เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราเป็นชาวพุทธไง พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงพุทธะ พุทธะคือในหัวใจของเราไง แต่เวลาเรื่องประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราเป็นชาวพุทธแต่ไม่มีความมั่นใจ เวลาในพระไตรปิฏกบอกว่า เวลาพระอานนท์ถามว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เวลาบริษัท ๔ เวลาระลึกถึงให้ระลึกถึงที่ไหน

ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔

อันนั้นไปแล้วไปเพื่อความยืนยัน ยืนยันว่าเป็นชาวพุทธไง แต่ถ้าความสุข ความสุขในหัวใจของเรา พุทธะอยู่กลางหัวใจของเรา เราปรารถนาพุทธะ ถ้าปรารถนาพุทธะ เราไปวัดไปวาเพื่อความสุข ไปวัดไปวาเพื่อความสุข เพื่อความสงบ ความระงับในหัวใจของเรานะ แต่ความสุข ความสงบ ความระงับในใจของเรามันต้องเกิดมาจากการแสวงหา ถ้าการแสวงหา

เราแสวงหามาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยในการดำรงชีวิตของเรา ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ไปวัดไปวาก็ไปทำบุญกุศลก็เป็นเรื่องของปัจจัย ๔ เรื่องของปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เพื่อการดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตแล้วเราปรารถนาจะหาความสุขของเรา

ไปวัดไปวาเพื่อวัดหัวใจของเราไง ถ้าไปวัดไปวาเพื่อวัดหัวใจของเรา เราต้องมีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ การค้นคว้าการแสวงหาเรื่องประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เวลาสวดมนต์ ทำวัตรสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ทำวัตรเช้า เราสวดมนต์ของเราเพื่อให้เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เทศนาว่าการไว้ แล้วเราเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องขวนขวายของเรา

การขวนขวายของเรา ถ้าเราไม่ขวนขวายของเรา โดยธรรมชาติของมนุษย์ไง โดยธรรมชาติของจิต จิตมันส่งออกตลอด ธรรมชาติของจิต จิตมันรับรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตมันรับรู้ตลอดเวลา มันแสวงหาของมัน

แล้วคนเราเกิดมา เกิดมาจากอวิชชา เกิดมาจากความไม่รู้เท่าตัวเอง ถ้าความไม่รู้เท่าตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นๆ ก็อวิชชามันพาคิดไง ถ้าพาคิด ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นประเพณีวัฒนธรรมตกผลึก ตกผลึกเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธนะ ถ้าเป็นชาวพุทธ สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ ประโยชน์ผู้ที่มาวัดมาวาไง นี่สังคมหมู่มาก ดอกไม้แต่ละหลากสี เวลาร้อยขึ้นมาเป็นพวงมาลัย

นี่ก็เหมือนกัน วัฒนธรรมประเพณี เป็นประเพณีวัฒนธรรมของเราให้ไปทำบุญกุศลของเรา เพื่อเป็นประเพณี เพื่อเข้าถึงสัจธรรม เพราะไปวัดไปวาขึ้นมาแล้ว ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อศึกษา เพื่อศึกษานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ แสดงธรรม เราค้นคว้าในพระไตรปิฎก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ เทวดา อินทร์ พรหมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เทศนาว่าการขึ้นมา ชฎิลสามพี่น้อง ๑,๐๐๐ กว่าองค์นะ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะพวกนั้นเขาเป็นนักบวช เขาแสวงหาของเขา เขาอยากจะพ้นจากทุกข์ของเขาไง

แต่เราปรารถนาความสุขไง เพราะเราปรารถนาความสุข เราปรารถนาสิ่งที่ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล่อมันหลอกไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ทุกข์มันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด ทุกข์มันเกิดขึ้นมาเพราะ ชาติปิ ทุกฺขา เพราะความเกิดกำเนิดของเรามันถึงมีความทุกข์ขึ้นมาไง เพราะมีเราถึงมีความทุกข์ ความทุกข์เพราะปรารถนาความสุข เพราะปรารถนาความสุข แสวงหาตะเกียกตะกายเพื่อจะได้ความสุขขึ้นมา มันถึงไม่ได้ความสุข พอไม่ได้ความสุข มันพยายามแสวงหา ถ้าได้ความสุขๆ ความสุขแบบกิเลสมันหลอกลวง หลอกลวง เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าใครได้สิ่งใดสมความปรารถนา มันก็จะได้ความสุขมา ความสุขมาชั่วคราวไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ถ้าทุกข์ความจริง เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วเราค้นหาสัจจะความจริง ค้นหาความทุกข์ ความทุกข์มันมีหรือไม่ ความทุกข์มันก็ไม่มี ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน จับตัวความทุกข์มาให้ดูหน่อย ความทุกข์

ความทุกข์มันไม่มี แต่เพราะเราอารมณ์ตัณหาความทะยานอยากของเรามันถึงเป็นทุกข์ไง ความทุกข์ ตัวมันเป็นอย่างไร เวลาความสุข ความสุข ตัวมันเป็นอย่างไร มันเป็นนามธรรมทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เป็นนามธรรมนะ แต่เพราะเป็นนามธรรม แต่เพราะกิเลสมันคุ้ย มันคุ้ยมันเขี่ยหัวใจเราตลอดเวลาไง ยิ่งคุ้ยนะ กลิ่นมันยิ่งขจรขจายไปทั่ว นี่ไง ยิ่งคุ้ยยิ่งทุกข์

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันมีอยู่กับเราโดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ถ้ามันมีอยู่โดยข้อเท็จจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าไปดับมัน จะเข้าไปดับมัน จะไปคลายมันออก พยายามจะสำรอกจะคายมัน ถ้าคายมัน นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิ์สัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านขวนขวายขนาดนั้นนะ การทำคุณงามความดีท่านเสียสละมาทั้งนั้นน่ะ เสียสละมาเพื่ออะไร เสียสละมาเพื่อบารมีธรรมไง เสียสละมาเพื่อให้หัวใจมันเข้มแข็งไง ถ้าหัวใจเข้มแข็งนะ ฟังธรรมๆ ขึ้นมามันจับประเด็น

เวลาพระสารีบุตร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมกับหลานพระสารีบุตร ทำไมพระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาล่ะ เขาแสดงธรรมกับหลานพระสารีบุตรนะ เพราะคนมีปัญญา คนมีปัญญานะ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์มันขวนขวายขึ้นมา

คนอ่อนแอ เขาพูดอยู่ข้างหูเลยล่ะ “ไม่ได้ว่าฉัน เขาว่าคนนู้น ว่าคนนี้” มันไม่เอาน่ะ นี่เวลามันอ่อนแอ อ่อนแอสิ่งใด อ่อนแอ สิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นสัจธรรม เวลาเข้าหูมันก็ไม่ฟัง เสียงโลกธรรม ๘ ไง ติฉินนินทานั่นชอบ เวลาติฉินนินทามันไปกว้านมาไง แต่ถ้าเป็นสัจธรรมนะ มันผลักมันไส มันไม่ต้องการ มันไม่เอา แต่ถ้าเป็นเรื่องติฉินนินทานะ เรื่องนินทากาเลนี่ชอบ ไปกว้านมา นี่ถ้าจิตใจคนอ่อนแอ

ถ้าจิตใจคนเข้มแข็งนะ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทามันมีของมันอยู่แล้ว เป็นจริงหรือไม่จริงอยู่ที่เรา จริงหรือไม่จริงนะ ถ้ามันเป็นความจริง สิ่งนั้นที่เป็นความจริงขึ้นมา เราก็แก้ไข มันเป็นประโยชน์กับเราไง

แต่ถ้าไม่เป็นความจริง มันไม่เป็นความจริง เรารู้ของเราอยู่แล้ว เราเป็นคนกระทำ ความลับไม่มีในโลกหรอก เราเป็นคนทำเอง ถ้าเราทำเอง ตัวเรารู้อยู่แล้ว ถ้าติฉินนินทามามันก็เกิดการกระเพื่อม ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเลย มันก็ไม่มีกระเพื่อมไง

ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง สิ่งที่เทศนาว่าการ ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ มันเก็บได้ทั้งนั้นน่ะ ที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะจิตใจของพระอรหันต์

สมัยพุทธกาลนะ สรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ มันอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น เก้อๆ เขินๆ มันเข้ามาทำอะไรในหัวใจเราไม่ได้ แต่เพราะจิตใจเรามันมีกิเลส มันจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไรล่ะ มันมีแรงดึงดูด มันมียางเหนียว มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นธรรมชาติไม่ได้หรอก มันแปะเขาไปทั่ว ยางเหนียวมันแปะไปทั่วมันถึงไม่เป็นธรรมชาติไง มันไปกว้านไปยึดไปถือ มันจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ใช่

นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น จิตวิญญาณของเราต่างหากที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะเวรเพราะกรรมของเรา เราถึงเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏฏะ ตามอำนาจของกรรม มันมีกรรมดีอยู่นะ ถ้าไม่มีกรรมดี เราไม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเรายังมีสติมีปัญญา ขวนขวายของเรา จะหาความสุขของเรา หาความสุขของเราหาความสุขแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาความสุขแบบพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนามันต้องขวยขวาย ต้องมีการกระทำ ไม่ใช่หาความสุขแล้วมันจะลอยมาจากฟ้า มันไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้าหรอก

เวลาพระสารีบุตรไปฟังเทศน์พระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น มันต้องมีที่มาที่ไป นั่งอยู่นี่มาจากไหน นั่งอยู่นี่มาจากบ้าน แล้วชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตเกิดมาจากท้องแม่ แล้วชีวิตเกิดมาจากท้องแม่ ท้องแม่ก็มีพี่น้องเหมือนกัน ไม่ใช่มีเราคนเดียว ชีวิตนี้มันมาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ ธรรมทั้งหลายมันต้องมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุสิ มันต้องที่มาสิ มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก มันไม่มีใครจับยัดให้ มันมีแต่เราทำเอง

ถ้าเราทำเอง เรามา เราก็มาวัดใจของเรา เราไปวัดไปวา ไปเพื่อความสุขนะ เราปรารถนาความสุข ความสุขคืออะไรล่ะ ความสุขมันต้องมีความขยันหมั่นเพียรไง มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะไง ถ้าอุตสาหะ เราค้นคว้าดูแลหัวใจของเรา

สิ่งที่เวลาบอกว่าทำความสงบ ทำความสงบ เราเดินจงกรม เดินจงกรมอยู่ก็เพื่อจิตสงบ นั่งสมาธิก็เพื่อจิตสงบไง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตนี้มีคุณค่ามากนะ เหมือนกับเราค้นพบ ค้นพบ เขาต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาถึงจะปลื้มใจ เขาถึงจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเรากำหนดพุทโธๆ มีการกระทำของเรา เขานั่งเครื่องบินกันไป เราบริกรรมของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พยายามกระทำ พยายามรักษา พยายามรักษา เหมือนเด็กๆ เลย ถ้าปล่อยมันอยู่สุขสบายมันก็เล่นของมันตามธรรมชาติของมัน ถ้าบอกให้มันอยู่นิ่งๆ มันดิ้นรนเต็มที่เลย จิตใจของเรานะ ถ้าเราไม่ไปควบคุมมันนะ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ มันคิดไปตามกระแส มันคิดไปตามแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน

แต่พอเรามีสติปัญญาจะไปควบคุมมันไง เราจะมีสติปัญญาควบคุมนะ สัตว์ สัตว์ถ้าเราฝึกฝนมันดีแล้ว เราใช้งานมันเป็นประโยชน์ได้นะ สัตว์ที่ไม่ได้ฝึกไม่ได้ฝน มันก็อยู่ธรรมชาติของมัน มันไปตามแต่จริตนิสัยของมัน

จิตใจของเรา จิตใจของเรา เราก็ปล่อยมันมาพอแรงอยู่แล้ว ไหนบอกเราเป็นชาวพุทธไง เราปรารถนาความสุขไง แล้วความสุข ความสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตมันเคยสงบไหม จิตมันอยู่กับเรา เราเกิดมาเพราะจิตดวงนี้ จิตดวงนี้กำเนิด ๔ ในไข่ ในครรภ์ น้ำครำ ในโอปปาติกะ มันเกิดมาเป็นเราอยู่นี่ แล้วเราเคยรู้จักมันไหม เรารู้จักแต่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ เรารู้จักแต่ชื่อที่หมอบอกว่าเราควรรักษาร่างกายนี้อย่างไร แต่เราไม่เคยเห็นตัวเห็นตนมันเลย

ถ้าเราปรารถนาความสุข เรามีการขวนขวายของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา มีการรักษาของเรา ถ้ามันละเอียดเข้ามาๆ ละเอียดเข้ามาหมายถึงว่ามันทำง่ายขึ้น มันนั่งสมาธิ มันเดินจงกรมใหม่ๆ นะ มันเก้งๆ ก้างๆ มันกีดมันขวางไปหมดเลย ทำอะไรไม่ถูก แต่งานอย่างอื่นทำเก่งนะ งานทางบ้านทุกอย่างทำได้หมดเลย มานั่งสมาธิมันเก้งๆ ก้างๆ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เพราะนามธรรมไง

ใจเป็นนามธรรมนะ แต่เวลาถ้าจิตสงบแล้วนะ สิ่งที่เป็นนามธรรม สติสัมปชัญญะมันสมบูรณ์ของมัน สิ่งที่เป็นนามธรรมเราจับต้องของเราเอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ความลับไม่มีในโลก ความลับไม่มีในโลก ทั้งๆ ที่เราเข้าไปพบมันนะ จิตมันสงบแล้ว นี่มันคืออะไร นี่มันคืออะไร มันให้ชื่อไม่ถูกไง มันให้ชื่อมันไม่ถูก มันเรียกมันไม่ถูก

เวลาคนอื่นเรียกเรานะ นายนั้น นายนี้ แหม! สะดุ้งเลยนะ รีบวิ่งไปหาเขาเลย แต่เวลาไปเจอจิตของเราเอง ทำไมเรียกมันไม่ถูกล่ะ นี่แหละพุทธะ สิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราไง แล้วถ้ามันไปเห็นเข้ามันเป็นความมหัศจรรย์ แล้วเงินทองซื้อไม่ได้ สิ่งใดก็ซื้อไม่ได้ ใครทำให้เราก็ไม่ได้ ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการขนาดไหนเราก็ฟังทุกวัน เราฟังทุกวันเลย แล้วเราก็จะแสวงหาสิ่งนี้ เวลาเราไปเจอเขาเอง ไม่รู้จักมันนะ ไม่รู้จักมัน นี่ไง มันเป็นความมหัศจรรย์นะ มันเป็นความมหัศจรรย์มาก สิ่งนี้มหัศจรรย์อยู่ในหัวใจ อยู่ในตัวเรานี่แหละ ถ้าเราค้นคว้าเราเจอแล้ว เราพยายามทำให้มันชำนาญ พอมันชำนาญขึ้นมามันจะเข้าใจแล้ว

ใหม่ๆ เข้าไปมันเก้อๆ เขินๆ มันรักษาไม่เป็น แล้วทำไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันทำได้นะ มันทำได้เพราะอะไร เพราะเราไปเห็นมันแล้ว เรารู้มันแล้ว รู้เพราะอะไร เพราะเราทำเข้ามา แต่ขณะที่เราทำเข้ามา เรากำหนดพุทโธเข้ามา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา เวลามันเข้ามา เข้ามานั่นคือข้อเท็จจริง แต่เราเทียบกับเรื่องวิทยาศาสตร์ เทียบกับวัตถุทางโลกไง แต่มันไม่ได้เทียบกับที่มันเป็นนามธรรมไง นามธรรม เห็นไหม

ดูเด็กสิ เด็กที่มันพอใจมันก็นั่งนิ่งของมัน เด็กที่ไม่พอใจเข้า มันก็ตีโพยตีพายของมัน จิตก็เหมือนกัน จิตก็เหมือนกันนะ สิ่งที่มันสงบเข้ามาเพราะกิเลสมันไม่รู้เท่ามันก็ละเอียดเข้ามา แต่ถ้ากิเลสมันรู้เท่า มันก็เหมือนเด็ก เด็กมันรู้ตัวมันต่อต้านทั้งนั้นน่ะ เวลามันต่อต้านนั่นคือกิเลสมันต่อต้าน ไม่ใช่ธรรมะต่อต้าน ธรรมะของเรามันเตาะแตะ ธรรมะของเรามันยังอ่อนด้อยอยู่ ธรรมะของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาของเรายังไม่เข้มแข็งไง

ถ้าศีล สมาธิของเราเข้มแข็งแล้ว เราทำชำนาญแล้วนะ เด็ก เด็กมันจะมาสู้อะไรกับผู้ใหญ่ เด็กอะไรมันจะมีปัญญาเท่าผู้ใหญ่ มันไม่ได้หรอก แต่ด้วยความเมตตาของเรา ด้วยความกรุณาของเรา ด้วยความกรุณาของเรา เราก็เมตตา แต่ถ้าด้วยข้อเท็จจริง เราสามารถควบคุมได้ทั้งนั้นน่ะ จะทางหนักทางเบา จะทางความเหมาะสม

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา จิตใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา ถ้าเรามีความชำนาญแล้ว มันควบคุมมันดูแลได้ มันรักษาได้ เขาเรียกชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าการออก ชำนาญในการควบคุมดูแลหัวใจของเรา ชำนาญในการควบคุมพระพุทธเจ้า อย่างนั้นเชียวหรือ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง

แต่ของเรา เราไม่เคยพบเคยเห็นไง ในการควบคุม ในการเข้าไปเคารพ ในการเข้าไปเชิดชู มันเป็นนามธรรม ใครจะจับมากักใส่กรงขังไว้ หัวใจของเราใครจะมาจับใส่กรงขังไว้ หัวใจของเราใครจะมาจับมันบีบบี้ให้มันหมดสิ้นไป ใครทำ

มันก็ต้องมีสติปัญญานี่ไง ถ้าไม่มีความชำนาญแล้วเราจะไปจับใส่กรงขังไม่ได้ หัวใจของคนขังมันไม่ได้ แต่มีสติ มีสติ มีคำบริกรรม มีการรักษา มีการดูแล เราไม่ใช่ไปขังเขา เราไม่ใช่ไปทำลายเขา เราเข้าไปเพื่อความดูแล พอดูแล มันชำนาญขึ้นๆ พอชำนาญขึ้น รักษาได้ตั้งมั่น พอตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรานะ ฝึกหัดใช้ปัญญา

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญาต้องศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาเกิดจากสมาธิไง ศีลคือความปกติของใจ ทำให้เกิดความสงบระงับเข้ามาจนตั้งมั่นขึ้นมา แล้วเกิดฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาใช้อันนั้น นั่นแหละมันจะสำรอก มันจะเริ่มรู้เริ่มเห็นแล้ว มาจากไหน เรามาจากไหน จิตเรามาจากไหน มันมาจากตรงไหนล่ะ มันมาจากตรงที่อำนาจวาสนา

ใครที่มีอำนาจวาสนามากทำสิ่งใดแล้วมันจะประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดแล้วมันจะราบรื่น คนที่มีอำนาจวาสนาน้อย คนที่ทำมาพอประมาณ มันต้องปากกัดตีนถีบ มันต้องพยายามค้นคว้า มันต้องใช้กำลังมากกว่าเขา เพราะต้นทุนเรามันต่ำกว่าเขาไง ถ้าต้นทุนที่มันสูงกว่า ต้นทุนที่สูงกว่า ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่าย รู้ง่ายไง ต้นทุนที่มันต่ำขึ้นมา เราก็ต้องต่อสู้ ต้นทุนต่ำแต่ก็มีต้นทุน ต้นทุนต่ำก็มีความเพียร ความเพียรก็รักษา มันถึงอยู่ที่การประพฤติปฏิบัตินี่ไง มันอยู่ที่การดูแลหัวใจเรา ฝึกฝน จะต้นทุนสูง ต้นทุนต่ำ แต่ก็มีสติปัญญา มีสิทธิเสมอภาคเท่ากัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีหัวใจเหมือนกัน มีสุขมีทุกข์เหมือนกัน

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อในหัวใจนี้ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือพยายามบอกให้เรามีสติมีปัญญา ให้มีความแจ่มแจ้ง ให้มีปัญญา

ปัญญานี้ปัญญาของเรา ปัญญารื้อค้นในจิตใจของเรา ปัญญาทางโลก ปัญญาทำให้เป็นสมบัติสาธารณะ ใครมีสติปัญญา สมบัตินั้นก็จะเป็นของคนคนนั้น แต่สมบัติในใจมันก็ต้องเร่ร่อนของมันไป

เวลาจะสิ้นไง คนเราเวลาไม้ใกล้ฝั่งมันก็มีความวิตกกังวลใช่ไหม แต่คนที่มีต้นทุน คนที่มีทรัพย์มีศีลในหัวใจจะไปไหนก็ไปได้ พร้อมเสมอ พร้อมเสมอ แล้วคนที่เวลาชำระล้างกิเลสแล้ว การเกิดและการตายเป็นสมมุติ การเกิดและการตายหลอกหมด ไม่มีอะไรเกิดและไม่มีอะไรตาย แต่ต้องเห็นนะ ไม่มีอะไรเกิดอีกแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกิดอีกแล้ว

ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดต้องมีสถานะ ใครได้รับตำแหน่งสูงใหญ่ขนาดไหนเขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ การเกิดคือการรับผิดชอบชีวิตของตน การเกิดคือการแบกหามความทุกข์ที่จะเกิดต่อไป แล้วถ้าพิจารณาไปจนใช้ภาวนามยปัญญาสำรอกคายมันออก ไม่มีการเกิด ไม่มีการเกิดก็ไม่มีอะไรเกิดในธรรมธาตุอันนั้น ธรรมธาตุนั้นไม่มีอะไรเกิดและไม่มีอะไรดับ แล้วไม่มีการเคลื่อนไป ไม่มีสิ่งใดๆ ที่มันจะเป็นสมมุติอีก แล้วมันคืออะไรล่ะ

คือหัวใจของเราไง คือสิ่งที่ค้นคว้าอยู่นี่ไง สิ่งที่เราปรารถนาความสุขๆ เรามาวัดมาวากัน เรามาหาความสุข แต่ความสุขถ้าเราจะไปหยิบฉวยเอาความสุขๆ ไม่มี มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา จะค้นคว้าหาความสุขท่ามกลางหัวใจของเรา เอวัง