เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ค. ๒๕๖o

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ ชาวพุทธเรามีวันพระ วันโกน ทางโลกเขามีวันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่เพราะความโลกเป็นใหญ่ๆ เราก็ต้องหยุดเลื่อนวันพระ วันโกนมาเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ พอวันเสาร์ วันอาทิตย์ เราก็ห่างไกลจากศาสนาไป ห่างไกลจากศาสนาไป วันเสาร์ อาทิตย์ไง พอเสาร์ อาทิตย์ เขาก็ไปโบสถ์กัน แต่วันพระ วันโกน เราไปวัด ไปวัด เพราะวันพระ วันโกน มันเกี่ยวเรื่องกับจันทรคติ น้ำขึ้นน้ำลงต่างๆ มันเกี่ยวกับอาชีพ อาชีพทางโลกไง

ทางโลก เราเกิดมา เราเกิดมากับโลก เราเกิดมากับโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมากับโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อ มีพระนางมหามายาเป็นแม่ มีพ่อมีแม่เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ คนเกิดมาเป็นโลกทั้งนั้นน่ะ แต่ความเป็นโลก ความเป็นโลกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิ จักรวาลมันแปรสภาพของมันไป มันหมุนเวียนของมันไป ชีวิตของคนก็เหมือนกัน ชีวิตของคนมันเวียนว่ายตายเกิดไปเหมือนกัน เมื่อก่อนคนเรามี ๑๐ กว่าล้าน เดี๋ยวนี้มีเกือบ ๑๐๐ กว่าล้าน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นโอกาสให้คนสร้างคุณงามความดี คนเกิดมาแล้วสร้างแต่ความเลวทราม ความเลวทรามมันก็ติดกับหัวใจนั้นไปไง ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย ความเป็นจริตเป็นนิสัยมันคิดอย่างไรมันก็ทำของมันอย่างนั้นไง นี่พูดถึงว่าไม่มีศาสนานะ เวลาไม่มีศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์สร้างแต่คุณงามความดีๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างอำนาจวาสนามา พอสร้างอำนาจวาสนามาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างแต่คุณงามความดีมา

ในปัจจุบันถ้าใครเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่เต็ม เขาคิดอะไร เขาทำอะไรมันก็ผิดพลาด แต่พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มขึ้นมา คิดอย่างไร ทำอย่างไร ก็ถูกต้องดีงามไปทั้งนั้นน่ะ แต่ความถูกต้องดีงามอย่างนั้นมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง แต่ถึงเวลาที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” อันนี้คืออำนาจวาสนาบารมีไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องขวนขวายในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง การขวยขวายในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ขวนขวายมาจาก ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันรวมลงเป็นละเอียดขึ้นมาเป็นมรรค มรรค มีมรรคมีผลขึ้นมานะ อันนั้นเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาสิ่งนี้มาสอนพวกเรา เอาสิ่งนี้ เอาศีล สมาธิ ปัญญา เอามรรคเอาผลมาสอนพวกเรา

แต่ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีก็เป็นคุณงามความดีไง ถ้าทำคุณงามความดีก็เป็นมุมมอง มุมมองของคนว่าเป็นความดีของเขา แต่มุมมองของคนเป็นความดีของคนอื่น คนดีกับคนดีทะเลาะกัน คนดีกับคนดีแข่งดีกัน ความแข่งดีแข่งชั่วมันก็เป็นเรื่องของโลกของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

วันพระ วันโกน ถ้าวันพระ วันโกน วันนี้เป็นวันพระด้วย ชาวพุทธสอนให้มีสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความไม่ประมาทไม่เลินเล่อในชีวิตนั่นน่ะ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น ถ้าพระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น คนมีสติสัมปชัญญะทำสิ่งใดมันก็มีความผิดพลาดน้อยลง ถ้าคนใดขาดสติทำด้วยความพลั้งเผลอ มันก็มีความผิดพลาดมามากมาย ถ้ามามากมายแล้วชีวิตมันก็ตกต่ำ ชีวิตนี้ถ้ามันจะสูงส่ง สูงส่งที่ไหน สูงส่งที่ทำคุณงามความดี

แต่เราเห็นมากในโลกนี้ คนที่ทำคุณงามความดี เขาดีมาตั้งแต่เกิด ทำไมเขาทุกข์ร้อน เขามีแต่ความทุกข์ประจำชีวิตของเขา อันนั้นมันก็สร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งนั้นน่ะ การสร้างเวรสร้างกรรมมา ถ้าเขาทำคุณงามความดีของเขา เขามีแต่บาปกรรมบาปอกุศลตามชีวิตของเขาไป แต่ถ้าเขาไม่ทำล่ะ ถ้าเขาไม่มีสติปัญญาของเขา เขาไม่มีจุดยืนของเขา เขาจะทุกข์ยากขนาดไหน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องโลกๆ โลกมันสร้างภาพได้ไง การสร้างภาพๆ มันสร้างภาพของโลก แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงของเรา วันนี้วันพระ แล้วพอวันพระขึ้นมา มันเริ่มต้นขึ้นจากว่ามันจะเข้าพรรษา เขาจะให้เป็นสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เวลาส่งเสริมพระพุทธศาสนา เราก็ส่งเสริมพระพุทธศาสนากัน มันก็เป็นธุรกิจเป็นการค้าเป็นการโปรโมต เป็นอะไรไป นั่นเป็นเรื่องโลกๆ นะ

แต่ถ้าเรามีหัวใจที่เป็นธรรมๆ นะ เราส่งเสริมพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามันมาจากไหน พระพุทธศาสนามาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมามีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่เรามีพระสงฆ์ขึ้นมา พระสงฆ์คือใคร

พระสงฆ์คือลูกชาวบ้านมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระแล้วมีความมุมานะ มีความขยันหมั่นเพียร มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขามีองค์ความรู้ของเขา เขามีความเป็นจริงในใจของเขา ถ้ามีความเป็นจริงในใจของเขา เขามีจุดยืนของเขา เขารู้รอบขอบชิด เขารู้รอบจักรวาล รอบวัฏฏะไง คนเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วอยู่ไปทำไม แล้วอยู่สิ้นสุดแล้วไปเป็นอย่างไร นี่หลักศาสนามันอยู่ที่นี่

ถ้าสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ถ้าส่งเสริมในหัวใจ นี่ภายนอก ภายใน ถ้าภายนอกเขาทำอย่างนั้นถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงาม มีลูกมีหลานพามาวัด เราพามาวัดเพื่ออะไร พามาวัดเพื่อคบบัณฑิต ให้เห็นสังคม เขาพามาวัดๆ วัดเขาเป็นอย่างนี้นะ วัดเขามีน้ำใจต่อกัน เขามาถึงศาลาโรงธรรม เขามาฟังธรรมของเขา เขามาเสียสละทานของเขา แล้วเขาให้สิทธิของคน มันจะรอนสิทธิ์ๆ กันด้วยชุมชน พอมีชุมชนขึ้นมา คนมันก็จริตนิสัย เขาก็ให้มีน้ำใจต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้โอกาสต่อกัน

เวลาฟังธรรมๆ ด้วยความสงบระงับของเรา เพื่ออะไร เพื่อตักตวง ตักตวงอะไร ตักตวงสิ่งที่เรามองข้ามๆ ไง มองข้ามก็กายกับใจๆ เรานี่แหละ ถ้ากายกับใจๆ สิ่งที่เรามองข้ามทั้งหมด สิ่งใดเรายังไม่ได้ทำเลย ในบ้านนี้งานของเรามหาศาล เกิดมาก็เพื่อขวนขวายทำหน้าที่ของเรา ก็ขวนขวายแต่ข้างนอกไง แล้วก็ปล่อยหัวใจโยนทิ้งมันไป หัวใจที่ว่าเป็นนามธรรมไง ไม่เป็นไรๆ นี่สวมหัวโขนไง กลัวเขาจะว่าเราเป็นคนไม่ดีไง นี่รูปลักษณ์ภายนอกดีงามไปหมด ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวใจทุกข์ระทม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้มีศีล ให้มีสติ ให้มีปัญญา เรามีสติมีปัญญาของเรา นี่ไง ที่เรามาตักตวงๆ มีสติปัญญาของเรา สิ่งที่คิด สิ่งที่ทำ มันก็ทำมาทั้งนั้นน่ะ ทาน ศีล ภาวนา ผู้ที่ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดทำสมาธิขึ้นมาหนหนึ่ง มีสมาธิขึ้นมาร้อยหนพันหน ถ้าไม่ฝึกหัดใช้ปัญญานะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นมา

ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเราถือศีล คือความสงบระงับนี่ เรานั่งอยู่นี่ทำอะไร เรานั่งอยู่นี่ เรามีศีลต้องมีธรรมใช่ไหม ศีล ๕ เราไม่ล่วงเกินศีล ๕ เราต้องมีคุณธรรมด้วยไง ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วก็นั่งมองมันใช่ไหม ปล่อยให้มันอดตายหรือ เราไม่ฆ่าสัตว์ เราก็ต้องมีเมตตาสิ สัตว์ที่มันตกทุกข์ได้ยาก ถ้าเราช่วยเหลือเจือจานได้ นี่ธรรม มีศีลมีธรรม

ว่ามีศีลๆ มีศีลก็ขอนไม้ไง ขอนไม้มันไม่เคยทำผิดกับใครเลย ขอนไม้ไม่มีชีวิตไง แต่คนที่มีชีวิตมันมีความรู้สึกนึกคิดไง ถ้ามันปกติของใจ ใจมันปกติมันก็ดิ้นรนนี่ไง ถ้ามันดิ้นรนขึ้นมามันก็ต้องมีสติปัญญาไล่ทันมันไป วันส่งเสริมพระพุทธศาสนา ส่งเสริมหัวใจของเรา ส่งเสริมคุณธรรมภายในเรานี่

ภายนอก ภายนอกเราก็ส่งเสริมกัน ภายนอกใครมีกำลังใครก็ช่วยเหลือเจือจานกันใช่ไหม ผู้ใหญ่ก็ดูแลเด็กใช่ไหม เด็กที่มันจะผิดพลาดพลั้งไป เราก็ช่วยเหลือเจือจานมัน คอยเตือนสติมันไปไง ถ้ามันไม่ฟังเรา เราได้ทำแล้ว ถ้ามันไม่ฟังเรานะ เราก็ไม่เสียใจภายหลังไง เพราะเราได้ตักเตือน เราได้ช่วยเหลือแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ช่วยเหลือตัวเขาเอง มันก็สุดวิสัยไง นี่ไง เราจะแบกโลกไม่ได้ คนแบกโลกทุกข์ตายเลย

แต่คนเจือจาน คนเจือจานเพื่ออะไร เพื่อเป็นสมบัติของเราไง เราได้ทำแล้ว เราสบายใจนะ ถ้าเราไม่ได้ทำ เราเห็นสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง เรามีโอกาสทำได้แต่เราไม่ทำ พอเราไม่ทำ พอไปคิดได้ภายหลังนะ ทำไมวันนั้นไม่ทำ ทำไมวันนั้นไม่ทำ มันติดใจไป เห็นไหม แต่ถ้าเราได้ทำแล้ว ทำแล้วความผิดพลาด ทำแล้วเขาไม่ยอมรับ ทำแล้วเขายังดื้อดึงของเขา อันนั้นก็กรรมของสัตว์

กรรมของสัตว์ ดูสิ สิ่งในโลกนี้ จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอริยสัจสัจจะความจริง เวลาลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามีดวงตาเห็นธรรมแต่ละองค์ เอตทัคคะไม่เหมือนกันๆ ความไม่เหมือนกันเพราะจริตนิสัย ความเป็นจริตนิสัยของเขา จริตนิสัย พันธุกรรมของจิตมันฝังมากับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นน่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแก้ไขก็แก้ไขแบบนี้ไง แก้ไขใจของคน ถ้ามันมีจริตนิสัยอย่างไร ตรงกับกิเลสอย่างไร ท่านจะแก้ตรงนั้น

แต่ของเราอนาคตังสญาณมันไม่สมบูรณ์แบบเพราะสร้างอำนาจวาสนามาไม่เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ถ้าไม่เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ยังมีอำนาจวาสนาไง มีอำนาจวาสนาเงี่ยหูลงฟัง ฟังเหตุฟังผล กาลามสูตรๆ เริ่มต้นด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อ ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีศรัทธา คนก็ไม่เคารพตนเองเลย คนเราไม่มีศรัทธา ไม่มีความมั่นคงเลยใช่ไหม คนเรามันต้องมีจุดยืนของตน มีความศรัทธาของคน คนมันถึงมีสำนึก สามัญสำนึกของเราไง

สามัญสำนึกของคน คนมันดีตรงไหน ดีตรงหัวใจที่มันรู้ตัวมันเอง มันมีสามัญสำนึกไง เรามีศรัทธาของเราไง พอมีศรัทธา เราก็มีการศึกษาไง ศึกษามา ศรัทธามันต้องมีปัญญาไง ปัญญา เวลาประพฤติปฏิบัติไป กิเลสมันก็ปลิ้นปล้อนไง กิเลสในใจนี้สำคัญนัก มันมีความเห็นของมันทั้งนั้นน่ะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจหมด “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” มันทุกข์จะตายบอกนิพพานเป็นเช่นนี้เอง มันทุกข์จะตายที่ไหน

กาลเวลามันหมุนเวียนไปนะ สายน้ำมันไม่เคยไหลกลับนะ เวลามันไปแล้วดึงกลับไม่ได้นะ ของสิ่งใด ดูสิ ตอนนี้รถโบราณ ของโบราณเขามาทำเลียนแบบ เขาเอามาขายได้ทั้งนั้นน่ะ ของสิ่งใดมันสมมุติมันทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ชีวิตของเรามันหมดไปแล้วมันหมดไปเลย ความคิดดีๆ ที่มันมีกับเรา พอมันผ่านไปแล้วนะ มันเสียใจภายหลัง ทำไมไม่ค้นคว้าไม่ศึกษา นี่ไง สิ่งที่มีค่าๆ ไง ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อของเราแล้วขวนขวายของเรา

ดูสิ งานทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ทำไมเราต้องมาเสียสละๆ เพราะคนมันเห็นแก่ตัว คนมันไม่รู้จักหัวใจของมัน มันถึงไม่เสียสละไง แล้วของเก็บได้ๆ มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ เก็บให้มันเน่ามันเสียใช่ไหม

แต่คนที่มีสติปัญญาของเขา เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาใช่ไหม ปฏิคาหกไง ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงไง เวลามันเสียสละไปมันได้ผล ได้ผลเพราะอะไร สิ่งนี้มันฝังดินไว้ๆ สิ่งที่เราฝังดินไว้ ฝังไว้ในหัวใจไง ฝังดินไว้

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราดูจริตนิสัยสิ ทำไมเราไม่คิดแต่เรื่องดีงาม ทำไมเราไม่มีอำนาจวาสนา ทำไมเราทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จนี่ไง นี่ก็เหมือนกัน ฝังดินไว้ๆ สิ่งที่เราเสียสละไปมันฝังในหัวใจไว้ ฝังที่ตรงไหน

ถ้าไม่มีความคิดอยากปรารถนาจะทำบุญ ไม่มีความคิดที่จะทำ มันทำได้ไหม สิ่งที่มือมันหยิบออกไปไม่ได้ มันแบมือของมันไม่ได้ มันกำของมันไว้ แล้วกำไว้ก็ไม่ได้ด้วย กำไว้ก็เป็นวัตถุทั้งนั้นน่ะ สิ่งนี้ดูสิ กระดาษกำไว้จนเปียกจนแฉะ มันให้ใครไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าจิตใจมันมีแรงปรารถนา มันมีศรัทธาความเชื่อของมัน มันเชิดชูนะ ดูสิ คนใส่บาตรๆ เขาเทิดใส่ศีรษะ อธิษฐานๆ ทำอะไร อธิฐานยกขึ้นนะ แล้วอธิษฐานน่ะ หัวใจที่มันปรารถนามันฝังลงไปในภาสวะ ในภพ ในชาตินั้นน่ะ นี่ไง สิ่งที่เป็นทิพย์ๆ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันหมุนเวียนของมันไป

สิ่งที่เราแสวงหามา แสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ทำไมเราต้องให้ ทำไมต้องเสียสละไง ก็มันเสียสละฝังลงไปในใจนั้น มันเป็นทิพย์สมบัติ แต่เราจะไม่รู้ไม่เห็น ไอ้นี่มันเป็นความเชื่อไง แต่ถ้าความจริง ความจริงมันเป็นแบบนั้น

พระพุทธศาสนา พุทธศาสน์มันยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ มันเป็นความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง ถ้าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่อย่างนั้นเราจะมาแตกต่างกันอย่างนี้หรือ มาปากกัดตีนถีบกันอยู่อย่างนี้หรือ ทุกคนทำไมไม่อยากให้เป็นคนดีล่ะ พระเจ้าบันดาลให้หมดก็ให้มันเสมอกันสิ ให้ร่ำรวยสมความปรารถนา สมความสุขทั้งนั้น เป็นจริงไหม มันเป็นจริงไปไม่ได้ไง เป็นจริงไปไม่ได้เพราะอะไร

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แม้แต่จริตนิสัย ความคิด มันบอกถึงเวรถึงกรรมของคนนะ ทำไมคนมันคิดอย่างนี้ ทำไมคนมันทำอย่างนี้ มันมาจากไหนนั่นน่ะ มันมาจากวุฒิภาวะ มันมาจากภวาสวะ มันมาจากภพ มาจากฐีติจิต มันมาจากก้นบึ้งในใจอันนั้น มันมาจากก้นบึ้งในใจอันนั้นน่ะ แต่ถ้าคนเขาทำดีๆ นี่ไง ที่เสียสละทาน มันจะเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจอันนั้นไง ถ้าก้นบึ้งหัวใจอันนั้นคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ไง เราคิดสิ่งที่ดีๆ

ทางโลก ทางคนพาลไง เราคิดสิ่งที่ดีๆ เราก็โดนคนเอารัดเอาเปรียบตลอดไปไง การเอารัดเอาเปรียบกับเราเสียสละ มันต่างกันไหม การเอารัดเอาเปรียบนั่นน่ะเวรกรรมของเขา เขาสร้างเวรสร้างกรรมแล้วเราไปอิจฉาเขาหรือ เราไปอิจฉาไฟใช่ไหม คนมันกอบไฟเข้าไปในใจแล้วเราไปอิจฉาตาร้อนมันหรือ

แต่คุณงามความดีสิ เราคบบัณฑิต ไปวัดไปวา เขาเสียสละ เขาทำความดีของเขา เขาสร้างคุณงามความดี เออ! มันน่าอิจฉาคนอย่างนี้ มันน่าอิจฉาคนที่เสียสละ น่าอิจฉาคนที่เขาออกไปนั่นน่ะ เพราะอะไร เขาได้คุณงามความดีของเขา เออ! อันนี้เราอยากได้ ไอ้เวรกรรมใครไม่อยากได้ เวรกรรมไม่มีใครเขาอยากได้หรอก แต่มันไปอิจฉา อิจฉาตาร้อนเขา นั่นเวลาเรื่องกิเลสมันคิด มันคิดอย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรม นี่พูดถึงวันส่งเสริมพระพุทธศาสนา ถ้าส่งเสริมพระพุทธศาสนาส่งเสริมแบบทางโลก ทางโลกเขาช่วยเหลือเจือจานกัน เขาจุนเจือกัน อันนั้นเราก็เห็นด้วยนะ อันนั้นมันเป็นวัฒนธรรมของเราไง เป็นการเครื่องหมายว่าแสดงคุณงามความดีเป็นอย่างนี้ไง แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา วันพระ วันโกน เนสัชชิก ไม่นอน มุมานะ พยายามทำใจของตนให้ได้

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต หมั่นเพียร ขวนขวาย จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม วันพระ วันพระผู้ประเสริฐ ใจมันประเสริฐ ถ้าใจเราประเสริฐ มันประเสริฐอย่างไร นี่ไง ทิพย์สมบัติๆ สมบัติที่เป็นทิพย์ คุณธรรมๆ ในใจน่ะ

แต่เราไปมองกันแต่สิ่งภายนอกไง แม้แต่บวชเป็นพระมาก็ชิงดีชิงเด่นกัน ชิงแต่ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ นั่นน่ะโมฆบุรุษตายเพราะลาภ ลาภสักการะมันเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากการแย่งชิง

แต่ถ้ามันเป็นคุณงามความดี เสียสละไป โยนทิ้งไป โยนออกไปให้หมดไง ยิ่งโยนออกไปมากเท่าไร นี่ยิ่งโยนออกไป กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันเป็นไปของมันเอง ถ้ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม นี่โดยสัจจะไง

กรรมจำแนกให้สัตว์เกิดต่างๆ กัน แล้วกรรมดี กรรมดีที่ทำไปแล้วน่ะ กรรมดีน่ะ ทำโดยที่ไม่ปรารถนา ทำโดยความไม่ต้องการ ทำแบบโยนทิ้ง มันเป็นความจริงของมันทั้งนั้นน่ะ มันร่ำลือไปเอง พอคำร่ำลือนั้นน่ะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็ปรารถนาอยากพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็ปรารถนาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พรามณ์เขานิมนต์ไว้ไง แล้วเกิดเพศภัย เกิดภัยแล้ง จนเขาลืมไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาทอดทิ้งเลย ในพรรษา จนพระโมคคัลลานะอึดอัดมาก จะพาพระไปบิณฑบาตทวีปอื่นเลย

เวลาเกิดภัยแล้ง ดูสิ เราเกิดภัยแล้ง ดูสิ ซีกโลกหนึ่งมันจะมีแต่ฝนตกรุนแรง ซีกโลกหนึ่งมีแต่แห้งแล้ง นี่แต่ละทวีปไง เวลาพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดชทำขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เรื่องโลกๆ ไง ห้ามไม่ให้ทำ มีขันติธรรมทนไปอย่างนั้นไง เวลาออกพรรษาแล้ว เวลาพราหมณ์เขาคิดขึ้นมาได้เขาเสียใจ เขามาขอโทษขอโพยไง เพราะเขาอาราธนาไว้เอง แล้วในพรรษา พระเราต้องจำพรรษา นี่ไง เวลามันเกิดเพศภัย เกิดวิกฤติต่างๆ ขึ้นมาในชีวิต ถ้ามีสติมีปัญญามันแก้ไขของมันได้ทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงปัญญาๆ นะ ถ้ามีปัญญา

นี่พูดถึงว่าส่งเสริมพระพุทธศาสนาภายนอก ภายใน ภายนอกที่เขาส่งเสริมกัน เราก็สาธุนะ เห็นเขาทำคุณงามความดีไป ทำคุณงามความดีกัน เราก็อนุโมทนาไปกับเขา ชื่นชมไปกับเขา

แต่ความชื่นชมนั้น ภายนอก ภายใน เราชื่นชมแต่ภายนอก ร่างกายอาบน้ำอาบท่าสะอาดบริสุทธิ์ อู๋ย! พรมน้ำหอมเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวมันก็เน่า แต่ภายในๆ ภายในมันอยู่ในกองขี้ อยู่ที่ไหนมันก็แจ่มแจ้งของมัน ภายในของเรา เอาอะไรไปทำความสะอาดมัน

ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ชำระล้างความสะอาดในหัวใจของเราได้ไง น้ำอมตธรรม สิ่งที่เป็นคุณธรรม ถ้าทำขึ้นมาเป็นเรา เราจะส่งเสริมที่นี่ ถ้าส่งเสริมที่นี่นะ ที่ไหนเขาทำเป็นกิจกรรมของเขา เราก็สาธุไปกับเขา

แต่เวลาพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เราต้องการความสงบความสงัด เราต้องการหัวใจที่ผ่องแผ้ว ศาสนามันอยู่ที่นี่นะ แก่นของธรรมๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์เดียวสอน ๓ โลกธาตุ เวลาเทศนาว่าการมาได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ บริวารของยสะ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์”

บ่วงที่เป็นโลก ส่งเสริมพระพุทธศาสนาภายนอก บ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ ภาวนาไปแล้วลุ่มหลง ภาวนาแล้วไปมืดบอด เห็นไหม “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก”

เขาส่งเสริมพระพุทธศาสนาทางโลก เขาครึกครื้น เขาสนุกสนานของเขาน่ะ หัวใจเขารุ่มร้อน หัวใจเขาอับเฉา หัวใจเขามีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น นี่ไง โลกนี้มันเร่าร้อนนัก มันเร่าร้อนในหัวใจไง ข้างนอกจะปรนเปรอจะมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน ในหัวใจมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก เธออย่าไปซ้อนทางกัน”

พระอัสสชิเวลาออกไปยังได้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้ชฎิล ๓ พี่น้อง ได้พระอรหันต์มาอีก ๑,๐๐๐ กับ ๕๐ กว่าองค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมได้พระอรหันต์เป็นร้อยเป็นพันนะ

นี่ของเรา เราเป็นชาวพุทธๆ ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ส่งเสริมเข้ามาข้างในนี้ เราต้องการที่สงบที่สงัด ที่เขาครึกครื้น ที่เขาสมบูรณ์ นั่นก็สาธุไปกับเขา แต่ของเรา เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเราไง เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อความจริงในใจดวงนี้ เอวัง