เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ก.พ. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เราต้องตอกย้ำ ตอกย้ำในหัวใจของเรา สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำให้หัวใจมันยอมรับ ถ้าหัวใจยอมรับมันไม่ดื้อ ถ้าหัวใจมันดื้อ เราจะเอาใจของเราไว้ แต่หัวใจมันดื้อ มันดื้อเพราะอะไรล่ะ มันดื้อเพราะเราไม่ได้ฝึกฝน เราไม่ได้ควบคุมดูแลไง

ถ้าเราฝึกฝนของเรา เราฝึกหัดของเรา เวลาช้างเขามาฝึกมาหัดของเขา เวลามันใช้ประโยชน์ได้ สิ่งที่สัตว์เขายังมาฝึกใช้งานได้ มันจะตัวใหญ่ขนาดไหน มันจะมีกำลังมากน้อยขนาดไหน เขาเอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้นน่ะ

แต่หัวใจของเราๆ ถ้าหัวใจของเรา คนปรารถนา ทุกคนปรารถนาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา อยากจะประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกข์อยากมีคุณธรรมไง เหมือนทางโลก ทางโลกมันประกอบสัมมาอาชีวะ ทุกคนต้องการประสบความสำเร็จ ต้องการความมั่นคงของชีวิต ความมั่นคงของชีวิตนั้น สิ่งที่เป็นความมั่นคงของชีวิตนั้นมันยังเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ คือมันเรื่องอนิจจัง

แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติของเราถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ อันนี้มันเป็นวิมุตติๆ คำว่า “วิมุตติ” มันพ้นจากวัฏฏะๆ พ้นจากวัฏฏะคือพ้นจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าพ้นจากเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่มีคุณค่าในหัวใจของเรา เราถึงต้องมีการกระทำไง หน้าที่การงานก็หน้าที่การงาน หน้าที่การงานของเรา เพราะคนต้องมีหน้าที่การงาน เราถึงมีสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพได้ การเลี้ยงชีพได้ๆ

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นมันตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่บนกาลเวลา ถ้ามันไม่ตั้งอยู่บนกาลเวลา มันไม่ตั้งอยู่บนกาลเวลามันก็ไม่ใช่ชีวิตไง แต่ถ้ามีชีวิต ชีวิตที่มันจะสืบต่อได้ๆ มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็หามาเพื่อดำรงชีพๆ ถ้าเราหามาเพื่อดำรงชีพ เรามีสติปัญญานะ เราจะมีความสบายใจมากเลย แต่นี่เราหามาแล้วเราคิดว่าต้องทำตามเป้าหมาย เพราะว่ามีเป้าหมายนั้นเราถึงต้องพยายามเหนื่อยยากขึ้นมาให้ถึงเป้าหมายนั้น แต่เวลาใช้สอยๆ เราก็ใช้สอยของเราเพื่อดำรงชีพเท่านั้นน่ะ คนเกิดมาก็มีปากมีท้องเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ดูพระเราออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตเป็นวัตรๆ ต้องเลี้ยงชีพ ถ้าไม่เลี้ยงชีพมันจะเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ได้อย่างไร

ครูบาอาจารย์ท่านอดอาหารนะ เวลาท่านอดอาหาร อดอาหารเพื่ออะไร อดอาหารเพื่อทรมานกิเลสไง กิเลสที่มันย่ำยีหัวใจเรานี่ เราไม่รู้จักหน้าตาของมัน ฉะนั้น ไม่รู้จักหน้าตาของมัน มันบีบบี้สีไฟ มันทำให้เราขัดอกขัดใจตลอดเวลา จะทำสิ่งใดมีแต่ความขัดแย้งไปทั้งนั้น ทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น ทำสิ่งใดมีแต่ความยุความแหย่ให้การกระทำของเราล้มเหลวไปทั้งนั้น แล้วถ้าเรายังสู้มันไม่ได้ เราจะตั้งตัวของเรา ถ้าเราสู้ไม่ได้ เราก็เชื่อครูบาอาจารย์ของเรา อดนอนผ่อนอาหารๆ

เวลาอดนอนผ่อนอาหาร อดนอนผ่อนอาหารก็มีความหิวมีความกระหาย ความหิวความกระหาย นี่ไง พออดอาหาร อดอาหารเพื่อทรมานกิเลสไง แต่เวลาเราคิด เราคิดว่าอดอาหารแล้วทรมานเรา เราทุกข์เรายากๆ

เวลาสิ่งที่ว่าประสบความสำเร็จ ว่ามันมีความสุขๆ ความสุขนั้นมันเจือด้วยอามิส สิ่งที่อามิส อามิสสิ่งนั้น อามิสที่ได้มาด้วยความสุจริต สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องของโลก ถ้าอามิสที่ได้มาด้วยความทุจริต ทุจริตนั่นน่ะเป็นวิบากกรรมๆ สร้างแต่วิบากกรรมกันไปไง

แต่ถ้าเอาจริงๆ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หัวใจนี้ตอกย้ำมันให้มันเชื่อ อย่าให้มันดื้อเกินไปนัก อย่าให้มันดื้อเกินไปนัก เวลามันดื้อเกินไปนักมันฟาดงวงฟาดงาในใจ มันก็ความทุกข์ความยากที่มันเผาลนใจนี้ไง

เวลาเราจะมีความสุขๆ ความสุขมันเกิดมาจากไหนล่ะ ความสุขมันเกิดมาจากที่ว่ากิเลสมันไม่ฟาดงวงฟาดงาในหัวใจเราเกินไป แล้วไม่ฟาดงวงฟาดงามันเห็นคุณประโยชน์ของการบริกรรม เห็นประโยชน์การบริกรรม ท่องบ่นๆ ท่องบ่นถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พุทธะๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทุกอย่างเพียบพร้อมทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังเสียสละไปเพราะท่านต้องการสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านั้น คุณค่ามากกว่าการเป็นกษัตริย์ คุณค่ามากกว่าการปกครอง คุณค่ามากกว่าอำนาจวาสนาบารมี คุณค่าสิ่งที่มีสมบัติ แล้วสิ่งที่เหนือมันเหนือตรงไหนล่ะ มันเหนือในหัวใจนี้ไง เวลาคนที่ฉลาดๆ เห็นไหม

ฉะนั้น อย่างเรา เราวาสนาน้อย ถ้าวาสนาน้อยเกิดมาแล้วเราก็มีสติปัญญาของเรา ทำหน้าที่การงานของเรา พอว่างจากการงานของเราให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อย่าทิ้งมัน อย่าทิ้งหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้หลวงตาท่านพูดประจำ หัวใจดวงนี้มันเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจเรามันเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วใครจะไปช่วยเหลือมันล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้เป็นเครื่องดำเนินไง ให้หัวใจนี้ดำเนินตามเส้นทางนี้ ตามเส้นทางที่เป็นคุณธรรม ตามเส้นทางที่มันซื่อตรง ซื่อตรงต่อใจของตน เวลาศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดมันก็เกิดบนหัวใจดวงนี้ มันไม่ไปเกิดที่ไหนหรอก ไปศึกษาตำรากันมา ศึกษามันก็เป็นทฤษฎีเท่านั้นน่ะ มันเป็นวิชาการน่ะ แต่กระทำจริงๆ ขึ้นมาทุกคนก็ต้องทำลงที่ใจทั้งนั้นน่ะ พระในสมัยพุทธกาลที่จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติทั้งนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ได้ชฎิล ๓ พี่น้อง ได้บริษัท ๔ มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ได้ยินได้ฟังสิ่งนั้นเอามาดัดแปลงใจของตน ใจที่มันต้องการเรียกร้องให้ความช่วยเหลือๆ เอาอะไรไปช่วยเหลือมัน เวลาธรรมชาติของมันโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ส่งออก มันก็ทำลายทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ทำลายๆ ไง จะได้มาเล็กน้อย อยู่ในพระไตรปิฎกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดไว้ สุขในการครองเรือน สุขในการครองเรือนเหมือนวิดทะเลทั้งทะเลเพื่อเอาปลาเล็กๆ ตัวหนึ่ง

ความสุขในการครองเรือน ฟังสิ คำว่า “สุขในการครองเรือน” แต่เราสุขใช่ไหม เราสุข เราสุข เราพอใจ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเทียบไง วิดทะเลทั้งทะเลเหนื่อยยากแค่ไหน เอาปลาตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง ถ้าเราดูแลหัวใจของเรา ดูสิ การครองเรือน ความทุกข์ ความยากคือวิดทะเลทั้งทะเล

นี่ก็เหมือนกัน เราจะค้นหาหัวใจของเรา เราจะค้นหาหัวใจของเราด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยสติของเรา สติมันเกิดจากจิต เวลาเกิดจากจิตขึ้นมาแล้วมันควบคุมหัวใจของเราไม่ให้มันฟุ้งซ่านออกไป ความฟุ้งซ่านออกไป ถ้าเรามีคำบริกรรมพุทโธๆๆ เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะเกิดเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตอนนี้มันหลับใหล หลับใหลแล้วมันเป็นสัญญาอารมณ์ไง สัญญาอารมณ์คือความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดอันนั้นมันเจือด้วยกิเลส มันก็ชักนำหัวใจนี้ไปๆ ปลื้มใจ โอ้โฮ! ปัญญามาก ปัญญามาก...ไม่รู้เลยนั่นน่ะ ปัญญาอย่างนั้นปัญญาทำให้ลุ่มหลงไง ปัญญาที่ทำให้ลุ่มหลง คำบริกรรมๆ ให้มันชัดเจนขึ้นมามันไม่ลุ่มหลงไง

คนเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มันทำความผิดพลาดมันก็น้อยลง คนเรา คนมัวเมามันทำอะไรมันจะถูกต้องได้ มัวเมาไปทั้งนั้น สิ่งใดที่รับรู้ขึ้นมาเป็นของฉันๆ เวลาของฉันมันเสวย มันไปอยู่ตรงนั้นไง นี่พลังงานมันส่งไปหมดแล้ว เขาเรียกส่งออก ส่งไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิด ส่งไปอยู่ที่กิเลสมันบังเงา มันบังเงาไง สำคัญตนๆ ไปอย่างนั้นน่ะ

แต่เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เรามีคำบริกรรมของเรา ท่องบ่นของเรา ตอกย้ำๆ ตอกย้ำ คำว่า “ตอกย้ำ” เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้ากำหนดพุทโธๆ ด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มันต้องเป็นสมาธิแน่นอน เป็นสมาธิแน่นอน แต่นี้มันไม่เป็นสักที ไม่เป็นสักที ไม่เป็นสักทีเพราะมันไม่จริงจัง มันไม่เป็นตามข้อเท็จจริงไง คำว่า “ตามข้อเท็จจริง” มันต้องเป็นอย่างนั้นน่ะ หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง ของเราหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย หนึ่งบวกหนึ่งมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ จิตมันกระทำ เวลาจิตมันพลั้งเผลอ ที่มันคิดอยู่ทุกวันๆ เวลาอมทุกข์อยู่นี่ มันก็เหมือนพุทโธนั่นแหละ เพราะความคิดนั่นน่ะ พุทโธก็เป็นความคิดอันหนึ่ง แต่เราบังคับไม่ให้จิตมันส่งไปที่ความรู้สึกอย่างนั้น ไม่ให้กิเลสมันชักนำไป มันส่งไปที่พุทโธไง พุทโธแล้วก็จบ พุทโธคือพุทธะ พุทโธคือศาสดาของเรา พุทโธคือผู้รู้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักตัวมันน่ะ เอาชื่อมันก่อน พุทโธๆ ไป พอจิตมันสงบเข้ามา เอ๊อะๆๆๆ ถ้าสมาธิจะเป็นอย่างนี้นะ เอ๊อะๆๆ เลยล่ะ มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ของคนนั้น

คนคนหนึ่ง ดูสิ ประเทศด้อยพัฒนาไม่มีน้ำตาลกิน เขาก็บอกน้ำตาลหวานๆ แล้วมีเมื่อใดองค์การสหประชาชาติเอาน้ำตาลไปแจก พอมันได้กินน้ำตาล อื้อหืมๆ อ๋อ! น้ำตาลเป็นอย่างนี้ รสหวานเป็นอย่างนี้

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตสงบๆ มันไม่เคยเห็นหรอก มันไม่รู้จักหรอก แต่ถ้าวันใดมันได้กินน้ำตาลไง ถ้าวันใดจิตมันสงบเข้าไป เอ๊อะๆๆ เลย เพราะรสอันนั้นมันได้ยินแต่คำร่ำลือ น้ำตาลหวาน อู้ฮู! น้ำตาลนี้มีคุณภาพ น้ำตาลนี้ช่วยทำอาหารได้ ได้ยินแต่ชื่อ แต่มันประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่เคยมีน้ำตาลไง

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัมมาสมาธิ มันจะว่างเป็นคุณธรรม โม้กันไปเรื่อยเฉื่อย ไม่เคยได้กินหรอก ไม่รู้จัก แต่ถ้ามันได้รู้จักนะ พอจิตมันสงบขึ้นมา โอ้โฮ! โอ้โฮ! นี่ความเป็นจริงต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นจริงอย่างนี้ แต่ถ้ามันยังเป็นมิจฉา มันยังไม่มั่นคงขึ้นมา พอเป็นอย่างนี้แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะต่อยอดให้

คำว่า “ต่อยอดให้” คือขัดเกลา ขัดเกลาให้มันนุ่มนวล ขัดเกลาให้มันดีขึ้น พอมันเป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิมันก็มีหยาบมีละเอียด สมาธิมันก็มีด้วยจริตนิสัย ก็ขัดเกลาๆ ให้มันมีความตั้งมั่น ให้มีสติสัมปชัญญะ คำว่า “มีสติสัมปชัญญะ” มันก็เป็นสัมมาไง สัมมาคือว่าเวลาขับรถ เวลาขับรถสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รถเราไปสบายเลย ถ้าขับรถมันวูบวาบหลับใน เดี๋ยวรถลงข้างทาง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่เราพุทโธๆ จนจิตมีสติสัมปชัญญะเป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตมีโอกาส จิตมีการกระทำ มันก็มีความสุขของมันไง ถ้ามีความสุข มันจำเป็น มันจำเป็นเพราะอะไร มันจำเป็นเพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสมบัติของเราไง มันเป็นสมบัติแท้ๆ ของหัวใจน่ะ ดูสิ เวลามันทุกข์มันยากจำได้แล้ว นี่สิ่งที่ไม่อยากจำ ไม่อยากจำ ไม่ต้องการ โอ้โฮ! มันจำแม่นเลย ไอ้สิ่งคิดดีๆ มันไม่เคยเห็นจำเลย แต่ถ้าพอมันเป็นสมาธิมันก็เหมือนกับที่มันฝังลงไปที่หัวใจนั่นน่ะ

สิ่งใดที่มันฝังใจๆ สมบัติของเราๆ เพราะมันเกิดกับเราไง มันเกิดกับเรา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คือเราเผชิญหน้า เรารู้เอง เราจับต้องเอง มันก็อยู่กับเรา ที่เขาว่าเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนๆ มันรู้จำเพาะตนอย่างนี้ ยิ่งมันรู้จำเพาะตนอย่างนี้มันถึงชัดเจนไง มันถึงชัดเจน มันถึงเป็นสมบัติของเราไง

เวลาตกทุกข์ได้ยาก ใช่ ในเรื่องชีวิต ผลของวัฏฏะมันก็มีสูงมีต่ำ เวลามันตกทุกข์ได้ยากสิ่งใด แต่เราก็มีอย่างนี้อยู่ในใจของเรา เรามีคุณธรรมอันนี้เป็นพื้นฐานของใจ พอเป็นพื้นฐานของใจ คนเรามันก็เป็นแบบนี้ ถ้าคนเราเป็นแบบนี้ คนเราเป็นแบบนี้นี่คือปัญญานะ ถ้าคนเราเป็นแบบนี้มันได้สติ ถ้ามันได้สตินะ มันก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ไม่มีไฟเผาลนจนมากเกินไปไง

แต่ถ้ามันไม่มีสติมันเผาลนใจนะ น้อยเนื้อต่ำใจแล้วก็เหยียบย่ำตัวเองๆ ก็มันเป็นแบบนี้ ของมันเป็นแบบนี้มันก็เป็นแล้ว แล้วเราจะไปทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนอีกหรือ ของเป็นแบบนี้ เรามีสติปัญญา เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้คนเสมอคน คนเท่าคน แต่น้ำใจของคน น้ำใจของคนแตกต่างจากคน

นี่ก็เหมือนกัน ใจของคนมันสูงมันต่ำมันแตกต่างกัน ใจที่คนสูงเห็นคนทุกข์คนจนคนยากไร้ เราก็อยากเจือจานเขา เราอยากเจือจานเขา แต่ถ้าจิตใจของเรา เราเจือจานเขาได้มากน้อยแค่ไหนมันก็กรรมของสัตว์ๆ ถ้ากรรมของสัตว์นะ ดูคนตกทุกข์ได้ยากมีคนไปอุ้มชู เราเวลาตกทุกข์ได้ยากมันกรรมของสัตว์ๆ แล้วเราพยายามจะเติมเต็มๆ เรามาเติมเต็ม เห็นไหม โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจมันจะเต็มไปได้อย่างไร มันเต็มไปไม่ได้ แต่ใครมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนเราก็ช่วยด้วยกำลังของเราไง ช่วยด้วยกำลังของเรามันเป็นโอกาสนะ เป็นโอกาสที่เราได้สร้างกุศล เป็นโอกาสที่เราจะได้ทำคุณงามความดี

เวลาทำคุณงามความดีจะทำที่ไหน จะทำอย่างไร เมื่อไหร่จะมีโอกาสจะทำ เวลาโอกาสมันมาถึงคิดเป็นไหม เวลาโอกาสมาถึงมันมีน้ำใจไหม มีน้ำใจมันก็ทำสิ ถ้าทำมันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นของคนคนนั้นไง สิ่งที่ว่าเวลาเราทำบุญกุศลแล้วเป็นทิพย์สมบัติๆ นี่เป็นทิพย์สมบัติ มันอยู่กับเรา เราเป็นคนทำ ดูสิ สิ่งที่ตอนนี้สังคมเราทำสิ่งใดไม่ได้ใช่ไหม เราก็แอบทำของเรา นั่นก็เราทำไง นี่ทิพย์สมบัติ มันอยู่ที่ผู้ทำนั่นน่ะ อยู่ในใจดวงนั้นน่ะ ไอ้ใครจะรู้หรือไม่รู้นั่นมันเรื่องของเขา ไอ้นี่มันเรื่องของเรา ถ้ามีสติมีปัญญานะ ถ้ามีสติมีปัญญามันจะพาชีวิตของเราไม่ให้มันทุกข์มันร้อนจนเกินไปไง

ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ถ้ามันเป็นธรรมจริงอยู่แล้ว เป็นธรรมจริงอยู่แล้วมันยิ่งซาบซึ้งไง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ วันมาฆบูชา ไม่ทำความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น ทำแต่คุณงามความดี ทำจิตนี้ให้ผ่องใส

พระอรหันต์น่ะ ทำไมต้องเทศน์ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องเทศน์สอนพระอรหันต์ พระอรหันต์มันรู้จริงอยู่แล้วน่ะ นี่ตอกย้ำๆ ในหัวใจ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ ใช่ ก็เป็นพระอรหันต์นั่นแหละ แต่เป็นแนวทางไง เป็นนโยบายของพระพุทธศาสนาไง เป็นนโยบายที่จะเผยแผ่ธรรมไป ให้ยึดหลักเกณฑ์อันนี้ไง

ถ้าพูดถึง ๑,๒๕๐ องค์มันก็มีจริตนิสัย พระอรหันต์เป็นปาปมุต มันไม่ทำสิ่งใดเหลวไหลทั้งนั้นน่ะ แต่การกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางนโยบายนั้นไว้ แล้วก็เผยแผ่ธรรมมา เผยแผ่มันก็ด้วยการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่แหละ ด้วยกาลเวลานี่แหละ ชีวิตนี้คือไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา กาลเวลามันก็หมุนของมันไป เปลี่ยนแปลงของมันไป จิตนี้ไม่เคยตายๆ มันหมุนเวียนไปในวัฏฏะ แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบสัจธรรม เราจะเอาหรือไม่เอา ถ้าเราจะเอาเราก็ขวนขวายของเรา

หน้าที่ทางโลก หน้าที่ของเรา เพราะคนเกิดมามีพ่อมีแม่ทั้งนั้นน่ะ ทุกคนมีชาติมีตระกูลทั้งนั้นน่ะ ชาติตระกูลของตน ชาติตระกูลของตนใช่ไหม เรามีอำนาจวาสนามาขนาดไหน เราก็ค้ำจุนดูแลกัน แต่ใจของเราๆ มันต้องหาทาง ต้องหาทางพลิกแพลง ถ้าอยู่กับเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา ฝึกหัดภาวนาของเรา ฝึกหัดภาวนาของเรา งานก็คืองาน งานทางโลกกับงานทางธรรม ว่าจะเหมือนกันมันก็แตกต่างกัน เพราะงานทางโลกถ้ามันเป็นวัตถุ ทำแล้วมันเห็นของมันได้

งานทางธรรมๆ ถ้าทำขึ้นมาแล้วจิตใจมันมั่นคงของมันได้ แล้วมันอยู่ของมันได้ ถ้าอยู่ของมันได้ สิ่งที่เป็นธรรมๆ ดูสิ เวลาพระสารีบุตรไปเห็นพระอัสสชิเดินบิณฑบาตมันยังซาบซึ้งได้ๆ นี่เดินเหมือนกัน เราบิณฑบาตทุกวัน แต่ก่อนมาก็บอกว่า “อู้ฮู! พระนี้ใช้ไม่ได้ พระนี้เห็นแก่ตัว”

เดี๋ยวนี้นะ เขาจอดรถใส่บาตรๆ มันเห็นทุกวันๆๆ พอเห็นทุกวันมันคิดได้ทั้งนั้นน่ะ มันคิดของมันนะ เดี๋ยวนี้จอดรถใส่บาตรๆ แล้วเขาก็คนทุกข์คนจนนะ ไม่ใช่คนร่ำคนรวยหรอก กรรมกรหาเช้ากินค่ำ แต่เขาเห็นทุกวันๆ เป็นปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี เขาก็เห็นของเขาอยู่อย่างนั้นน่ะ เห็นไหม เขาเห็นเขาคิดของเขาได้ เขาคิดของเขาได้ถ้ามันเป็นจริง ขอให้เรามีคุณธรรมในใจเถอะ

เราทำหน้าที่ของเราๆ ต่างคนต่างทำหน้าที่ เราก็เกิดเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ แล้วค้นหาสมบัติของเรา ค้นหาสมบัติของเราให้เป็นจริงในใจของเรา ฟังธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง