เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะธรรมะนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามากว่าจะได้เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดยอดมาก แสวงหามาขนาดไหนนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาช่วงค้นคว้าช่วงแสวงหา ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบุกสมบันมามหาศาล ทำทุกรกิริยา ทำทุกรกิริยาเพราะอะไร ทำทุกรกิริยาเพราะสมัยนั้นเขาเชื่อถือกันอย่างนั้น เพราะเขาเชื่อถือกันอย่างนั้น

คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องทางโลกไง เพราะธรรมมันเหนือโลก ธรรมไม่ใช่โลก อยู่กับโลกนี่แหละ เราเกิดมาเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากพ่อจากแม่ ร่างกายออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ แต่หัวใจของเรา หัวใจของเรามันเกิดจากเวรจากกรรม เพราะมีเวรมีกรรมมันถึงมาเกิดไง

นี่ไง เราเกิดมา เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เรามีกายกับใจๆ เรื่องของโลกก็เรื่องของปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยนี่แหละ แต่เรื่องของธรรมะๆ เรื่องของหัวใจไง ถ้าเรื่องหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นพยายามประพฤติปฏิบัติมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนพวกเราไว้ไง อย่าเบียดเบียนตนและผู้อื่น อย่าเบียดเบียนตน อย่าเบียดเบียนตนแล้วอย่าเบียดเบียนผู้อื่นด้วย ถ้าเราไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตนอย่างไร

ถ้าไม่เบียดเบียนตน ดูสิ คนที่กิเลสหนาปัญญาหยาบ ถ้าไม่เบียดเบียนตนก็นอนอยู่บ้าน นอนสบาย ไม่เบียดเบียนตนแล้วจะได้ธรรมะมา มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เบียดเบียนตนๆ ไม่เบียดเบียนตนเพราะว่าเราทำแต่สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเข้ามาสู่ร่างกายเรานี่ไง ไม่เบียดเบียนตนๆ กินเหล้าเมายานี่เบียดเบียนตน ดูสิ การกินอาหาร อาหารขยะกินไปแล้วก็เป็นโรคอ้วน สิ่งต่างๆ เบียดเบียนตนทั้งนั้นน่ะ

ถ้าไม่เบียดเบียนตนๆ มันต้องมีสติปัญญาไง การไม่เบียดเบียนตนมันต้องมีสติมีปัญญา มันต้องฝึกฝนขึ้นมา เราไม่เบียดเบียนตนๆ ถ้าไม่เบียดเบียนตนแล้ว ดูสิ ตอนเช้าเขาออกกำลังกาย เขาได้เหงื่อไหลไคลย้อยมา คนที่เขาไปวัดไปวาเขารักษาหัวใจของเขา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์

สิ่งที่เป็นประโยชน์ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ ดูสิ หมอชีวกโกมารภัจจ์จะชวนอชาตศัตรู เพราะอชาตศัตรูไปเชื่อเทวทัต แล้วด้วยความเชื่อ ด้วยความเชื่อของเขา ด้วยความโลภ ก็ได้ไปฆ่าพ่อ มีความทุกข์เผาลนใจ ความทุกข์เผาลนใจ มีแต่ความเศร้าหมองไง ใครๆ นับถือศาสนาใด ถืออาจารย์ใดก็พยายามจะชวนไปๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ไง

แต่สุดท้ายแล้วหมอชีวกฯ ไปอธิบายให้ฟัง หมอชีวกฯ อชาตศัตรูเชื่อหมอชีวกฯ ก็ไปกับหมอชีวกฯ ไง พอไปกับหมอชีวกฯ เพราะเป็นกษัตริย์ใช่ไหม ดูสิ ฆ่าพ่อมาเพื่อแย่งอำนาจมาไง เวลาไปกับหมอชีวกฯ เข้าไปในวัด ไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ มันมืด ก็คิดว่า เอ๊ะ! หมอชีวกฯ จะลวงเรามายึดอำนาจซ้อนหรือเปล่า จะลวงเรามาฆ่าหรือเปล่า พอหันมาจะทำร้ายหมอชีวกฯ นะ หมอชีวกฯ บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ นี่เดินจงกรมอยู่ หมอชีวกฯ เข้าไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการพยายามทำใจของอชาตศัตรูให้เบาบาลงๆ

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พุทธกิจ ๕ ไม่เบียดเบียนตนๆ ใช่ไหม ภารกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลขนาดนั้น ไม่เบียดเบียนตนหรือ ไม่เบียดเบียนตนหรือ ไม่เบียดเบียนตนคือไม่เอากิเลสเข้าใส่หัวใจไง ไม่เบียดเบียนตนไง แล้วไม่เบียดเบียนผู้อื่นไง ถ้ามันมีธรรมะในหัวใจมันจะไปเบียดเบียนใครได้ล่ะ เพราะอะไร เพราะมันเห็นโทษเห็นภัยไง

ความเห็นโทษเห็นภัยด้วยความพลั้งเผลอ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยความเข้าใจผิด มันทำให้ชีวิตเราลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตเราทุกข์ยากเพราะความเห็นอย่างนี้ นี่มันเบียดเบียนตน เบียดเบียนเพราะกิเลสมันเบียดเบียนไง ถ้าไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่เบียดเบียนตนก็นอนเป็นตะเข้อาบแดดเลย ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตน

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เกิดมาชีวิตหนึ่งมีโอกาสได้สร้างคุณงามความดี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้นจะได้มากน้อยขนาดไหน นี่เกิดมาชาติหนึ่ง เกิดมาชาติหนึ่งเราจะมีคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน คุณงามความดีของเราไง คุณงามความดีที่เกิดในชาติปัจจุบันนี้มันก็มาจากอดีตทั้งนั้นน่ะ มันมาจากการสร้างสมมา เพราะมันมาจากการสร้างสมมา สันดาน สันดานที่มันฝังหัวใจมา พันธุกรรมของจิตๆ ที่มันฝังหัวใจนี้มา ถ้าหัวใจนี้มา มันมีมุมมอง มีทัศนคติ มันฝังมากับใจนี้เลย เวลาสันดาน สันดานเป็นแบบนั้นน่ะ

เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากนั่นมันอีกเรื่องหนึ่งนะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเกิดขึ้นมาในหัวใจ แล้วมันสามารถชำระล้างได้ไง แต่ชำระล้างได้ สันดานก็ยังเป็นสันดานอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง สิ่งที่สร้างมาๆ มันสร้างมาอย่างนั้น แล้วเวลาพอมาคัดมาแย้งกันไง อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ อภิชาตบุตรก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สามารถตรัสรู้เป็นศาสดา ไปเอาพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ สามเณรราหุลเป็นพระอรหันต์ เอานางพิมพาเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ๆ หมดเลย ให้พ้นจากทุกข์ๆ นี่ไง เป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้นำที่พาออกจากวัฏฏะ

แต่ทางโลกเขาก็ผลแค่นั้นน่ะ ถ้าฟังธรรมๆ ฟังธรรมตอกย้ำลงที่นี่ไง ถ้าไม่เบียดเบียนตนๆ ไม่เบียดเบียนตนก็ต้องขวนขวายไง ไม่เบียดเบียนตน ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไม่เบียดเบียนตน อดนอนผ่อนอาหารจนหนังหุ้มกระดูก พอหนังหุ้มกระดูกเพราะพอใจไง พอใจว่าเราจะเอาชนะหัวใจของเราไง นี้เราพ่ายแพ้ก็พ่ายแพ้กิเลสในใจของเราไง ถ้าเอาชนะๆ เอาชนะกิเลสในหัวใจของเราไง ถ้าจะเอาชนะมันได้นะ ต้องบั่นทอนกิเลส ไม่ให้กิเลสมีอำนาจไง

นั่งสมาธิก็ไม่ได้ จะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เวลาจะทำชั่วได้ทั้งนั้น เวลาจะสำมะเลเทเมาได้หมด เวลาจะทำคุณงามความดีอะไรก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ถ้าทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี แสวงหาสิ่งที่ดีงามไง อย่างนี้มันเบียดเบียนหรือ อย่างนี้ ดูสิ คนเราออกกำลังกายตอนเช้า เขาออกกำลังกายกันทุกวันๆ ร่างกายเขาสมบูรณ์ เขาไม่โอดไม่โอยไง ไอ้คนนอนอยู่บ้านให้ลูกหลานมันคอยพยุงไป ต้องขอร้องเขา ไอ้คนที่เขาออกกำลังกายเขาเดินปลิวเลย เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะเอาคุณงามความดีของเรา เราจะไม่เบียดเบียนหัวใจของเรา เราต้องขยันหมั่นเพียรก่อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทุกรกิริยา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา ๖ ปี เบียดเบียนไหม อันนั้นโดยความที่ยังไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันก็ยังมีความเข้าใจผิด มีความหลงผิดอยู่ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้เองขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเป็นขึ้นมา มันเป็นขึ้นมาในหัวใจ มันเป็นนามธรรม

บุพเพนิวาสานุสติญาณ เอาสมองไปจำมาใช่ไหม เอาเลือดเนื้อเชื้อไขนี้ไปสืบค้นหรือ มันก็ต้องเอาจิตสิ ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเคยเกิดเคยตายมา ข้อมูลมันซ้ำอยู่ที่นั่นไง เวลาย้อนไปตั้งแต่พระเวสสันดรไปมันรู้มันเห็นไปหมด เพราะตัวเองเป็นคนเกิดเอง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมา “เราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น”

คำว่า “เราเคยเป็น” คือชาติที่แล้ว เราไม่ได้เป็นพระเวสสันดร เราเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เราเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้เป็นศาสดา ในปัจจุบันนี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เป็นใดๆ ทั้งสิ้น แต่จิตดวงนี้มันเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่งของมันมา นี่ไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณ ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสมันต้องเกิดไปข้างหน้า จะเกิดเป็นอะไรด้วยเวรด้วยกรรมทั้งนั้นน่ะ ถ้าเวรกรรมมันส่งเสริมไปมันก็ไป แต่นี่มันไปไม่ได้แล้ว ในปัจจุบันอาสวักขยญาณทำลายแล้วมันไม่มีเชื้อไม่มีไขมันจะไปไหนล่ะ มันไปไหนไม่ได้นี่ไง

นี่ไง เวลาจะตรัสรู้ ตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้กลางหัวใจนี่ เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมาเราก็ทุกข์ยากในหัวใจนี่ เวลาเราสงสัย เราก็สงสัยในหัวใจนี่ไง ไม่เบียดเบียนตนๆ แล้วทำอย่างไรล่ะ ไม่เบียดเบียนตนก็ต้องมีสติมีปัญญาไง ไม่เบียดเบียนตนมันก็มีศีลไง

ถ้ามีศีลมารักษาของเรา มีศีลมีธรรมของเรานะ ไม่เอาสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเข้ามาในหัวใจนี้ไง แล้วขยันหมั่นเพียรขึ้นมาไง มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรของเรา ความเพียรชอบ ถ้าความเพียรไม่ชอบ ดูความเพียรที่ไม่ชอบมันก็เหลวไหล ความเพียรที่ไม่ชอบ ความเพียร

เวลาปฏิบัติบูชาๆ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การประพฤติปฏิบัติของเรา เพราะเรายังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรายังไม่รู้เท่าทันกิเลสของเรา กิเลสของเรามันเห็นแก่ตัวทั้งนั้นน่ะ มักง่ายแล้วไม่เคยได้ประสบความสำเร็จ มักง่าย ทำเอาแต่ใจของตน เอาใจของตนก็เอาใจกิเลสไง ทำสิ่งใดกิเลสมันเฟื่องฟู โอ้โฮ! ทำอย่างนี้แล้วดี มันพอใจ ถ้ามันพอใจ มันพาทำไง แต่ถ้ามันไม่พอใจมันขัดแย้งไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่พอใจนะ

แต่ถ้ามันทำตามความเป็นจริง มันไม่ใช่พอใจและไม่พอใจ มันเป็นมรรคเป็นผล เหตุและผลสมดุลของมัน ความสมดุลพอดี นี่ไง ทางสายกลาง ทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือความสมดุลพอดี ไม่ตกไปข้างใดข้างหนึ่ง

ไอ้เราก็ทางสายกลางก็วัดเลยเมตรหนึ่ง ตรงกลาง ๕๐ เซ็นต์นั่นแหละตรงกลาง นี่ไอ้มันเป็นความคาดหมาย ทางสายกลางๆ มันคาดหมายทั้งนั้นน่ะ ไอ้กลางแอบอ้าง ไอ้กลางขี้เกียจ ไอ้กลางไม่รับผิดชอบ ไอ้กลางไม่เอาไหนเลย

แต่ของเรา เราทำมันจะสุดโต่งไปอย่างไรถ้าเรามีสติปัญญาเราก็ใช้ปัญญาของเรา ใช้ปัญญาของเรา ทำอย่างนี้แล้วมันไม่ได้ผล ทำอย่างนี้แล้วมันไปพอใจ มันไปนอนจมอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะชีวิตนี้มันสั้นนัก ชีวิตนี้หายใจเข้าไม่หายใจออกมันก็ตาย เวลาตายไปแล้วก็ไปพะว้าพะวังว่าตายแล้วจะไปไหนต่อ

สิ่งที่ในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้หูตาสว่าง หูตาสว่างเพราะอะไร เพราะเราเป็นชาวพุทธไง เวลาชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง มีครูบาอาจารย์คอยจี้เข้ามาในหัวใจนี้ไง ถ้ามันจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงอย่างนั้น มันจริงอย่างนั้นเพราะอะไร มันจริงอย่างนั้น วิชชา ๓ มันมีมรรคมีผลเข้าไปในหัวใจนั้นไง เพราะมันมีเชื้อมีไข เพราะมันมีอวิชชาในหัวใจนั้น เวลามันเป็นจริงๆ มรรคญาณที่มันเกิดเข้าไป ภาวนามยปัญญามันไปพลิกแพลงในหัวใจนั้นน่ะ มันจะไปแก้ไขนั้นไง ที่เราประพฤติปฏิบัติกันมาก็เพื่อปฏิบัติเหตุนี้ไง

ถ้าจะไม่เบียดเบียนตนมันก็ต้องไม่มีโรคไม่มีภัย เราถึงไม่เบียดเบียนตน แล้วไม่เบียดเบียนตนแล้วจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นเลย การแสวงหาก็แสวงหาเพื่อมรรคผลอันนี้ แล้วถ้ามันมีมรรคผลอันนี้มันจะไปแสวงหาอะไรอีก ถ้ามันจะแสวงหาอยู่มันก็ไม่ใช่น่ะสิ ถ้ามันไม่แสวงหาเลย ทำไมถึงไม่แสวงหาล่ะ มันไม่แสวงหาเพราะมันพอของมันอยู่แล้วไง ถ้ามันพออยู่แล้ว ที่ไหนก็ได้

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิหารธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “อานนท์ ไป เก็บของ เราจะไปปรินิพพาน”

ไปถึง นายจุนทะนิมนต์ไว้ก่อน ไปฉันข้าวนายจุนทะนะ พอฉันข้าวนายจุนทะเสร็จแล้วมันเสียดท้องเพราะอาหารมันย่อยไม่ได้ไง แล้วก็กลัวว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาก็จะไปโทษจุนทะ ก็สั่งพระอานนท์ไว้ “อานนท์ เวลาถ้าใครเขาจะมากล่าวโทษนายจุนทะว่าเพราะฉันอาหารของนายจุนทะแล้วอาหารเป็นพิษ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป เธอจงประกาศนะ ปกป้องนายจุนทะไว้ เพราะอะไร เพราะอาหาร ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสในหัวใจตายหมด แล้วเราฉันอาหารของนายจุนทะวันนี้เราจะถึงขันธนิพพาน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เราจะละทิ้งในวันนี้”

“บุญที่ ๒ คราวในพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือกิเลสตายไป ฉันแล้วปฏิบัติจนกิเลสสิ้นไป วันนี้เราฉันของนายจุนทะ คืนนี้เราจะต้องตายไป ตายจากธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้ไป บุญมีอยู่ ๒ คราว เธอจงบอกไว้ อย่าให้ประชาชนเขาไปกล่าวโจมตีนายจุนทะ”

นี่เวลาเดินไปเพื่อจะไปนิพพาน เทศนาว่าการไปตลอดทาง พอไปถึงนางต้นคู่นั้นนะ นอนอยู่นั่น พระอานนท์ก็ละล้าละลังทีเดียวแหละ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานแล้วจะทำอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อไปนายฉันนะเป็นผู้ที่พาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช เวลาเขามา เขาวางกล้าม เขามาคอยวางอำนาจบาตรใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ปรินิพพานไปแล้ว นายฉันนะจะทำอย่างไร”

พระพุทธเจ้าบอกเป็นสเต็ปๆ สั่งไว้หมดเลย สุดท้ายแล้วก็ถึงเรื่องของพระอานนท์เอง พระอานนท์ไปกอดกลอนประตูร้องไห้อยู่นั่นน่ะ “เราเป็นพระโสดาบัน ยังมีความทุกข์อยู่ในหัวใจ เรายังต้องมีคนสั่งสอนอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานคืนนี้แล้ว แล้วใครจะสั่งสอนเรา” ด้วยความเคารพ ด้วยความบูชา ไปนั่งคร่ำครวญร้องไห้อยู่นั่น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระว่า “พระอานนท์ไปไหน”

“ไปนั่งคร่ำครวญอยู่นั่น ระลึกถึง”

“ไปตามพระอานนท์มา”

“อานนท์ เราบอกเธอไว้แล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ชีวิตของเราก็ต้องสิ้นไปในคืนนี้ แต่เธอได้ทำคุณงามความดีไว้มาก เธอไม่ต้องทุกข์ใจ ในอีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีการทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น” นี่พยากรณ์ไว้หมดเลย

คำว่า “พยากรณ์ไว้หมด” เราจะบอกว่า เวลาคนจะตาย เราจะตาย เรามีแต่ความทุกข์ความยาก เราจะตายเรามีแต่ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ แต่นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ทำแต่งาน ทำแต่ประโยชน์โลก ไม่ได้ห่วงใยสิ่งใดเลย นี่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สร้างคุณประโยชน์ให้เขาด้วย สร้างแต่ประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่นไง ถ้าหัวใจที่มันสมบูรณ์แล้วไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น เวลาทำประโยชน์ เวลาจะไปตายยังทำประโยชน์ทั้งวันเลย ไอ้เราลองจะตายสิ มันตกใจไปหมดล่ะ

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นจริงๆ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้ามันสมบูรณ์แล้วมันจะเป็นแบบนี้ ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์ เราก็ต้องพยายามของเรานะ พยายามขวนขวายมีการกระทำของเรา เหมือนกับคนที่เขาเข้าใจเรื่องสุขภาพ เขาหมั่นออกกำลังกายของเขา เขาหมั่นดูแลร่างกายของเขา เราหมั่นรักษาหัวใจของเรา เราหมั่นรักษาดูแลของเราไง เราไม่เบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น แต่เราแสวงหาคุณงามความดีของเรา เราแสวงหามรรคแสวงหาผลของเรา เราทำหัวใจเราให้เข้มแข็งขึ้นมา เราทำหัวใจเราให้มีสติปัญญาขึ้นมา เราจะไม่ปล่อยปละละเลยให้กิเลสมันครอบงำไง แล้วมันก็กัดกร่อนหัวใจ ไฟมันแผดเผา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ เวลาเราจะดูแลหัวใจของเรา เราชักฟืนออกๆ นี่เวลาดูแลหัวใจของตนก็จะเป็นสูตรสำเร็จไง เหมือนมาม่า ใส่ภาชนะแล้วชงน้ำจะกินเลย “ธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญารู้แจ้ง รู้หมดเลย” ไม่มีหรอก ไม่มีสูตรสำเร็จ เราต้องหมั่นเพียรของเรา สติเราก็ต้องฝึกหัดสติของเราขึ้นมา ฝึกสติขึ้นมาแล้วทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าปัญญามันยังเป็นปัญญาโลกๆ เขาเรียกว่าโลกียปัญญา ถ้าปัญญามันเจริญขึ้นมาก็เป็นจินตมยปัญญา ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา เราก็จะรู้แจ้งของเรา เวลาเห็นจริงของเราเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง มันเป็นการยืนยันกลางหัวใจนั้นไง เราต้องพยายามฝึกฝนของเราไง ฝึกฝนของเรา

พระพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลารัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม มันมีสัจธรรมๆ มันไม่จืดไม่ชืดหรอก มันไม่หมดกาลหมดเวลาหรอก มันเป็นปัจจุบันทั้งนั้นน่ะ มันอกาลิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มันปัจจุบันทั้งนั้นน่ะ ทุกข์ เวลาทุกข์มันทุกข์ในปัจจุบันนี้ เวลาทุกข์มันแผดเผาอยู่นี่ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ต้องดับไป แต่มันดับไป ดับไปด้วยความเพียรไง ความเพียรที่ไม่เบียดเบียนตนแล้วไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนคือเอาความสำมะเลเทเมาเข้ามาในตัวของตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็ไม่แว้งกัดใครทั้งสิ้น ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนี้ไง มันเป็นจริงเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว วางธรรมและวินัยนี้ไว้ไง ในพระพุทธศาสนาเรา เห็นไหม ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย ยังช่วยเหลือเจือจานด้วย สิ่งใดที่ใครตกทุกข์ได้ยาก ถ้าเรามีกำลังทำได้ เราก็อยากจะทำ ถ้าเรายังทำของเราไม่ได้ เราก็มีน้ำใจ คิดถึงความทุกข์อันนั้น เราไม่ได้เจอความทุกข์อย่างนั้น เราไม่ได้เจอประสบการณ์อย่างนั้น แสดงว่าเราก็ยังมีบุญกุศลอยู่ อย่าเห่อเหิมทะเยอทะยาน ให้มีสติปัญญาให้หัวใจของเราอยู่ในสติปัญญาของเรา รักษาหัวใจของเรานี้ไว้ เพื่อสัจธรรมของเราไง

ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ให้หัวใจมันเห่อเหิมเหยียบย่ำเขาไปทั่ว แล้วก็ไม่ให้มันหงอยเหงาหดหู่จนทำสิ่งใดไม่ได้ ให้รักษาของมัน ให้มันสมดุลของมัน ให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง