เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ มิ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจมาวัดมาวากันก็มานี่ไง มาอบรมบ่มเพาะนิสัยของเราไง อบรมบ่มเพาะ เราอยู่ที่บ้าน เราก็ว่าเราดีทั้งนั้นน่ะ ทุกคนจะบอกว่าเราเป็นคนดี ทำไมต้องไปวัด ไปวัดก็ไปวัดใจของเขานะ เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพูด เวลานั่งรถเมล์ เวลาเราทำงาน วันๆ หนึ่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ ถ้าไม่วัดใจของเราก็หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง หายใจทิ้งเปล่าๆ ก็ทางวิทยาศาสตร์เขาหายใจเพื่อดำรงชีพ คนเราสมองขาดออกซิเจน ๕ นาที ตายหมด นี่เวลาหายใจหายใจเพื่อดำรงชีพไง แต่ถ้ามีสติมีปัญญา กำหนดสติอยู่กับมัน ถ้าอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันไม่อมทุกข์ไง

เวลาหายใจก็หายใจทิ้งเปล่าๆ แต่คิดแต่เรื่องความทุกข์ความยาก คิดแต่ว่าลงรถเมล์ไปจะไปเจออะไร ทำไปมันคิดไปล่วงหน้า คิดไปล่วงหน้ามันก็มีแต่ความทุกข์ความยาก ถ้าความทุกข์ความยาก ใครเป็นคนแสวงหามาล่ะ ก็เราเองเป็นคนไปกว้านมา กว้านมาเพราะอะไร กว้านมาเพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่เราไม่เข้าใจถึงหลักการของพระพุทธศาสนา 

พระพุทธศาสนาสอน สอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แล้วการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วสิ่งใดที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายล่ะ สิ่งที่มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตายเพราะกรรมไง มโนกรรม มันคิด มันห่วง มันใย มันติดข้องไปหมด

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เศรษฐีมหาเศรษฐีเวลาตายไปแล้วมาเกิดเป็นตุ๊กแกในบ้าน มาเกิดเป็นตุ๊กแกในบ้านเพราะอะไร เพราะความห่วงใยไง ความห่วงใย ความผูกพัน มันมาเกิดอยู่ข้างๆ นั่นน่ะ ถ้ามันไม่ได้เกิดเป็นคน มันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดอบายภูมิ มาเกิดอยู่นั่นเพราะอะไร นี่ไง ที่ว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วมันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตายเพราะอะไรล่ะ เพราะความห่วง ความกังวล ความผูกพัน

ความห่วง ความกังวล ความผูกพัน แต่มันผูกพันที่ดีๆ เวลาคนใกล้ชิดสิ้นชีวิต ลูกหลานจะบอกเลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยนะ ทางบ้านเรารักษาดูแลตัวเราเองได้ ขอให้ไปตามเวรตามกรรมนั้นเถิด ขอให้มีความสุขความสงบเถิด นี่เวลาอวยพร อวยพรกันได้แค่นั้นแหละ อวยพรก็คืออยากให้ทำให้ได้ แต่ทำได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าทำได้ มันต้องทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ไง 

ทัศนคติ เพราะความมีทัศนคติของคน จริตนิสัยของคน มันไปผูกมัดไว้ทั้งนั้นนะ เวลามันไปผูกไปมัดไว้ ไปผูกมัดไว้ทำไม ไว้เผาลนตัวเองไง แต่ถ้าทัศนคติเป็นบวก ทัศนคติที่ดี เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ความพลั้งเผลอ ความผิดพลาดของคนมันมีทั้งนั้นน่ะ เราก็มีความพลั้งเผลอ มีความผิดพลาดเหมือนกัน เวลาเราพลั้งเผลอ เราผิดพลาดเหมือนกัน เราทำไปด้วยความไม่ตั้งใจ เราทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ไอ้พวกกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เจาะจงไง เจาะจงคนพาล คนพาลเที่ยวถากเที่ยวถางเขา เที่ยวเอารัดเอาเปรียบเขา ไอ้นั่นมันคนพาล แต่คนเรานะ คนเราไม่สมบูรณ์ สติไม่สมบูรณ์ มันก็มีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความผิดพลาดของเราไป เราก็มีอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเราคิดของเราด้วยทัศนคติที่เป็นบวก มันย่อมระงับได้ ถ้ามันระงับของมันได้ ระงับในปัจจุบันนี้ไง

แต่ทุเรียนก็ออกเป็นทุเรียน เงาะก็ออกเป็นเงาะ จริตนิสัยของเขา ถ้าจริตนิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น เราระงับของเรา เวรระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมกับใครหรอก แต่ทุเรียนมันตกใส่หัว มันเจ็บ ทุเรียนมันมีแต่หนาม เดินมามันตกใส่ร่างกายเรามันก็เจ็บปวด

นี่ก็เหมือนกัน ทัศนคติก็เป็นแบบนั้น เวลาเขามาใกล้ชิดมันก็เป็นแบบนั้นน่ะ ถ้าเป็นแบบนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่กันไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ กันมันไว้เลย อย่าให้มันเข้ามาใกล้ เพราะเดี๋ยวมันตกใส่แล้วมันเจ็บ

นี่ไง คนที่มีสติมีปัญญาเขามีสติเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา อริยสัจมีหนึ่งเดียวนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เทศนาว่าการพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มีดวงเห็นธรรม เวลาเป็นธรรมๆ มันอันเดียวกันทั้งนั้นน่ะ เพราะเป็นอันเดียวกัน สิ้นกิเลสแล้วไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตั้งเป็นเอตทัคคะ คือความถนัด ความถนัดของตน แต่มันจะเป็นไปได้มันต้องเป็นไปได้พ้นจากทุกข์นั่นน่ะ 

พอพ้นจากทุกข์ไปแล้ว พระสมัยพุทธกาล สามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ รับหน้าที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระภัตตุเทสก์ เป็นคนผู้ดูแลรักษา พระอรหันต์มันจะไปลำเอียงอะไร มันไม่ลำเอียงหรอก แต่มันเป็นเพราะทัศนคติ เพราะมันเป็นเวรกรรมของสัตว์โลก พอเป็นเวรกรรมของสัตว์โลก มันจะเสมอภาคกันได้อย่างไร ประชาธิปไตยๆ นิ้วมือยังไม่เท่ากันเลย ความคิดของคนจะเท่ากันไหม เวลาประชาธิปไตย เสียงหนึ่งเสียงเท่ากันๆ เวลาเสียงเท่ากัน วิกให้ลงไหมล่ะ หนึ่งเสียงเท่ากัน ถ้าผู้มีอิทธิพลยกก็ยกตามกันไปหมดเลย นี่ไง เวลาพูดมันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เป็นการปกครองที่เลวน้อยที่สุด เขาก็ยอมรับ เลวน้อยที่สุดไง แต่ถ้ามันคนพาลขึ้นมามันก็เลวมากที่สุดไง มันยึดครองไง นี่เรื่องของเวรเรื่องของกรรม

นิ้วมือคนยังไม่เท่ากันเลย ทัศนคติคนไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามาก พาหิยะ พาหิยะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แต่กว่าจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพราะเขาสร้างบุญสร้างกุศลของเขามา เขาไปภาวนาอยู่บนหน้าผาตัด ถีบพะองลงมา สละชีวิตๆ 

เขาสละชีวิตมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เราเห็นอะไร เราไม่เห็นสิ่งใดเลย เราไม่ได้ทำมาเท่าเขา แต่เวลาจะเอาสติปัญญาเท่าเขา เวลาเขามีสติปัญญาของเขา เขามีบารมีของเขา เขาฟังสิ่งใดแล้วเขาก็สะเทือนใจของเขา ไอ้เราฟังแล้วฟังอีกอย่างกับก็สีซอ มันด้าน มันไม่รับรู้หรอก ไม่รับรู้แล้วจะให้เหมือนกัน ทัศนคติ ทัศนคติที่เป็นบวก ทัศนคติที่เป็นลบ

แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา เขาพยายามของเขา ถ้าพยายามของเขานะ ทำความสงบใจเข้ามา เวลาใจสงบเข้ามา ฤๅษีชีไพรในสมัยก่อนพุทธกาลเขาก็ทำความสงบของเขา สมาธิมันมีอยู่แล้ว ถ้าเข้ามาสู่สมาธิ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมามันจะเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าไม่เข้ามาสู่สมาธิ ทัศนคติ ทัศนคติก่อนจะเข้ามาสัมมาสมาธิมันก็มีจริตนิสัยของคนแตกต่างกันไป นี้การกระทำมันถึงแตกต่างกันไปไง เวลาแตกต่างกันไป ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมุมมองของตน ธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ

ไม่มี อริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าหนึ่งเดียว นั่นมันโลกียปัญญา ปัญญาสัญชาตญาณ ปัญญาของโลกไง ปัญญาจากอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ในใจของตน ถ้าเข้าสู่สัมมาสมาธิ ด้วยสติด้วยปัญญา มันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือมีสติมีปัญญารักษาหัวใจของตน ถ้ามีสติปัญญารักษาหัวใจของตนนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

ถ้าจิตสงบมันเวิ้งว้าง มันอิ่มเอิบ มันสุขมากๆ เลย เขาถึงติดสุขๆ ไง เวลาเขาติดอย่างนั้น นี่เวลาเขาเข้าไปติดในสมาธิ แต่คนมีสติปัญญา ถ้ารักษาได้อย่างนี้ได้แล้ว ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าเข้าสู่สัมมาสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันใช้อะไรล่ะ ปัญญามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกัน ผู้ใหญ่เห็นอย่างหนึ่ง เด็กเห็นอย่างหนึ่ง เวลาเด็กๆ มันเล่นของมัน มันอยากได้ของมัน เด็กๆ มันอยากโตไวๆ มันอยากพ้นจากการครอบงำของพ่อแม่ มันอยากจะเป็นอิสรภาพ มันไม่อยากให้พ่อแม่คอยชี้นำมันทั้งนั้นน่ะ อยากจะโตไวๆ ไอ้คนแก่คนเฒ่าไม่อยากตาย อยากให้วันเวลามันหยุดเลย ไม่ให้มันเดิน หยุดแค่นี้แหละ

นี่ไง มุมมองของใครล่ะ ถ้ามุมมองของเด็กๆ ก็มุมมองไปอย่างหนึ่ง อยากจะโตไวๆ อยากจะโตไวๆ อยากจะพ้นจากการครอบงำ อยากจะเป็นอิสระ แล้วมันเป็นอิสระไหมล่ะ พอโตขึ้นมาหัวตกเลย คอตก เป็นเด็กเป็นน้อยมีคนคุ้มครองดูแล ทำอะไรมันก็มีผู้คอยค้ำจุน พอโตขึ้นมาต้องปากกัดตีนถีบด้วยตัวเราเอง พอตัวเราเอง มันอยู่ที่วาสนาแล้ว อยู่ที่เชาวน์ปัญญาแล้ว คนที่โลภจริต ความโลภ มันมีแต่โลภะ อยากได้ไง เวลาโมหจริต มันจริตนิสัย พอจริตนิสัยอันนั้น ทัศนคติไง มันปะทะ มันออกไปปะทะเขาทั้งนั้นน่ะ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มีแต่ทุกข์กับทุกข์ นี่ไง นี่เวลาเรื่องความเป็นอยู่ของโลกไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเยียวยาตรงนี้ไง ที่ศาสนามันสำคัญ มันสำคัญตรงไหน สำคัญที่ตรงมันเยียวยาหัวใจเรานี่ไง เยียวยาหัวใจของเรา คนที่มีสติปัญญา คนที่มีปัญญามากๆ เขายับยั้งสิ่งที่มันจะออกไปปะทะกับสังคม ยับยั้งคือเอาตัวรอดได้ไง เอาตัวรอดได้แล้ว แล้วมองสังคมสิ เอาตัวรอดได้แล้วนะ ในที่ทำงานของเราทำไมมีปัญหากันไปหมดเลย ถ้าใครมีสติปัญญา มันเห็นปัญหา ปัญหามันเกิดจากอะไร ถ้ามันดับตรงนั้นมันก็จบไง แต่ถ้าคนที่ไม่มีสติปัญญานะ พวกเขาพวกเรา แบ่งข้างฟัดกันแล้ว 

นี่ไง ดูที่วุฒิภาวะของใจสิ วุฒิภาวะของใจมันแตกต่างกัน คนที่มีปัญญาๆ เท่านั้นมันถึงจะเท่าทันความรู้สึกของตน พอมันเท่าทันความรู้สึกของตน มันดูแลหัวใจของตน นี่ไง ธรรมะเข้ามาเยียวยาไง นี่ธรรมโอสถๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะเรายังทำความสงบของใจเราไม่ได้เลย เพราะเรายังทำความสงบของใจไม่ได้ มันยังเกิดผลของเราไม่มีไง สิ่งที่การศึกษาๆ เราเกิดมาเรามีการศึกษา ศึกษาเพื่อมีปัญญา ปัญญาวิชาชีพเพื่อเลี้ยงชีพไง ถ้ามีปัญญาขนาดไหน มีองค์ความรู้ขนาดไหน ทำงานขนาดไหน มันก็มีความรู้ของมัน 

นี่ก็เหมือนกัน ทัศนคติของตนมีความรู้มากขนาดไหน ทัศนคติของตนมีบารมีมากน้อยขนาดไหน เป็นมุมมอง มันก็เป็นทัศนคติอันหนึ่ง เป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาโลก นี่ไง ที่ว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง เพราะการกระทำ พันธุกรรมของจิตที่มันได้ตัดแต่งมา ที่มันได้พัฒนาของมันมา มันสูงมันต่ำของมัน เวลามันพิจารณาของมัน

แต่ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติ จะพยายามมีคุณสมบัติของตน เรามีคุณสมบัติของตนต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามาแล้ว ทัศนคติอันนั้นเข้ามาสู่ความสงบอันนี้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็น ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมในสติปัฏฐาน ๔ เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาคุยกันโม้นักว่าปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔...แนวทางสติปัฏฐาน ๔โดยทัศนคติ โดยความคิดของตน มันก็เลยไม่เป็นความจริงไง

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ จิตมันสงบแล้วมันเป็นปัญญาของเรา จิตสงบแล้ว ทัศนคติของใครก็แล้วแต่ มันเข้าไปสู่สากล สากลคือความปล่อยวาง ความปล่อยวางให้จิตมันเป็นอิสระ เป็นอิสระแล้วถ้ามันฝึกหัดได้ ถ้ามันฝึกหัดได้ ถ้ามันน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นี่ผู้ใหญ่เห็น ผู้เฒ่าผู้แก่เห็น ผู้ที่ผ่านราตรีมา เห็นไหม ดูสิ เราโตขึ้นมา ไปวัดไปวาก็ไปทำบุญทำกุศลกัน ด้วยสติด้วยปัญญา โต้เถียงกันด้วยธรรมะ พยายามขัดแย้งกัน พยายามทัศนคติคุยกันเพื่อความรู้ของตนไง ความรู้ของตนก็ความรู้ในขันธ์ ๕ ความรู้ในถังขยะไง ก็มีแต่ถังขยะ มีแต่กิเลสยังสงสัยไปตลอดไง พอจิตมันสงบแล้วเวลาเกิดปัญญาของตนขึ้นมา จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของตน นี่เป็นปัญญาของตน เป็นของของตนไง 

อริยสัจมีหนึ่งเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา อริยสัจมันเกิดที่นี่ ถ้าเกิดที่นี่ขึ้นมา ผู้รู้จริงเขาเกิดที่นี่ พอเกิดที่นี่ มันเป็นปัญญาของเรา ดูสิ เวลาธรรมะเยียวยาหัวใจของเรา เรายังบรรเทาความทุกข์ของเราได้ แต่ถ้ามันเกิดสติปัญญา เกิดมรรคขึ้นมา โอ้โฮ! มันพิจารณาของมันนะ รสชาติๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ ความมหัศจรรย์อย่างนี้มันเป็นสมบัติของเราไง มันถอดมันถอน มันคลายไง แม้แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วยังมีความมหัศจรรย์ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันเวิ้งมันว้าง มันมหัศจรรย์ไปทั้งหมด แต่รักษาไว้ไม่ได้ รักษาไว้ไม่เป็น เพราะเรายังมีจิตใต้สำนึก ยังมีรสมีชาติ มีความพอใจ มีจริตนิสัย มันถึงทำให้รักษาสมาธินี้ได้ยากไง

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เห็นไหม พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ให้พุทธะนี้ออกฝึกหัด ออกฝึกงาน ถ้าพุทธะนี้เห็น นี่ไง เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นี่สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงในความปรารถนา ในความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ในความมุ่งหมายของพวกเราไง ไอ้พวกเด็กน้อย นี่ทัศนคติ เห็นสติปัฏฐาน ๔ โดยทัศนคติของตนไง เห็นกายๆๆ

เห็นกายอย่างไร เห็นกาย คนเรานะ ทำหน้าที่การงาน คนเราทำหน้าที่การงานมา ได้ผลตอบแทนมา โอ๋ย! มันเห็นคุณค่ามากนะ เวลาแบมือขอพ่อแม่ พ่อแม่ให้เท่าไรก็เอา อ้อนเอา ร้องไห้เอา บีบคั้นเอา จะเอาเงินให้ได้ แต่เวลาเราต้องปากกัดตีนถีบหาอยู่หากินเอง เงินยังมีค่าเลย เงินนี้หายากนะ กว่าจะได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่คนที่ยังประมาทเลินเล่อมันก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายแล้วไม่พอ ไม่พอใช้จ่ายก็กู้หนี้ยืมสิน แต่คนที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขาหาของเขามา เขามีคุณค่าของเขามา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นของมัน มันรู้ของมัน มันทำของมันขึ้นมาเอง มันอาบเหงื่อต่างน้ำมา มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา สาธุ! หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า เวลากราบแล้วกราบเล่า แต่เวลาเป็นความจริง เป็นความจริงในใจของเราไง ถ้าเป็นความจริงในใจของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ตั้งให้เป็นเอตทัคคะ แล้วพระอรหันต์มหาศาลเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ วัดทั้งวัดมีแต่พระอรหันต์ ไปที่ไหนมีแต่พระอรหันต์ พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย แต่ไอ้พระที่เห็นแก่ตัวๆ ก็เยอะแยะไป ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์ ถ้าไม่มีธรรมวินัย วินัยที่เกิดขึ้นมาเพราะพระทำผิด พระทำผิดขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบัญญัติๆๆ บัญญัติเพราะมีเหตุขึ้นมา ถ้ายังไม่มีเหตุขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่บัญญัติ ฉะนั้น เวลาบัญญัติขึ้นมา มันก็แถไปเรื่อย

ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลว ทีนี้คนดีคนเลวมันก็อยู่ข้างนอกใช่ไหม เวลาศึกษาแล้วเราอยากเป็นคนดี อยากให้ศาสนารุ่งเรือง อยากให้ทุกอย่างดีงามทั้งนั้นน่ะ แต่ความดีงามนี้มันดีงามจากมโนกรรม มันดีงามมาจากทัศนคติ มันดีงามมาจากหัวใจ หัวใจได้ดัดแปลงแก้ไขแล้วสะอาดผ่องแผ้ว แล้วมันจะเกิดมโนกรรม เกิดทัศนคติที่เอารัดเอาเปรียบเขาได้อย่างไง แต่นี่มันภาวนาไปแล้วยิ่งเกิดทิฏฐิมานะ ยิ่งเกิดการถือตัวถือตน โมฆบุรุษ อยากดังอยากใหญ่ ตายเพราะลาภไง

ถ้าเป็นพระพุทธศาสนาสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่มีหรอกจะสอนให้ฟุ่มเฟือย ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ฟุ่มเฟือย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อวดเนื้ออวดตัว พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ว่าลาภสักการะมหาศาล แม้แต่พระสีวลีที่มีลาภมาก มันก็เป็นอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านก็รับรองไว้เท่านั้นเอง โดยความเป็นจริงชื่นชม ชื่นชมพระกัจจายนะไง ให้พระโสนะมาเฝ้าไง ให้พระโสณะอยู่ในวิหารเดียวกัน เทศนาว่าการให้ฟัง สิ่งที่ได้ทำมา สาธุ สาธุมาตลอด แล้วมาจากไหนล่ะ 

ในพระไตรปิฎกนะ เวลาห้ามไม่ให้พระเข้าไปหาท่าน ท่านจะวิเวก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเข้ามาเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่พระปฏิบัติเวลามีข้อข้องใจ เหมือนกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เหมือนกับครูบาอาจารย์ของเราเลย เวลาแก้จิตๆ เวลาคนมันไปติดขัดขึ้นมา โอ้โฮ! อกมันจะแตก พออกมันจะแตกขึ้นมา ถ้ามีคนดูแลรักษา มันจะผ่านไปได้

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเว้นเลยนะ อยู่ในพระไตรปิฎก แต่พอพูดไปแล้วก็อ้าง ในสีเสื้อของใครก็ว่าสีเสื้อของตัวดีทั้งนั้นน่ะ แต่เอาความเป็นจริง เอาความเป็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เอาความเป็นจริงที่ทุกข์มันเผาลน เอาความเป็นจริงที่คนแก้ทุกข์ เอาความเป็นจริงของคนที่ทำงานบากบั่นมันทุกข์แค่ไหนล่ะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วท่านรู้ว่าเวลาปฏิบัติมันวิกฤติขนาดไหน 

นี่ไง เพราะมันพ้นจากวิกฤตินั้นแล้ว หลวงตาท่านบอก อยู่ป่า ๙ ปีไม่มีใครเห็นความบากบั่นของเราเลย พออกมาแล้วถึงว่าเราดีๆ ไง

กว่ามันจะดีมันต้องมีที่มาที่ไป กว่ามันจะดีมันต้องมีเหตุมีผล มันไม่มีความดียื่นให้กันหรอก ความดีมันต้องเกิดจากการกระทำ ความดีต้องเป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ให้เรามีคุณธรรม ให้เรามีธรรมโอสถเข้าไปจุนเจือ เข้าไปบรรเทาทุกข์ แล้วถ้าผู้ปฏิบัติเข้าไปก็มีธรรมโอสถ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต มันจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง