เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ อันนี้อารัมภบท อารัมภบทเพราะมันเป็นความทุกข์ใจของผู้เห็น ความทุกข์ใจของเรา ปัญญา วุฒิภาวะของเรา วุฒิภาวะของเรา เราแสวงหาความสุขของเรา ความสุขของเรา เราปากกัดตีนถีบหาอยู่หากินกันก็เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของเรา ถ้าอุดมสมบูรณ์ของเรา สิ่งใดที่ได้ขบได้ฉันมันเอร็ดอร่อยก็จะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์เพราะเราชอบอย่างนั้นไง

แต่เวลาหลวงตาสอนไง เปรตปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา กินไม่รู้จักอิ่ม

เวลาเปรตท้องเท่าภูเขา ปากเท่ารูเข็ม กินแล้วกินเล่า ตัณหาความทะยานอยากไม่รู้จักพอหรอก ถ้าตัณหาความทะยานอยากไม่รู้จักพอ ฉันขนาดไหนมันก็จะล้นปากออกมา ถ้าล้นปากออกมามันก็สนองตัณหาของตัวเองไม่ได้หรอก แต่ถ้าผ่อนสิ ชักฟืนออกจากไฟ ชักฟืนออกจากไฟ ไฟที่มันเผาลนในหัวใจ ชักฟืนออกจากมัน ชักฟืนออกจากมัน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขนาดไหน ได้มากน้อยขนาดไหน มันก็เป็นความสามารถของตน

เวลาอดอาหารมันจะหิวไหม มันจะกระหายไหม มันเรื่องธรรมดา คนที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะโรคหิวมันบังคับไง ถ้าโรคหิวบังคับมันถึงต้องบีบคั้นให้เราทำมาหากินกันอยู่นี่ไง ทำมาหากินเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม แต่เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว สิ่งที่หิวกระหายนั้นหิวกระหายเพราะอะไร หิวกระหายเพราะมันต้องการไง ความต้องการเป็นธรรมไหม เป็นธรรม แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เราไม่เท่าทันมันน่ะ เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่เท่าทันกัน มันมีพระคอยติเตียนเรื่องการอดอาหาร เขาเคยติเตียนต่อหน้าเราไง

เราก็บอกเขา บอกว่าเราก็อด แต่อดอาหารเพราะอะไร ไอ้กูเห็นคนที่บอกว่าอาหารเป็นโทษๆ ไอ้คนเบาปัญญากูเกลียดนัก เขาว่านะ

อ้าว! ก็ผมเป็นคนโง่ ผมเป็นคนที่ไม่มีปัญญา ถ้าฉันแล้วมันก็เป็นเรือเกลือไง เวลาอดอาหาร อดอาหารมาเพื่อจะให้รู้เท่าทันกิเลสของตนไง ถ้ารู้เท่าทันกิเลสของตน การอดอาหารนั้นเป็นวิธีการเท่านั้น การอดอาหารเป็นอุบายอย่างหนึ่งเท่านั้น การอดอาหารไม่ใช่ว่ามันจะเป็นประเสริฐเลอเลิศหรอก ถ้าการอดอาหารประเสริฐเลอเลิศ ไอ้พวกที่อดตาย พวกที่ขาดสารอาหารเขาก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เพราะอดจนขาดสารอาหารนะ อันนั้นเขาอดเพราะเขาจนใจ อดเพราะเขาไม่มีจะกิน อดเพราะเวรกรรมของเขา เขาอดเพราะเวรกรรมของเขา

ไอ้ของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศากยบุตร เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา มีคนอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาล แล้วลูกศิษย์ลูกหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีใครทอดทิ้งให้อดอยาก ไม่มีหรอก ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีแต่คนเขาแสวงหาทั้งนั้นน่ะ เขาไปทำบุญกุศลของเขา แต่ด้วยสติด้วยปัญญาของเขา เขาพยายามผ่อนของเขา พยายามผ่อนของเขาเพื่อจะเผชิญกับความจริงในหัวใจของเขา ถ้าเผชิญกับความจริงในใจของเขา เขากินอิ่มนอนอุ่นแล้ว นั่งแล้วสัปหงกโงกง่วง กิเลสมันตัวใหญ่ๆ กิเลสมันตัวพองๆ มันเหยียบหัวใจบี้แบนเลย เราอดนอนผ่อนอาหารก็อดให้กิเลสมันเบาบางลงไง เบาบางลงเพราะมันไม่ได้กินตามหัวใจมันไง มันไม่ได้สวาปามตามมันพอใจไง ถ้ามันไม่ได้สวาปามตามความพอใจของมัน มันก็ดิ้นรนไง เพราะมันดิ้นรน เพราะเรามีสติปัญญา เราถึงฝืนทนกับมันไง พอฝืนทนกับมันเพื่ออะไรล่ะ เพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับจิตไง ถ้าธาตุขันธ์ไม่ทับจิต เวลาภาวนาขึ้นมามันก็เกิดสัมมาสมาธิขึ้นมาบ้างไง เกิดความสงบระงับขึ้นมาเพื่อจะเกิดปัญญาขึ้นมา เพื่อจะสร้างคุณธรรมในหัวใจของเราไง มีการกระทำของมัน

เราก็อด ตอนที่มันหมั่นเพียร ตอนที่เราสร้างเนื้อสร้างตัว เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรใช่ไหม เราสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วเราทุกข์เรายาก เราก็ต้องพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องประหยัดมัธยัสถ์ใช่ไหม ถ้าเราเป็นเศรษฐีสิ เราเกิดมาแล้วเราทำงานประสบความสำเร็จ เราเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เราจะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เราเห็นแล้ว เราดูทุกเช้า เวลาธาตุขันธ์มันต้องการต้องรีบฉันนะ ถ้าไม่ฉันแล้วเดี๋ยวธาตุขันธ์ไม่ต้องการ เวลาท่านแก่ชราภาพขึ้นมาแล้วมันต้องมีปัญญาแล้ว ปัญญาบอกว่าฉันนี่สักหน่อยนะ เราจะได้ตกค่ำนี้แล้วมันจะได้ไม่โหยจนเกินไป เพราะว่าร่างกายมันชักทรุดโทรม พอร่างกายมันทรุดโทรมแล้วมันก็ต้องการสารอาหารใช่ไหม เพื่อไปซ่อมแซมร่างกายนี้ไง

คนที่เวลาจะซ่อมแซมเพื่อดูแลรักษาเหมือนคนชราภาพ คนชราภาพกินไม่ได้ นอนไม่ได้ เขาก็ให้สารอาหารใช่ไหม กินไม่ได้ เขาก็ให้ทางสายยางใช่ไหม ก็เพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ไง ถ้าเราเป็นเศรษฐี ถ้าเราทำแล้วประสบความสำเร็จแล้ว ถึงกรณีนั้นเราค่อยบำรุงรักษา

ไอ้นี่มันไม่ได้สิ่งใดเลย มันก็จะพังทลายไปพร้อมกันไง ทั้งที่ร่างกายนี้มันก็ต้องแตกดับเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แล้วหัวใจก็ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับมันเลย มันก็จะพังทลายไปพร้อมกันไง

แต่ถ้าคนที่มีสติปัญญา ร่างกายมันต้องการสารอาหาร แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ต้องการสวาปามด้วย เราก็ตัดทอนมันๆ เพื่อให้มีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมาเพื่อเท่าทันมัน นี่เราฝึกหัดปัญญา อดอาหารเพื่อฝึกหัดใช้ปัญญา ไม่ได้อดอาหารไว้เป็นทัพพีในหม้อ ทัพพีในหม้อมันแช่อยู่ในน้ำแกง อยู่ในหม้อแกงเลย มันก็ไม่ได้อะไรเลย

นี่ก็เหมือนกัน อดอาหารแบบทางโลก อดอาหารแบบทุกข์ๆ ยากๆ ด้วยสายตาของโลกไง อดอาหารมันจะมีความสุขได้อย่างไร คนไม่กินไม่อยู่มันจะมีความสุขได้อย่างไร คนจะมีความสุขต้องอยู่กินอย่างอุดมสมบูรณ์มันถึงจะมีความสุขไง แล้วความสุข ดูกิเลสก็ตัวอ้วนๆ ไง แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องมีสติปัญญาอย่างนี้ ดูสิ เวลาเราทำบุญกุศลของเรา สูง ต่ำ ดำ ขาว รูปสมบัติเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากการเสียสละทานของเราไง

การทำบุญกุศลนี้ สูง ต่ำ ดำ ขาว รูปสมบัติ รูปสมบัติเป็นทรัพย์สมบัติอันหนึ่งเพราะการกระทำของเราไง กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมการกระทำของเราทำให้เราเจริญงอกงามมาอย่างนี้ไง สูง ต่ำ ดำ ขาวเพราะบุญกุศลของเรา เพราะการกระทำของเราไง บุญมันให้ผลอย่างนั้นไง ถ้าบุญให้ผลอย่างนี้ก็เป็นฆราวาสธรรมไง ฆราวาสเป็นเรื่องของโลกใช่ไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา สอนให้พวกเราทำทานๆ กันก่อนไง เริ่มต้นผลจากการทาน ผลจากการมีน้ำใจต่อกัน ผลจากการที่ในครอบครัวเรามีการสนทนากัน มีการเจรจา มีความเข้าใจต่อกัน อันนี้เป็นบุญกุศลทั้งนั้นน่ะ ถ้าบุญกุศลเรื่องของโลกๆ เห็นไหม สูง ต่ำ ดำ ขาวเป็นรูปสมบัติ เป็นคุณสมบัติของเราไง มันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากศีล

ผู้ที่มีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรม ถ้ามีศีล ๕ มนุษย์สมบัติ คนที่เกิดมามีมนุษย์สมบัติเพราะมีศีลมีธรรม ดูสิ ปาณาติปาตา ไม่ทำลายใครทั้งสิ้น ไม่ลักทรัพย์ใคร ไม่ทำสิ่งใด ไม่มุสา เกิดมาอายุยืนยาวไง ดูสิ เพราะอะไร เพราะไม่ทำให้ชีวิตใครตกล่วงไง เพราะได้เชิดชูบูชาด้วยการอุทิศส่วนกุศล ด้วยการคุ้มครองดูแลเขา เวลาเกิดในวัฏฏะ เกิดในวัฏฏะมันจะเป็นผลอย่างนั้นน่ะ

เวลาคนที่บวชมา คนที่มีสติมีปัญญาขึ้นมา เวลาเรื่องของหัวใจนะ สูง ต่ำ กว้าง แคบ มันจะสูงมันจะต่ำ มันจะกว้างมันจะแคบ มันเรื่องของสติปัญญาใช่ไหม เราเกิดมาแล้วรูปสมบัติ เราก็อยากให้ลูกเรามีรูปสมบัติที่สวยงามพร้อมกับปัญญาที่เลอเลิศ รูปสมบัติที่สวยงามนี่ผลของศีลไง

แต่สติปัญญาๆ สติปัญญามันเกิดจากเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธไง หัวใจของเรามันสกปรก หัวใจเรามีอวิชชา มีตัณหาความทะยานอยาก มีครอบครัวของมารไง เพราะความไม่รู้ เพราะอวิชชาทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง แต่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็มีวิชา มีความรู้ มีความสามารถของเรา มีครูบาอาจารย์ของเราชักนำให้เราทำคุณงามความดีไง เพราะทำคุณงามความดีมันเกิดเป็นบุญกุศลขึ้นมา เกิดในวัฏฏะนี้ไง นี่ผลของวัฏฏะๆ ไง แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติตามที่มีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน ถ้าจะสั่งสอนขึ้นมามันต้องมีสติปัญญา เห็นไหม

สูง ต่ำ กว้าง แคบ หัวใจที่มันกว้างขวาง หัวใจที่มันระลึกถึงคนอื่น หัวใจที่เป็นธรรม เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อสร้างบารมีอันนี้ไง เวลาทำบุญกุศลก็เพื่อเหตุนี้แหละ เพื่อให้หัวใจเรากว้างขวาง ถ้าหัวใจมันกว้างขวางขึ้นมา สิ่งใดที่มันจะเสียสละ มันทำของมันไง จะนั่งสมาธิจะภาวนาก็ได้ไง

เวลาทำสิ่งใด ดูสิ ในศาลานี้กว้างขวาง ประชาชนเยอะแยะไปหมด เราคุยกัน เราเข้าใจกัน เรามีความพอใจต่อกัน เวลาเราไปนั่งสมาธิภาวนา เรานั่งอยู่คนเดียวโคนต้นไม้ อยู่ในห้องของเราอยู่คนเดียว หัวใจมันกว้างขวางคับแคบ ดูสิ มันบีบคั้น ทำอะไรก็ไม่ได้ มีแต่ความอึดอัดขัดข้องไปในใจทั้งหมดเลย มันไปอั้นตู้อยู่ในหัวใจนั้นน่ะ มันไปจำนนอยู่ที่ใจของเรานั่นน่ะ ใจของเรามันโดนบีบคั้นน่ะ นี่ไง ปัญญามันมาจากไหน ปัญญามาจากไหน ดูสิ หัวใจของเรามันสกปรกอย่างนี้ มันไม่เข้าใจอย่างนี้ ตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นอยู่อย่างนี้

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจ สัจจะความจริงนะ ความจริงมีหนึ่งเดียว สูง ต่ำ กว้าง แคบ จริตนิสัยของคนแตกต่างหลากหลาย มุมมองทัศนคติของคนมีร้อยสันพันคม แล้วความคิดของคนมันร้อยแปดพันเก้า แล้วก็เชื่อความคิดของตน คิดเลยว่าเราคิดแล้ว เรามีปัญญาแล้ว เราทำสิ่งใดแล้วจะไม่มีใครรู้เท่าทันเราทั้งนั้นน่ะ

นี่ไง มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลามันพูดออกมา มันพูดออกมาด้วยสัมมาวาจา ด้วยความอ่อนหวาน เวลามันคิดอยู่ในใจมันคิดอีกอย่างหนึ่ง เวลาการกระทำไม่กล้าให้กระทำเลย มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา พยายามจัดเรียงระบบของเรา เรียงระบบความคิดของเรา ดูสิ ปัญญาอบรมสมาธิๆ ถ้าเรามีปัญญา ปัญญาของเราเวลาคิดทางโลกๆ คิดแล้วมีสติปัญญาเท่าทันมัน เท่าทันความคิดมันไป ความคิดมันไป เวลามันปล่อยความคิดๆ มา ถ้าปล่อยความคิดมา ถ้ามีสติปัญญามันก็เป็นความรู้สึกอันนั้น

แต่ถ้าสติปัญญาไม่เท่าทันนะ นั่นมันคืออะไร นั่นมันคืออะไร มันก็คิดต่อไป คิดต่อไปเพราะอะไร คิดต่อไปเพราะมันขาดสติไง คิดต่อไปเพราะไม่มีใครควบคุมดูแลมันไง ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของธาตุรู้ไง ธาตุรู้ ธรรมชาติของความคิด ทั้งๆ ที่เป็นความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้นน่ะ จิตน่ะ ความรู้สึก เห็นไหม สันตติ ธาตุรู้ แต่เพราะมีอวิชชาความไม่รู้ มันเลยคิดไป คิดไปมันก็เลยแสดงออก แสดงออกความคิดไง ไอ้คนก็ว่าความคิด ดูจิตๆ ก็ดูความคิดไง ดูความคิดก็ดูอารมณ์นั้นไง เพราะคนมันต้องมีอารมณ์เป็นของคู่ไง ดีคู่กับชั่ว ใจคู่กับความคิดไง คู่กับสัญญาอารมณ์ ไม่มีสัญญาอารมณ์ ใจมันจะแสดงตัวอย่างไร เวลาเป็นสัมมาสมาธิ เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมาแล้วไม่รู้จักใจของตัวเองไง สูง ต่ำ กว้าง แคบไม่รู้จักมันไง ถ้าจะรู้จักมันรู้จัก มันเพราะเหตุใดล่ะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหนึ่งเดียว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลามรรคขึ้นมาเป็นความจริง ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีลเป็นความปกติของใจเข้ามา ถ้ามีความปกติของใจเข้ามา มันมีสัมมาสมาธิเข้ามา สมาธิมันจะตั้งมั่นของมัน ตั้งมั่นของมัน ทำบ่อยครั้งๆ เข้า จนมันมั่นคงของมัน ถ้ามั่นคงของมัน ถ้ามันไปทำต่อเนื่อง ด้วยจริตนิสัยของคน ดูสิ คนเราจริตนิสัยมันแตกต่างกัน ถ้ามันทำด้วยความตั้งมั่น มันตั้งมั่นไม่ได้ มันตั้งมั่นแล้วมันก้าวเดินไม่ได้เพราะวุฒิภาวะมันอ่อนด้อย ก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาในขณะนั้น ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาขณะนั้น ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญาที่เราใช้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฟอกหัวใจของเรานี่ไง หัวใจที่มันทุกข์มันยากนี่ หัวใจที่จริตนิสัยของคนนี่ ใช้ธรรมะกลั่นกรองๆ ธรรมะกลั่นกรองมันก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

สะอาดขึ้นเรื่อยๆ หมายความว่า พอมันมีปัญญาขึ้นมาใคร่ครวญในใจของตนแล้ว ใจของตนแล้วจะเห็นคุณค่าของใจของตนไง ถ้าคุณค่าของใจของตน สิ่งที่เราเกิดมา สัมมาอาชีวะ เราต้องมีสัมมาอาชีวะ สัตว์มันเกิดมามันต้องเลี้ยงชีพ

เวลาสัตว์นะ เวลามันหากินของมัน ดูเก้งดูกวางในป่าสิ มันจะหากินของมัน มันหวาดระแวง มันต้องระวังภัยตลอดนะ เพราะการหาอาหารมันเสี่ยงด้วยชีวิต ไม่ใช่เฉพาะเราหรอก เฉพาะเรา เราเกิดมาเราว่าเราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายาก เวลาสัตว์มันหาอยู่หากินนะ เวลามันเกิดภัยแล้งขึ้นมา ดูนกดูกาสิ เวลามันไม่มีอาหารของมัน มันต้องอดจนตาย มันอดตายเพราะอะไร เพราะมันไม่มีอาหารของมัน เวลาโดนทำลายสภาวะแวดล้อม ทำลายป่า สัตว์มันไม่มีป่าจะอยู่แล้ว

เราเกิดเป็นมนุษย์ๆ เกิดเป็นมนุษย์เราทำมาหากินของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราต้องมีหน้าที่การงานอยู่แล้ว แล้วหน้าที่การงานอย่างนี้มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคน การเกิด เกิดด้วยบุญกุศล เวลาเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน เกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมาด้วยความลำบากบากบั่น แต่ลำบากบากบั่นมันก็เป็นการเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติว่าคนจะดีจะชั่วเพราะการเกิด

การเกิด เกิดจากเวรจากกรรม ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามีสิทธิความเป็นมนุษย์ ถ้ามีความเป็นมนุษย์ เราพอใจในความเป็นมนุษย์นี้ ถ้าเราพอใจความเป็นมนุษย์ รัฐธรรมนูญเขียนไว้ มนุษย์เสมอกัน สิทธิความเป็นมนุษย์มีเสรีภาพเสมอกัน เราก็ได้สิทธิอันนั้นมาพอแรงแล้วแหละ แต่หน้าที่การงานการกระทำของเรามันก็เป็นความอ่อนด้อยของสติปัญญาของเรา ถ้ามันขาดสติปัญญา มันขาดโอกาส การขาดโอกาสมันก็เกิดในยุคในสมัยใดไง การเกิดในสังคมที่ดี สังคมที่บีบคั้น การเกิดในสังคมอย่างนั้นเพราะมันสภาคกรรมไง

การเกิด เพราะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาจะไม่ได้เกิดมาร่วมกัน เห็นกัน การเกิดมาร่วมกัน เห็นกัน มันต้องมีเวรมีกรรมมาต่อกัน มีเวรมีกรรม กรรมดีก็มาส่งเสริมกัน มาเชิดชูบูชากัน มายกย่องสรรเสริญกัน ถ้ากรรมชั่ว กรรมชั่วมันก็ตามทำลายล้าง การทำลายล้าง เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ สอนเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสบการณ์อย่างนี้มาด้วยหัวใจของท่าน ท่านเห็นโทษของมัน เห็นไหม เห็นโทษของมัน

เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำสิ่งใดที่มันเป็นเวรเป็นกรรมขึ้นมามันจะตกต่ำทั้งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดที่เป็นบุญกุศลมันจะเชิดชูๆ ขึ้น เชิดชูจนหัวใจของท่านสมบูรณ์ของท่าน ท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านถึงได้เป็นศาสดาของเรา เป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ความเป็นพระอรหันต์นั้นมันเกิดจากการกระทำไง นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ก็ให้เราฝึกหัดปฏิบัติไง

เวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เราไปอยู่ในทางโลก เรามาวัดมาวา มาวัดป่าไง เรามาเห็นการกระทำของสงฆ์ ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อู๋ย! น่าสงสาร น่าสมเพช ถ้าไปที่ไหนแล้วถ้ามีคนเชิดชูบูชาไง อย่างนั้นน่าเชิดชู

ไอ้นั่นมันละคร นั่นมันลิเก ใครก็ทำได้ แต่ความเป็นจริงๆ ความดัดแปลงหัวใจมันต้องทำของเราด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไง ถ้าเป็นฆราวาสธรรมก็เป็นเรื่องของฆราวาสนะ ถ้าเป็นการกระทำ เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีสิทธิความเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าความเป็นมนุษย์แล้วเราถึงภูมิใจความเป็นมนุษย์ไง ความเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ถ้ามีสติปัญญาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในหัวใจ ไม่ใช่อุปสรรคทางโลกนะ อุปสรรคทางโลกทุกคนมีเสมอภาคกัน เพราะเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้น นี่ผลของวัฏฏะนะ

แต่ถ้าเป็นผลของธรรมๆ มันเกิดจากหัวใจ หัวใจที่มันเข้มแข็ง หัวใจที่มันมีสติปัญญา เราจะฝ่าฟันกับมันไป เราจะทุกข์จะยากขนาดไหน มีคนมาเชิดชูบูชาขนาดไหน เราไม่ฟังเขาหรอก ถ้าเราฟังเขา เราจะตกต่ำ ตกต่ำเพราะอะไร เพราะว่าเราเข้มงวดกับเรา จิตของเรากำลังพัฒนาขึ้นไป ใครมาออเซาะเรา โอ๋ย! ขาอ่อนไปกับเขาเลย จบ ทำมาเกือบตาย

แต่ถ้าเราไม่ตกต่ำไปกับเขา ไม่ให้เขาออเซาะ ออเซาะฉอเลาะ จะขออย่างนู้นขออย่างนี้ ไอ้ขอมันขอเรื่องโลกๆ ไง แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านชื่นชม หลวงตาท่านอดอาหารอยู่ในป่า เวลามากราบหลวงปู่มั่น ท่านเป็นโรคดีซ่าน เหลืองไปทั้งตัวเลย มีแต่หนังหุ้มกระดูก เวลาท่านเห็นท่านก็ตกใจนะ “โอ้โฮ! ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”

ถ้าคำว่า “โอ้โฮ! ทำไมเป็นอย่างนี้” อย่างนี้เป็นข้อเท็จจริง แต่ด้วยธรรม พอเป็นเรื่องธรรมนะ พอโอ้โฮ! ท่านก็รู้ว่าหลวงปู่มั่นเห็นสภาพว่าท่านเป็นคนเข้มแข็ง แล้วท่านก็หมอบฟังว่าแล้วคำต่อไปคืออะไรล่ะ

“โอ้โฮ! ทำไมเป็นขนาดนี้ล่ะ” แสดงว่าท่านอดอาหารด้วย แล้วท่านเป็นโรคดีซ่านด้วย แต่เวลาท่านจะพลิกกลับเป็นธรรมนะ “เออ! นักรบต้องเป็นอย่างนี้สิวะ” พอเป็นธรรม พออย่างนี้ปั๊บ หัวใจมันก็ฟื้นฟูขึ้นมา เห็นไหม

ไม่ต้องออเซาะฉอเลาะ พอเขาโอ้โฮ! ใจถอยกรูดๆ ไปเลย เออ! ไม่อดอาหารแล้ว เลิก เพราะว่ามันรุนแรงเกินไป เราจะไม่มีองค์หลวงตาไว้กราบไหว้ เราจะไม่มีองค์หลวงตาไว้เป็นผู้นำ

แต่ด้วยสติด้วยปัญญาของท่าน “โอ้โฮ! ทำไมขนาดนี้ล่ะ” แต่คำสองว่า “เออ! นี่แหละมันพอดี นี่แหละมันลูกศิษย์ตถาคต นี่แหละคือผู้ที่จะบากบั่น”

นี่ไง ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วเราไม่ทันหรอก ถ้าเราไม่ทันของเรานะ เพราะเราไม่ทันความคิดของเราไง เพราะเราไม่เคยสัมผัสความสุขอย่างนั้นไง เราไม่เคยสัมผัสว่าความสงบของจิตมันเป็นอย่างไร เราไม่เคยสัมผัสหรอกว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดจากหัวใจมันมหัศจรรย์ขนาดไหน แล้วสิ่งที่มหัศจรรย์ขนาดนี้มันค้นหามาจากไหนล่ะ ที่ไหนก็ไม่มี ในโลกนี้ไม่มีหรอก ๓ โลกธาตุไม่มี ถ้ามี พรหมไม่มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามี เทพพรหมไม่มาเฝ้า ไม่มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ถ้าเขามี เขาไม่ต้องมาถาม ถ้าใน ๓ แดนโลกธาตุมันมี เขาไม่ต้องมาปรึกษาเราหรอก แต่เพราะมันไม่มี

เวลามันมี มันมีอยู่ในหัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันมีอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว เวลามันเข้มข้น เข้มข้นอย่างนี้

มันเสียดาย เสียดายเวลานะ ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปหมดแล้วล่ะ แล้วหลวงปู่ลี ครูบาอาจารย์ท่านก็ชราภาพไปทั่ว โอกาสมันจะน้อยลงเรื่อยๆ โอกาสมันจะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะผู้ชี้นำ ผู้ที่คอยต้านกระแสโลกไง กระแสโลกมันท่วมท้นเข้าไปในวัด กระแสโลกมันจะท่วมท้นเข้าไปในที่สำนักปฏิบัติ กระแสโลกมันท่วมท้นมาตลอด แล้วเราก็อ่อนแอกัน อ่อนแอเพราะไม่มีจุดยืนไง กระแสโลกมันท่วมท้นขึ้นมาก็โอบไว้หมดเลย ยอมรับการเมตตาสงสารจากโลก

ยอมรับเขาก็ตายห่าหมดน่ะ กระแสโลกมันท่วมท้นมา ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ต้องมีจุดยืนของท่าน ต้องมีความจริงในหัวใจอันนั้น แล้วหัวใจอันนั้นมันมาจากไหน มันมาจากความจริงอันนี้ไง มันมาจากความจริง ศีล สมาธิ ปัญญา

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์นะ สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือความรู้สึกของคน คือจิตวิญญาณอันนั้น จิตวิญญาณอันนั้นศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยสายตา ด้วยการท่องจำ ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ เคารพนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นไตรสรณคมณ์ แม้แต่ถ้าใครไม่ถึงไตรสรณคมณ์ ขาดจากความเป็นเณร

ไอ้นี่พวกเราเป็นพระนะ แล้วมันไม่เคารพได้อย่างไร มันเคารพทั้งนั้นน่ะ แต่มุมมองของกิเลสไง มุมมองของโลกไง ดูสิ ด้วยความเมตตาสงสาร ด้วยความอยากช่วยเหลือเจือจาน กระแสโลกมันจะท่วมท้นวัด กระแสสิ่งที่มันท่วมท้นเข้ามา แล้วท่วมท้นเข้ามาแล้วผู้ที่จะรักษาไว้ล่ะ มันจะมีจุดยืนของมันหรือไม่

สูง ต่ำ ดำ ขาวเป็นรูปสมบัติจากการกระทำของเรา นี้ด้วยบุญกุศล สูง ต่ำ กว้าง แคบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการภาวนา ใครมีสติมีปัญญาภาวนาเท่าไร จะมีสติปัญญามากขึ้นเท่านั้น แล้วสติปัญญานี้มันจะฉุดกระชากลากหัวใจนี้ให้พ้นจากกระแสการท่วมท้นของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ให้ท่วมท้นของการติฉินนินทา ให้ท่วมท้นการยกย่องสรรเสริญ นั่นเป็นโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ ไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่ความจริง ความจริงคือในใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ใจของเราท่วมท้น ใจของเรามีคุณธรรม ใจของเราเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ นี่สัมผัสธรรมได้ สัมผัสธรรมได้อย่างนี้ ถ้าสัมผัสได้อย่างนี้มันจะมีคุณธรรมในหัวใจดวงนั้น

ถ้ามีคุณธรรมในใจดวงนั้น ไม่หวั่นไหวหรอก กระแสโลกก็เป็นกระแสโลก แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้นำ เป็นผู้จะคุ้มครอง เป็นผู้ไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามาทำลาย มันจะทำลายธรรมและวินัย ทำลายเครื่องดำเนิน เห็นไหม

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่านมาเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นเครื่องดำเนิน เป็นเครื่องอยู่ของใจ เป็นเส้นทางให้หัวใจก้าวเดิน แล้วจะมาทำลายกัน มาทำให้มันอ่อนด้อย แล้วคนที่จะเดินมันหาที่เดิน ก็เดินตามกิเลสไง เดินตามความพอใจของตนไง นี่ไง กระแสโลกไง ถ้ากระแสธรรมมันต้องมั่นคง มั่นคงเข้ามาในใจดวงนี้ เริ่มต้นเข้าพรรษามันต้องเข้มแข็ง แล้วพยายามทำของเราให้ผลขึ้นมาเกิดจากหัวใจดวงนี้ เอวัง