฟ้ากัน เทวดา อินทร์ พรหมอยู่ในวิมานต้องมาฟังเทศน์คนอยู่โคนต้นไม้ เวลาถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา มันเป็นสัจจะความจริงอันนั้น แล้วใครจะติฉินนินทามันเรื่องของเขา เขาอยู่บนปราสาทราชวัง มึงอยู่ไปเลย กูอยู่โคนต้นไม้ แต่กูมีวิหารธรรม กูมีวิหารธรรม วิหารธรรม ธรรมในใจเป็นวิหารธรรมที่มันมีความสุข ความสงบ ความระงับไง ถ้ามีความสุข ความสงบ ความระงับอันนี้มันเป็นประโยชน์อันนี้

เขาจะนินทาก็เรื่องของเขา นินทามันก็ส่วนนินทา แต่เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเป็นความดีของเรา มันเป็นสัจธรรมของเรา นี่โดยสัตย์ ถ้าโดยสัตย์ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาเข้าพรรษาถือธุดงค์ มีครูบาอาจารย์มากที่อยากจะถือธุดงค์ตลอดชีวิต แต่มันทำไปไม่ได้ เพราะมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วมันวุ่นหมดแหละ ลองถือธุดงค์สิ ถ้าทำได้จริงนะ โอ้โฮ! ใครก็อยากดู จริงหรือเปล่า ใครๆ ก็อยากมาเห็น มันวุ่นวายไปหมด แต่เวลาเขาทำขึ้นมาเขาทำเพื่อข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อตัดทอนกิเลสในใจ เขาไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงศักยภาพอะไรทั้งสิ้น แต่มันเป็นวิธีการ มันเป็นวิธีการ ธุดงควัตรเป็นวิธีการขัดเกลากิเลส มันเป็นวิธีการ

แต่ถ้าถึงจริงๆ แล้วมันต้องเป็นมรรค เวลาจะเข้าไปชำระล้างกิเลสมันต้องเป็นมรรคไง ศีล สมาธิ ปัญญาอันนั้น แต่ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดขึ้นมาไม่ได้เพราะเรามันอ่อนแอ มันไม่มี ดูสิ เวลาฐานยิงจรวดเขาต้องมั่นคงแข็งแรง เพราะมันมีน้ำหนักแล้วมีความร้อน มีอุณหภูมิ มันถึงจะขับดันจรวดอันนั้นไปได้

ปัญญาโลกุตตรธรรมๆ ที่มันเกิดบนหัวใจของเรา ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ไม่มีสิ่งใดรองรับมาเลย มันจะเกิดบนอะไรได้ล่ะ มันก็เกิดด้วยปัญญาโลกนี่แหละ ปัญญาขี้โม้น่ะ ปัญญาที่สังคมยกย่องกันอยู่นี่ แล้วกลัวจะผิดด้วย มันต้องชักเข้าไปสู่ตำราๆ ให้ถูกต้องตามตำราเลย แต่เป็นความจริงมันไม่มี

ถ้าความจริงมันมี มันมีเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา ถ้าเรามีโลกุตตรธรรม มันต้องมีศีล มีสมาธิของมันขึ้นมา ถ้ามีศีล มีสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิมันขึ้นมาจากไหนล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาในตำรามันก็เป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ มันเป็นอักษรทั้งนั้นน่ะ เวลาศีล สมาธิ ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นจากจิต จากจิตของผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่มีบารมี ผู้ที่มีบารมีมันเกิดขึ้นมามันเป็นธรรมจักร ดูสิ ปัญญามันหมุนไป มันเห็นความมหัศจรรย์ไง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกเพราะอะไรล่ะ เพราะมันเกิดขึ้นมาจากใจดวงนี้ไง ถ้ามันเกิดขึ้นจากใจดวงนี้ มันเห็นใจดวงนี้

ดูอวิชชา ดูสิ เวลาเราเกิดมาแล้วเขาให้นึกถึงมรณานุสติๆ ให้ระลึกถึงความตายๆ ระลึกถึงความตายมันก็หดหู่ มันก็เศร้าสร้อยไง เวลาจิตมันสงบแล้วมันเกิดคุณธรรมขึ้นมา คุณธรรมขึ้นมามันเกิดมรรคเกิดผล เวลาเกิดมรรคเกิดผล มันเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันหมุนอยู่กลางหัวใจนั่นน่ะ มันหมุนอยู่กลางหัวใจ นี่จักรมันเคลื่อน ธรรมมันเคลื่อน เคลื่อนจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ที่มันเคลื่อนขึ้นไป มันเกิดที่ไหน มันไม่มีทางเกิดจากการศึกษา ไม่มีทางเกิดจากการค้นคว้า มันจะเกิดขึ้นมาได้บนหัวใจของสัตว์โลก บนพุทธะ บนหัวใจนั้นเท่านั้น

แล้วหัวใจนั้น ที่เราค้นคว้า ฟังธรรม นี่ไง มันแก่นของศาสนาๆ ไง ถ้าแก่นของศาสนา มันมีแก่นของมันอยู่ แต่กระแสสังคมไง ต้องการให้เขานับหน้าถือตา เขาให้ยกย่องสรรเสริญ บ้าทั้งนั้น ไอ้คนนับหน้าถือตามันมีปัญญาแค่ไหน ไอ้คนที่สรรเสริญมันมีปัญญาอะไร ตำรามันยังค้นหามันยังหาไม่เจอเลย ทำไมต้องให้มันยกย่องสรรเสริญ ให้มันยกย่องสรรเสริญก็ให้โลกมันเป็นใหญ่ใช่ไหม ให้สังคมชี้นำใช่ไหม ทำไมไม่ให้คุณธรรมในใจมันชี้นำ แล้วถ้าคุณธรรมชี้นำ คุณธรรมมันอยู่ที่ไหน

ถ้าคุณธรรม มันก็อยู่ในใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงธรรมทรงวินัยของท่าน ท่านจะมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของท่าน นี่ไง เวลาความคิดมันจะเกิดขึ้นมา ความคิดของเราเป็นสัญชาตญาณ แต่ของท่านเวลาความคิดมันเกิดขึ้นมามันกระเทือน มันกระเพื่อม มันกระเทือนไปทำให้ธรรมอันนั้นมันขยับ ขยับมันก็มีพร้อม มันมีสติพร้อมที่มันจะรู้เท่าของมันอยู่แล้ว ถ้ามีพร้อมอยู่แล้ว มันจะไปกับโลกเขาทำไม ในเมื่อมันเรื่องโลก สิ่งที่เรื่องโลกๆ โลกๆ ก็เป็นเรื่องโลกๆ ไป โลกๆ เวลามันมีปัญหาขึ้นมามันก็หดหู่ มีแต่ความเศร้าซึม มีแต่กอดคอกันแล้วร้องไห้ มันก็มีเท่านั้น

แต่ถ้าเวลาเป็นจริงขึ้นมา เงียบ ความสงบระงับมันสงบระงับในหัวใจแล้ว มันสงบระงับแล้ว ถ้ามันขยับมันก็กระเพื่อม ถ้ากระเพื่อมอันนั้น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านแสดงธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่วันที่ท่านตรัสรู้ สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานมาแล้ว แต่ท่านก็ยังมีธาตุมีขันธ์ของท่านอยู่ ธาตุขันธ์ของพระอรหันต์ไง ถ้าธาตุขันธ์ของพระอรหันต์ เราจะบำรุง เราจะรักษาของเราไว้ เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์อันนั้นไง

การเกิดและการตายมีคุณค่าเท่ากัน เพราะกิเลสมันตายไปแล้ว มันไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรตายอีกแล้ว แต่สิ่งที่เหลืออยู่ไง พระอรหันต์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติจนท่านมีเศษชีวิตที่เหลืออยู่ คำว่า “เศษชีวิตที่เหลืออยู่” เหลืออยู่นี่ทางโลก แต่ถ้าเป็นประโยชน์กับโลก สิ่งที่เหลืออยู่นั่นน่ะคือสิ่งที่เหลืออยู่ที่เป็นวิหารธรรม สิ่งที่เหลืออยู่นั้น สิ่งที่เหลืออยู่ที่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่เราเป็นมนุษย์ เป็นปุถุชน ที่เราจะได้สัมผัสแตะต้องได้ แต่ของท่าน ของท่านมันอยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว เวลาท่านละธาตุละขันธ์ไป เราจะแตะต้องท่านไม่ได้เลย

เว้นไว้แต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านสิ้นกิเลสของท่าน ในประวัติหลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นท่านได้สร้างอำนาจวาสนาของท่านมา ท่านได้สร้างของท่าน ท่านสร้างเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมา แล้วท่านลาพระโพธิสัตว์ของท่าน ท่านถึงให้หลุดพ้นไปจากชาติปัจจุบันนี้ ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านจะสร้างประโยชน์กับโลกนี้ไง เพราะการว่าท่านสร้างประโยชน์กับโลกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้มาอนุโมทนา

ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นหลายองค์เป็นพระอรหันต์มาก ส่วนใหญ่แล้วก็มีผู้ที่สืบต่อ มีผู้ที่มาอนุโมทนา แต่ไม่ถึงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถึงกับครูบาอาจารย์ชั้นเลิศ แค่ชั้นเสมอกันมันก็พอแล้ว ชั้นเสมอกัน ยกย่องสรรเสริญกัน มันก็พอทำเนาแล้ว ไม่ต้องเอาชั้นเลิศหรอก

แต่ที่ชั้นเลิศเพราะอะไร เพราะท่านมีธรรมอันเลิศ ท่านมีประโยชน์อันเลิศ ท่านถึงเป็นประโยชน์กับเราไง แล้วเป็นแล้วมันก็เป็นที่ในหัวใจของท่าน ธรรมของท่านก็อยู่ในใจของท่าน แล้วกิริยาที่ท่านแสดงออกมา ที่เราเคารพบูชากัน เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ๆ ไง

เรามีอำนาจวาสนา ที่เราเกิดมา เราเกิดมาทันครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลสของท่าน เรายังจับต้องได้ จับต้องคือกิริยา จับต้องคือคำสั่งสอนของท่าน เราจับต้อง เราแตะต้องได้ แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาไง

โลกมันจะติเตียนขนาดไหนมันเรื่องของโลก เราทำของเรา มันจะติเตียนขนาดไหนมันรู้ไม่ได้หรอก ถ้ามันรู้ไม่ได้มันก็เรื่องของเขา แล้วก็ไม่ต้องการสรรเสริญด้วย คนโง่สรรเสริญมีประโยชน์อะไร คนไม่รู้มันสรรเสริญ มันมีประโยชน์อะไร เราไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด แล้วเราก็เฮฮาไปกับเขา ไอ้คนที่เขาทำถูกทำผิดเขาได้ประโยชน์อะไร เขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ฉะนั้น เขาไม่หวั่นไหวกับเรื่องบ้าบอคอแตกอย่างนี้หรอก แต่นี่มันก็เป็นเรื่องโลกธรรม ๘ นี่พูดถึงว่าที่ว่าเวลาจิตใจมันหดหู่เศร้าสร้อย มันก็ทำให้เรา ถ้าเป็นทางโลกนะ ถ้าหดหู่เศร้าสร้อยต่อเนื่องๆ ไป มันจะเป็นความผิดปกติของจิต ถ้าผิดปกติของจิต มันมีปัญหาขึ้นมา เขาต้องหาจิตแพทย์แก้ไข

แต่ถ้าเป็นธรรมโอสถๆ มันจะแก้ไขเรื่องนี้ แก้ไขเรื่องหัวใจให้เบิกบาน แก้ไขหัวใจให้มันกลับมาเป็นปกติ ถ้าปกติแล้ว สามัญสำนึกของเรา แล้วเราก็ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นไป แล้วถ้ามันเป็นธรรมสังเวชนะ มันสะเทือนหัวใจ มันจะธรรมสังเวช

เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับเขา เราไม่มีส่วนได้เสียสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นธรรม มันเป็นธรรมคือมันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงที่มันมีเหตุและปัจจัยกระทบกันแล้วเกิดขึ้น มีเหตุและปัจจัยกระทบกันเกิดขึ้น แล้วเราเห็นน่ะ เราเห็น เพราะเราหูตาเรา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เพราะหูตาเราสว่างแล้วเราเห็น สิ่งที่กระทบกระเทือนกันขึ้นมา แล้วมันเห็นแล้ว นี่สัจธรรม มันเกิดเหตุปัจจัยที่กระทบกันแล้วเกิดขึ้น

ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจท่านเห็นแล้วท่านสังเวชๆๆ สังเวชกับสัจจะอย่างนั้น สังเวชกับการกระทำอย่างนั้น แต่ไอ้พวกมืดบอดมันคิดว่ามันเก่ง ไอ้พวกมืดบอดมันนึกว่ามันรู้ ไอ้พวกมืดบอดมันนึกว่ามันมีปัญญา มืดบอดทั้งนั้น เอวัง