เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันเฉลิมของ ร.๑๐ วันเฉลิมพระชนมพรรษาปีแรก เวลาวันที่ ๕ ธันวาคม วันเฉลิมฯ ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านได้วางบาทฐานไว้ให้ประเทศชาติมั่นคง ให้ประเทศชาติมีความสงบ นี่เราระลึกถึงคุณของท่าน ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ท่านก็ได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้เรา
การสร้างคุณงามความดี คนเรามันจะดี ดีเพราะคุณงามความดี คุณงามความดีจะระลึกถึงกัน ระลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านได้เสียสละของท่านทั้งชีวิตของท่านเพื่อความมั่นความมั่นคงของชาติไทย
วันนี้วันเฉลิมฯ ของรัชกาลที่ ๑๐ ก่อนที่ท่านจะได้ครองราชย์ มันมีแต่ข่าวลือข่าวร้อยแปดไปเลย แต่เวลาท่านครองราชย์แล้วประเทศชาติสงบร่มเย็นไหม มันก็สงบร่มเย็นไง ไอ้ข่าวลือๆ เราไปฟังแต่ข่าวลือกันไง แล้วเราก็วิตกวิจารณ์ไปนะ มันมีแต่ความวิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้ามันถึงเวลาเป็นความจริงแล้ว ความจริงแล้ว เวลาเรือนะ มันต้องอาศัยน้ำ ถ้ามีคลอง มีแม่น้ำ การขนส่งการคมนาคมทางเรือ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นกษัตริย์ ประชาชนก็เหมือนน้ำ กษัตริย์ก็ต้องเหมือนเรือ พึ่งพาอาศัยกันๆ
เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญ พอโลกเจริญ คนมีการศึกษา พอมีการศึกษา เพราะมีการศึกษาถึงมีความคิด พอมีความคิด ความคิดใครๆ มันก็คิดได้ เราเห็นหน้ากัน แต่เราไม่รู้ความคิดของคน เวลาคิด คิดอยู่ในหัวใจนี่ เวลาคิดในหัวใจ คิดในหัวใจนี้เป็นเรื่องพระพุทธศาสนานะ แต่ทางวิทยาศาตร์คิดโดยสมองนะ คิดโดยสมอง หัวใจมันคิดไม่ได้ หัวใจมันสูบฉีดเลือดเท่านั้นน่ะ สิ่งที่คิดได้ก็คือสมอง สมองมันมีคลื่นไฟฟ้าให้เรารู้สึกนึกคิดได้ นี่เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย
แต่เป็นเรื่องของธรรมๆ นะ เรื่องของธรรมมันคิดที่หัวใจ คิดจากจิตๆ คิดจากสมอง สัญญาทั้งนั้นน่ะ แต่คิดจากจิต คิดมาได้อย่างไร ถ้าคิดจากจิต ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยพันธุกรรมของจิต ใครสร้างคุณงามความดีมามันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง คนที่มีอำนาจวาสนาคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องเลวร้ายไม่ได้ คนที่เขาสร้างแต่บาปแต่กรรมมา คิดแต่เอารัดเอาเปรียบเขา คิดแต่เรื่องร้ายๆ คิดดีไม่ได้ มันคิดมาจากไหนล่ะ คิดจากสมองหรือ ถ้าคิดจากสมองก็เอาคลื่นไฟฟ้าไปบังคับมันสิ ให้คนคิดแต่ดีๆ ให้คนเป็นคนดีให้ทั้งหมดสิ แต่คนมันเป็นคนดีไม่ได้ๆ เห็นไหม ตัณหาความทะยานอยากไง
นี่พูดถึงพระพุทธศาสนา วันนี้วันเฉลิมฯ ของรัชกาลที่ ๑๐ เรามาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่ออะไร ทำบุญกุศล บุญน่ะ เราเกิดมาเราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ บุญคือความปรารถนา คือความสมความปรารถนา คือความสุขของเรา ความสุขมันเกิดที่ไหน ความสุขเกิดที่เรา เราก็ปรารถนาแต่ข้าวของเงินทองก็ปรารถนามา คิดว่าสิ่งนั้นจะหามาแล้วได้ความสุขๆ พอหามาแล้วก็สะสมไว้ แล้วก็ไปนอนเฝ้ามัน เป็นความทุกข์อยู่นั่น ไอ้คนที่เขาหาเช้ากินค่ำเวลาตกเย็นขึ้นมาเขามีแต่ความสุขของเขา เพราะเขาไม่มีความวิตกกังวลในหัวใจของเขา
ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่หัวใจ มันอยู่ที่สติปัญญา ถ้าสติปัญญามันเท่าทันความคิดของตน นี่คือความสุข เวลาสติปัญญามันอ่อนด้อย นั่นน่ะความทุกข์ ความทุกข์เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยาก เรื่องของกิเลส เรื่องของอารมณ์ ของสัญชาตญาณมันกดถ่วง มันไหลไปตามแต่ตัณหาความทะยานอยาก เราต้องมีสติปัญญา เห็นไหม
คนร่ำรวยมหาศาลเขาก็ใช้จ่ายแค่ปัจจัย ๔ เท่านั้นน่ะ สิ่งที่หามา หามาก็เพื่อชาติเพื่อตระกูล ถ้าชาติตระกูลที่เป็นคนดี อนาถบิณฑิกเศรษฐี ถ้าเศรษฐีเขามีโรงทานอยู่หน้าบ้านไง เขาคอยดูแลคนทุกข์คนจนเพื่อบุญอำนาจวาสนาของเขา นั่นถ้าเขามีจริตนิสัยเป็นคนดี เขาได้ทรัพย์สมบัติของเขามามันก็เป็นประโยชน์ แล้วถ้ามันไม่มีทรัพย์สมบัติ เขาไม่มีสติปัญญาขึ้นมา ได้มาแล้วมันก็มีแต่วิตกกังวล เวลาเราปากกัดตีนถีบ เราหาอยู่หากินของเรา ถ้าเรามีสติปัญญานะ ใช่ มันทุกข์ มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกมันเป็นสัจจะ ทุกข์มันเป็นความจริง แล้วมันความจริงๆ เหมือนกันไง
ดูสิ เวลาบอกว่าครูบาอาจารย์ของเราท่านมีบุญกุศลของท่าน ท่านอุดมสมบูรณ์ของท่าน กว่าจะอุดมสมบูรณ์น่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี มันอุดมสมบูรณ์ไปไหน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ของท่าน ท่านอยู่ในป่าในเขา ใครไปเห็นท่าน
หลวงตาท่านพูดเองนะ “๙ ปีของเราในป่า ใครไม่เคยรู้เคยเห็นกับเราหรอก เราจะเป็นจะตายอยู่น่ะมีใครมาเห็นกับเรา เวลาเราออกมาช่วยโลกแล้วใครก็ว่า อู๋ย! หลวงตามีบุญๆ”
มันอยู่ที่การกระทำไง มันต้องอยู่ที่เราต้องมีสติมีปัญญาฝึกฝนของเรามาไง ถ้ามันฝึกฝนขึ้นมา หัวใจของเรา เวลาอยู่ในป่าในเขา ถ้ามันได้สิ่งใดก็ตามนั้นน่ะ มันมีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี เราธุดงค์ไปบิณฑบาตไม่ได้อะไรเลยก็มี ไม่ได้อะไรเลย บาตรเปล่าๆ บาตรเปล่าๆ ก็ไม่ต้องฉัน มันจะวิตกกังวลอะไร มันสบาย วันนี้ไม่ต้องล้างบาตร มันคิดบวก มันไม่มาวิตกกังวลหรอก
นี่ไง เราจะบอกว่า ก็บอกว่าคนที่มั่งมีศรีสุขเขาถึงมีความสุขของเขา เราคนทุกข์คนจนแล้วเรามีแต่ความทุกข์ความยากของเรา
คนมั่งมีศรีสุข เวลาพระเรานะ เขาเรียกว่าทำภัตกิจ เวลาฉันนี่ก็เป็นกิจ งานอันหนึ่งไง เวลาฉันนี่ก็งานนะ เราทำหน้าที่การงานของเรา เราปากกัดตีนถีบ เราว่าเป็นงานทุกข์งานยาก เวลาเราเคี้ยวถึงอาหารที่มันเผ็ด เคี้ยวถึงอาหารที่มันร้อน เราเคี้ยวได้ไหม เรารีบคายทิ้งเลยน่ะ นี่ก็เป็นงานนะ แต่คนทุกข์คนจน เวลาเรามีสิ่งใดที่มันอุดมสมบูรณ์ในชีวิต มีความสุขนะๆ นะ มันก็เป็นงานอันหนึ่ง มันเป็นงานการขบเคี้ยว ขบเคี้ยวเพื่อกลืนอาหารเข้าไปในร่างกาย นี่ถ้ามันภัตกิจ ภัตกิจก็เป็นกิจกรรมอันหนึ่ง มันก็เป็นงานอันหนึ่งไง แต่งานอันหนึ่งเราชอบ งานอันหนึ่งเราปฏิเสธ งานอันหนึ่งเราไม่ต้องการไง แต่คนเขามีสติมีปัญญาของเขานะ เขาขวนขวายทำหน้าที่การงานของเขาโดยความสมบูรณ์ของเขา ถ้าความสมบูรณ์ของเขานะ
ครอบครัวใดรู้จักกตัญญูกตเวที รู้จักการซ่อมบำรุงรักษาทรัพย์สมบัติเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเรือนนั้น ตระกูลนั้นจะไม่ตกต่ำเลย ตระกูลไหนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ครอบครัวนั้นน่ะมีปัญหาแน่นอนอนาคต เพราะมันไม่มีสติปัญญารักษาไง ถ้ามีสติปัญญารักษา รักษาอย่างนี้ นี่พูดถึงว่าเวลาเป็นธรรมๆ ไง
ฉะนั้น เวลาทำบุญกุศลแล้วทำบุญกุศลอย่างนี้ เราทำบุญกุศลแล้วเกิดสภาคกรรม เกิดกรรมร่วมไง เกิดมามีผู้นำที่ดีไง เกิดมาในสมัยรัชกาลที่ ๙ แล้วก็ปัจจุบันนี้รัชกาลที่ ๑๐ ถ้าได้ผู้นำที่ดีดูแลนโยบายที่ดี นโยบายๆ นโยบายที่ดี กระแสโลก กระแสลม คุมนโยบายให้ดี ให้ประชาชนมีสิทธิเสมอภาค ความเสมอภาคก็เสมอภาคด้วยนโยบายอันนั้น
แต่มันเสมอภาคไปไม่ได้ มันเสมอภาคไปไม่ได้เพราะคนเรามีความคิดแตกต่างกัน คนเรามีความปรารถนาแตกต่างกัน ความเสมอภาคๆ ให้แข่งขันกันโดยธรรม แต่ถ้าใครมีสติปัญญา มีความชำนาญอย่างนั้น เขาว่านั่นเป็นความเสมอภาคของเขา เราไม่มีโอกาสอย่างนั้น เราว่าเราเป็นผู้ด้อย ไม่มีโอกาส ถ้ามีโอกาสอย่างนั้น นี่มันเรื่องของจริตนิสัย ถ้าเรื่องของจริตนิสัย ความเสมอภาคอย่างนั้น นี่สภาคกรรมๆ เราทำบุญกุศลแล้วเราเกิดร่วมๆ ไง เพราะเกิดร่วม หมายความว่า เกิดมาในสังคม ขอให้สังคมอย่าเอารัดเอาเปรียบกันจนเกินไป เรามองในสังคม สุดท้ายแล้วเราก็ทุกข์ร้อนนะ ไปมองสังคมโลกสิ
ตอนที่เราบวชใหม่ๆ เขมรแตก เราอยู่ทางภาคอีสาน เวลาเขมรแตกนะ โอ้โฮ! น่าสงสารมาก เวลาเขมรแตกนะ แล้วดูชาติอื่นๆ ที่เขามีปัญหากันสิ เขาหลั่งไหลออก เขาหลั่งไหลออกนั่นน่ะ เรามองของเราแล้ว ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้ ธรรมะไม่ได้บอกให้งอมืองอเท้านะ ธรรมะบอกให้ขยันหมั่นเพียร มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ทุกคนต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา ถ้ามีความเพียร ฉะนั้น มีความเพียรแล้วต้องมีสติมีปัญญาด้วยอย่างนี้ มันไม่แผดเผาไง มีความเพียรแล้วก็ทำงานของเรา ทำงานของเรา เรามีหน้าที่การงานของเรา แต่ไม่ให้กิเลสมันแผดเผาไง
งานก็เป็นงานอันหนึ่งแล้วนะ ความวิตกกังวลในใจ ความทุกข์ร้อนในใจมันแผดมันเผา มันทุกข์มันร้อน หน้าที่การงานนี้ไม่ใช่กิเลส ความขยันหมั่นเพียรไม่ใช่กิเลส กิเลสคือตัณหาความทะยานอยากที่มันคิดที่มันแผดเผา ถ้ามันมีอารมณ์อย่างนั้นมันแผดเผาๆ เห็นไหม เราทุกข์เราร้อน ๒ ชั้น ๓ ชั้นในใจไง
แต่ถ้าตัณหาความทะยานอยากอันนั้นเราวางอันนั้น หน้าที่การงานของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ความเสมอภาคมันเสมอภาคอย่างนี้ไง แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา สภาคกรรม มันมีโอกาสขึ้นมา ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จๆ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ เราก็มาวิจัยว่าทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จ มันขาดตกบกพร่องสิ่งใด
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านจะปรินิพพาน คำสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
องค์สมเด็จชพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ประมาทไง ท่านไม่ให้ประมาทกับชีวิต ไม่ประมาทกับการกระทำของเรา เราไม่ประมาท ส่วนใหญ่ที่มันผิดมันพลาดขึ้นมาเพราะด้วยความประมาท ด้วยความพลั้งเผลอ ด้วยความมักง่าย ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นไปแล้วนะ นั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว สิ่งใดที่เป็นอดีตไปนะ พอเป็นอดีตมันก็สอนเราไง นี่ไง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่ให้เชื่อ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่รอบคอบ ถ้าเรารอบคอบของเรา
เราทำของเราเป็นสมบัติของเรานะ เวลาทำของเรา เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเกิดที่หัวใจนี้ทั้งนั้น ถ้าสติปัญญามันพร้อมนะ โล่งหมดเลย โล่งหมดเลย หมายความว่า ทุกอย่างพอหมด ปัจจัย ๔ เหลือเฟือ ที่มันไม่พอ ไม่พอเพราะมันวิตกกังวลทั้งนั้นน่ะ ไม่พอๆ มันจะไปเอาอนาคตมาก่อนไง
นี่ไง เวลากู้หนี้ยืมสินเอาเงินในอนาคตมาใช้ เอาเงินในอนาคตมาใช้แล้วก็หามาใช้มันๆ แต่ถ้าเรารู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ ถ้ารู้จักประหยัดมัธยัสถ์นะ เราไม่เห่อเหิมทะเยอทะยานไปกับเขา
แต่เรามีสติมีปัญญา ถ้ามีสิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์ สิ่งที่วันนี้โยมมาทำบุญๆ สิ่งที่หามานี่เอามาจากไหน ก็น้ำพักน้ำแรงของโยมทั้งนั้นน่ะ น้ำพักน้ำแรง ปฏิคาหกไง พอได้มาแล้ว สิ่งที่จะทำบุญกุศลในพระพุทธศาสนาคือการเสียสละทาน การเสียสละทาน ใครเป็นคนคิดล่ะ เพราะมโนกรรม เกิดเจตนา เกิดความต้องการอยากจะทำ สิ่งนี้มันเป็นวัตถุข้าวของใช่ไหม สิ่งที่วัตถุข้าวของเก็บไว้ ปัจจัย ๔ ก็ได้ใช้ในชีวิตประจำวันใช่ไหม
แต่หัวใจๆ พอเจตนามันเสียสละไป เวลาความคิดความทุกข์ความบีบคั้นในหัวใจมันก็เป็นอารมณ์เหมือนกันนี่แหละ เหมือนกับที่เจตนาอันนี้ นี่มันฝึกหัดๆ ทานมันมีอุบายหลายชั้นเลย ทานนี่อุบายเพื่อความสงบร่มเย็นในสังคม เพื่อความเสมอภาคกัน ใครที่มีมากกว่าก็เสียสละเพื่อน้อยกว่า มันเป็นการเสียสละต่อกัน แล้วสิ่งที่เป็นหัวใจของมันคือเจตนา คือความรู้สึกนึกคิดอันนั้นน่ะ ความรู้สึกนึกคิดในใจนี่ ปฏิสนธิจิตๆ เพราะปฏิสนธิจิตมันโง่ มันถึงให้ความปรารถนามันครอบงำ ความปรารถนานั้นมันก็บีบคั้น ความปรารถนามันก็ชักนำไป
แต่ถ้ามีสติปัญญา เราก็ปรารถนาทำความดี ความดีก็คือความดีไง ความดีก็จบไง แต่ความปรารถนา “ทำดีแล้วใครๆ ก็ไม่เห็นเรามีความดีเลย ทำดีแล้วไม่มีใครคิดว่าเราดีเลย”...ก็เอ็งเพิ่งทำ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระเวสสันดรเสียสละมากี่ภพกี่ชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมาทุกภพทุกชาติ เสียสละมา เอาชีวิตเสียสละมาเลย เพราะความเสียสละอย่างนั้นมันเกิดอำนาจวาสนา เกิดบารมีในหัวใจอันนั้น มันมีวุฒิภาวะ มันแก่กล้า ใครจะยกย่องสรรเสริญในทางที่ผิด ท่านไม่ไปกับเขา ท่านเสียสละของท่านมาขนาดนั้น เวลาทำขึ้นมามันถึงมีอำนาจวาสนาบารมีไง
ของเรา เราก็ทำของเราไป เราทำของเราไปเพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำรอกได้คายกิเลสตัณหาความทะยานอยากไปแล้ว
ของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะอวิชชาไม่รู้มันพาให้เราเกิด เราเกิดแล้วเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เราคิดโดยวิทยาศาสตร์ คิดโดยความเห็นของเราก็ทุกข์อย่างนี้ ยิ่งคิดยิ่งทุกข์
พลังงานความร้อน ยิ่งคิดเท่าไรความร้อนมันเพิ่มขึ้น เขาต้องมีระบาย ระบายความร้อนๆ ไง ถ้าระบายความร้อน ต้องหยุดคิด ความหยุดคิดขึ้นมา เราก็มาหัดภาวนาของเรานี่ไง ถ้าเราหัดภาวนาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิไง บรรเทาความร้อนในหัวใจนี้ ถ้าบรรเทาความร้อนในหัวใจนี้ เราจะเห็นความมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนา ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนี้ เวลาสร้างอำนาจวาสนาบารมี บุญมันเก็บไว้ที่ไหน เงินฝากไว้ในธนาคาร บุญนี่ไปเก็บไว้ที่ไหน ใครมีตู้เซฟเก็บบุญบ้าง แล้วบาปไปเก็บไว้ที่ไหน
นี่ไง เวลาเจตนาที่มันเสียสละ มันเข้าไปในหัวใจนั้นแหละ ใครเคยสละทานไว้ที่ใด เวลาคิดขึ้นมามันจะคิดได้ทันทีเลย นี่ทิพย์สมบัติๆ เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอาหารทิพย์ เป็นวิญญาณาหาร เวลามันพัฒนาหัวใจพัฒนาอย่างนี้ แต่ด้วยกำลังของกิเลสมันมากกว่าไง “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำแล้วมีแต่ความทุกข์ความยาก” นี่ไง กิเลสมันก็ใหญ่กว่า กิเลสมันก็คิดอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้ามาคิดอยู่อย่างนั้น เราถึงพยายามของเรานี่ไง
ดูสิ เวลาอากาศอบอุ่น อากาศที่มันดี มันปรอดโปร่ง อากาศที่ดี เวลามันร้อนนัก ร้อนเกินไป หนาวเกินไป อากาศไม่ดีทั้งนั้นน่ะ เวลาหัวใจของเรา เวลามันคิดของมัน มันลำเอียงไปข้างหนึ่งของมันทั้งนั้นน่ะ เรามีสติปัญญารักษาอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เพื่อประโยชน์อย่างนี้ไง
แล้วทางนี้ วันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลที่ ๑๐ ท่านเป็นผู้นำ เป็นเรือ ไอ้เราเป็นน้ำ ถ้าน้ำที่ดี น้ำมันไม่มีคลื่น ไม่มีต่างๆ เรือมันก็เดินได้สะดวกใช่ไหม น้ำนั้นก็ดีทั้งหมดน่ะ
หัวใจของพวกเรา สิ่งใดที่เป็นข่าวเล่าข่าวลือนั้นแขวนไว้ เราเอาความจริงนี่ เอาความจริง เอาความจริงปัจจุบันนี้ ถ้าเอาความจริงในปัจจุบันนี้ เรากลับมาที่หัวใจ
คน คนเหมือนกัน สิ่งที่เป็นคนเหมือนกัน คนมันก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา สิ่งที่ความผิดพลาดไปแล้วมันก็เรื่องที่ผิดพลาด แต่ได้สำนึกไหม ได้มีสติไหม นี่ก็เหมือนกัน เราก็คิดของเราอย่างนี้ เราทำเพื่อประโยชน์กับเราอย่างนี้
เวลาเกิดมา มนุษย์เกิดมามีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งที่สุดแล้วจิตนี้มันต้องออกจากร่างนี้ไปแน่นอน เราต้องตายแน่นอน เวลาเราตายแน่นอนแล้ว สิ่งที่เกิดมาในชีวิตนี้เราก็พยายามทำความมั่นคงในชีวิต เราเป็นห่วงความมั่นคงของชีวิต ความมั่นคงในชีวิต ถ้าเราทำของเรา สิ่งใดถ้าเรามีสติมีปัญญานะ มันแก้ไขได้ทั้งนั้นน่ะ
เราจะบอกว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยในโลกนี้ช่วยเหลือเจือจานกันได้ ถ้าพูดกันด้วยความจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วศักดิ์ศรีๆ เราไม่กล้าพูดอะไรความจริงทั้งนั้นน่ะ ถ้าพูดด้วยความจริงนะ ถ้าพูดด้วยความจริง คนเราช่วยเหลือเจือจานกัน
ตอนนี้เราทำอะไรกันไม่ได้เลย แชร์ลูกโซ่ๆ มันโกหกกันทั้งนั้นน่ะ มันหลอกมันลวงกันจนคนระแวงไปหมดเลย เราไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น เขาจะหลอกเราหรือเปล่า
นี้เวลามาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาได้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ พระเป็นผู้มีศีล ก็จะเชื่อถือพระ พระมีศีล พระคงไม่โกหก ไปเจอเข้าจริงๆ พระก็โกหกเหมือนกัน
ไอ้นั่นเป็นพระของเขา ไอ้พระของเรา พระเป็นผู้ประเสริฐในหัวใจนี้ ถ้าเราไปวัดไปวา มีครูบาอาจารย์ท่านเป็นที่พึ่ง ท่านเป็นที่พึ่ง เวลาเราไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่ง เราฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติของเรา
แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเข้าไปสู่ความรู้สึกของเรา นั่นน่ะพุทธะแท้ พุทธะคือธาตุรู้ พุทธะคือความรู้สึกนี้ แต่ความรู้สึกนี้มันหยาบเกินไป เราเลยเอาความคิดเป็นความรู้สึกไง เอาอารมณ์เป็นความรู้สึกไง
อารมณ์เป็นความรู้สึกไม่ได้ ความคิดเป็นความรู้สึกไม่ได้ อารมณ์หรือความคิดมันเกิดจากจิต จิตคือธาตุรู้ ธาตุรู้นั้นน่ะ เวลามันเข้าไปสงบอันนั้นน่ะ มหัศจรรย์ๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มหัศจรรย์มาก พอเข้าแล้ว อ๋อ! อ๋อ!
เพราะความสุขในโลกนี้ เรามีเงิน มีการแลกเปลี่ยน เราถึงหาปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยนี้มันเป็นอามิสเพื่อความสุขเพื่อความสงบของเราไง แต่เวลาสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง พอจิตสงบ สุขอื่นใดในโลกนี้ ในโลกนี้ที่เขาเสวยกัน เขาเสพกันว่าสุขๆๆ น่ะ ไม่มีสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบ แล้วจิตมันอยู่ที่ไหน
จิตมันอยู่กลางหัวใจเรานี่ ของที่มันอยู่กลางหัวใจ ถ้ามันทำได้มันมีความสุข ไม่ต้องไปซื้อไปหาที่ไหนเลย นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ผู้รู้ ตอนนี้ผู้รู้รู้โดยกิเลส รู้โดยตัณหาความทะยานอยาก รู้โดยการครอบงำ กิเลสมันครอบงำไว้มันเลยไม่รู้จริงไง มันก็เลยยังไม่เคยเห็นน่ะ แต่ถ้าเวลาพุทโธๆๆ จนมันเป็นจริงขึ้นมานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี นี่เป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุขอื่นใดในโลก ในวัฏฏะนี้ไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แค่จิตสงบนะ
แต่เวลาใช้ปัญญาไปแล้ว ไอ้นั่นมันไม่ใช่สงบ อันนั้นมันเป็นการงาน เวลาเราใช้วิปัสสนามันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เราใคร่ครวญแก้ไขกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ต้องใช้สมาธิเป็นพื้นฐานเป็นบาทฐาน มันถึงมีกำลัง มีวุฒิภาวะเข้าไปทำได้
ไม่มีสมาธิ มันก็เป็นสัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่ ไอ้ที่คุยโม้กันอยู่นี่ก็อารมณ์ความรู้สึก ใครมีปฏิภาณพูดดีหน่อย โอ๋ย! น่าเชื่อถือ...ไร้สาระ แต่ความจริงๆ มันจะเกิดจากความจริง มันเกิดมรรคเกิดผลไง
ฉะนั้นบอกว่า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีคือสัมมาสมาธิ แล้วเวลาใช้ปัญญามันไม่สงบหรือ มันไม่มีความสุขหรือ มันเหนื่อยยากด้วย มันเป็นงาน งานการวิปัสสนา งานการรื้อกิเลส แต่ถ้าเวลาผลงานมันเสร็จแล้ว มหัศจรรย์ อกุปปธรรม
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สรรพสิ่งในโลกนี้ในจักรวาลนี้มันแปรปรวนหมด ไม่มีสิ่งใดคงที่ เว้นไว้แต่อริยผลอริยภูมิไง อกุปปธรรมๆ อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันมีอยู่ในพระพุทธศาสนา มันอยู่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กราบธรรมๆ กราบธรรมอันนี้ แล้วธรรมอันนี้ใครเป็นผู้แสวงหา มันจะเป็นไปได้ที่ไหน มันก็เป็นไปได้ในหัวใจของบริษัท ๔ ในหัวใจ ในใจของเราไง ถ้าเราทำได้มันจะเป็นประโยชน์ของเรา เราทำบุญเพื่อเหตุนี้
ทำบุญ วันนี้วันเฉลิมฯ ของรัชกาลที่ ๑๐ ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศล เพื่อคุณงามความดี แล้วเวลาคุณงามความดีของเรา ความดีทางโลกเราก็ขยันหมั่นเพียร ถ้าความดีที่เราจะไปอริยภูมิ เราก็ต้องฝึกหัดภาวนาของเราเพื่อผลประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง