เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะเพื่อชโลมหัวใจให้หัวใจแช่มชื่น ให้หัวใจเบิกบานไง ถ้าหัวใจเบิกบาน มองโลกสวย ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยาก กายกับใจๆ สุขภาพกายได้มาด้วยการออกกำลังกาย ได้มาด้วยการบำรุงรักษา สุขภาพจิต สุขภาพใจ สุขภาพใจได้มาด้วยธรรมะ ด้วยธรรมะ ด้วยสัจธรรม ด้วยมีสติด้วยปัญญา
เวลาไปฟังธรรมๆ ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของเรา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงหนึ่งยื่นให้ มันก็ได้รับรู้ มันก็มีเหตุมีผลของมัน แต่ถ้าเรามีสติ เรามีปัญญาของเรา รักษาใจของเรา นั่นน่ะมันเกิดจากเรา ถ้ามันเกิดจากเรา ที่ว่าจิตใจมันชื่นบานๆ ชื่นบานอย่างนั้นไง ถ้าชื่นบานอย่างนั้นมันอยู่ที่ไหน จะทุกข์จะยากอย่างไรก็มีสติปัญญารักษาใจของตนได้ แต่ถ้าเรายังภาวนาของเรา ยังไม่มีจุดยืนของเรา เวลาเราไปหาครูบาอาจารย์ของเรา ไปชาร์จไฟๆ ไง เวลาไฟมันหมดเราก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์เรากระตุ้น กระตุกให้มันมีพลัง มีไฟ ถ้ามีไฟขึ้นมาในใจ เวลาเราอาศัยคนอื่น จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ เวลาไฟเรามอด ไฟเราอ่อนแอ เราหาครูหาอาจารย์ของเราไง ไปฟื้น ไปบำรุง ไปรักษาให้หัวใจเรามันแช่มชื่นขึ้นมา
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราได้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราได้ มันชาร์จไฟในตัวมันเอง มันมีไฟของมันอยู่ตลอดเวลาไง ถ้ามันมีไฟของมันอยู่ตลอดเวลา ไฟมันเกิดจากอะไรล่ะ ไฟมันเกิดจากสติ มันยั้งคิดได้ มันยั้งคิดถึงตัวเราเอง วันคืนล่วงไปๆ วันคืนมันล่วงไปๆ เราทำอะไรของเราอยู่ ถ้าเราทำอะไรของเราอยู่ แล้วทำอะไรล่ะ
เราจะก้าวเดินอย่างไร เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเรามีสติปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบริกรรมถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา เวลาคนแก่คนเฒ่า เวลาเขาจะเสียชีวิต ลูกๆ จะบอกเลย ให้คิดถึงพระ ให้คิดถึงพระ ให้คิดถึงพระให้คิดถึงคุณงามความดีไง ให้คิดถึงพระให้คิดถึงที่พึ่งของเราไง จิตใจของเรามันต้องออกจากร่างนี้ไปแล้วล่ะ อายุขัยของเรามันหมดสิ้นไป มันก็ต้องหาที่พึ่งๆ ของมัน
แล้วที่พึ่งของมัน เวลาที่พึ่งของเรา เราหมดไฟ เราไปหาครูบาอาจารย์ของเรา เราก็หาครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่งไง เราฝึกหัดๆๆ ฝึกหัดจนเราเป็นขึ้นมาของเราเอง ใจของเรามันมีธรรม มันมีสติมีปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งนี้มันมีค่าๆ
ใช่ คนเราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรมนะ คนเราเกิดมาบางคนประสบความสำเร็จในชีวิตต่อเนื่องกันไป บางคนลุ่มๆ ดอนๆ ไป บางคนทุกข์ๆ ยากๆ ทุกข์ๆ ยากๆ แต่เราก็มีใจของเรา หมอชีวกๆ เขาเอาไปทิ้งถังขยะ แล้วคนเขาไปเจอ พระเจ้าแผ่นดินผ่านมาก็ขอไปเลี้ยงๆ
เขาเกิดมาพ่อแม่ไม่มีปัญญาเลี้ยง เอาทิ้งไว้ถังขยะนะ อยู่ในพระไตรปิฎกมากเลย เวลาเกิดมาแล้วพ่อแม่ไม่ดูแล ไปทิ้งตามข้างทาง เวลาเกิดมา แต่เสร็จแล้วเขาเป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเกิดมาเขาฝึกฝนตัวเขาเอง เขาไม่น้อยเนื้อต่ำใจไง
เขาบอก ชีวิตนี้ไม่มีค่า เราไม่มีคนดูแล มีแต่ความทุกข์ความยาก นี่มันเผาตัวมันเอง แต่ถ้าสิ่งใดมันมองมุมกลับ ชีวิตมันน่าเศร้าหมอง ชีวิตมันมีความทุกข์ยากอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเราดีขึ้น เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเราดีขึ้น เขาปากกัดตีนถีบ เขาขวนขวายของเขา เขาแสวงหาการศึกษาของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา นี่เขาทำของเขา ชีวิตของเขาดีกว่าพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดีต่างหาก นั่นเพราะอะไรล่ะ เพราะคนเราเกิดมามันแตกต่างกัน มันมีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา จิตใจของเขามันมีกุศล มันมีจุดยืนของมัน มันทำอะไรมันไม่ทำให้ตัวเองต่ำต้อย ทำสิ่งใดก็ไม่ให้ตัวเองมีความเสียหาย ถ้าความต่ำต้อยๆ เห็นไหม
ดูสิ สมัยพุทธกาลนะ เขาเป็นกษัตริย์ออกมาบวชมหาศาลเลย เวลาเขาสำเร็จของเขา ที่นี่สุขหนอ ที่นี่สุขหนอ
เขาเป็นกษัตริย์ ทรัพย์สมบัติมหาศาล ทำไมเขาเอาความสุขไม่ได้ แต่เวลาเขามาบวชพระนะ บวชพระแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาอยู่โคนไม้ ที่นี่สุขหนอ ที่นี่สุขหนอ จนพระเขาก็สงสัย สงสัยว่าเขาคงพูดประชด พูดถึงว่าเคยเป็นกษัตริย์ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมาถามว่า เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ
จริง
อ้าว! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ
โอ้! สมัยเป็นกษัตริย์มันต้องรับผิดชอบไปหมด โอ้โฮ! มันมีแต่ความทุกข์ความยาก อำนาจที่ไหนมันก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันกำจัดกิเลสไปแล้ว อู๋ย! มันมีความสุขมาก มีความสุขมาก สุขหนอๆ
เราจะบอกว่าชีวิตต่ำต้อยๆ เราก็มองกันทรัพย์สมบัติไง ถ้าเป็นกษัตริย์ เป็นจักรพรรดิครองราชบัลลังก์เขาถึงจะมีความสุข เขามีสมบัติของเขาไง แต่เวลาอยู่โคนไม้ๆ เราจะไม่มีความสุขไง
นี่ไง ถ้าเราเอาคุณธรรมอย่างนี้มากล่อมหัวใจของเรา เรารักษาใจของเรา ถ้าด้วยคุณธรรมๆ ความสุขมันสุขที่นี่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจขนาดใดก็แล้วแต่ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมาแล้วความสุขมันเกิดที่นี่
นี่ไง ที่ว่า มนุษย์เกิดมามีกายกับใจๆ ถ้าร่างกายๆ มันก็ต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย มันบรรเทาทุกข์ได้ เวลาหิวกระหายขึ้นมา เวลากระหายน้ำ มันทุกข์จริงๆ นะ มันได้ดื่มน้ำ ได้ผ่อนคลาย ร่างกายที่มันทุกข์มันยาก เวทนาของกาย เวทนาของจิตไม่ได้สิ่งใดสมความปรารถนา มีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น เวลาคิดเผาตนเองก็เป็นความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น นี่เวทนาของจิต ถ้าเวทนาของจิต เวทนาของจิตมันเหยียบย่ำย่ำยีมากกว่าเวทนาของกาย ถ้าเวทนาของกาย ใครก็ช่วยเหลือเจือจานของเราได้ เวลาเราทุกข์เรายาก ใครยื่นมือให้มันก็พอบรรเทาไปได้ แต่ถ้าหัวใจเวลามันทุกข์มันยากขึ้นไป พ่อแม่ปลอบประโลมขนาดไหน พ่อแม่ดูแลขนาดไหนก็ว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก
นี่ไง ใครปลอบประโลมมันก็ปลอบประโลมไม่ได้ กิเลสมันอยู่ในหัวใจ กิเลสมันย่ำยีหัวใจของตน นี่ธรรมโอสถๆ ธรรมโอสถเราก็แสวงหาของเรา มีสติมีปัญญาเข้าไป ถ้าสติ ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่าสติกั้นคลื่นมหาสมุทรได้เลย สติ ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นมหาสมุทรได้เลย ถ้ามีสติปัญญา สติมันยับยั้งหัวใจแล้ว ไอ้ความคิดที่มันถาโถมเข้ามามันเบาบางลงๆ เบาบางลงเพราะสติปัญญาของเราไง ถ้ามันมีสติปัญญาของเรายับยั้งๆ ของมันไป แล้วถ้ายับยั้งมันจะมีความสุขได้ ความสุขได้เพราะอะไร
ถ้าคลื่นมันโหมกระหน่ำมามันจะเอาแต่ความเผาลนมาในหัวใจ ถ้ามันหยุดลงมันก็มีความสงบระงับบ้าง ถ้าความสุขที่มันดีกว่านี้ๆ ไง เราก็ทุ่มเทของเรา คนเรามันต้องเห็นคุณประโยชน์มันถึงจะทำไง คนเราไม่เห็นคุณประโยชน์เลย ทำไปทำไม ไม่เห็นได้อะไร อาบเหงื่อต่างน้ำก็ได้เงินได้ทองมา ไอ้ของเราได้เงินได้ทอง หามาแล้วก็หามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไง แล้วก็มีความวิตกกังวลไง ธรรมโอสถๆ มันจะทำให้ความวิตกกังวลนี้เบาบางลงไง ถ้าเบาบางลง แล้วทำอย่างไรจะเจริญงอกงามขึ้นมา
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้มีคำบริกรรมๆ ไง รักษาหัวใจของเรา รักษาหัวใจๆ ไม่ให้มันเป็นอิสระ ไม่ให้มันไปแสวงหาสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาเราใช่ไหม ให้มันอยู่กับพุทโธ มันไม่ทำก็บังคับ บังคับเพราะอะไร บังคับเพราะเราได้ตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจแล้ว เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราตัดสินใจแล้ว ถ้าตัดสินใจแล้วก็ต้องบังคับมัน
เราใช้ปัญญา นู่นก็ดี นี่ก็ดี แต่ทำไม่ได้สักอย่างหนึ่งเลย เวลาคิด คิดดี แต่เวลาทำมันไม่เอา เวลาทำแล้ว ถ้าดี ดีก็ต้องลอยมาจากฟ้า ดีก็ต้องทุกคนยัดเยียดมาให้เราเลยเป็นความดี ทุกคนก็เอามาเสนอให้เราสิเป็นความดี
ความดีจริงมันต้องเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา นี่ไง ที่บอกว่ามันยับยั้งได้ไง ถ้ามันเป็นความสุขใจ ถ้ามันรักษาหัวใจของเราได้ไง ธรรมโอสถๆ มันเกิดขึ้นมา เรารู้เราเห็นของเรา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เราเห็นคุณค่าของมัน เราเห็นคุณค่า เราตัดสินใจแล้วเราถึงมีการกระทำ ตัดสินใจแล้ว เราเชื่อของเราก็เป็นศรัทธา ศรัทธาความเชื่อๆ พยายามชักจูงหัวใจให้มันค้นคว้า ชักจูงหัวใจให้มันศึกษา ศึกษาแล้วให้มันปฏิบัติ ให้มันขวนขวายขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา จากที่เราหมดไฟๆ เราต้องไปหาครูบาอาจารย์คอยกระตุ้นไง แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงจากหัวใจของเรา มันเกิดขึ้นๆ ธรรมโอสถๆ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสนอไว้ เสนอไว้ให้เป็นปัจจัตตัง ให้เป็นสันทิฏฐิโก
เวลาทุกข์มันรู้ทุกคน ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ คนที่เกิดมาทุกข์หมด ไม่ยกเว้น นี่มันเป็นพุทธพจน์ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่เกิดทั้งหมดไม่ยกเว้น แล้วมันจะมีใครมีความสุขล่ะ ใครบ้างมันจะมีความสุข อย่ามาโกหก เป็นไปไม่ได้
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ เวลาธรรมโอสถมันเกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นเฉพาะตน เห็นไหม เป็นจำเพาะพระที่ทำได้ เป็นเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติได้ เป็นเฉพาะ เฉพาะเพราะมีสติมีปัญญาขึ้นมาไง เป็นเฉพาะใจดวงนั้น เป็นปัจจัตตังในใจดวงนั้น เป็นสันทิฏฐิโกในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นทำได้ง่ายๆ
ถ้าเราตัดสินใจแล้ว เราตัดสินใจแล้ว วันพระ วันโกนมันต้องมีหนักมีเบาบ้างไง ถึงเวลา วันคืนล่วงไปๆ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เลวกว่านะ ไม่ใช่ดีขึ้น
วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ต้องดีกว่านี้ แล้ววันต่อไปต้องดียิ่งขึ้น วันพระ วันโกน ถือเนสัชชิก ไม่นอนมัน ถ้าภาวนาไม่นอน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไม่นอนแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันได้ความเพียรไง ได้ความวิริยะ ความอุตสาหะไง มันได้มีการกระทำไง มันจะทุกข์มันจะยาก มันจะเป็นสมาธิไม่ได้ มันจะไม่เกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้นหรอก ไม่เกิดขึ้นเพราะมันกังวล
เนสัชชิกนะ โอ้โฮ! เมื่อไหร่มันจะสว่างเสียทีเนาะ อู้ฮู! เดี๋ยวกลัวมันขาดเนาะ นั่งแล้วเดี๋ยวหลังมันจะแตะพื้นเนาะ มันไปวิตกกังวล ไม่เป็นสมาธิหรอก แต่ฝึกมัน เหมือนนักกีฬาเลย มันจะซ้อมกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ซ้อม ซ้อมเพื่อความฟิต ซ้อมเพื่อความมั่นคงของใจ ซ้อมไปอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติไปเลย เนสัชชิก ทำ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่พอมันทำไปๆ จนมันอยู่ตัว มันมานะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุผลมันมีขึ้นมาแล้วมันจะไม่เป็นธรรมขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเหตุมันสมควร ถ้ามันทำจริง
ไอ้นี่เหตุไม่สมควรนะ มันบิดเบี้ยวไง มันบิ่นไง เวลาเหตุ เหตุก็ แหม! คมกล้า คมกล้า คมจนบิ่น จนไม่เป็นจริงไง เราทำของเรา คราวนี้ไม่ได้ มันบิดเบี้ยวไป มันเอียงมันอะไร เราฝึกของเรา ทำของเราๆ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุของธรรมๆ
หัวใจมันเลี้ยงยาก ความทุกข์ความยากในหัวใจมันบีบคั้นเรา สิ่งที่จะรักษามันยาก ถ้าคำว่ามันยาก ทำอย่างไรให้มันสมดุลให้มันพอดีล่ะ อารมณ์ความรู้สึกมันนุ่มนวล เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันต้องเอาอารมณ์ความรู้สึกที่พอกัน ที่มันเท่าเทียมกัน แล้วเวลาทำขึ้นมาก็คมกล้าๆ มันก็อัตตกิลมถานุโยค มันข้ามไป กามสุขัลลิกานุโยคก็ไปนอนจมกับมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันพอดี พอดีอย่างไร
ถ้าบอก เนสัชชิกทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย...ก็ได้ทดสอบไง ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส มันเป็นการขัดเกลาไง การขัดเกลาเพราะกิเลสมันทุกข์มันยาก มันบีบมันคั้นขึ้นมา เราจะขัดเกลามัน ขัดเกลามันด้วยเหตุ เราต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีคำบริกรรม มันเป็นกิริยาของใจ มันเป็นการกระทำไง มันเป็นการกระทำขึ้นไปมันถึงจะเกิดความสงบได้ไง
มันไม่มีการกระทำ จิตไม่มีการกระทำ จะเอาอะไรมา ก็เพ้อฝันน่ะ ความดีก็เอามาสิ นักปฏิบัติแล้วมันก็ต้องดีพร้อมสิ ความดีก็ต้องมา ดูสิ ดูการนุ่งห่มนักรบ ทั้งนั้นน่ะ เอาคุณธรรมมาสิ แล้วใครมันจะเอาให้ล่ะ แล้วถ้าภาวนา ภาวนาก็เอามรรคเอาผลมาสิ...เอามรรคเอาผล สมุทัยมันเจือมา มันไม่มีความสะอาดบริสุทธิ์พอ มันจะรับได้อย่างไร ดูภาชนะเราสิ มีแต่ความสกปรกทั้งนั้นน่ะ แล้วก็จะไปตักอาหาร จะตักอาหาร ภาชนะต้องล้างก่อนสิ ภาชนะเรา สารพิษกินเข้าไปตายนะ
นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปตักอาหาร ภาชนะเราต้องล้างให้ดีก่อนสิ จิตใจของเราจะมีคุณธรรมขึ้นมาก็ต้องทำความสะอาดมันก่อนสิ ทำเข้าไป ถ้ามันธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุสมควรมันเป็นไปของมันนะ นี่พูดถึงว่าธรรมโอสถๆ ไง ถ้าธรรมโอสถมันอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ในตู้พระไตรปิฎกหรือ
สาธุ! นั่นเป็นศาสดาของเรานะ ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรานะ มันก็เป็นฉลากไง มันเป็นฉลากยาไง แล้วตัวยาจริงๆ ใครเป็นคนปรุงขึ้นมาล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา ใครเป็นคนปรุงขึ้นมาล่ะ
ยา ยาคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นฉลาก ชื่อของมันบอกถึงวิธีการ บอกทั้งหมดเลย อ่านฉลากยา เก่งมากเลย รู้หมดเลย แล้วก็ไปวิจัยกัน ส่องกล้องใหญ่เลยนะ โอ้! นี่ผสมกันอย่างนี้ ไอ้นี่ผสมกันอย่างนั้น...มึงตายอยู่นั่นน่ะ
เราพยายามทำของเราเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมาก็ต้องเป็นอย่างนี้ ล้มลุกคลุกคลานของเราอยู่อย่างนี้ ถ้ามันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ทำซ้ำๆ เข้าไป ให้เรามั่นคงขึ้นมา ให้มีสัจจะ ตั้งสติแล้วทำขึ้นมาๆ
อาหารกาย อาหารใจ อาหารกายนะ ช่วยเหลือเจือจานกันได้นะ ความทุกข์ความยากปลอบประโลมกันได้นะ เวลามันทุกข์มันยากจริงๆ ขึ้นมา หัวใจ เวลาจะออกจากร่างจะรู้นะ มันจะว้าเหว่ขนาดไหน ดูสิ เวลาเรารักกันนะ เราผูกพันกันนะ ขนาดไปเที่ยวไปเตร่ไปส่งกันยังอาลัยอาวรณ์ ขนาดไปแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมานะ ยังน้ำตาร่วงเชียว ไอ้นี่มันไป หายไปเลยนะ ไปจนไม่เห็นกันเลยนะ ถ้ามันไปจนไม่เห็นกัน นั่นล่ะจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร รักษาที่นี่ๆ ดูแลหัวใจของเรา รักษาหัวใจของเรา มาวัดมาวาแล้วทำให้ได้
วันพระ วันโกนมันควรจะเป็นวันที่เราตั้งใจ ธรรมดาก็ตั้งใจอยู่แล้ว ธรรมดาเราก็เป็นคนดีอยู่แล้ว แต่มันต้องมีหนักมีเบา เป็นจริงเป็นจัง เอาจริงๆ เอาจริงๆ แล้วให้มันขึ้นมาให้เป็นจริงของเราขึ้นมา แล้ววันจะผ่อนคลายเอาไว้วันหลัง นี่วันพระ วันโกน เอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา ทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง เวลาไปหาครูหาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ชาร์จไฟๆ ท่านจะส่งจะเสริมให้กำลังใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะเล่าถึงความทุกข์ความยากของท่านให้เราได้คิดไง เวลาเราทุกข์เรายากนะ เราปฏิบัติของเราเวลามืดมนอนธการ เราจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ท่านเป็นถึงกษัตริย์นะ ท่านทิ้งจากราชวังมานะ แล้วก็ย้อนกลับมาสมัยปัจจุบันก็คิดถึงหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่น อ่านประวัติของท่านแล้วซึ้งมาก ท่านสละชีวิตของท่านจริงๆ นะ
ไอ้ของเราพูดแต่ปาก จะสละชีวิตๆ มันกลับไปเลย พรุ่งนี้กลับไปจะเต็มที่เลย สละชีวิตมันคิดถึงเวลาจะกลับบ้านนู่นน่ะ สละชีวิต มันพูดแต่ปาก แต่ของท่าน ท่านสละของท่านจริงๆ นะ แล้วทำของท่านจริงๆ มันถึงเป็นประโยชน์จริงๆ ถ้าเทียบอย่างนี้ปั๊บมันจะเป็นขึ้นมาไง ให้มีสติมีปัญญารักษาหัวใจของตน อย่าให้มันไปกว้านเอาแต่ความร้อนมาเผาตนเอง เอาแต่คุณธรรมๆ บ้างสิ เอาคุณงามความดีบ้างสิ เพื่อรักษาหัวใจของเรา เอวัง