เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ มิ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม การตรัสรู้ธรรมนั้นเป็นการชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธ พระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ เกิดอริยสงฆ์องค์แรกของโลก 

ถ้าพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเราๆ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนนะ สอนถึงการให้เสียสละทาน การเสียสละทานคือเสียสละความทุกข์ความยากในหัวใจ คำว่า "เสียสละทาน" เสียสละทานคือสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุ สิ่งที่เราแสวงหามานี้เพื่อเสียสละเพื่อเป็นบุญกุศล

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลาเราบวชเราเรียนมาเวลามาประพฤติปฏิบัติเช้าขึ้นมา บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ เลี้ยงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้ามัน ค้นคว้าหัวใจดวงนี้ไง หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ค้นคว้าขึ้นมาให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงเข้ามาในหัวใจนะ ใจนี้ประเสริฐ

วันนี้วันพระวันนี้ประเสริฐ ประเสริฐแล้วสิ่งรอบข้างเป็นของไร้สาระทั้งนั้นน่ะ เป็นของอาศัยๆ คำว่า "ของอาศัยไง" แต่ของเราเวลาเราทำบุญกุศลขึ้นมา เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราจะมั่งมีศรีสุข ความมั่งมีศรีสุขด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นภาระรุงรัง เป็นความทุกข์ความยากมหาศาลเลย แต่ถ้าคนมั่งมีศรีสุขขึ้นมาแล้วเป็นธรรมๆเห็นไหม เวลานางวิสาขาเวลาจะไปทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เครื่องประดับที่ไปถอดไว้น่ะ สิ่งที่เป็นเครื่องประดับ สิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติทางโลกถอดทิ้งไว้ๆ เวลาเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กษัตริย์สมัยพุทธกาลนะ เวลาจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เครื่องกษัตริย์เขาถอดทิ้งทั้งนั้นน่ะ เขาถอดทิ้งไว้นอกวัดแล้วเขาเข้าไปด้วยความถือพรหมจรรย์ สิ่งที่มันเป็นธรรมๆ มันเป็นแบบนั้น

เวลาคนทุกข์คนจน คนทุกข์คนยากขึ้นมา ว่าเรามีความทุกข์ความยากๆ ความทุกข์ความยากเพราะหัวใจมันมืดบอดไง ถ้าความทุกข์ความยากขึ้นมา ถ้าหัวใจมันไม่มืดบอดขึ้นมานะ ความทุกข์ความยากขึ้นมานั้นใครทำมาสิ่งที่เราทำมา เราแสวงหามา แสวงหามาเพื่ออะไร แสวงหามาเพื่อดำรงชีพ แล้วคุณค่าในชีวิต ชีวิตที่มันทุกข์มันยาก ชีวิตที่มันบีบคั้น มันมีแต่ความทุกข์ความยากไง

แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมๆ ขึ้นมา จะทุกข์จะยากขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของโลก คำว่า"เราทำมาๆ" ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมไงคำว่า "เชื่อกรรมๆ" เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็บอกเพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาถึงถวายทาน เขาถึงมาเคารพบูชา

การเคารพบูชานั้นเป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมา สลบถึง ๓ หนเวลามาตรัสรู้ ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังธรรมๆ ฟังธรรมอะไรก็ฟังอริยสัจ ฟังสัจจะความจริง ฟังสิ่งที่อาสวักขยญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นในใจอันนั้นน่ะ เวลารื้อค้นในใจอันนั้น มันไม่ติดข้องในเรื่อง ๓ โลกธาตุ ในเมื่อมันไม่ติดข้องใน ๓ โลกธาตุนั้น ไม่ติดในตัวเรา ตัวเรามันว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสาระเลย สิ่งที่สาระทางโลกนะ แต่ถ้าเป็นธรรมในใจๆ มันมีคุณค่ามากๆ ไง ต้องการสิ่งนี้จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ ถ้าสัตว์โลกๆ ถ้ามันพ้นทุกข์ไป สัตว์โลกมันปลดเปลื้องความทุกข์ในใจของมันไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานะ นี่คนที่มีคุณธรรม

ดูสิ เวลาเขาว่า พระไม่เห็นทำหน้าที่อะไร พระไม่ทำหน้าที่อะไร

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่าน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานะ หลวงตาท่านพูดเองงานทางโลกที่ไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ อย่าเพิ่งพูดนะ เพราะมันไม่ถึงกับเสียสละชีวิต เวลาประพฤติปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนากิเลสมันหลอก มันเสียสละชีวิตนะ ความจริงอยู่ทำฟากตายๆ เวลาเอาตายนี่ทิ้งเลย ถ้าอะไรจะตาย ขอดูหน้า อะไรมันจะตายก่อน เวลามันหลอกว่าจะตายๆ เราก็อ่อนแอ เราก็ยอมจำนนไปกับมันไปตลอด นี่พูดถึงว่า ไม่ทำอะไรเลยหรือ

การกระทำอันนั้นมันวิกฤติ มันวิกฤติเพื่ออะไร เพื่อจะเอาชนะกิเลสในใจของตน แล้วกิเลสมันก็เอาสิ่งนี้มาล่อเอาความพอใจ เอาความสุขความทุกข์ เอาสิ่งที่เป็นโลกๆ มาล่อแล้วมันล่อขึ้นมาแล้วเราก็ไปติดอย่างนั้น เพราะเราไม่เคยเห็นความจริงไง ถ้าเราไม่เคยเห็นความจริง

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงธรรมวินัยๆทรงธรรมวินัยก็วิธีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราให้ประพฤติปฏิบัติ แล้ววิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เราจำมาได้แล้วเราได้ประโยชน์อะไร เราจำมาๆ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติควรศึกษาศึกษามาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติก็ตรงนี้ไง

สิ่งใดที่เป็นทางโลก เราแสวงหา เราทำมาเพื่อดำรงชีพเท่านั้นแหละ ถ้าดำรงชีพแล้วมันปล่อยวางแล้วมันไม่เป็นภาระรุงรัง มันมีความสุขในหัวใจนะ สิ่งนี้มันก็บอกถึงจริตนิสัยของคนไง คนก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียร คนต้องประหยัดมัธยัสถ์ เขาถึงรักษาสิ่งนั้นได้ เวลาพระบวชใหม่ๆ

เวลาที่ยังไม่บวชไปขอลูกสาวใครก็ไม่ให้หรอก แต่ถ้าบวชแล้วเป็นทิดๆ เป็นบัณฑิตไง ถ้าเป็นบัณฑิต สิ่งที่ศึกษามาๆ ถ้าครอบครัวใด สิ่งใดที่รู้จักซ่อม รู้จักบำรุงรักษา ครอบครัวนั้นจะเจริญรุ่งเรืองครอบครัวใดรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ครอบครัวนั้นจะมั่นคง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนในนวโกวาทๆ เวลาสอนฆราวาสธรรมๆ ไง เราหาสิ่งใดมาแล้วเราบูชาทิศ ครูบาอาจารย์อยู่เบื้องขวา พ่อแม่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนฝูงอยู่ข้างซ้าย ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เราจะบริหารอย่างไรๆ นี่คือบริหารชีวิต ถ้าเป็นบัณฑิตบัณฑิตมันบริหารอย่างนี้แล้วมันบริหารด้วยอะไรล่ะ ด้วยสติด้วยปัญญานะด้วยสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันจะบริหารได้ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาบริหารอย่างนี้ไม่ได้หรอก

เราไม่มีความมั่นคง เราไม่มีจุดยืนไงให้คนโน้นยุ ให้คนนี้แหย่ ให้คนนั้นเสี้ยม มันมีแต่ความทุกข์ภายในแต่ถ้าเขายุเขาแหย่ เขาเสี้ยมเราไม่ได้ เขายุเขาแหย่ เขาทำไมต้องมายุมาแหย่ล่ะ เขามาพึ่งพาอาศัยเราใช่ไหม ถ้าเขาพึ่งพาอาศัย เราจะบริหารทิศ เราจะบริหารของเขา มีสิ่งใดเราจะเจือจานเขาได้ เราก็เจือจานเขาไป ถ้าเราเจือจานเขาไม่ได้ ถ้าคนนิสัยอย่างนั้นก็เรื่องของเขาโลกธรรม ๘ ติฉินนินทามันมีมาประจำโลก แล้วเราทำไมต้องไปให้เขายุให้เขาแหย่ ให้เขาเสี้ยมให้เขาทิ่มให้เขาตำเพราะอะไร เพราะมันไม่มีจุดยืน ไม่มีการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม

ถ้ามีจุดยืนขึ้นมา เขาจะเสี้ยม เขาจะตำก็เรื่องของเขา หลวงตาท่านสอนประจำ มันเป็นเรื่องของเขาๆ มันไม่ใช่เรื่องของเรา มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลยแล้วเราไปกว้านมาเป็นความทุกข์ของเราทำไมของในหัวใจของเรา ขยะในหัวใจของเราก็มหาศาลแล้ว สิ่งที่มันทุกข์มันยากในหัวใจเรามันมีมากมายมหาศาลเราจะเอาทิ้งๆ แล้วเรื่องภายนอก เรื่องของเขาไปกว้านมาทำไม

แต่ถ้ามันเป็นบัณฑิต บัณฑิต อเสวนาจ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจเสวนา เราเป็นบัณฑิตเราจะคบบัณฑิต เราจะไม่คบคนพาล ถ้าคนมันพาล คนมาทิ่มมาตำ เราก็ไม่ไปยุ่งกับเขา ถ้าเขาทุกข์เขายากมา เราก็เจือจานเขา นี่พูดถึงคนพาลภายนอก

ถ้าคนพาลภายใน หัวใจถ้ามันเป็นพาล มันเป็นพาลมันก็ชอบเรื่องอย่างนั้นน่ะชอบเรื่องทิ่มเรื่องตำเรื่องยุเรื่องแหย่ มันชอบมันชอบเพราะอะไรเพราะว่ามันจะเหยียบปัญหานี้ขึ้นไปว่าฉันมีปัญญาไง ฉันมีปัญญาฉันเป็นคนบริหารจัดการฉันควบคุมดูแล เวลามันคบคนพาล มันคบอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันคบบัณฑิตเห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธเราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันตื่นขึ้นมามันเบิกบานขึ้นมา สิ่งนั้นมันเรื่องภายนอก ไม่หวั่นไม่ไหว ถ้ามันไม่ติดเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ไม่ติดในตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไร้สาระทั้งนั้นเลย แต่สอุปาทิเสสนิพพาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ยากมาก่อนนะ คำว่า "ทุกข์ยาก" เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระเวสสันดร เสียสละทุกๆอย่าง เสียสละจนโลกเขารับกันไม่ได้ การแสวงหาอันนั้นคืออำนาจวาสนาบารมี

เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติสลบถึง๓ หน สลบนะ สลบก็คือช็อก ช็อกก็คือตาย ตายฟื้นๆ ๓ หน ๔ หน สิ่งที่ขวนขวายมา ขวนขวายมาขนาดนั้น เวลาขวนขวายมาขนาดนั้นจะเกิดความจริงขึ้นมาในหัวใจ มันต้องมีความจริงขึ้นมาในหัวใจนะ

ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมาในหัวใจ ๖ ปีปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี จนเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฉันอาหารของนางสุชาดา ปัญจวัคคีย์บอกว่ากลับไปมักมาก ทิ้งไปเลยๆ หมดหวังแล้วๆ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามประพฤติปฏิบัติ๖ ปีนั้น คำว่า "๖ ปี" ปัญจวัคคีย์เฝ้าระวัง เฝ้าอุปัฏฐากอยู่ มีผู้คอยคุ้มครองดูแลอยู่ ไอ้ผู้คุ้มครองดูแลอยู่ใกล้ๆมาตลอด มันเป็นพยานกันไงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมามากน้อยขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาอุกฤษฏ์มาขนาดไหน นี่คือความลำบาก บากบั่น นี่ความเพียรๆ ถ้ามันไม่เป็นความเพียรชอบ เพราะไม่เป็นความเพียรชอบมันถึงทุกข์มันถึงยาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วจะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ คำว่า "จะสอนใครได้หนอ" คือใครที่มีอำนาจวาสนาบารมีขนาดนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกข์ยากๆ มา คืออำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านทำคุณงามความดีมา ทำคุณงามความดีมาด้วยความภูมิใจ ด้วยความพอใจไม่ใช่ใครบีบคั้น แต่ความที่ยังไม่มีคุณธรรมมันก็ปฏิบัติออกนอกลู่ออกนอกทางไป เวลามันปฏิบัติเข้ามาสู่ทางๆ พอสู่ทางขึ้นมา จะไปสอนใครได้ๆ นี่มันเหนือโลกๆ ไง

เวลาจะไปเทศน์ธัมมจักฯ เวลาเทศน์ปัญจวัคคีย์ปัญจวัคคีย์เฝ้าอุปัฏฐากอุปถัมภ์มา ๖ ปี ทำสิ่งใดมา เวลาอุกฤษฏ์ขึ้นมาทางโลกที่เขาทำกันน่ะชื่นชม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เห็นว่าเป็นความมักมาก เวลาความมักมากในสายตาของโลกไง เวลาเป็นความจริงๆ ขึ้นมา มันมัชฌิมาปฏิปทาความเป็นจริงในหัวใจ หัวใจที่มันทุกข์มันยากมา ๖ ปี หัวใจที่มันทุกข์มันยากมันทำมา ทำฌานสมาบัติ ทำสมาบัติ๖ สมาบัติ ๘ มาทุกอย่างสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ทำไมมันแก้กิเลสไม่ได้ล่ะมันแก้กิเลสไม่ได้เพราะมันไม่มีปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารขึ้นมาฟื้นฟูร่างกายๆ ให้มันมีกำลังของมันขึ้นมา เวลาเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสรู้เองโดยชอบ เวลาจะไปแสดงธัมมจักฯ ปัญจวัคคีย์นัดกันว่าไม่รับๆ นัดกันเพราะอะไร เพราะมุมมองของโลกไง แต่ถึงที่สุดแล้วด้วยอำนาจวาสนา มันรับโดยอัตโนมัติ ตั้งใจกันไว้ว่าเราจะขัดเราจะขืน เราจะไม่ฟัง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เธอเคยได้ยินเราพูดอย่างนี้หรือไม่ ๖ ปีความเป็นสุภาพบุรุษไม่รู้สิ่งใดก็บอกสิ่งใดไม่ได้ แต่บัดนี้เธอจงเงี่ยหูลงฟัง เราจะแสดงธรรมๆ"

เวลาแสดงธัมมจักฯ แสดงธัมมจักฯท่านพูดถึงมัชฌิมาปฏิปทา ท่านพูดถึงความสมดุลความพอดีของมันความสมดุลความพอดีเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา ๖ปี อุกฤษฏ์ขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ อัตตกิลมถานุโยคท่านได้ทดสอบ ท่านได้ตรวจสอบมาแล้ว ไม่ได้พูดเปล่าๆ ไม่ได้พูดลอยลม ไม่ได้พูดโดยไม่มีเหตุไม่มีผล พูดเพราะเราทำกันมาเอง เธอทั้ง ๕ ก็เห็นเราทำมาทั้งนั้น นี่ไงอัตตกิลมถานุโยค เวลากามสุขัลลิกานุโยค เข้าสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มีแต่ความสุขๆ ความสุขคลายตัวออกมาแล้วมันก็ไม่สุข ความชุมชื่นในหัวใจ เวลาคลายออกมามันก็ไม่ชุ่มชื่น นี่ไง กามสุขัลลิกานุโยค

เวลามัชฌิมาปฏิปทา อาศัยศีล สมาธิปัญญา แสดงธรรมขึ้นไปเวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมมัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ความพอดีของมันแล้วความพอดีนี้ใครเป็นคนพูด ถ้าไม่มีคนรู้จริงมันจะพูดได้อย่างไร นี่ถ้าเป็นความจริงๆ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้เราฟังธรรมเพื่อเหตุนี้เพราะอะไร เพราะมันเป็นแก่นของศาสนาไง

ศาสนา เวลาสอนขึ้นมา สอนขึ้นมาในหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของคนทุกข์คนยาก ทีนี้หัวใจของเรา เราก็มีบุญกุศล เราก็มีความปรารถนาสร้างคุณงามความดีขึ้นมาในหัวใจของเราขึ้นมา เราพยายามขวนขวายกันอยู่นี่ ขวนขวายมาทำบุญกุศลกัน วันนี้วันพระๆวันพระเข้าวัดเข้าวาไปจำศีล ไปฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมาแล้ว ฟังธรรมขึ้นมาก็เป็นบุญกุศล ที่เขาว่าไปฟังธรรมเอาบุญๆ ไง

แต่เราฟังธรรมขึ้นมาให้มันกระเทือนหัวใจ ให้มันกระเทือนกิเลส เวลากระเทือนกิเลสแล้วเพราะมันมีมุมมอง เวลากระเทือนกิเลส มันจะมีความคิด ความคิดเกิดดับในหัวใจ ถ้าความคิดเกิดดับในหัวใจ มันจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ถ้าเปลี่ยนแปลงทัศนคติ สิ่งใดที่มันยึดมั่นถือมั่นในทางโลก เราก็วางมันบ้างทำเป็นความสุจริต ทำเป็นความสะสม นี่ทำขึ้นมา สิ่งนั้นเราทำไว้เพื่อดำรงชีพ สุดท้ายแล้วเราก็จะหาหัวใจของเรา ถ้าใครหาหัวใจของเราปริยัติศึกษามา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ นี่ก็เหมือนกันฟังธรรมๆ เพื่อบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเราเราก็แสวงหาของเราแล้วความสุขจริงๆ มันอยู่ที่ไหน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ความสุขจริงๆ มันอยู่ที่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนธรรมๆ สอนธรรมเพื่อสิ่งที่เข้าไปในหัวใจถ้าหัวใจมันสัมผัสธรรมๆถ้าสัมผัสธรรมแล้ว เวลาหลวงตาท่านพูดถึง ถ้าได้คุยกับครูบาอาจารย์องค์ใดแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงๆ นะ สิ่งที่เขาโลกธรรม ๘ เขาเสี้ยมเขาทำอะไร ท่านไม่ฟังไอ้นั่นเรื่องภายนอก

ถ้าเป็นความจริงหัวใจของเรา หัวใจของเราเหมือนกัน ถ้ามันเป็นความสุข ความสุขเป็นความจริงขึ้นมา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันเป็นไปได้ มันจะเป็นไป ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยุมันแหย่ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราเวลาจะเข้าไปเผชิญกับมัน เวลาคิด ทำดี ใครก็ทำได้ ศาสนาของเราสอนให้ทำความดี ละความชั่ว ใครๆ ก็รู้ ใครๆก็เข้าใจได้ แต่มันทำได้หรือเปล่าล่ะ มันทำไม่ได้เวลาทำดี มันดีของใครล่ะ แล้วเวลากิเลสมันบังเงาๆ มันก็อ้างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ว่ากันไปตามนั้น นกแก้ว นกขุนทอง

เวลามันท่องจำๆ นะ ดูสิ เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเป็นทานบารมี ศีลบารมีเนกขัมมบารมี มันต้องมีอำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกันเวลาคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีท่องจำนี่แม่นมาก เวลาพูดสิ่งใดธรรมะเหมือนเป็นจริงเลย แต่ไม่จริง ไม่จริงเพราะอะไร เพราะเวลาพูดมันเป็นสัญญา มันเป็นสัญญาอารมณ์ที่มันพูดออกมา แต่ไม่เป็นความจริงๆ ถ้าเป็นความจริงไม่พูดอย่างนั้น ความจริงไม่พูดอย่างนั้น

สิ่งนี้เวลาหลวงตาท่านไปฟังเทศน์ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมา ปริยัติล้วนๆฟังนี่มันรู้เลยล่ะ แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นน่ะเวลาพูดออกมาแล้ว ในเมื่อมันเป็นสังคม สังคมมันก็มีนับหน้าถือตากันใช่ไหม นั่นมันก็เรื่องของเขา

แต่ถ้าเราเอาจริงๆ ของเราขึ้นมา มันต้องมีความจริงอันนี้ไงถ้ามีความจริงอันนี้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันก็ต้องสงบเข้ามา เวลาสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะเห็นความแตกต่าง คนที่มันเป็นความจริงแล้วมันจะเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาในหัวใจ มันมหัศจรรย์ๆมหัศจรรย์ขึ้นมา 

สิ่งนี้ ดูสิ เวลาทางโลก สิ่งที่เทคโนโลยีถ้าไม่เป็นก็ไปเรียน ไม่เป็นก็พยายามฝึกหัดฝึกหัดขึ้นมาแล้วมันก็ใช้งานอย่างนั้น แต่เวลาปัญญามันเกิดในใจ ศีลสมาธิ ปัญญามันเกิดในใจขึ้นมา ใครฝึกหัด มันมีตัวอย่างที่ไหน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ มรรค๘ มันมีมาตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปี แล้วมันเป็นความจริงในใจของเราหรือไม่ มันเป็นสัญญา เป็นสัญญามันก็ให้ผลตามนั้นไง ถ้าเป็นสัญญามันก็เป็นแค่สัญญาอารมณ์ อารมณ์กับอารมณ์มันเข้ากัน

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันเป็นสมุจเฉทปหาน มันฆ่ากิเลสไงเวลาฆ่ากิเลส กิเลสมันตาย เห็นชัดๆ ว่ากิเลสมันตายไป มันสืบต่อกันไม่ได้ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เราเราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่อะไรเลย แล้วมันคืออะไรล่ะ

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันจะเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าความจริงอย่างนี้ ฟังธรรม แก่นของศาสนาไงแก่นของศาสนานะ แก่นของศาสนาพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบวางธรรมวินัยนี้ไว้เพื่อปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ใครมีอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา พ้นจากทุกข์ เป็นธรรมทายาท

ธรรมทายาทเป็นการยืนยันว่าธรรมะมันมีอยู่จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เคารพบูชาธรรมนั้นมาก เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เกิดพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่มีดวงตาเห็นธรรม มีดวงตาเห็นธรรมตามร่องตามรอยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์อันนั้น แล้วมันสมบูรณ์ขึ้นมา 

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ของท่าน พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงอยู่ที่ใจ หัวใจของเรานี่แหละ ถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะรวมที่นี่ แล้วคิดดูสิ พุทธ ธรรม สงฆ์ วมลงที่ใจ ใจเราเป็นธรรมล้วนๆ ทองคำทั้งแท่งมันมีอยู่ในหัวใจของเรา มันจะมีความสุขขนาดไหนนี่ไง ความสุขอย่างนี้ทางโลกไม่มี ความสุขอย่างนี้หาซื้อไม่ได้ ความสุขอย่างนี้ใครแสวงหาไม่เจอ จะเจอต่อเมื่อเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น เอวัง