เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ โยมหวังว่า หวังว่าพระที่มีคุณธรรมต้องเงียบได้ พระที่มีคุณธรรมต้องรับสิ่งใดก็ได้ ใครจะตบแก้มซ้าย เราก็ต้องเอาแก้มขวาให้เขาตบอีกทีหนึ่ง เราจะพอใจว่าพระองค์นั้นเป็นพระที่ดีของเรา ถ้าพระองค์ไหนเสียงดัง พระองค์นั้นใช้ไม่ได้
นี่มันเรื่องของสัจธรรมๆ สัจธรรมมันเป็นความจริงในข้อเท็จจริงอันนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงอันนั้น เห็นไหม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องศาสนานี้สำคัญมากนะ คนเราจิตใจได้กล่อมเกลา พระพุทธศาสนา คนทางยุโรปเขาชอบมาเที่ยวเมืองไทย ชอบมาเที่ยวเมืองไทยเพราะในหัวใจของคนไทย พระพุทธศาสนา ยิ้มสยามๆ เพราะว่าได้ขัดเกลาไง
ดูสิ พ่อแม่ในบ้านของเราพาลูกพาหลานเราไปวัดไปวา ตอนนี้พ่อแม่ไม่มีเวลาไง พ่อแม่ต้องทำมาหากิน ลูกหลานก็ไว้ให้ดูแลกันเอง ลูกหลานมันก็ไปเล่นเกมกันไง นี่จิตใจมันแข็งกระด้าง จิตใจแข็งกระด้างไปแล้ว เวลามีสิ่งใดกระทบกระเทือนในหัวใจแล้วมันควบคุมใจตัวเองไม่ได้ไง
แต่ถ้าจิตใจมันได้ฝึกฝนมา ได้ฝึกฝนมานะ ผู้น้อยให้เชื่อผู้ใหญ่ ลูกให้เชื่อพ่อเชื่อแม่ ถ้าเชื่อพ่อเชื่อแม่เพราะอะไร เด็กมันก็บอกว่าพ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เวลาเขาเชือดไก่ เขาเอาไก่ไปชุบน้ำร้อนเหมือนกัน พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อนหมายความว่ามีประสบการณ์ไง ถ้ามีประสบการณ์ เราจะสอนลูกของเรา ลูกของเราไม่มีประสบการณ์สิ่งใด เราก็มาถามพ่อถามแม่ของเราได้ไง
ศาสนามันขัดมันเกลานะ ขัดเกลาที่ไหน เวลาขัดเกลา ถ้าเรามีเจตนา เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา ความเชื่ออันนั้นน่ะ ความเชื่ออันนั้นมันเข้าไปค้นคว้า เข้าไปศึกษา การศึกษานั้นศึกษามาเพื่อหัวใจนี้ไง ทางโลก การศึกษาๆ ศึกษามาเพื่อสมองไง ศึกษามาเพื่อจำมาๆ จำวิชาชีพเขามา จำวิชาชีพเขามาแล้วก็ไม่สุจริต ถ้ามีสุจริต ในทางโลกเขาบอกถ้าซื่อสัตย์ คนเราซื่อสัตย์อยู่ด้วยกันมันมีความสุขนะ แต่คนเราถ้ามันไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน มันอยู่ด้วยกันมันหวาดระแวงไปทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันหวาดระแวง ศาสนาสอนทั้งนั้นน่ะ นี่เรื่องของศาสนานะ ถ้าศาสนาสอนเรื่องหัวใจของเราๆ
วันพระ วันพระในสมัยดั้งเดิมของเรา วันหยุดวันพระ วันโกน วันพระ วันโกน เราก็พาลูกพาหลานเราไปวัด นี่อยู่ด้วยกัน อยู่ในบ้านในเรือนขึ้นมามันมีแต่เรื่องกระทบกระทั่งกันกระเทือนหัวใจทั้งนั้นน่ะ เวลาไปวัดไปวาไปปล่อยวางไง ไปชาร์จไฟๆ เพราะคนเรา คนเรามันต้องพักผ่อน ดูสิ คนเราถ้าทำงานโดยไม่ได้พักผ่อนเลยมันเครียดนะ ถ้าได้พักผ่อน มันสดชื่น มันทำงานได้
จิตใจของเราๆ เห็นไหม ศาสนาสอน สอนให้ถึงเวลาให้พักๆ ถ้าให้พักขึ้นมา มันสดชื่นแล้วให้ทำหน้าที่การงานของเรา คนเรานี่นะ คนเรามีกายกับใจๆ เหมือนเครื่องยนต์กลไก ดูสิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าคือร่างกายของเรา หัวใจของเราคือไฟฟ้า ไฟ ถ้ามันไม่มีไฟมันทำงานไม่ได้หรอก ถ้าไฟฟ้าไม่มี ทุกข์ไปหมดเลย
คนเราเวลาตาย จิตออกจากร่างนะ จิตนี้ออกจากร่างไปแล้ว ไฟออกไปแล้ว เหลือไว้แต่วัตถุธาตุ แล้วทางโลก ทางวิชาชีพเขา เขาก็มีไฟสำรอง เวลามีไฟสำรอง เขาก็เอาสำรองขึ้นมา แต่ชีวิตของเรามันไม่มีสำรองนะ ชีวิตของเรานี่คือชีวิตเดียวนะ เวลาตายแล้วก็ตายกัน ตายแล้วก็จบนะ ถ้าตายแล้วจบ สิ่งที่ว่าตายแล้วจบๆ เพราะว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่เราเห็นได้ไง แต่ในทางศาสนามันไม่จบ
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน สิ่งที่การกระทำ พันธุกรรมของจิตๆ พันธุกรรมของจิต พ่อแม่ได้อบรมสั่งสอน แล้วเด็กคนนั้นเป็นคนดี เขาทำคุณงามความดีของเขา พันธุกรรมของเขาสร้างสมแต่คุณงามความดีของเขา อำนาจวาสนาบารมีมันเกิดจากการกระทำอันนั้น ถ้าเกิดจากการกระทำอันนั้นมันก็ฝังลงที่ใจอันนั้น พอใจอันนั้นมันก็มีความชอบ สันดานน่ะ สันดานในหัวใจนั้นน่ะคือที่มันได้สะสมมา การสะสมมาในภพในชาติในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันทำคุณงามความดีของมัน เห็นไหม เวลาพระโพธิสัตว์ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเทศนาว่าการไว้ เราเคยเป็นๆ เราเคยเป็นพระโพธิสัตว์ เราเสียสละชีวิตมา เราเสียสละมาทุกๆ อย่างเลย เสียสละมาจนนับครั้งไม่ถ้วน การเสียสละมาอย่างนั้นน่ะจิตใจถึงเข้มแข็ง จิตใจถึงแข็งแรงขึ้นมา มีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา เวลาท่านออกค้นคว้า ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาฬารดาบส อุทกดาบส “มีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา”
พวกเราน่ะถ้ามีนักปราชญ์ มีคนที่มีชื่อเสียงยกย่องสรรเสริญเรา เราก็จะหลงใหลไปตามคำยกย่องสรรเสริญนั้น เวลาเจ้าชายสิทธัตถะ ดูสิ การยกย่องสรรเสริญของอาฬารดาบส อุทกดาบส “เธอมีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา เธอเป็นอาจารย์สอนได้ เธอเป็นอาจารย์สอนได้” เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา เพราะความทุกข์ในใจของเรามันยังเผาลนอยู่นี่ ไฟสุมขอนๆ ไฟสุมขอนเราอยู่กลางหัวอกนี่ อาจารย์จะยกย่องสรรเสริญขนาดไหนเราก็ทุกข์อยู่นี่ไง นี่ท่านไม่เอา ไม่เอาเพราะอะไรล่ะ
ไม่เอาเพราะนี่ไง พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ท่านสร้างสมบุญญาธิการของท่านมา ท่านสร้างสมบุญญาธิการมา ใครจะมายกย่องสรรเสริญเยินยอขนาดไหน มันก็ไม่หลงทางไปอยู่กับโลกเขา มันมีจุดยืนของมัน จุดยืน นี่การสร้างมา การสร้างมาอย่างนี้ไง
นี่ไง บอกตายแล้วจบ ตายแล้วจบมันจบที่ไหน มันไม่จบ ถ้ามันไม่จบ ทำอย่างไรล่ะ ทีนี้ทำอย่างไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรามีอำนาจวาสนาบารมีของเรา ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีอย่างนี้มันยังเจ็บซ้ำน้ำใจเลย ถ้าไปคดไปโกงเขานี่ชอบใจๆ นี่กิเลสมันใหญ่กว่า
แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรา ไอ้การคดการโกงกัน เราจะโดนบีบบี้สีไฟขนาดไหน ถ้าเรามีสติปัญญา เราเป็นคน คนก็ต้องปกป้องตัวเองทั้งนั้นน่ะ คนเรา คนเรามีกฎหมายคุ้มครอง ถ้ามีกฎหมายคุ้มครอง เราก็รักษาสิทธิ์ของเราตามกฎหมายนั้น แต่เราไม่รุกรานใคร เราไม่เบียดเบียนใครไง แต่ถ้าใครมันเบียดเบียน มันทำเรา นั่นมันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา เป็นเวรเป็นกรรม ผู้ที่กระทำเขามันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ
ไอ้เราเป็นผู้รับๆ ผู้รับถ้ามันมีขันติธรรมๆ มันขันติธรรม ไม่ใช่ขันติธรรมแบบคนไม่มีปัญญานะ คำว่า “ขันติธรรมของเรา” คือไม่ตอบโต้ ไม่ตอบโต้ให้มันผิดกฎหมาย ไม่ตอบโต้ให้เราเข้าคุก แต่เราป้องกันตัวเองๆ เราทำของเรา เรามีสิทธิ์ เราเกิดเป็นคน เรามีสิทธิมีเสรีภาพ เราทำของเราก็ได้ เราต้องปกป้องสิทธิของเรา
แต่ถ้ามันสิ้นสุดของการปกป้องแล้ว เออ! มันไม่รู้เวรกรรมมาชาติใดเนาะ เราก็ไม่รู้ว่าเราทำใครไว้บ้าง แต่ถึงเวลาแล้ว ถ้ามันถึงเวลาเราจะต้องสูญเสีย ความสูญเสียนั้นมันก็เป็นเวรเป็นกรรมเนาะ แต่กรรมปัจจุบันนี้เราก็ปกป้องดูแลของเราเต็มที่ของเราอยู่แล้ว การปกป้องไม่ใช่ปกป้องแบบพาลน่ะ
บัณฑิตๆ เวลาเราหายใจ ทุกคนต้องมีสิทธิหายใจเหมือนกันใช่ไหม แล้วทุกคนที่หายใจก็ต้องการอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนต้องการอากาศที่ดี เราก็มีสิทธิหายใจเหมือนกันไง แต่ถ้าคนไม่ฉลาด มันไปหายใจในก๊าซพิษ มันก็ตายทั้งนั้นน่ะ
มันต้องฉลาด คำว่า “ฉลาด” ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญามันปัญญาพระพุทธศาสนา ผู้ให้ ผู้เสียสละ ปัญญาผู้ให้เป็นผู้ที่ได้ แต่มันได้เพราะอะไร มันได้อำนาจวาสนาบารมี มันได้น้ำใจ เห็นไหม คนทุกข์คนยาก คนที่มันมีปัญหา แล้วเรามีน้ำใจช่วยเขา เขามีความสุขไหม เราปลื้มใจไหม เราพอใจไหม แล้วมันพอใจ เราเสียสละสิ่งนี้ไปเพื่อน้ำใจของเรา เพื่อหัวใจของเรา ถ้ามันมีปัญญาไง การเสียนี่มันเสียเพราะความภูมิใจ เสียเพราะให้ เห็นไหม
ดูสิ เวลาคนใส่บาตร เช้าขึ้นมา ตักอาหารมา ยกใส่หัวอธิษฐานนะ เวลาให้ ถ้าให้คนอื่น ให้ก็ให้เขาสิ ไอ้นี่จะถวายพระต้องยกขึ้นอธิษฐานนะ ขอทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง ให้ด้วยความภูมิใจๆ นี่มันปัญญาไง ถ้ามีปัญญามันทำได้ แต่ถ้าขาดปัญญามันก็คิดว่าให้ก็เสียไง ผู้รับมันก็ได้ไง
หลวงตาท่านพูดประจำนะ พระเรานี่เนื้อนาบุญของโลก พระเราก็เหมือนผืนนา ผืนนา ดูสิ ชาวบ้านชาวเรือนเขาทำไร่ไถนาของเขา ถึงเวลาเขาก็เก็บเกี่ยวข้าวของเขาไป แล้วไอ้เศษข้าวที่ตก ไอ้ข้าวเปลือกที่มันตกจากต้นข้าว นั่นมันตกอยู่ที่นา นี่ก็เหมือนกัน เวลาให้ ที่นาๆ สิ่งที่เป็นวัตถุๆ มันก็เศษข้าวนั่นน่ะ เศษข้าวที่มันหลุดออกจากรวงก็ตกไปที่พื้นนานั้น เราก็ได้แค่นั้นน่ะ เราก็ได้ใช้สอยแค่นั้นน่ะ แต่เขาเกี่ยวข้าวเขาไปเข้ายุ้งเข้าฉางของเขา เขาทำบุญกุศล นั่นบุญของเขา นี่ไง เนื้อนาบุญของโลก
เนื้อนาบุญของโลกนะ ข้าวเม็ดหนึ่งลงไปมันก็เกิดเป็นต้น เกิดเป็นต้นมันเกิดเป็นรวง เกิดเป็นรวงมันก็เกิดเป็นผลประโยชน์ของเราไง ถ้าจิตใจมันฉลาด มันรู้ถึงผลประโยชน์ของเราไง การเสียสละนั้นมันก็เป็นความภูมิใจใช่ไหม การเสียสละนั้นเป็นความภูมิใจ ไม่ใช่ทำมากได้มาก ขนมาทั้งหมดเลย แล้วมันได้เท่าไรล่ะ ได้เท่าไร เพราะมันไปหวังตรงนั้นไง มันไม่หวังบุญกุศลไง มันไม่หวังความเป็นจริงขึ้นมาไง ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจนี้
ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเลย เห็นเขาทำคุณงามความดีกันนะ เห็นเขาเสียสละทานกันนะ เราอนุโมทนาไปกับเขา ชื่นใจไปกับเขาก็เป็นบุญแล้ว บุญคือผลของใจที่มีความสุขอบอุ่น เวลาทำสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตใจตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตไม่คลอนแคลน จิตไม่เหลวไหล นี่เวลาสัมมาสมาธิ คนเราจะทำคุณงามความดีต้องมีสมาธิ แม้แต่ทางโลก การศึกษาก็ต้องมีสมาธิใช่ไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันไม่เข้าสู่สมาธิ มันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาไม่ได้
คำว่า “ภาวนามยปัญญา” ไม่ใช่ปัญญาจากสมองนะ ปัญญาจากสมองนี่ปัญญาจดจำไง สุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษาค้นคว้าไง จินตมยปัญญา ปัญญาการค้นคว้า ภาวนามยปัญญาไม่มีใครเคยเห็น ไม่มี จินตนาการทั้งนั้น
ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากไหน อำนาจวาสนาของจิตที่มันพัฒนาการขึ้นไปมันต้องมีอย่างนี้ขึ้นมาไง ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาอย่างนี้ วุฒิภาวะมันจะรับไม่ได้
เด็กๆ เอาเงินล้านไปแขวนไว้ที่มันสิ เด็กๆ เอาสร้อยคอทองคำไปไว้ที่เด็กๆ สิ แล้วให้ไปเดินกลางตลาด ให้มันเสี่ยงภัยกับมันไง เด็กๆ ของที่มีคุณค่าไปฝากไว้ที่มัน มันมีภัยของมันทั้งนั้นน่ะ ถ้าวุฒิภาวะผู้ที่ใหญ่ขึ้นมาเขารู้จักทรัพย์ของเขามันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาไม่เอามาโชว์เขาหรอก เขาเก็บของเขาไว้
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันจะภาวนา หัวใจที่มันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เวลามันจิตสงบแล้วมันสงบอย่างไร มันมีวุฒิภาวะแค่ไหนรองรับ มันมีวุฒิภาวะแค่ไหนจะรับสถานะอย่างนี้ได้ไง
โบราณเขาบอกเลย คนคนเดียวอย่าสร้างโบสถ์หลังเดียวนะ บุญมากเกินไปเดี๋ยวตาย มีบุญมากเกินไปก็ตายเร็วอีก เขาต้องเฉลี่ยกัน ช่วยๆ กันทำไง แต่เวลาอริยมรรคอริยผล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันของใคร มันยิ่งกว่านั้นอีก มันยิ่งกว่าบุญที่เป็นอามิส
สิ่งที่เป็นอามิสเป็นผลของวัฏฏะ มีบุญมากมีบุญน้อยขึ้นมา ดูสิ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนที่มีบุญมาขึ้นมาทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใด เขามีบุญของเขามา แล้วเขาต้องฉลาดด้วยนะ
ถ้ามีบุญของเขามา เขาโง่ มีบุญขึ้นมาแล้วปกครองสิ่งใดไม่ได้ไง มีบุญนะ คนเกิดมามากเลย มีสถานะที่ร่ำรวย มีสถานะมีทรัพย์สมบัติมหาศาล สุดท้ายแล้วสิ้นสุดลงตรงนั้น จบ รักษาสมบัติไม่ได้ คนเรานะ เกิดมานะ ไม่มีสิ่งใดเลย ปากกัดตีนถีบขึ้นมา เขาแสวงหาขึ้นมาจนมีทรัพย์สมบัติขึ้นมามหาศาล เขาต้องมีสติปัญญาของเขาสิ
นี่ถ้ามีสติปัญญารักษาไว้ไม่ได้ๆ มีบุญนะ มีบุญแต่รักษาไว้ไม่เป็น มีบุญแต่ต่อเนื่องไม่ได้ มีบุญไม่สามารถรักษาสถานะนี้ได้ ไอ้เราเกิดมาไม่มีสิ่งใดเลย ปากกัดตีนถีบขนาดไหน แต่เรามีสติปัญญาของเรา เราค้นคว้าของเรา ทำของเราขึ้นมาได้ นี่ไง มันมีปัญญาไง มีบุญด้วย มีปัญญาด้วย
ถ้ามีบุญแต่ไม่มีปัญญา บุญ อำนาจวาสนาบารมี คำก็อำนาจวาสนาบารมี สองคำก็เรื่องเวรเรื่องกรรม ก็เลยปล่อยทุกอย่างไว้ให้เป็นอดีตไปหมดเลย ปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรเลย
ปัจจุบันฉลาดขนาดไหน ถ้าไม่มีบุญกุศลมันทำขึ้นมาแล้วขาดตกบกพร่องทั้งนั้นน่ะ อำนาจวาสนาบารมีของคนถ้ามันมีแล้วมันใช้ไม่เป็น มันใช้ไปทางเลวทราม ทางต่ำช้า ทำลายตัวเองก็มหาศาล
นี่ถึงว่ามัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุล สมดุลของใคร ถ้ามีความสมดุล สมดุลอย่างนี้ไง ถ้ามันมีสติมีปัญญา มันจะมีสติปัญญา ฟังธรรมๆ นี่ไง ให้ปลาเขา กับให้เขาหาปลาเอง
นี่ก็เหมือนกันนะ เราหวังนะ เราหวังมรรคหวังผล เราหวังคุณงามความดี เราหวังความสุขทั้งนั้นน่ะ เราหวังความสุข มาวัดมาวามาทำบุญกุศลกันเพื่ออะไร ก็ได้ฟังธรรมๆ นี่ไง ฟังธรรมนะ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ฟังแล้วตอกย้ำๆ แล้วสิ่งที่มันแจ่มแจ้ง แจ่มแจ้งในหัวใจ อะไรที่มันข้องใจ อะไรที่มันตกค้างในหัวใจ เราจะทำอย่างไร ชีวิตนี้มันคืออะไร เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน แล้วจะไปอย่างไรต่อ เราก็หวัง พระองค์ใดก็จะทายให้เราได้ พระองค์ใดก็ต้องรู้แจ้งแทงตลอดในชีวิตของเราเลย
พระองค์นั้นต้องรู้แจ้งในชีวิตของท่านก่อน ถ้าคนยังไม่รู้แจ้งในใจของตนเองก่อน แล้วใจของคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร ถ้ามันรู้แจ้งในใจของตนเองก่อน พอรู้แจ้งในใจของตนเองก่อน พอรู้แจ้งแล้วเงียบเลย เพราะอันนี้มันลึกลับมหัศจรรย์เกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้ แล้วพอพูดออกไปแล้วมันก็เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว มีมุมมองแล้ว โต้แย้งกันแล้ว แล้วไม่มีวันจบวันสิ้น
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ถ้าพระองค์ใดก็แล้วแต่จะชี้ของเราได้ หวังให้เขาทายอนาคตของเรา ถ้าเรามาศึกษาแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะรู้ของเรา ถ้ารู้ของเราขึ้นมาแล้ว สิ่งที่วุฒิภาวะที่มันจะรองรับสิ่งนี้ได้ รองรับสถานะอย่างนี้ได้ไง ถ้ารองรับอย่างนี้ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีอำนาจวาสนานะ
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมไปแล้วท่านบอกว่าท่านอำนาจวาสนาน้อย เพราะอายุท่าน ๘๐ ปี เพราะท่านบำเพ็ญเพียรมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขยไง แต่พระพุทธเจ้าองค์แต่อดีตกาลมาทำความเพียรมา ๑๖ อสงไขย อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
ไอ้เราก็ไม่เชื่อแล้ว คนอยู่ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วเมื่อก่อนอายุขัยของคนเท่าไร เดี๋ยวนี้การแพทย์เจริญนะ อายุขัยก็มากขึ้น ตอนนี้เกิดสารพิษกันไป คนอายุสั้นลงแล้ว เพราะอะไร เพราะมันเป็นมะเร็งตายกันหมดไง นี่ไง ความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ความเปลี่ยนแปลงมันต้องมีเหตุมีผลทั้งนั้น มีเหตุมีปัจจัย ถ้ามันจะอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี สภาวะแวดล้อมมันก็ต้องดี ทุกอย่างมันจะดี เราจะไปเกิดสภาวะแบบนั้นไง เห็นไหม โลก โลกนี้เป็นอจินไตย
บอกว่าโลกแตกๆ เอาโลกที่ไหนมาแตก โลกเป็นอจินไตย อจินไตยคาดหมายไม่ได้ ไอ้พวกโฆษณาโลกแตกๆ โลกอะไรมันแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้ เปลือกทวีป ไหล่ทวีปมันเคลื่อนตัวตลอดเวลา อจินไตย มันแปรสภาพของมัน มันอยู่สภาวะของมัน ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้หมดล่ะ แล้วเราเป็นชาวพุทธๆ ทั้งนั้น ชาวพุทธ ธรรมะเหนือโลก แล้วก็บอกว่ามาโลกแตก มาเคลื่อนย้ายกัน
มันเป็นผลการทางธุรกิจ มันเป็นผลคนฉลาดหาประโยชน์ ไอ้คนโง่ก็แตกตื่นไปกับเขา แล้วไม่ใช่ชาวพุทธใช่ไหม ชาวพุทธให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเวลาจะพูดก็บอกว่า เป็นพุทธพจน์ เป็นพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไปพยากรณ์ที่ไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าอจินไตย โลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตยคาดหมายไม่ได้เลย แล้วเอาที่ไหนมาแตก
นี่ไง เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ เราต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นรัตนตรัยของเรา สัจธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้อยู่แล้ว ศาสนานี้อีก ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี เราจะอยู่อีก ๕,๐๐๐ ปีแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจอะไร ข่าวลือข่าวลวงทั้งนั้นเลย ถ้าข่าวลือข่าวลวงนี่ไปชอบ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้สงบระงับเข้ามา ค้นหาใจของตน ใจอยู่ไหน
ใจก็คือพลังงานนี่ไง พลังงานในเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นน่ะ ร่างกายนี้ก็เป็นอุปกรณ์เท่านั้นเอง แต่มันมีหัวใจนี้มันถึงมีคุณค่า ถ้าหัวใจได้เคลื่อนออกจากร่างกายนี้ไปแล้ว ร่างกายนี้เขาก็ไปเผา ไปฝัง แล้วจิตใจจะอยู่ที่ไหนล่ะ
จิตใจที่มีอำนาจวาสนามันถึงมีเจตนามาวัดมาทำบุญกุศลของตน มาสร้างไง สร้างความดีให้กับใจดวงนี้ ใจดวงนี้ได้ฝังไว้ไง ทำบุญอุทิศไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ให้หัวใจนี้มันมีที่พึ่งที่อาศัย อย่าให้มันเร่ร่อน เกิดมาแล้วเร่ร่อน ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีที่ยึด แม้แต่พ่อแม่ของตน พ่อแม่ของตนตายไปแล้ว แล้วเราอยู่กับใคร
นี่ไง แต่ถ้าเราหาหลักของเรา เราหาพุทธะในใจของเราไง ผู้รู้สึกของเรา หาตัวความรู้สึก ตามตัวนี้ให้มันมั่นคงของเราขึ้นมา ถ้ามันอยู่ของมันได้ มันมีสติปัญญา ใครจะมาหลอก ใครมันจะลวง เราเองเรารู้แจ้งเอง ไอ้มาพูดน่ะพูดอยู่ห่างๆ ไม่ฟัง ไม่รับรู้ ไร้สาระ แต่ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ ใครพูดอะไร เพราะพึ่งตัวเองไม่ได้ก็หวังจะให้เขาช่วยเหลือ ก็หวังจะพึ่งกับเขา เพราะพึ่งตัวเองไม่ได้
เราต้องพึ่งตัวเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ สอนให้หัวใจเราฉลาดปราดเปรื่อง อย่าเป็นเหยื่อของใครทั้งสิ้น มันจะทุกข์มันจะยากก็ให้มันอยู่สุจริต มีศีลมีธรรมในใจของเรา ถ้ามันมีศีลมีธรรมของเรา เราแก้ไขของเราไป มันต้องผ่านวิกฤตินี้ไปได้ ทำดีต้องได้ดี เราทำดีของเรา อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นมาน่ะ มีชีวิตนี้ก็มีค่ามากแล้ว มีชีวิตมีค่านี้มาเห็นโลกไง มาเห็นโลก มาเห็นสังคม มาเห็นทุกอย่างเลย เพราะเราเกิดมาไง มันก็มีค่ามากแล้ว มันจะทุกข์มันจะยากก็มีสติปัญญาที่นี่ คนมีค่าเท่าคน ไม่มีใครเหนือใครหรอก เราก็คนคนหนึ่ง เราก็มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน เราจะต้องไปอยู่ใต้อำนาจของใคร เราอยู่ใต้อำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย แก้วสารพัดนึกของเรา แค่นี้เราพอแล้ว เอวัง