เทศน์เช้า วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เราฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราศึกษามาแล้วนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก แต่เราศึกษากันมาแล้วเราก็แปลกใจเนาะ ทำไมเราทุกข์ล่ะ ทำไมเราศึกษามาแล้ว เราก็ทำแล้ว เราเสียสละนะ บอกว่าทำบุญต้องได้บุญ เราทำบุญกุศลกันทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละทั้งนั้นน่ะ เราขวนขวายทั้งนั้นน่ะ แต่ทำไมมันเผาลนในใจล่ะ ทำไมใจมันยังเผาลนอยู่ ทำไมมันไม่เป็นความจริงล่ะ
ถ้าเป็นความจริง เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นปริยัติ เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องดัดแปลงตนไง เวลาดัดแปลงตน คนเรารู้ดีรู้ชั่วทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันทนสิ่งเร้าในหัวใจไม่ได้ สิ้นเดือนออกมา ไปใช้จ่ายหมดเลย แล้วพอกลางเดือนก็กู้หนี้ยืมสิน ก็รู้อยู่ พอกู้หนี้ยืมสินก็เตือนตัวเองแล้วนะ เดี๋ยวเดือนหน้าเงินเดือนออกจะเก็บให้ดีเลย พอเงินเดือนออก หมดอีกแล้ว นี่มันไม่ได้ฝึกหัดมา เรารู้ๆ อยู่นี่แหละ แต่ก็ทำทั้งๆ ที่รู้ๆ อยู่นี่แหละ
นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธศาสนา สิ่งที่สัมผัสพระพุทธศาสนาคือหัวใจของมนุษย์ ถ้าหัวใจของมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ธุดงควัตร ๑๓ ธุดงควัตร ๑๓ พระธุดงค์ๆ เขามีธุดงค์ของเขา พอธุดงค์ของเขาก็ความพื่อเรียบง่าย เพื่อความสงบ ทีนี้ความสงบขึ้นมา มันจะสงบกันไหมล่ะ มันยิ่งมีกฎกติกาขึ้นไปมันยิ่งจะแหกกฎกติกาขึ้นไปไง
ฉะนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อความสงบ ฉะนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อความสงบ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ แต่เด็กมันทำไม่ได้หรอก ถ้าเด็กมันทำไม่ได้ ตอนเช้าขึ้นมามันเป็นกิจกรรมวัฒนธรรมของเราน่ะ ทำทาน ทำทานขึ้นมา เด็กก็ทำได้เป็นโอกาสไง แต่เวลาจะนั่งสมาธิภาวนา เด็กมันทำไม่ได้หรอก เวลาเด็กทำไม่ได้หรอก
ใหม่ๆ ขึ้นมา เราเห็นเด็กๆ มา เราบอกว่าให้นอนไปซะ ถ้าพ่อแม่ไม่ควรพามา พามาก็พามาตอนเช้า ถ้าพามาตอนกลางคืน เวลาจะเทศน์ขึ้นมา เราก็ควรจะกันออกไป เด็กของเรา ลูกของเรา ถ้าลูกของเรา เราต้องเสียสละสิ เพราะลูกของเรา
ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนะ ระหว่างเด็กกับเรา เรื่องส่วนตัว เราก็คุยกับเด็กได้ เรื่องส่วนตัวกับโยม เรื่องส่วนตัว เราเจรจาเราปรึกษากันได้ แต่เวลาเข้ามาในที่สาธารณะมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนรวมไง เป็นที่สาธารณะ แล้วที่สาธารณะมันมีมารยาท มันมีต่างๆ เราต้องคิดเป็นไง
ฉะนั้น เวลาคุยกันส่วนตัว โอ้โฮ! หลวงพ่อพูดหวานเจี๊ยบเลย เวลามาถึงกลางศาลา หลวงพ่ออัดเต็มที่เลย
อ้าว! ก็ที่นี่มันเป็นที่ส่วนรวม ถ้าที่ส่วนรวม โดยมารยาท โดยกติกา เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะอะไร เพราะหัวใจของคน หัวใจของคนนี่ยิ่งใหญ่มากนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านไปไหน ท่านไปเอาน้ำใจของคนๆ หัวใจของคนยิ่งใหญ่นัก แล้วหัวใจของคนอุตส่าห์ดั้นด้นกันมา ดั้นด้นกันมาเพื่ออะไร เพื่อจะมาแสวงหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่ๆ เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันมีพลัง มันมีกำลังของมันมหาศาลเลย แต่คนใช้มันไม่เป็นไง
แต่ถ้าคนใช้มันเป็น เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้มันสงบระงับเข้ามา มันมีกำลังๆ มีกำลัง ดูสิ อภิญญา อภิญญาที่เขาใช้ พลังของจิต เหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เหาะเหินเดินฟ้ามันยังเป็นอภิญญา มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งๆ ที่พลัง
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ฉะนั้น เวลาหัวใจที่ยิ่งใหญ่นัก เวลาเขามาขวนขวายมาวัดมาวากัน เขามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เขาต้องการความสงบสงัดไง แล้วลูกของเรา เด็กของเรา เราพามา แล้วมันไปกระทบกระเทือนหัวใจของเขา แล้วเราคิดอย่างไรกัน นี่ไง มันเป็นปัญหาโลกแตก ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน ทุกคนมันก็เป็นเด็กมาก่อนทั้งนั้นน่ะ จะบอกว่าเด็กไม่มีคุณค่าหรือ เด็กก็มีคุณค่านะ ถ้าเด็กไม่มีคุณค่า ศาสนาเราจะฝากไว้กับอะไร ศาสนทายาท เราก็อยากจะปลูกฝังไว้กับเยาวชนของเราทั้งนั้นน่ะ เยาวชนของเรา เราอยากให้มันดีทั้งนั้นน่ะ เราจะปลูกฝังของมัน ปลูกฝังไว้ในหัวใจของเขา ไม่อย่างนั้นเราจะทำอย่างนี้หรือ
เวลาเช้าขึ้นมาจะเทศนาว่าการ เห็นหัวใจของโยมนะ ขวนขวายกันมา ดั้นด้นกันมา ขับรถกันมา ดูสิ มันมานี่มันมาทำไม เราสังเกตได้เวลาหลวงตา ไปหาท่านน่ะ ท่านบอกมีธรรมะไว้ฝาก เวลาเขามา เขาเข้ามาด้วยความดิ้นรนของเขา ดั้นด้นของเขา เรามีอะไรฝากเขา เรามีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเขา เห็นไหม ท่านมีธรรมะไว้ต้อนรับ
ทีนี้เราขวยขวายกันมา เราจะบอกว่า ถ้ามันถึงเวลาแล้วนะ เราพยายามดูแลของเรา เห็นใจทั้งนั้นน่ะ แต่มันโดยธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ ธรรมชาติของเด็กมันไร้เดียงสา เวลาพ่อแม่เขาพามานะ เวลาเขาบอกว่าเขาคุมลูกเขาได้ แล้วเขาบอกว่าลูกเขานั่งนิ่งๆ แล้วเขาก็นั่งหลับตา เวลาเราเทศน์นะ ไอ้เด็กมันเล่นตาม มันเหมือนกับเวลาเขาแถลงข่าว แล้วมันมีคนภาษามือ มันเทศน์ภาษามือให้เราเลย เด็กๆ น่ะ แต่พ่อแม่ไม่รู้ พ่อแม่ไม่เห็นน่ะ แล้วพ่อแม่เห็น เพราะอะไร
เพราะสิ่งที่เวลาทำนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการท่านก็เทศน์ของท่านด้วยเต็มที่ของท่าน หลวงตาท่านอยู่กับท่านด้วยความคุ้นชิน มันได้ฟังบ่อยไง ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นเทศนาก็เทศน์ถึงที่สุดแห่งทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่มันได้ฟังมันบ่อยครั้งเข้า เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์นะ ท่านต้องไปไขก๊อกให้ได้ จะไปทำข้อวัตรไง ทำถามนั่น ถามธรรมะให้มันผิดๆ ท่านบอกไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ขึ้นมา มันเป็นปมแล้ว เป็นประเด็นแล้ว เดี๋ยวเวลารวมมานะ ท่านเทศนาออกมานะ ออกมาจากที่ไขก๊อก มันลึกซึ้งกว่า มันละเอียดลึกซึ้งกว่า มันเต็มที่เลย
อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาหลวงตา เวลาศาลาใหญ่ เวลาท่านมีงานใหญ่ๆ ท่านบอกว่าเทศน์ไม่ได้หรอก มันไม่นิ่ง คนพลุกพล่านอย่างนั้นจะไปเทศน์อะไร คนพลุกพล่านอย่างนั้นน่ะ แต่เวลาท่านเทศน์ เราเคยอยู่กับท่านไง เวลาท่านเทศน์สอนพระๆ น่ะ กลางคืนเสียงจั๊กจั่นเรไรในเทปเก่าๆ กลางคืนเงียบสงัดเลย แล้วเทศน์ใส่กันอย่างนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องของนามธรรมไง มันเป็นเรื่องของหัวใจไง
นี่ไง ว่าศาสนาพุทธมันยิ่งใหญ่นัก ศาสนาพุทธเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ไง มันดับความทุกข์ยากในหัวใจของเราไง แต่ความดับความทุกข์ยากในหัวใจของเรามันต้องมีวิธีการสิ ถ้ามีวิธีการ วันจะเข้าพรรษา วันนี้วันเข้าพรรษา วันนี้พระจะอธิษฐานพรรษา อธิษฐานพรรษา เราก็จะตั้งกติกากับตนเลยว่า เขาจะมีกติกาอะไรบ้าง ธุดงควัตร ๑๓ เขาจะทำอย่างไรบ้าง มันต้องมีหนักมีเบาไง
ไอ้เรา ชีวิตของเรามันก็เป็นอย่างนี้มาทุกวันแล้ว โดยธรรมชาติเราก็เห็น ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราก็เห็นตั้งแต่เด็กมา เราก็เป็นเด็กมาก่อน แล้วเราชราภาพไป เด็กมันก็จะเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตเป็นอย่างไรล่ะ แล้วเวลามันต้องมีหนักมีเบา มีหนักมีเบา
เวลาเข้าพรรษา ออกพรรษาไง เวลาเข้าพรรษา ออกพรรษา เวลาทางโลกเขา เขาก็งดเหล้า อดบุหรี่ เขาก็ทำของเขาเพื่อประโยชน์สุขภาพของเขา พักตับๆ พักตับไว้กินต่อ ออกพรรษาแล้วเต็มที่เลย
แต่ของเรา เราจะทำของเรา มันต้องมีหนักมีเบาอย่างนี้ ถ้ามันมีหนักมีเบาขึ้นมา มันต้องมีวิธีการ ถ้าวิธีการขึ้นมาแล้วเราจะตั้งใจของเรา เราตั้งใจของเรา มันก็เปลี่ยนสภาวะแวดล้อมให้จิตใจมันตื่นตัวตลอดเวลา เวลาพระเราออกธุดงค์ไป ไปพักที่นั่น ๕ วัน ๗ วัน ย้ายที่แล้ว เพราะมันชิน พอมันชินขึ้นมา มันนอนใจ แต่ถ้าไปที่ไหนผีดุๆ ไปที่ไหนนอนไม่ได้เลยนะ เวลาพวกผีเขาจับเท้ากระชากเลย พระกรรมฐานเจออย่างนี้บ่อยกันมาก เขาไปหาที่กันอย่างนั้นไง เพราะอะไร เพราะนอนไม่ได้ เขาบังคับไม่ให้นอน บังคับให้ต่อสู้กับกิเลสตลอดเวลา มันน่าเห็นใจ
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะกี่ภพกี่ชาติมาแล้ว แล้วในชาติปัจจุบันนี้ จริงๆ นะ เวลาเราพูดนี่เราภูมิใจเรามาก ภูมิใจว่าเราก็กระเสือกกระสนออกมาบวช พอบวชเสร็จแล้วเราก็กระเสือกกระสนไปหาครูบาอาจารย์ แล้วก็กระเสือกกระสนไปแล้วก็มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำคอยบอกเรา เพราะเราก็เป็นคนขี้สงสัยใช่ไหม เราก็มีเหตุผลในใจของเราทั้งนั้นน่ะ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่สามารถชี้นำเราได้ ไม่สามารถบอกถึงเหตุผลเราได้ เราจะลงใจหรือ
เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติเองถ้ามีความสงสัยนะ อย่างน้อย ๗ วัน ๑ เดือน ๒ เดือนยังแก้ไม่ตกเลย ถ้ากลับไปหาหลวงปู่มั่นทีเดียว ผัวะ! มันเถียงไม่ขึ้นหรอก เพราะว่าท่านผ่านมาแล้วไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรากระเสือกกระสนไปหาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านเห็นสภาพแบบนั้นน่ะ
นี่เราถึงบอกว่า เวลาเด็ก เราก็เห็นคุณค่าของเด็กนะ แต่เวลาที่ว่าเราต้องรอบคอบของเราไง รอบคอบของเรา เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราจะสั่งสอน มันมีนะ บางคนเขาบอกว่าเขามีความต้องการเป้าหมายการเลี้ยงลูกเขาเพื่ออะไร เขาบอกว่ามารยาท เวลาถ้ามันทำอะไรผิดต้องบอกทันทีๆ ไม่อย่างนั้นมันจะเคยตัว เออ! เขาคิดของเขาอย่างนั้นนะ ไม่เหมือนเราหรอก ลูกเราต้องมีอิสระ ลูกเราต้องมีปัญญา ให้มันฝึกหัดปัญญา ระรานเขาไปทั่ว
มันอยู่ที่เป้าหมายของเราไง มารยาทของเรา เราสอนของเรา แต่มันสุดวิสัยนะ สุดวิสัย เพราะว่ากายกับใจๆ ไง ถ้าหัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่มีอำนาจวาสนานะ มันบ่มเพาะของมันมา มันมีมุมมองความคิดดีๆ อย่างเช่นเด็กกตัญญู น่าสงสารนะ เด็กกตัญญู เด็กด้อยโอกาส เขาพยายามขวนขวายมาของเขา เวลาเด็กที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา เราส่งเสริม เราดูแลขนาดไหน มันยังเกเร มันยังไม่เอาไหนเลย แต่เด็กที่มันขาดตกบกพร่อง นี่มันเกิดจากอะไรล่ะ นี่ไง เรามองสภาพอย่างนั้นไป
นี่ก็เหมือนกัน ลูกของเรา เราดูแลของเรา ถ้ามาวัดมาวา เราเห็นด้วยนะ เอาเด็กมาวัดนี่เราชอบมากเลย แต่เวลาเทศน์ เราไล่ออกไปก่อน นี่เราไม่ปลูกฝังไว้ ที่เขาเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมเพื่ออะไรล่ะ เผยแผ่ธรรมก็เข้าไปในหัวใจของมนุษย์นี่ไง มนุษย์ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ ประเพณีวัฒนธรรมมันก็มาจากความเคยชินของใจทั้งนั้นน่ะ เด็กของเราถ้ามันมาวัดมาวาขึ้นมา ให้มันมาวัดอย่างนี้ ถ้ามาวัดขึ้นมา อ๋อ! พระทำอย่างนี้ก็เป็นก็หรือ เวลาต่อไปมันจะต้องไปเรียนหนังสือ มันต้องเข้าไปในสังคม พอมันไปเห็นพระทำตัวแหลกเหลว พระทำตัวที่ผิด เราไม่เคยเห็นอย่างนี้ เราไม่เคยทำอย่างนี้ เห็นไหม เราปลูกฝังมันไว้ให้มันแบ่งแยกถูกผิดเป็น
คนเรามันต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าอะไรผิด อะไรชอบ อะไรชั่ว อะไรดี ให้มันรู้ของมัน แล้วใหม่ๆ มันยังรับไม่ได้หรอก พระต้องเอาใจ พระมาเสียดสีไม่ได้
ไม่ได้เสียดสี ไม่ได้ทำสิ่งใด เวลาหลวงตาท่านพูด ไม่เคยว่าใครเลย แต่ท่านว่ากิเลสของคน กิเลสของคนน่ะ ไอ้ความเคยใจของเราน่ะ ไอ้ความมุมมองของเราน่ะ แล้วมันอ่อนด้อยไง วุฒิภาวะที่อ่อนด้อย เห็นเขาทุกข์เขายาก ไอ้นั่นมันละคร
คนที่มันทุกข์ ถ้ามันเป็นความจริงๆ เวลาเดินธุดงค์ก็ธุดงค์ในป่า มาเดินธุดงค์อะไรกันบนถนน มาเดินธุดงค์อะไรกันสนามหญ้าชาวบ้านเขา เวลาเดินธุดงค์มันต้องเข้าป่าไปสิ แล้วเข้าป่าไปแล้วก็มาหาความสงัดความวิเวกเอง เราจะมาห่วงใยอะไรกับการอยู่การกิน เวลาคนเขาเป็นจริงๆ นะ ไอ้เรื่องปัจจัย ๔ ไร้สาระเลย ถ้ามันเอาจริงเอาจัง
เวลาเราไปเห็นมารยาสาไถยอย่างนั้น เราก็ โอ๋ย! มีศรัทธา มีเมตตา...มันไร้สาระน่ะ มันเป็นวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย
เวลาหลวงตาท่านฝึกฝนนะ เวลาพระอดอาหารจนช็อกไปเลยน่ะ แล้วเวลาไปโรงพยาบาลกลับมา ท่านใส่เลย คนจะทำอะไรมันก็ต้องวัดภูมิของตน คนมันต้องฉลาดใช่ไหมถึงจะฆ่ากิเลสได้ เวลาอดอาหารก็อดซื่อบื้ออย่างนั้นน่ะ อดจนช็อกไปอย่างนั้นน่ะ มันต้องเทียบเคียงสิ เวลาเราอดอาหาร อดอาหาร ๗ วัน ถ้ามันพอทนได้ ๘ วัน ๑๐ วัน เราต้องคำนวณว่าถ้าวันต่อไปเราจะสามารถออกไปบิณฑบาตได้หรือไม่ ถ้าออกบิณฑบาตแล้ว ออกบิณฑบาตกลับมาฉันเพื่อดำรงชีพสืบเนื่องไป แล้วจะอดต่อเนื่องไป มันต้องคำนวณขนาดนั้นนะ คำนวณถึงร่างกายว่ามันทนสภาพได้มากแค่ไหน แล้วคำนวณถึงหัวใจที่มันเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เวลาพระปฏิบัติเขาคำนวณกันขนาดนั้นนะ แล้วนี่แค่คำนวณเอง คำนวณเรื่องความดำรงชีพเท่านั้นเอง ยังไม่ได้จิตสงบเลย ยังไม่ได้มีปัญญาเข้าไปขุดคุ้ยหากิเลสเลย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วปัญญาที่กระทำ แล้วภาวนามันจะลึกซึ้งขนาดไหน นี้พูดถึงว่าเวลาประพฤติปฏิบัติ
ว่าเวลาหัวใจนี้มันทุกข์นักๆ เวลาใจมันจะหายทุกข์ เวลามันจะเป็นจริง มันต้องมีสภาวะแบบนี้ มันต้องมีความคิดแบบนี้ มันต้องมีความมั่นคงแบบนี้
นี่เรามาวัดมาวากัน ถ้าเรายังไม่ถึงขนาดนั้น เราก็มาทำบุญกุศลของเราเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา สร้างอำนาจวาสนาบารมีคืออะไร คือเวลาฟังธรรมะแล้วมันพอฟังได้ไง ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันไม่ฟังหรอก มันจะเอารางวัลที่ ๑ เอา ๓๐ ล้าน...กระดาษ
สุขทุกข์มันอยู่ในใจเรา ความสามัคคีในครอบครัว พ่อแม่ลูกที่คุยกัน ที่อยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข นั่นแหละคือบุญ เวลาบุญกุศลมันเข้าอกเข้าใจกันในบ้านของเรา ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดเลยน่ะ ไอ้เงินมันมาทีหลัง ถ้าครอบครัวที่มันมีความสุข สิ่งใดได้มามันก็เป็นประโยชน์ใช่ไหม ถ้าครอบครัวขัดแย้ง เอาเงินเข้ามาสิ มันจะได้แตกแยกมากไปกว่านั้น มันจะมีมากไปกว่านั้นไง
นี่พูดถึงว่าเราฟัง ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีมันจะฟังเทศน์ได้ ฟังเทศน์เป็นบ้าง ถ้าฟังเทศน์เป็น ฟังเทศน์นี่มันเรื่องของใครล่ะ ก็มันเรื่องมุมมองในใจเราทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องของจิตใจของเราทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันได้สางปมอันนี้แล้วนะ มันจะมีอะไร คนเราในใจมันมีความสุข ในใจมันมีความมั่นคง มันจะมีอะไรอีกในโลกนี้ ในโลกนี้มันต้องการอะไรอีกถ้าหัวใจมันประเสริฐ มันต้องการอะไรอีก
แต่นี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าหัวใจมันว้าเหว่ หัวใจมันอ่อนด้อยให้กิเลสมันเหยียบย่ำ พอเหยียบย่ำแล้วก็มองแต่วัตถุ มองแต่เรื่องโลก โลกธรรม ๘ ความยิ่งใหญ่อยู่ภายนอก แล้วก็บีบบี้สีไฟให้ใจอยู่ติ๊ดนึง
แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านเปิดให้หัวใจโล่งโถงเลยนะ แล้วสิ่งอื่นน่ะแค่อาศัย อาศัยกันไป ผลของวัฏฏะ เกิดมามีชีวิตแล้ว ถ้าใครทำคุณงามความดีขึ้นมาทั้งชีวิตนี้มันจะได้ประโยชน์กับชีวิตนี้
เกิดมามีชีวิตนี้แล้วสะเปะสะปะ ไม่มีสิ่งใดเป็นผลบุญของตนเลย ถ้ามันมีผลบุญของตนด้วย มากน้อยแค่ไหน หลวงตาท่านสอน ธรรมะ ศาสนานี้เหมือนห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปแล้วจะได้มากได้น้อยไง หยิบฉวยอะไร แต่พวกเราไปตากแอร์ เข้าไปก็ตัวเรานี่แหละ ออกมาก็ตัวเรานี่แหละ ไม่มีอะไรออกมาเลย ไปตากแอร์ เอวัง