เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ ธันวาคม๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะว่ามันจะขึ้นปีใหม่ พอขึ้นปีใหม่ เขาถือฤกษ์ถือชัยกัน เขาถือฤกษ์ถือชัยกัน เขาพยายามแสวงหาความสุขทางโลกกัน ถ้าแสวงหาความสุขทางโลก วันพระ วันโกน เรามีวันพระ วันโกนทุกวัน ครูบาอาจารย์ท่านบอกมันดีทุกวัน ดีทุกวัน หายใจเข้าและหายใจออกทุกวัน เราไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง คำว่า “ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ” เพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้ค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้าค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ

การหายใจทิ้งเปล่าๆ คือหายใจดำรงชีวิต หายใจทางโลกไง แต่ถ้าการหายใจทางธรรมนะ ถ้าหายใจ เรามีสติ เรามีสติ เรามีจิตของเราเกาะลมหายใจของเราไว้ ถ้าเกาะลมหายใจของเราไว้ จิตอยู่กับเราไง สติควบคุม ถ้าควบคุมแล้วจิตมันอยู่กับเรา จิตมันไม่ท่องเที่ยวไปกว้างไกลนัก ถ้าเราปล่อยหายใจทิ้งเปล่าๆ จิตมันเตลิดเปิดเปิงไป มันคิดร้อยแปดเลย คิดแต่เรื่องทางโลกๆ ไง

เกิดมาในโลกนี้ เกิดมาในโลกนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนลงไปเข้าสู่สัจธรรมความจริงในใจของเรา ถ้าไปสู่สัจธรรมความจริงในใจของเรา

เวลาปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ น้ำครำ โอปปาติกะ การกำเนิดเราเกิดมาโดยไม่รู้ตัวของเรา ไม่รู้ตัวเพราะอะไร เพราะมันมีเวรมีกรรมของมัน เพราะไม่รู้ถึงได้เกิด พอเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงถ้าชำระจิตใจของเราถึงที่สุดแล้วมันจะไม่เกิดอีกไปข้างหน้า แล้วถ้าไม่เกิดอีกไปข้างหน้า มันเหลืออะไรล่ะ สิ่งที่เหลือนั้นคือความรู้สึกภายในใจของตน สิ่งที่ความรู้สึกในใจของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขมันอยู่ที่ไหน วิมุตติสุขมันอยู่ในหัวใจนั้น หัวใจนั้นมันรอบรู้ไปทั้งหมด มันรอบรู้ไปทั้งหมด มันเปลี่ยนแปลงจากความไม่รู้ไง ไม่รู้คืออวิชชา อวิชชาความไม่รู้ถึงได้กำเนิด กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ เราศึกษาขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนจิตใจมันรอบรู้ของมัน มันเป็นอัตโนมัติไปทั้งหมด ถ้ามันเป็นอัตโนมัติไปทั้งหมด มันสติพร้อมไง ถ้าความพร้อม พร้อมในใจดวงนั้นไง ถ้าพร้อมในใจดวงนั้นมันเกิดจากไหนล่ะ

มันเกิดมา คนเกิดมาแล้วเห็นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เราก็ตื่นเต้นไปกับเขา อยากจะเทียมหน้าเทียมตาทางโลกเขา การอยากจะเทียมหน้าเทียมตาทางโลกเขานั่นเป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นหน้าที่การงานของเราไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาเครื่องอาศัย เราต้องอาศัยดำรงชีพของเรา ถ้าอาศัยดำรงชีพของเรานะ เราแสวงหาเหมือนกัน การแสวงหาแบบนั้น การแข่งอำนาจวาสนามันแข่งกันไม่ได้

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเทวทัต เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเทวทัตเกิด ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ผูกพันว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วไปเป็นพ่อค้าขายของเล่นให้เด็ก แล้วไปบาดหมางกัน พอบาดหมางกัน เทวทัตกำทรายขึ้นมา จะจองเวรจองกรรมไปทุกภพทุกชาติ แล้วก็เกิดมาร่วมกันทุกภพทุกชาติ ร่วมกัน พอเป็นพระเวสสันดรนั่นก็เป็นชูชก เกิดมาร่วมทุกภพทุกชาติ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ด้วยความบาดหมาง ด้วยความผูกพัน ด้วยความอาฆาตมาดร้าย การจองเวรจองกรรมกันมาตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำอย่างนั้น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน อย่างนั้น

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราก็ทำคุณงามความดีกันอยู่นี่ไง เราพยายามทำคุณงามความดีกันแบบพระโพธิ์สัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดเป็นพระโพธิ์สัตว์สร้างคุณงามความดี ทำคุณงามความดี เราอาศัยคุณงามความดีไป คุณงามความดีนั้นเป็นสุจริต เรามีสุจริตธรรมคุ้มครองเรา ถ้ามีสุจริตธรรม ผู้มีศีล กลิ่นของศีลหอมทวนลม เราประพฤติปฏิบัติของเรา ทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีเพื่อความดีของเราไง ไม่ต้องทำความดีเพื่อใครทั้งสิ้น ทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเรา

คนเราวุฒิภาวะมันไม่เหมือนกัน มันไม่เท่ากัน ทำคุณงามความดีมันก็แตกต่างกัน ทำคุณงามความดีแตกต่างกันมันก็มาโต้แย้งกันด้วยคุณงามความดีอันนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีวุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเราเป็นสุจริต ความสุจริต ความเป็นธรรมนั้นจะคุ้มครองเรา ถ้าคุ้มครองเรา ทำคุณงามความดีของเราจนมีอำนาจวาสนา

เวลาพระโพธิ์สัตว์ๆ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ เขายังเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาเปลี่ยนแปลงได้ไง แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วก็ต้องไปข้างหน้าจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตกาลแน่นอน

ของเรา วันนี้วันพระ วันโกน วันพระ ถ้าคนมีสติปัญญานะ สมัยโบราณ ชาวพุทธเขาจะหยุดวันพระวันโกน แต่เพราะว่าผู้บริหารไง บอกว่ามันจะไม่เจริญทันโลกเขา จะไม่เจริญทันโลกเขา ต้องหยุดเสาร์อาทิตย์ไง

ถ้าหยุดวันพระ วันโกน เพราะอะไร เพราะประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเราไง เราจะแสวงหาเพื่อบุญกุศลของเราไง หน้าที่การงานของเรา เวลาวันทำการเราก็แสวงหาของเราเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาวันพระ วันโกน เราก็แสวงหาสัจธรรมเพื่อหัวใจของเรา เพื่อหัวใจของเรา

เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นน่ะ อยู่ในโลกมันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นน่ะ แล้วมันมีสิ่งใดที่จะผ่อนคลายได้ล่ะ เวลาไปวัดไปวานะ ไปวัดไปวา วัดเป็นที่สงบสงัด ถ้าวัดเป็นที่สงบสงัด มันเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่ถ้าวัดเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ ถ้าผู้ที่อยู่ในวัดนั้นมีคุณธรรมในหัวใจนั้น เขาจะรื่นรมย์ของเขา แต่ของเราถ้าหัวใจเราเร่าร้อน เร่าร้อนกิเลสมันแผดเผามาจากข้างนอก เข้าไปในวัดมันก็เร่าร้อน เร่าร้อนมันก็ต้องอาศัย อาศัยทาน อาศัยศีล อาศัยสติปัญญาควบคุมหัวใจของเราให้มันสงบระงับเข้ามา

ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่ที่ผ่อนคลาย ที่ผ่อนคลาย ที่ดับไฟในหัวใจไง ถ้าดับไฟในหัวใจ ถ้าไฟในหัวใจมันดับลง มันก็พอที่จะอาศัยไง ถ้าที่อาศัยนะ สิ่งที่พอดับลง ทีนี้คำว่า “ไฟ” กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรามันเกิดดับๆ มันเกิดขึ้นมา เวลาไปอยู่ในวัดในวาขึ้นมา มาอยู่จนคุ้นชิน มันก็เกิดไฟขึ้นมาอีก มันก็ไฟแผดเผาขึ้นมา ติฉินนินทากันไปทั่ว เขาให้มาระงับไง มีสติปัญญายับยั้งมันๆ ถ้ายับยั้งมันขึ้นมา แล้วดูแลหัวใจของเรา ถ้ามันสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิได้ สงบระงับเข้ามาข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริง เห็นไหม

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชื่อ เป็นวิธีการทั้งนั้นน่ะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่นน่ะธรรมะเป็นธรรมชาติ ก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษามาเพื่อความรู้ แต่ความรู้ขึ้นมา เวลาเข้าวัดเข้าวามาแล้ว เวลาอยู่บ้านเราก็ปฏิบัติ พออยู่บ้านปฏิบัติขึ้นมา มันก็มีหน้าที่การงานของเรา มีความรับผิดชอบขึ้นมา มันทำสิ่งใดแล้วไม่สะดวกในการปฏิบัติ ไปวัดไปวาขึ้นมา เราวางไว้ให้หมด แล้วเราจะปฏิบัติขึ้นมา ศึกษามาแล้ว ศึกษามาเป็นความรู้ ความรู้ปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงไง ถ้าความจริงขึ้นมา สติก็สติจริงๆ

เวลาเข้าวัดเข้าวามา เวลามันแผดเผามันเร่าร้อนมาทั้งนั้นน่ะ เร่าร้อนมา เราก็อยู่กับความเร่าร้อนนั้น เพราะความเร่าร้อนเป็นเรา โทสะ โมหะเป็นเราทั้งหมดเลย เพราะเราคลุกคลีอยู่กับมันไง พอเราเข้าวัดเข้าวามาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญา เราศึกษา ตรึกในธรรมๆ พอตรึกในธรรม จิตมันไปเกาะธรรมะอยู่ มันก็วางได้ๆ เอ๊ะ! ไปวัดไปวามันก็สงบร่มเย็นดีเนาะ ร่มเย็นดีเนาะเพราะมันเป็นธรรมชาติของมันไง มันเกิดดับไง สิ่งใดที่มันทุกข์ ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง แล้วทุกข์มันดับลง ทุกข์มันดับลงมันก็สบายใจอยู่พักหนึ่ง

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถึงมันจะสุขมันจะทุกข์ขึ้นมามันก็เป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นสัญชาตญาณ แต่ถ้าเราจะทำความจริงๆ ให้มันปรากฏ ศึกษามา ศึกษามามันเป็นความรู้ แต่ความจริงยังไม่มีไง ถ้าความจริงมันมีขึ้นมา มันตั้งสติขึ้นมา หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง เพราะไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ เพราะเราเป็นชาวพุทธไง เพราะเรามีสติมีปัญญาไง เอาจิตของเราเกาะมันไว้ เอาจิตของเรา จิตที่เป็นนามธรรม

จิตเป็นอย่างไร ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร จิตมันอยู่ที่ไหน เวลาความทุกข์มันทุกข์เกิดมา หาใจของตนไม่เจอ เจอแต่ความทุกข์ ความทุกข์นี้มันแผดเผา ความทุกข์นี่เจอ ความไม่พอใจนี่เจอ แต่ตัวเองไม่เจอ

ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอมันละเอียดเข้าไปๆ มันปล่อยหมดนะ แล้วมันเหลือใครล่ะ เออ! มันปล่อยความทุกข์ไป ปล่อยความวิตกกังวล มันปล่อยไปทุกๆ อย่างแล้วมันเหลือใครล่ะ มันก็เหลือจิตไง ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิไง

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาเพื่อความรู้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะเป็นความจริง ถ้าความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก กาลามสูตรๆ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เวลาให้เชื่อก็ให้เชื่อความจริงในใจของเรา ถ้ามันเชื่อความจริงในใจของเรา มันเชื่อเพราะอะไรล่ะ เพราะมันรู้เห็นตามความเป็นจริงไง ถ้ามันรู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้ามันยังมีสมุทัยเจือปนอยู่ มันยังไม่จริงแท้ ไม่จริงแท้มันก็ยังงงๆ อยู่ไง เอ๊ะ! นี่มันคืออะไร

เรามีครูบาอาจารย์ ที่เราสอบถามครูบาอาจารย์ก็เพื่อตรงนี้ไง เข้าไปเห็นเหมือนกัน เข้าไปเห็นเหมือนกัน ดูสิ ในทางในโลกนะ เวลาคนเลี้ยงสัตว์ๆ เวลามันขี้ ขี้สัตว์เป็นประโยชน์มหาศาลเลย ขี้สัตว์นะ ขี้วัวขี้ควายเขาเอาไปทำปุ๋ยไง เขาเอาไปทำประโยชน์ ดูสิ ทางอินเดีย ขี้เขาเอาไปฉาบทาบ้านด้วย นี่ไง เวลาขี้มันยังมีประโยชน์เลยถ้าคนรู้จักใช้มัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาว่า มันคืออะไร หัวใจมันคืออะไร ความรู้สึกนึกคิดมันคืออะไรไง ถ้ามันขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เราก็ดูแลมัน เราดูแล เราคุ้ยเขี่ย จริงๆ หรือเปล่า สิ่งนั้นจริงหรือเปล่า ถ้ามันไม่เป็นความจริง เราไปยึดมันทำไม สิ่งที่เวลาคำติฉินนินทา คำติฉินนินทามันมีโดยข้อเท็จจริงของมัน มันมีอยู่แล้ว มันต้องมีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ ในสังคมมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันจริง มันจริง เราก็แก้ไข ถ้ามันจริงไง ผู้ที่มีสติมีปัญญาเขาบอกเรา หลวงตาท่านสอนประจำ คนโง่มากกว่าคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มาก คำพูดของคนโง่ไม่มีประโยชน์

คำพูดของผู้ฉลาดนะ คำพูดของครูบาอาจารย์คำเดียวมันมีประโยชน์มาก คำเดียวแท้ๆ นะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านสอนคำเดียวเท่านั้นน่ะ เวลาท่านจะเตือนสติ ท่านจะเตือนคำเดียว ถ้าคนมันเป็นประโยชน์มันช็อกเลยนะ อืม! มันจริง มันเถียงไม่ได้หรอก ถ้ามันจริงอย่างนั้นน่ะ ถ้าคนฉลาด ถ้าคนฉลาดเขาคอยบอกคอยชี้คอยแนะ มันเป็นประโยชน์ เราต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องแก้ไขไง

แต่ถ้าคนโง่ คนโง่ เสียงติฉินนินทามันมหาศาล คนโง่ไง คนโง่ก็ต้องลากให้เราไปโง่เหมือนเขาไง ลากไปตามกระแสสังคมไง กระแสสังคมเราไม่ตามมันไป เราไม่ตามกระแสสังคมนั้น คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มากกว่า สิ่งที่ติฉินนินทามันเรื่องของคนโง่ๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าคนโง่ๆ เราจะโง่ตามเขาไหม

เรามาศึกษา เราก็อยากศึกษาจะให้ฉลาด เราไม่ได้ศึกษาให้โง่ไง แล้วยิ่งเรียนมากยิ่งรู้มากยิ่งโง่มาก ดูสิ โง่มากเพราะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เวลาใช้ประโยชน์จริงๆ ก็ใช้ประโยชน์ด้วยสติด้วยปัญญาที่แก้ไขความทุกข์เราในหัวใจนี้แหละ สิ่งนั้นมันเป็นวิชาชีพๆ มันทดสอบได้ มันตรวจสอบได้ แต่สติปัญญาที่รู้ทันนี่สิ มันเหตุการณ์เฉพาะหน้านะ ถ้าเหตุการณ์เฉพาะหน้า สิ่งที่มันจะได้จะเสียอยู่นี่ ถ้าสติปัญญาไม่ทัน เขาโกงหมดแหละ ถ้ามันมีสติปัญญาเฉพาะหน้า เขาจะพูดขนาดไหน สติเราพร้อม ยิ้มๆ เลย หลอกไปก็หลอกไป ฉันมีสติปัญญาพร้อมใคร่ครวญได้ตลอดเวลา นี่สติเฉพาะหน้า ปฏิภาณไหวพริบที่เวลาเจรจากัน เวลาจะได้จะเสีย นี่พูดถึงเฉพาะหน้า นี่ปัจจุบันธรรม

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาจิตมันจะสงบเข้ามายิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ นู่นจะเป็นอะไร นี่จะเป็นอะไร มันสงบแล้ว อู๋ย! มันดีแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว...ยังไม่ปฏิบัติอะไรเลย เพราะรู้มาก เพราะรู้มากไง สิ่งที่รู้มาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ มันจะเป็นจริงเป็นจังอย่างไรขอให้พิสูจน์กัน มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัตจัตตังนะ รู้ๆ เห็นๆ แต่รู้ๆ เห็นๆ ด้วยวุฒิภาวะเราอ่อนแอ รู้เห็นสิ่งใดก็ไปตื่นเต้นไปกับมัน แต่เราฝึกหัดของเราบ่อยครั้งเข้าๆ เพราะมันจะได้มันจะเสียอย่างนี้แล้วไม่ได้สักที คราวนี้วางให้หมดเลย อะไรจะเกิดขึ้นช่างหัวมัน เรายึดพุทโธไว้ เรายึดลมหายใจไว้ มีสติปัญญาของเรา มันละเอียดเข้าไปโดยธรรมชาติของมันน่ะ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราที่เป็นนามธรรม มันไม่มีสัจจะความจริงเลยหรือ มันไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเราเลยหรือ ของจริงๆ อยู่นี่ สิ่งที่เป็นนามธรรมมันกลับเป็นของจริงนะ สิ่งที่เป็นวัตถุ แม้แต่เพชรนิลจินดามันยังย่อยสลาย มันยังกัดกร่อนมันไป แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรม จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ครูบาอาจารย์ท่านว่าจิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย ถ้าจิตไม่เคยตาย มนุษย์มาจากไหน เขาบอกว่ามนุษย์ จิตหนึ่งเกิดได้ภพชาติหนึ่ง ทำไมมนุษย์มันเพิ่มมากขึ้นๆ เพิ่มมากขึ้นเพราะจิตวิญญาณที่มันจะเกิดยังมากกว่านี้อีก

เพราะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มันพ้นจากเวรจากกรรม ถ้าตกนรกอเวจีมันแผดเผาตลอดเวลา มันทุกข์มันยากขนาดนั้นน่ะ พอเกิดมาก็ เฮ้อ! พ้นทุกข์สักหน่อยนึง แล้วก็มาทุกข์นี่ มาทุกข์เพราะหาปัจจัยนี่ ทุกข์เพราะหาปัจจัยมันก็เป็นทุกข์ แต่มันลืมทุกข์อดีตไปแล้วนะ มันลืมทุกข์ที่มันเสวยมา เวลามานี่มันก็ เฮ้อ! แล้วพอกิเลสมันขับดันขึ้นมาก็จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนั้น...จะเอาอะไร ตายหมดล่ะ

สิ่งที่มาสร้างคุณงามความดีของเรา มาสร้างคุณงามความดีของเรา สิ่งที่จะเป็นสมบัติของเราก็ดีกับชั่วเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรเป็นของเราหรอก ความดีและความชั่วนี่ของเรา ใครทำความดีมากน้อยขนาดไหนก็ความดีของเรา ใครทำความชั่ว ความชั่วก็ติดกับใจดวงนั้นไป เพราะคนจะทำสิ่งใดต้องมีความคิด มันเกิดจากเจตนา เกิดจากการกระทำ เกิดจากความคิดก่อน ความคิดเกิดจากอะไร ความคิดเกิดจากจิต

นี่ไง คดีอาชญากรรม สิ่งที่ทำมันต้องทิ้งร่องรอยไว้ อาชญากรรมต้องทิ้งร่องรอยไว้ทั้งนั้นน่ะ ความรู้สึกนึกคิดมันต้องทิ้งร่องรอยไว้ที่จิตหมดแหละ จิตเป็นคนกำหนดทั้งนั้นน่ะ ความคิดมันเกิดจากอากาศได้หรือ ความคิดมันเกิดจากอะไรล่ะ ความคิดมันเกิดบนจิต แล้วจิตนี้มันเป็นผู้สั่งการออกมา ผลของมันลงที่จิตหมดแหละ เวรกรรมตกที่นั่น มันถึงมีดีและชั่วเท่านั้นที่มันไปกับหัวใจดวงนี้ แล้วเราทำคุณงามความดีๆ ความดีนี้มันเบาขึ้นมา ความดีมันเบา มันเป็นปุยนุ่น มันขึ้นสูงไหม ไอ้ความชั่วมันกดต่ำทั้งนั้น หินน่ะ ไอ้พวกของหนักมันกดหัวใจตกต่ำทั้งนั้นน่ะ แล้วมันไปไหนล่ะ

เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา พยายามทำจิตใจให้มันมีคุณงามความดีของเรา ถ้ามีสติปัญญา วันนี้พระๆ วันพระหาผู้ประเสริฐใจหัวใจ พระในใจ อยู่บ้าน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ชีวิตได้มาจากพ่อแม่ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มาเกิดอยู่นี่หรอก ยกเว้นโอปปาติกะ เทวดาเขาเกิดด้วยเวรด้วยกรรม นรกอเวจีเกิดด้วยเวรด้วยกรรม เว้นแต่มนุษย์ต้องเกิดจากพ่อจากแม่ เพราะมันเป็นสายบุญสายกรรมไง ถ้าเกิดจากพ่อจากแม่นี่พระอรหันต์ของลูก แล้วทีนี้เราจะหาหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ใจดวงนี้ หาพระผู้ประเสริฐในใจดวงนี้ ถ้าพระดวงนี้มันหาได้นะ มันจบหมดนะ สิ่งที่เราปากกัดตีนถีบที่เราดิ้นรนอยู่นี่ของไม่จริงเลยแหละ ถ้ามันเท่าทันจิตของตัวเองนะ แล้วสิ่งที่มันบาดหมางมา สิ่งที่มันกระทบกระเทือนหัวใจมานะ มันก็ตกอยู่ข้างนอกแล้ว หัวใจมันก็เบาสบาย แต่ถ้ามันยึดมั่นถือมั่นนะ มันเจ็บปวดไปหมดนะ ทุกอย่างบาดหมางไปหมด ข้างนอกก็บาดหมาง ข้างในก็บาดหมาง แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญา เอ็งมันโง่ ถ้าเอ็งปล่อยก็จบ เอ็งวางก็จบ แต่มันวางไม่ได้น่ะสิ มันวางอย่างไรล่ะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก เวลาสอนเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา ถึงที่สุดแล้วนะ เข้ามาสู่ใจของตน ผู้ประเสริฐคือหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มันต้องมีความเชื่อ ไม่มีความเชื่อมันก็ไม่ไปวัด ไม่มีความเชื่อมันก็ไม่ศึกษา ถ้าความเชื่อนั้นศึกษาแล้วโง่ โง่ไปกับธรรมชาติ โง่ไปกับความรู้สึกนึกคิดนั้นมันก็ส่งออกไป

ศึกษาแล้วก็ย้อนกลับมาไง ศึกษาแล้วย้อนกลับมาให้มันรู้ข้อเท็จจริงไง พุทโธๆๆ พุทโธจนเข้าไปสู่จิตดวงนี้ แล้วจิตดวงนี้มันเกิดวิปัสสนา เกิดความเป็นจริงในหัวใจ แล้วมันสำรอกมันคายออกไป มันคายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อนุสัยที่นอนเนื่องมากับใจจนหมดสิ้นไปจากใจ หมดสิ้นไปจากใจ แล้วมันเหลืออะไรล่ะ เหลือธรรมธาตุ เหลือสัจจะ เหลือความจริง เหลืออริยสัจอยู่ท่ามกลางหัวใจดวงนั้น เอวัง