เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะตั้งใจฟังธรรมหลวงตาท่านบอกว่า คนไม่มีวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนานี้สำคัญมาก สำคัญจนครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเองว่า ท่านไปอยู่ที่ไหนนะ ท่านจะไม่ยอมนั่งกับพื้นเลยถ้าพื้นนั้นมีหนังสือวางอยู่หนังสือจะภาษาใดก็แล้วแต่ สื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หลวงปู่มั่นท่านให้ยกสูงขึ้นไว้
แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตาเวลาหลวงตาไปหาท่าน หลวงตาจบมหามา ท่านบอก มหา เรียนถึงมหามาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดมาก เทิดใส่ศีรษะไว้ แล้วเชิดชูบูชาไว้ไงแต่ในการประพฤติปฏิบัติต้องเก็บใส่ลิ้นชักในสมองไว้แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา ถ้ามันออกมา เวลาประพฤติปฏิบัติมันจะเตะมันจะถีบกัน คือมันจะขัดแย้ง ความรู้ของเราก่อน แล้วกิเลสมันยึดมั่นถือมั่น มันจะขัดแย้งกับพื้นฐานที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา
เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความไม่รู้ของเรา ด้วยคนหนา ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่อวดรู้ว่าได้ศึกษามาความอวดรู้อันนั้นน่ะมันตอบโจทย์แล้ว ท่านถึงบอกว่า เวลาจะประพฤติปฏิบัติต้องเอาสิ่งนี้ใส่ในสมองลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมาเราต้องปฏิบัติแบบคนไม่รู้ คนที่ไม่รู้ คนที่ยังไม่เห็นสิ่งใดเลยเวลาทำสิ่งใดขึ้นมามันจะเป็นความจริงกับใจดวงนั้นขึ้นมาๆ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอยู่โคนต้นโพธิ์นั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวนะ พระองค์เดียวเป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอน ๓โลกธาตุพระพุทธศาสนานี้สำคัญมากสำคัญมาก สุดยอดมาก
เวลาสุดยอดมากนะครูบาอาจารย์ของเราท่านเคารพบูชาของท่านนะ เวลาพูดถึงอริยสัจ สัจจะความจริง เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการท่านเทศน์เรื่องอริยสัจ ทุกข์สมุทัย นิโรธมรรค เวลาเป็นความจริงๆ ขึ้นมานะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่ศาสนามันอยู่ตรงนี้ ถ้าศาสนาอยู่ตรงนี้มันฝังรากลึกมา
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เทศนาว่าการขึ้นมา ได้พระ เอหิภิกขุบวชให้เอง สอนเอง เป็นพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการต่อไป พระอรหันต์มหาศาลเลย ศาสนารุ่งเรืองมาก ศาสนารุ่งเรืองมาก มั่นคงมาก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอรหันต์๖๑ องค์รวมทั้งท่าน "เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกเร่าร้อนนักๆ" พวกเรามีแต่ความทุกข์ มันเร่าร้อนในหัวใจนัก คนที่มีคุณธรรมในหัวใจจริงนั้นน่ะท่านจะมาโปรดเรา ท่านมาโปรดเรา สิ่งที่เราได้เสียสละได้ทำบุญกุศลอย่างนั้น มันได้บุญกุศลๆ ไงแล้วมันเชิดชูบูชามา ศาสนานี้มั่นคงมาก จนพระมีการศึกษาๆมหาวิทยาลัยนาลันทา เขาเผาหมดเลย ไปศึกษา ศึกษามันเรื่องของพระไงเรื่องของพระเรื่องการศึกษาเรื่องการค้นคว้าไง มันตัดขาดจากสังคมไปไง
เวลาสังคม สังคมบริษัท ๔ "มารเอย เมื่อใดภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้เราจะไม่ยอมนิพพาน" ท่านเผยแผ่อยู่ ๔๕ปีนะ จนมั่นคงในหัวใจของอริยสาวก ในพระพุทธศาสนามันมั่นคงมาๆ"มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน"
นี่นิพพานไป เวลาไป ๒๐๐๐ กว่าปีมา เวลาบวชมา พระมาจากไหน พระก็มาจากลูกชาวบ้าน เวลามากราบพระๆ ก็กราบลูกชาวบ้าน ไอ้ลูกชาวบ้านมันอยู่ที่บ้าน เวลาบวชมาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ มันเป็นพระ เป็นพระโดยสมมุติ เป็นพระโดยความสมบูรณ์ เวลากราบพระก็กราบถึงพระ กราบถึงพระไปกราบถึงลูกชาวบ้านไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาบวชพระๆ มาแล้ว บวชมาจากไหน ก็มากจากมนุษย์ มาจากคนนั่นน่ะ เวลาบวชมาแล้วมันก็มีหลากหลาย สิ่งที่มีหลากหลายมันก็มีวุฒิภาวะแตกต่างกันไปเวลามาศึกษามาค้นคว้ามันเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงขึ้นมาไง เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาค้นคว้าของท่านเห็นไหม ทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้ววิธีการดับทุกข์ของท่าน วิธีการดับทุกข์ของท่านเวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำจนมั่นคงของท่าน ทุกคนก็เชื่อถือมั่นคงในพระพุทธศาสนาพอเชื่อถือมั่นคงในพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้มันเลยกลายเป็นทุนนิยม บริโภคนิยม ถ้าพระไหนที่ไม่เป็นขุนนางพระไหนไม่มีบริษัทบริวารพระองค์นั้นไม่มีคุณธรรมพระองค์ไหนมีบริษัทมีบริวารพระองค์ไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง พระองค์นั้นจะมีคุณธรรมอย่างนั้นหรือนักการเมืองมันก็มี นักการเมืองมันม็อบส่วนตัวมันด้วย ไปไหนมันล้อมหน้าล้อมหลังทั้งนั้นน่ะ มันจะเป็นคุณธรรมมาจากไหน
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ของท่านในป่าในเขาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านถ้าคนมีความจริงๆ มันต้องมีความจริงคุณธรรมในใจอันนั้น ถ้ามีความจริงคุณธรรมในใจอันนั้น สัจธรรมอันนั้น องค์สมด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมมันเหนือโลกๆ ไง
คำว่า"เหนือโลก" เหนือทุกข์ เหนือเหตุให้เกิดทุกข์ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ในหัวใจอันนั้น ถ้ามันเหนือนั้น เหนืออย่างไรล่ะ เหนือมันต้องมีการกระทำ การกระทำอย่างนี้ ถ้ามีการกระทำอย่างนี้มันไม่เหลวแหลกความเหลวแหลกๆ มันได้แต่เปลือก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านแสดงยมกปาฏิหาริย์ บอกไม่ให้ทำๆ พระโมคคัลลานะจะแสดงแทน ทุกคนจะแสดงแทนไม่ให้ทำ พวกคฤหัสถ์ก็บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติเอง บอกว่าห้ามแสดงฤทธิ์แสดงเดช
ห้ามแสดงฤทธิ์แสดงเดช แต่ไอ้นี่มันเจ้าลัทธิต่างๆเขาเย้ยหยันเยาะเย้ยถากถางองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราจะแสดงเอง แล้วเราแสดงเองขึ้นมา เวลาแสดงของท่านขึ้นมาพวกฆราวาสก็บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติธรรมวินัยแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงได้อย่างไร
เราเป็นเจ้าของสวน เราเป็นเจ้าของสวนนะ เราก็สามารถเก็บผลไม้ในสวนนั้นกินได้ นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นผู้ที่บัญญัติเอง บัญญัตินี้ไม่ให้พวกที่เหลวแหลกมันมาทำนอกลู่นอกทาง ที่ความเป็นจริงๆ ความเป็นจริงเพื่อความเป็นประโยชน์เพื่อความเป็นประโยชน์ในดุลพินิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหารย์เสร็จแล้วขึ้นไปโปรดพระมารดาบนดุสิตนู่นน่ะ นี่ถ้ามันเป็นความจริงเป็นความจริงตั้งแต่หัวใจความจริงตลอดทางไง
ถ้ามันไม่เป็นความจริงในการประพฤติปฏิบัติ แนวทางต่างๆ ขึ้นมา เราก็ปฏิบัติแนวทางนั้น ปฏิบัติขึ้นมามันก็ออกไปนอกแนวทาง ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วแตกออกเป็น ๑๘ นิกายแตกออกเป็น ๑๘นิกายเพราะมันเป็นความเห็นดุลพินิจไง แตกเป็น ๑๘ นิกายแล้วมันทำจริงหรือไม่ทำจริงถ้าทำจริงขึ้นมามันก็เป็นสัจจะความจริงภายในเข้ามาให้ได้ ถ้าสัจจะความจริงภายในได้ มันก็อยู่ที่จริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยมันเป็นความจริง ความจริงเป็นความจริง พระพุทธศาสนามหัศจรรย์มากมหัศจรรย์ที่ไหนล่ะ
มหัศจรรย์สิ่งที่สัมผัสธรรมได้ สัมผัสธรรมได้คือหัวใจเท่านั้น สิ่งที่อย่างอื่นมันเป็นส่วนประกอบศาสนบุคคลศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนพิธีนี่วัฒนธรรมทั้งนั้นน่ะ วัฒนธรรมทั้งนั้นมันก็ดีงาม ดีงามสำหรับประชาชน ดีงามสำหรับวัฒนธรรมสำหรับสังคม
แล้วสังคมขึ้นมาแล้วใครที่เข้ามาวัดมาวาแล้ว ฟังธรรมแล้วๆ เราอยากได้ความจริง เราอยากได้สัมผัสธรรมหัวใจของเราๆมาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่ออะไร เพื่อค้นคว้าหาใจของตน ค้นคว้าหาหัวใจของตนเพราะเหตุใดเพราะใจเท่านั้นที่สัมผัสธรรมได้ใจเท่านั้นที่มันสุขมันทุกข์ ถ้ามันสุขมันทุกข์มันสุขมันทุกข์ตามความเป็นจริง
เวลาสุขทางโลกๆ มันสุขด้วยอามิสทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันสุขความจริง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา ระงับเพราะเหตุใด ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาของท่านท่านทำเพราะเหตุใด สิ่งนี้มันอยู่ที่สงบสงัดสัปปายะ ๔ สัปปายะ คนที่ทำงานเขายังต้องการความสงบเลย คนทำงานของเขาเขาต้องการสถานที่ทำงานของเขา ไอ้นี่เราค้นหาหัวใจของเราๆ
เวลาไอ้พวก ๑๘ มงกุฎมันก็เข้าป่าไปเข้าป่าไปก็ไปสำรวยว่ามันอยู่ในป่า ในป่าอย่างนั้นน่ะ พวกชาวป่า พวกชาวไทยภูเขา เขาก็อยู่ป่า เวลาอยู่ป่าๆ สัตว์ป่ามันก็อยู่ป่า การว่าไปอยู่ป่าๆ มันไม่ใช่ว่าอยู่ป่าต้องอยู่ป่าอย่างเถรตรงไง คำว่า"ไปอยู่ป่าๆ" ของเรา เราหลบหลีกไปเอง
เราทุกข์เรายากนะ เราทำมาหากินของเรา เราต้องการความมั่นคงของชีวิต ความมั่นคงของชีวิต สิ่งใดเราหามาก็เพื่อเอาไว้ใช้เวลาเกษียณ ชีวิตเราต้องมีปัจจัยตลอดชีวิตไงเวลาพระบวชมาแล้ว พระบวชมาแล้วมันมั่นคงในธรรมวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงชาวพุทธๆประเพณีของชาวพุทธก็อยากตักบาตร อยากทำบุญทั้งนั้นน่ะพระเราภิกขาจารๆ อาหารปัจจัย ๔ มันมีอยู่แล้วไง ถ้ามีอยู่แล้ว เราไม่บิณฑบาตเสียเอง บิณฑบาตมาแล้วเราฉันแต่น้อย บิณฑบาตมาแล้วเราแบ่งปัน ไม่ใช่ว่ามันไม่มีไง มันมี แต่เรามีสติมีปัญญาของเรา เพื่ออะไร
เวลานั่งสัปหงกโงกง่วงเวลาทำขึ้นไปแล้วมันไม่ได้ผลเวลามันจะได้ผลขึ้นมา มันก็อดนอนผ่อนอาหารอดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไรเพื่อตัดทอนกิเลสไง เวลามีความทุกข์ความยาก มีความโกรธในหัวใจเราจะบรรเทามันอย่างไร ถ้าเราบรรเทามันไม่ได้สิ่งใดถ้าไปเสริมมัน ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านบอกเลย กองไฟถ้าสุมเอาแต่สุมฟืนใส่เข้าไปในกองไฟ มันไม่มีวันดับหรอก มีวิธีเดียวเท่านั้นแหละ ชักฟืนออก ไฟมันจะดับได้ต้องชักฟืนออก ทีนี้ชักฟืนออก นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันจะเบาบางลงได้ด้วยการบั่นทอนมัน ด้วยการบั่นทอน
เวลาเราบั่นทอน เราจะบั่นทอนกิเลสเวลาเราแสวงหามาเป็นทรัพย์สมบัติของเรานะเวลาเป็นทรัพย์สมบัติของเราเวลาบาปบุญคุณโทษ เราไม่รู้ไม่เห็น นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะได้อริยทรัพย์ๆ ขึ้นมามันเกิดมาจากไหน เห็นไหม ดูสิเกิดมาจากไหนละเท่าไร ได้เท่านั้น ละอะไรไม่ได้เลย มีแต่ทิฏฐิมานะจะกว้านมาเป็นของเราทั้งหมด มันจะละอะไรนั่นน่ะ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านละท่านเสียสละตั้งแต่ภายนอกภายนอกขึ้นมาแล้ว เพราะภายนอกมันตระหนี่ไง อยากดัง อยากใหญ่อยากมีชื่อเสียงอยากให้เขานับหน้าถือตา ความอยาก อยากทั้งนั้นน่ะ ไปกว้านมาว่าจะเป็นของเรา แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปอยู่ป่า อยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เวลามันทุกข์มันยากนะหลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าใครเห็นตอนที่เราปฏิบัติอยู่ ๙ ปีสละชีวิตทั้งนั้นเวลาท่านทุกข์ท่านยากของท่านอยู่คนเดียวไม่มีใครเห็นเวลาออกมามีชื่อเสียง ทุกคนนี่แหม! ล้อมหน้าล้อมหลัง ถ้าล้อมหน้าล้อมหลังอย่างนั้นมันจะมีเวลาปฏิบัติไหมล้อมหน้าล้อมหลังมันเป็นภาระไหม ล้อมหน้าล้อมหลังเป็นกังวลไหม
ดูสิ ในประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านอยู่ป่า แม่ชีของหลวงปู่พรหมที่ไปหาท่าน ๓-๔ องค์ไปกับแม่หลวงปู่มั่น ไปถึงท่านเป็นกังวล ผู้ที่ปฏิบัติก็อยากหาครูบาอาจารย์หาผู้ชี้นำ เวลาไปหาท่าน เสือมันเยอะ พอเสือมันเยอะ ให้ชาวบ้านมา ไปขัดห้างไว้บนต้นไม้แล้วกลางคืนก็ให้อยู่บนต้นไม้นะ ถ้ากลางคืนห้ามลงมาเด็ดขาด ให้อยู่บนต้นไม้นั้น แล้วพระเราก็อยู่โคนไม้ หลวงปู่มั่นท่านก็อยู่อย่างนั้น ท่านใช้บารมีของท่านคุ้มครองดูแลไงสุดท้ายท่านบอกว่า ไปเถอะ ไปเถอะมันเป็นกังวล ไปเถอะคือให้กลับ ให้คนไปส่ง ไปส่งให้ไปอยู่ข้างนอกไงถ้าไปอยู่นั่น เสือมันเอาไปกินๆน่ะ
นี่ไง เวลาละ ใครละมากเท่าไร ได้เท่านั้นนี่สละชีวิต เวลาเขาประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราท่านสละชีวิต ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นน่ะเสือในกรง ไปเที่ยวสวนสัตว์เสือเยอะแยะเสืออย่างนั้นมันเสือประโยชน์อะไร ไอ้นี่ผิดศีลเสือมันกิน เวลามันผิดบาปขึ้นมานั่นน่ะ
ศีลธรรมมันจะคุ้มครองคนที่อยู่ป่าอยู่เขา ศีลสำคัญมาก ถ้าศีลสำคัญมาก เราอยู่ในป่าในเขาศีลมันสำคัญของมัน นี่พูดถึงว่าเวลาป่าดงดิบนะเดี๋ยวนี้มันเป็นอุทยานแห่งชาติมันมีเจ้าหน้าที่ดูแล มันก็เบาบางลงไปนะ
นี่พูดถึงเวลาจะประพฤติปฏิบัติ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา พระพุทธศาสนา แก่นของมันอยู่ที่นี่ แก่นของมันคือหัวใจหัวใจที่สัมผัสธรรม หัวใจที่มีคุณธรรม ถ้าหัวใจไม่มีคุณธรรม ศีล ๕นี่ไง ศีล ๕ ศีล ๘ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗แล้วก็บอกชาวพุทธถือศีลๆทำไมมันปลิ้นปล้อนขนาดนั้น
เวลาแชร์ลูกโซ่ๆ เห็นแล้วน่าสงสารมากโดนกันทั้งนั้นแล้วอย่างว่าคนอยากมีอาชีพคนอยากจะมีผลตอบแทน พออยากมีผลตอบแทนขึ้นมาก็ด้วยความด้อยวุฒิภาวะโดยไม่มีสติปัญญายั้งคิด เห็นเขาว่ามันได้ประโยชน์ๆ เอากับเขา
ถ้ามันมีสติมีปัญญามันเข้ามาตรงนี้ไงเวลาวุฒิภาวะมันอ่อนแอ ถ้าวุฒิภาวะมันจะแข็งมันแข็งขึ้นที่ไหนเจริญงอกงามขึ้นก็นี่ไง ฟังธรรมๆองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนประจำให้มีสติ ให้มีสติขึ้นมา ให้มีปัญญา ถ้ามีปัญญาขึ้นมา คนก็เหมือนคน เราก็ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นเขาก็ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นแต่เวลาคนที่หยาบช้ามันก็จะหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จะหาความสุขจากคนอ่อนแอ เวลาคนอ่อนแอขึ้นมาก็เสนอผลประโยชน์ๆ แล้วก็เอาแต่ผลประโยชน์ ไอ้ของเรา เรามีแต่เสียสละ มีแต่โอบอุ้ม มีแต่ดูแล ใครตกทุกข์ได้ยาก ใครมีอะไร เราจะช่วยเหลือเจือจาน
นี่จิตใจมันไม่เหมือนกันๆ เพราะจิตใจไม่เหมือนกัน เวลาการปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วถ้ามันสงบ มันมีปัญญาก็แตกต่างกัน ความแตกต่างกันนะมันต้องแตกต่างกันโดยจริตนิสัย
แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงๆทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่หลักของศาสนาศาสนามันแก้ทุกข์แก้ยาก ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นน่ะจะอยากร่ำอยากรวย อยากร่ำอยากรวยมันก็เป็นอามิสนะ สิ่งที่เป็นอามิส ไอ้นี่มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่การกระทำมาถ้าเขาทำของเขามา พระสีวลี พระที่มีลาภมากในพระพุทธศาสนาเวลาพระอรหันต์สมัยพุทธกาล จำชื่อไม่ได้ ทุคตะเข็ญใจนั่นน่ะ ไม่เคยฉันข้าวอิ่มเลย เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน
เวลาเป็นพระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ด้วยทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แต่อำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันเกิดวิมุตติสุข มันจะมีความทุกข์ความยากอะไรเข้ามาในหัวใจนั้น แต่เรามองภายนอกมองรูปแบบ มองความเป็นอยู่ ถ้าอย่างนี้เราก็บอกว่าไอ้คนที่ขาดแคลนก็ต้องทุกข์กว่า แต่ถ้าเขามีคุณธรรมในหัวใจ เขาขาดแคลน แต่หัวใจเขาเบิกบาน หัวใจเขาชุ่มชื่น มันจะมาทุกข์ตรงไหน
ถ้าทางโลกเราๆ อยากร่ำอยากรวยก็ต้องรวยๆ รวยขึ้นมา รวยขึ้นมาด้วยสุจริต แบบพระสีวลี รวยขึ้นมาด้วยอะไรเพราะว่าเขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำไมพระสีวลีเป็นอย่างนั้น
ในอดีตชาติ เวลาเขาจะทำบุญ เขาจะเชิญพระสีวลีชาติใดภพใดก็แล้วแต่ ให้เป็นหัวหน้า ให้เป็นประธาน หัวหน้าประธานเป็นผู้นำเป็นผู้ออกมากที่สุด นี่ท่านทำของท่านมาอย่างนั้นทุกภพทุกชาติๆ ท่านเสียสละของท่านมา ท่านทำของท่านมาถึงเวลาแล้วท่านมาเกิดชาติสุดท้ายเป็นพระสีวลี ท่านก็มีลาภสักการะมหาศาลของท่าน ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่ทำมาสิ่งที่ทำมา แต่ถ้าเป็นความจริงๆก็ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง
เศรษฐีกุฎุมพีเวลามีเงินทองมหาศาล แต่มีความทุกข์ความยาก ยสะ"ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ" มีปราสาท๓ หลังนะ "ที่นี่เดือดร้อนหนอ" มีปราสาท ๓หลังนะ แต่มันบีบคั้นหัวใจมาก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ไง "ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน" โคนต้นไม้ไม่เดือดร้อน โคนไม้อยู่ในป่า มีความร่มเย็นเป็นสุข ยสะมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบัน พ่อแม่ตามมา บังไว้เทศน์ต่อไป พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วมันเดือดร้อนอีกไหมเดือดร้อนอีกไหม
เราจะบอกว่า ถ้าเราทำแล้วด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเราประสบความสำเร็จดีงาม อันนั้นมันก็ชอบธรรม ถ้ามันจะขาดตกบกพร่องถ้าเรามีสติมีปัญญาของเราเราพิจารณาของเรา มันก็ชอบธรรมในใจของเรา ไม่ต้องเดือดร้อน ธรรมะเป็นอย่างนี้ ธรรมะเยียวยาหัวใจธรรมะเยียวยาเราไม่ให้เราทุกข์เรายาก
ถ้ามันมีมาโดยสุจริตโดยสัจธรรมโดยความเป็นจริง อันนี้ก็สาธุเรามีสติปัญญามันถึงจะเป็นอย่างนั้น ถ้ามันจะขาดแคลน มันจะเป็นอย่างไรเราก็พยายามแก้ไขของเรา ทุกคนไม่อยากจนตรอกหรอก ไม่มีใครอยากจนตรอกจนมุมทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็อยากมั่งมีศรีสุขทุกคนก็อยากประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามันประสบความสำเร็จด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยความสุจริต ด้วยความเป็นธรรม อย่าให้ไปสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมาถ้าสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมา เวลาเราจนตรอกของเรา เราก็จะหาทางออกของเราหาทางออกของเรา มันก็ไปสร้างเวรสร้างกรรม
พระปฏิบัติ ถ้าพิจารณาของเราไปแล้ว ละสังโยชน์ไปแล้วไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำ ยอมตายทั้งนั้นนะ ถ้าจะผิดศีล ขอให้ตาย ให้ยิงทิ้งเลย ให้ฆ่าเลยให้ฆ่าไปเลยฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นธรรมๆ เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าเขาจะตัดคอ มันก็ได้แต่มีดผ่านเนื้อและกระดูกนั้นไปเท่านั้น สัมผัสหัวใจดวงนั้นไม่ได้ นี่เวลามีคุณธรรม มีคนพยายามจะทำร้าย มีคนพยายามจะทำลาย ท่านไม่สนเลย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ จะอย่างไรก็ได้ จะอยู่ก็ได้ จะไปก็ได้ เราไม่เดือดร้อนเลย ไอ้คนทำมันจะเดือดร้อน ไอ้คนทำทำไม่ได้มันก็วางแผน คิดแล้วปวดหัว ไอ้ทำไปแล้วมันก็จะได้บาปได้กรรม ไอ้คนโดนทำเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ได้ ได้ทั้งนั้นเลย เพราะเขามีคุณธรรมในใจๆ
พระพุทธศาสนา เราจะบอกคุณธรรมพระพุทธศาสนาทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ถ้าใครมีสติปัญญาเห็นธรรมอันนั้นคุณธรรมนี้สุดยอดมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมที่นี่ไง
เราจะบอกว่า พระพุทธศาสนาเราประเสริฐมาก แต่พวกเราหูตามืดมัว ไปเห็นอะไรในสภาพแวดล้อมว่าเป็นแก่นๆ ถ้าเป็นแก่นๆ เราอย่าเพิ่งเชื่อ กาลามสูตรเนาะ กาลามสูตร ไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าให้เชื่อเป็นสัจจะความจริง เชื่อผลการปฏิบัติ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยังยืนยัน ทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ฉะนั้นเวลาทำดีๆ ทำดีนะ คนพูดความจริง คนนั้นตายความจริงไม่เคยตาย แต่คนพูดตาย ถ้าคนพูดตาย คนนั้นต้องมีปัญญาไง เราควรพูดเมื่อไหร่เราความทำอย่างไรเพื่อประโยชน์กับเรารักษาชีวิตนี้ไว้ๆรักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อโอกาส เพื่อได้สัมผัสธรรมๆไง ถ้าได้สัมผัสธรรมความเป็นจริง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี นี่หลักของศาสนา สิ่งแวดล้อม สภาวะความเป็นอยู่ของชีวิตนี้มันเป็นผลของกรรม การกระทำ เราทำมาๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนนะ เราภูมิใจมาก เพราะเราเป็นพระองค์หนึ่งที่โดนสังคมติเตียนเยอะมากพูดอย่างนั้นเลยแต่ภูมิใจมากภูมิใจเพราะอ่านพระไตรปิฎกแล้วไปเจอพระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก "ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอโดนโลกธรรม ๘ทิ่มแทง เธออย่ากังวลใจ อย่าเสียใจ ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง"
ท่านบอกว่า "ใน ๓ โลกธาตุนี้ ไม่มีใครโดนกลั่นแกล้งติฉินนินทาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่เวลาพวกเราศึกษา เราศึกษาแต่ผลประโยชน์ศึกษาแต่คุณประโยชน์ ศึกษาแต่คุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เคยศึกษาเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนพวกพราหมณ์กลั่นแกล้ง โดนเขาทำลาย โดนมาตลอด แต่ท่านยิ้มเลย แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็เพราะปราบเขานั่นแหละ ปราบพวกมารนั่นแหละ ปราบพวกเปรตนั่นแหละเวลาท่านทำของท่าน เห็นไหม
ฉะนั้นเวลาโดนสิ่งใดที่มันกระทบ เห็นไหม เราทำมาเราทำมา เราทำของเราเอง ถ้าเราไม่ทำ มันก็ไม่มีผลกระทบถ้าเราทำ มันมีผลกระทบ แต่จะสร้างอำนาจวาสนาบารมีหรือไม่ อยากเป็นบัณฑิตหรือไม่อยากเป็นคนดีหรือไม่ อยากมีจุดยืน มีหลักการในหัวใจหรือไม่
คนมีจุดยืน มีหลักการเท่านั้น เวลาประพฤติปฏิบัติเจอสิ่งใดทำกระทบกระเทือนแล้วมันไม่โยกไม่คลอน มันถึงมีโอกาสไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ไงเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มีอะไรกระทบกระเทือน หลบหลีก เราพยายามถอยหนีเราไม่สู้สิ่งใดเลย ไม่มีจุดยืนเลย ไม่มีหลักการอะไรเลยอย่างนั้นหรือที่จะทรงธรรมทรงวินัย
หลวงตาท่านสอนประจำคนจะทรงธรรมทรงวินัยต้องมีสติมีปัญญา ผู้ที่จะรักษาศาสนาต้องมีสติมีปัญญา คนไม่มีปัญญารักษาศาสนาไม่ได้เพราะศาสนานี้เป็นนามธรรมสิ่งใดจะถูกต้องอย่างไร ๑๘มงกุฎทั้งนั้น พูดไปเอาแต่ผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ ไม่เคยคิดถึงธรรมเลย
คนจะรักษาศาสนาได้ต้องมีสติมีปัญญา คนจะบรรลุธรรมได้ต้องมีสติมีปัญญา เราถึงต้องฝึกหัดของเราให้มีสติมีปัญญา ยกวุฒิภาวะ ยกระดับหัวใจของเราให้สูงขึ้น ให้มั่นคงขึ้น ให้เป็นจุดยืนในใจของเราเอวัง