เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ก.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าหัวใจเราประเสริฐนะ เราจะมีความสุขในชีวิตของเรา มันจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าหัวใจเรามีคุณธรรมในหัวใจนะ ชีวิตนี้จะราบรื่นไป ไอ้ปากกัดตีนถีบมันเรื่องของกิริยา มันเรื่องของการดำรงชีวิตไง แต่ถ้าเรื่องของหัวใจนะ ถ้าเรื่องของหัวใจถ้ามันมีธรรม คำว่า “มีธรรม” คือมีปัญญา ปัญญามันใคร่ครวญ ในโลกนี้สิ่งใดจะมีค่ากว่าคุณค่าของชีวิตนี้ คุณค่าของชีวิต ความรู้สึกนี้ไง

เวลาคนตายไปแล้ว คนตาย เราอุทิศส่วนกุศลให้เขา คนตายไปแล้วหมดโอกาสแล้ว แล้วคนตายไปแล้วมันไปตาม กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ มันไปตามเวรตามกรรมที่เขาสร้างไว้ ถ้าเขาสร้างคุณงามความดีของเขาไว้นะ เขาไม่ต้องการการอุทิศส่วนกุศลจากเราไป เขามีของเขาไปพร้อมไง แต่ถ้าเวลาเขาทุกข์เขายาก ศาสนาเป็นผู้ที่เจือจาน

วันนี้วันพระๆ วันพระ ถ้าวันพระ ผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติที่วัด วันพระ วันโกน มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ปฏิบัติดีบ้าง ปฏิบัติไม่ดีบ้าง เหมือนทางโลกเขา ดูทางโลกเขาสิ ๒-๓ ปีก่อนหน้านี้ภัยแล้ง ภัยแล้งจนเราทำการเกษตรกรรมกันไม่ได้ ตอนนี้น้ำท่วมไง เวลาน้ำท่วม เวลาหน้าแล้ง มันมีน้ำท่วม สิ่งนี้มันเข้ามา มันสะเทือนใจเราทั้งนั้นน่ะ มันสะเทือนใจเพราะอะไร เพราะเราเสียทรัพย์ ทรัพย์สมบัติของเราแสวงหามา เวลาน้ำท่วมเสียหายหมด เราลงทุนลงแรงไปเพื่อทำการเกษตรกรรม ภัยแล้งขึ้นมามันเสียหายไปทั้งนั้นเลย เวลาการเสียทรัพย์มันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ ความสะเทือนใจ ถ้าคนไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็ทุกข์ยาก ทุกข์ยากจนทุกข์ตรอมใจ

แต่ถ้าคนมันก็เสียทรัพย์ ใครก็เสียใจทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเขามีสติมีปัญญา มีกำลังใจของเขา ถ้ามีกำลังใจของเขา เขาคิดแก้ไขของเขาได้ เวลาคนที่เขาโดนภัยพิบัติ เขาดำรงชีวิต เขายังสู้ของเขา เวลาสู้ของเขา มันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ จะบอกว่าคนไม่มีความรู้สึกเป็นไปไม่ได้หรอก มันมีความรู้สึกทั้งนั้นน่ะ มันมีความรู้สึก เราเสียทรัพย์ไป มันจะไม่สะเทือนใจได้อย่างไร มันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาสะเทือนใจไปแล้วถ้าเราไม่มีสติปัญญา เรายิ่งซ้ำเติมตัวเองไป มันยิ่งเจ็บปวดเจ็บช้ำไปมากกว่านั้น

แต่ถ้ามันมีสติปัญญา ดูสิ ไม่ใช่เราโดนคนเดียว เพื่อนบ้านละแวกนี้โดนไปเหมือนกันเลย เวลาภัยพิบัติขึ้นมามันเป็นทั้งภาคนั่นน่ะ ถ้าต่อไปมันเป็นทั้งโลกเลย เขาโดนกันทั้งนั้นน่ะ แต่โดนกันทั้งนั้น ทีนี้ความเสียใจไหม เสียใจ เราแสวงหาสิ่งนั้นเราก็เสียใจทั้งนั้นน่ะ เรารักษาเราคุ้มครองเราไว้ไม่ได้ เรารักษาเราคุ้มครองไม่ได้เพราะเราไม่ระมัดระวังพอ หรือว่าระมัดระวังแล้ว แต่ภัยพิบัติมันรุนแรง เรารักษาไว้ไม่ได้ สิ่งนั้นเสียไปแล้ว เราก็เสียไปแล้ว แต่หัวใจของเรา เรารักษาหัวใจเราไว้ เพื่อความเข้มแข็ง เพื่อสู้ชีวิตต่อไป

การสู้ชีวิต เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การดำรงชีวิตนี้ ดูสิ เวลาพระปฏิบัติอยู่ในป่า เวลาปฏิบัติไป เสือมันมาคาบไปกิน เวลามันกินตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ตั้งแต่ลำแข้งขึ้นมา ยังมีความเจ็บช้ำอยู่ มันยังเจ็บปวดอยู่ ยังวิตกกังวลกับชีวิตนี้อยู่ มันกัดเข้ามาจนถึงบั้นเอวนะ นี่มีสติปัญญาใคร่ครวญๆ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ท่ามกลางปากเสือ มันวิกฤติกว่าเราไหม ชีวิตอย่างนั้นมันวิกฤติกว่าเรามหาศาลเลย แต่วิกฤติอย่างนั้นเขาก็ตั้งสติปัญญาของเขา เขาสละชีวิตของเขา ไม่ตีโพยตีพาย ไม่สะเทือนใจ ไม่ให้กิเลสมันซ้ำเติม ได้พิจารณาๆ ชีวิตก็เท่านี้ เสือมันกินไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าเป็นพวกเรา เวลาเสือมันกัด มันเจ็บปวดแล้ว ถ้าเจ็บปวด เราจะรักษาหัวใจเราให้มั่นคงได้อย่างไร ถ้ารักษาหัวใจเรามั่นคงแล้วมันต้องฝึกสติปัญญา ต้องมีสติปัญญา มรรค มรรคคือสติปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญามันใคร่ครวญ มันพิจารณาของมันไง การพิจารณาของมัน มันต้องมีสติปัญญาพร้อม

นี่พูดถึงว่าหัวใจคนที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจที่เข้มแข็ง แม้แต่วิกฤติการณ์อย่างนั้นเขายังใช้ประโยชน์ได้ แต่ของเรา เวลาภัยแล้ง เวลาน้ำท่วมขึ้นมา มันเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ แล้วมันจะมีของมันอยู่อย่างนี้ ผลของวัฏฏะนะ มันแปรปรวนไปตลอดเวลา ถ้าแปรปรวนตลอดเวลา ชีวิตของเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย แล้วชีวิตของเรา ชีวิตนี้สั้นนักๆ หายใจเข้าไม่หายใจออก หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เวลาตายไปแล้ว ตายไปก็ไปตามเวรตามกรรมน่ะ แล้วตามเวรตามกรรมมันกลับมาตรงนี้ กลับมาที่เราทำอะไรไว้ เราสร้างอะไรไว้ เราทำสิ่งใดไว้สมบูรณ์หรือไม่ ถ้าชีวิตของเรา เราจะทำสิ่งที่มันสมบูรณ์ ทำสุดความสามารถของเรา ถ้ามันขาดตกบกพร่องไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อันนั้นเราก็จะแก้ไข เราก็จะดัดแปลงของเรา นี่พูดถึงว่าฤดูกาล

นี่ก็เหมือนกัน วันพระ วันโกน วันพระ วันโกนเป็นวันที่แสวงหาบุญกุศลของเรา ถ้าเราแสวงหาบุญกุศลของเรา เราทำทาน เรารักษาศีล เราภาวนาของเรา เวลาถ้ามันถึงเวลาของเรา เราไม่มีเวลา เราก็เข้าห้องพระของเรา เราทำวัตรสวดมนต์แล้วเรานั่งภาวนาของเรา

ให้ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิหนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหน มีสมาธิร้อยหนพันหน กว่าจะทำสมาธิได้ก็เกือบเป็นเกือบตาย ถ้ามีสมาธิร้อยหนพันหนแต่เราฝึกหัดใช้ปัญญาไม่ได้ ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาได้ เราฝึกหัดใช้ปัญญาหนหนึ่งดีกว่าสมาธิร้อยหนพันหนอีก

ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเรามานั่งภาวนาของเรา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งนั้นมันมีคุณค่าแค่ไหน มันมีคุณค่าเพราะอะไร เพราะมันเตือนหัวใจของเราไง มันเตือนหัวใจให้มันตื่นโพลงขึ้นมาไง หัวใจของเราถ้ามันคิดขึ้นมาได้นะ ถ้ามีสติปัญญาระลึกได้ ทุกอย่างเป็นของเล็กน้อยหมด ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะสรรพสิ่งภายนอกมันยิ่งใหญ่ ชีวิตของเราเลยแบนแต๊ดแต๋ แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา ชีวิตเรายิ่งใหญ่นะ หัวใจนี้ยิ่งใหญ่มาก หัวใจนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะอะไร เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดมาปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เวลาเกิดมาแล้ว เกิดมาได้แต่เวรแต่กรรม เกิดมาก็ปากกัดตีนถีบกันมานั่นน่ะ แล้วมาบวชพระๆ บวชพระขึ้นมา

บวชพระขึ้นมา ถ้าจะเสวยสุขๆ อยู่บ้านอยู่เมืองที่เจริญนะ มันเสวยสุขได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะประชากรมันมากขึ้น คนที่ใจเป็นบุญกุศลเขาอยากใฝ่หาของเขา เขาทำทั้งนั้นน่ะ แต่ทำไมเรามาทุกข์มายากล่ะ แล้วมาทุกข์มายากเพราะอะไร เพราะเราจะดัดแปลงตนไง ถ้ามันจะเสวยสุข เสวยสุขอยู่ มันเสวยสุขมันสุขจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเสวยสุขๆ สิ่งใดก็แล้วแต่มันปรนเปรอมาแล้ว กิเลสมันตัวใหญ่ทั้งนั้นน่ะ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเราจะชำระล้างกิเลสของเรา ต้องชักฟืนออกๆ อะไรที่ไปปรนเปรอมัน เราละเราวาง เราละเราวาง อะไรที่ปรนเปรอมัน เวลาคนที่ภาวนา ธาตุขันธ์ทับจิตๆ เรากินอยู่แล้วมันเป็นอย่างนั้นน่ะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ของท่าน เวลาอดอาหารๆ ภาวนาดีมากเลย แต่คนเราไม่กินอาหารมันก็ต้องตาย เวลาจะบิณฑบาตมาฉัน ละล้าละลังๆ คิดแล้วคิดอีกนะ โอ๋ย! ถ้าไปฉันอาหารนะ ไปบิณฑบาตมาฉันมันก็อิ่มหนำสำราญขึ้นมา กำลังมันก็กลับมา แต่การภาวนาก็จะเป็นเรือเกลือแล้วแหละ แต่ถ้าเราอดอาหาร เราผ่อนอาหาร เราภาวนาของเรา แต่ชีวิตความเป็นจริงมันขาดอาหารไม่ได้หรอก ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันขาดไม่ได้ แต่ด้วยสติปัญญาของเรา เราผ่อนปรนมัน ผ่อนปรนมันเพื่อต้องการให้จิตมันผ่องแผ้ว ต้องการให้จิตไม่มีอะไรกดขี่มันไง นี่ด้วยสติด้วยปัญญาของเราแบ่งแยกอย่างนี้ไง เพราะมีปัญญาอย่างนี้มันถึงว่าไม่อยู่สุขอยู่สบายแบบนั้น

เราบอกว่าเราอยู่สุขอยู่สบาย

คนที่เขาปรารถนาบุญกุศลของเขา เขาปรารถนา ศากยบุตร พุทธชิโนรสเขาจะส่งเสริมมากมายมหาศาล ทุกคนเขาพร้อมนะ เขาพร้อมที่จะส่งเสริมผู้ที่จะจรรโลงศาสนา แต่ในความเป็นจริง ในศาสนาในใจของเรามันเป็นจริงหรือไม่ล่ะ ดูสิ กินอิ่มนอนอุ่น แต่หัวใจมันเร่าร้อน มันแผดเผาในใจ มันมีความสุขมาจากไหน แล้วถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจมันไม่มีความสุขหรอก

แต่ถ้าวันพระๆ วันพระ วันโกน พระผู้ประเสริฐๆ ถ้าหัวใจมันประเสริฐ ถ้ามองทางโลก มันจะขาดตกบกพร่องเรื่องของโลก แต่ในสติปัญญาของเรามันสมบูรณ์น่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาของเรามันสมบูรณ์ แล้วเวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดจากภาวนา สิ่งที่มหัศจรรย์ แม้แต่มีสติระลึกรู้ สิ่งที่มันฟุ้งซ่าน สิ่งที่มันรบกวนหัวใจ พอมีสติ ปล่อยเลย โง่ๆๆ เวลาสติมันมานะ แต่ถ้าเวลาสติมันไม่มานะ ทุกข์มาก ทุกข์มาก ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ ทำไมชีวิตมันลำเค็ญอย่างนี้ มันไปอาลัยอาวรณ์กับมันไง แต่ถ้ามีสติปัญญาจบปั๊บเลย โง่ๆๆ สติปัญญามันมาอย่างนี้ นี่แค่มีสตินะ

แล้วถ้ามันมีศีล ศีล ดูสิ ผู้ที่ทรงศีล ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ป่าอยู่เขาก็มีความสุข หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาทั้งนั้นน่ะ ท่านมีความสุขของท่าน ท่านบอกไม่มีเวลาว่างเลย ๔ ทุ่มไป เทวดามาแล้ว ทั้งวันทั้งคืน ท่านทำกิจของท่านตลอด แล้วทำกิจด้วยวิหารธรรม ด้วยมีความสุข นี่ไง เวลาเขามีความสุข เขามีความสุขอย่างนั้นน่ะ คนที่จิตใจมันเป็นธรรมๆ

แต่ถ้าจิตใจเราเป็นธรรม ที่เรามาวัดมาวากัน ที่เรามาทำบุญกุศล เราก็สร้างอำนาจวาสนาบารมี คนที่มันเสียสละๆ เสียสละมาเป็นความเคยชิน เหมือนสวดมนต์ เวลาสวดมนต์ทำวัตรทุกวัน เวลาไม่ทำ ขาดอะไรไปแล้ว นี่ก็เหมือนกัน มันขาดสิ่งใดไปๆ มันทำจนบารมีมันเต็มๆ ถ้าบารมีมันเต็มนะ ใครจะมาชัก ใครจะมาน้อมนำอย่างไรไม่เชื่อหรอก

ของดี ถ้าเป็นของดีนะ เขาไม่มาให้เราหรอก เขาเก็บของเขาไว้แล้ว ของที่จะให้ เราต้องพิจารณาของเรา นี่ไง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น พอไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อในแก้วสารพัดนึก เราเชื่อในรัตนตรัยของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายมากว่าตรัสรู้ธรรม เวลาแสดงธรรมๆ ขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนมีดวงตาเห็นธรรม ท่านทำชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง

ชีวิตเป็นแบบอย่างนะ สิ่งที่ใจเป็นธรรมแล้ว สิ่งปัจจัย ๔ นี้แค่อาศัย คำว่า “อาศัยๆ” นะ เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่กินก็ตาย แล้วเราสละก็บอก “อ้าว! ก็ใจมีคุณธรรมมันก็ตายๆ ไปเสีย มันจะได้ไปเสวยความสุข วิมุตติสุข” ไอ้นั่นเวลามันพูดอย่างนั้น นี่พูดอย่างนั้นมันก็เห็นคุณค่า การอยู่และการตายอันไหนมีค่ากว่ากัน นี่มันไม่เป็นธรรมไง มันลำเอียงไง มันเห็นอย่างหนึ่งๆ มันลำเอียงไป

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เวลาพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เวลาท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “เธอจงสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” มันเป็นเวลา เหมือนกับผลไม้ที่มันแก่พอแรงแล้ว มันก็หลุดจากขั้วไปโดยธรรมชาติของมัน มันไม่มีโทษมีภัย พอมันแก่โดยรอบมันก็หลุดจากขั้ว นี่ก็เหมือนกัน พอหมดอายุขัย เว้นไว้แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุขัย ๘๐ ปี ดูพระอานนท์ ๑๒๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘๐ ปี นิพพานไปแล้ว พระอานนท์ถึงได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ยังดำรงชีวิตมาอีก ๔๐ ปี พระอานนท์น่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่า ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ผู้ที่มีธรรมแล้วจะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว รักษาเพื่อประโยชน์ไง ประโยชน์กับโลกๆ ถ้าประโยชน์กับโลก พอสิ้นอายุขัยไปก็จบ เพราะมันจบตั้งแต่สิ้นกิเลสแล้ว พอสิ้นกิเลส มันจบแล้ว มันไม่มีอะไรไปเติมให้สูงให้ต่ำกว่านั้นอีกแล้ว แต่ดำรงอยู่ ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์โลกไง ถ้าประโยชน์โลก เวลาดับขันธ์ไปแล้วก็จบ

นี่ไง บอกว่า “อ้าว! ถ้ามันวิมุตติสุขก็ไปๆ เสีย อย่าอยู่ขวางโลก” ไอ้นี่พูดแบบกิเลสไง พอพูดกับกิเลส พูดแบบประชดประชัน มันไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดทั้งสิ้น แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ เวลาเรามีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่างๆ คำว่า “แบบอย่าง” ชีวิตเป็นแบบอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์ทั้งนั้น แล้วทำพุทธกิจ ๕ พุทธกิจ ๕ เพื่อประโยชน์กับสังคมโลก เพื่อประโยชน์กับสังคมโลกนะ เพราะปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

คำว่า “ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์” เวลาท่านเสียสละ เสียสละมา เป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละชีวิตทุกๆ อย่าง เสียสละมาตลอด แต่ด้วยการเสียสละเป็นคุณสมบัติของท่าน เวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขๆ จนจะไม่เทศนาว่าการ พรหมบอกว่าโลกนี้จะฉิบหายแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะไม่แสดงธรรม ก็เลยมานิมนต์ไง แล้วด้วยบุญกุศล ด้วยอำนาจวาสนา เวลาแสดงธรรมมา เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป โลกธาตุนี้หวั่นไหวไปหมดเลย หวั่นไหวเพราะเป็นความจริงไง แล้วมันมีศาสนาใดบ้างที่ชักนำแล้วโลกธาตุหวั่นไหว มันมีแต่อ้อนวอนขอเอาทั้งนั้นน่ะ มีแต่พระพุทธศาสนาต้องประพฤติปฏิบัติเอาขึ้นมา เวลาทำบุญกุศล เราก็ขวนขวายขึ้นมา แล้วถ้าทุกข์จนเข็ญใจก็อนุโมทนาทาน มีน้ำใจต่อเขา การมีน้ำใจต่อเขานี่เป็นบุญกุศลทั้งนั้นน่ะ บุญกุศลตรงไหน บุญกุศลที่ทำให้จิตใจมันพัฒนาขึ้น บุญกุศลทำให้จิตใจมันโตขึ้น มันไม่เล็กลง มันไม่เรียวแหลมลง มันมีแต่พัฒนาขึ้น เพราะเราอนุโมทนาไปกับเขา เราเห็นคนทำคุณงามความดีแล้วเราชื่นใจไปกับเขา ปลื้มใจไปกับเขา นี่มันพัฒนาขึ้นๆ มันแข็งแรงขึ้น ทาน

ศีลคือความปกติของใจ ความปกติของใจรักษาไว้ๆ แล้วถ้าเกิดมันตั้งมั่น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับแล้ว พอสงบระงับแล้ว จนคนที่วุฒิภาวะอ่อนแอ อ่อนแอ พอจิตสงบ “โอ๋ย! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร “นิพพานเป็นเช่นนี้” ก็เราเป็นคนพูดอยู่นี่ ถ้านิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานก็คร่อมตอเราไง คร่อมไอ้ผู้พูดอยู่นี่ ไอ้ตัวตนนี่ ไอ้ตัวตนนิพพานเป็นเช่นนี้เอง จิตมันสงบไง

ถ้าจิตมันสงบแล้วเขาบอกว่า “เวลาจิตสงบมันเป็นตอนะ มันเป็นตัวตนนะ”

อ้าว! ก็ตัวตน ถ้ามันรู้จริง มันเป็นตัวเป็นตนเรานี่แหละ แต่ธรรมดาเราไม่เห็นตัวตนเราสิ เราเห็นกิเลสน่ะสิ เราเห็นแต่อารมณ์ของเราน่ะสิ เราเห็นแต่ความพอใจของเรา เราไม่เคยเห็นตัวตนของเราเลย เวลาสงบเข้ามาแล้ว สิ่งที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันวางหมด มันเข้ามาสู่ตัวเรา แล้วมิจฉาด้วย มิจฉาเพราะมันไม่มีสติสัมปชัญญะดูแลมัน

แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นตัวตน แล้วมีสติสัมปชัญญะดูแลมัน น้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันพิจารณาไปโดยสัจจะความจริง มันพิจารณาโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณาโดยสัจจะความจริง

แต่ในปัจจุบันนี้มันคิดไปเอง คิดไปเอง ว่าไปเอง แล้วก็พยายามอ้างตำราๆ คำหนึ่งก็พุทธพจน์ สองคำก็พุทธพจน์ พยายามอ้างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารองรับกิเลสของตนไง พยายามอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารองรับกิเลสของตนๆ แล้วว่า “พุทธพจน์ ทุกคนห้ามเถียงนะ นี่พุทธพจน์นะ ตรงตัวอักษรเลย”

ตรงตัวอักษรมันก็อปปี้มาไง ลิขสิทธิ์ไง มันใช้ไม่ได้ มันไม่เป็นความจริงของเราไง มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงในพระไตรปิฎก เป็นความจริงในพุทธพจน์ ในพุทธพจน์นั้นน่ะจริง แต่ไอ้คนพูดไม่จริง เหมือนกับมิจฉาสมาธิไง ไม่มีสติสัมปชัญญะรับรู้มัน แล้วก็บอกว่า “มันเป็นตัวตนนะๆ”

เอ็งรังเกียจตัวตนหรือ เอ็งรังเกียจฐีติจิตหรือ เอ็งรังเกียจปฏิสนธิจิตเราใช่ไหม รังเกียจผลที่เราจะได้รับหรือ ผลที่ได้รับจากหัวใจนี้นะ การปฏิบัติ หัวใจนี้เป็นผู้ได้รับทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันปฏิเสธๆ ปฏิเสธก็ว่างเปล่าไปเลยไง ตัวเองก็ไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ได้ แล้วอ้างพุทธพจน์ไปทั่ว แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงเกิดจากเรานี่

ถ้าเป็นพุทธพจน์ สาธุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แก้วสารพัดนึกเป็นศาสดาของเรา เราพยายามปฏิบัติให้เป็นขึ้นมาในใจของเรา ถ้าเป็นในใจของเรา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันก็เป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันโดยข้อเท็จจริงนะ แล้วสาธุ มันฝังใจไง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา

นี่พูดถึงว่า วันพระ วันโกน มันก็อนิจจัง วันเวลามันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอด ภัยแล้ง น้ำท่วม มันก็เปลี่ยนแปลงของมันไป แต่หัวใจของเราต้องมีจุดยืน เราจะไม่ล้มเหลวไปกับปรากฎการณ์ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตนี้ เราจะเข้มแข็งของเรา เราจะตั้งสติปัญญาของเราเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วย้อนมาที่นี่ไง ฝึกหัดดัดแปลงหัวใจของตน ฝึกหัดดัดแปลงให้มันพัฒนาขึ้นมา เวลามันเกิดเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง