เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระสำหรับชาวพุทธเรา วันพระ วันโกนเป็นวันหาบุญกุศลใส่หัวใจของเรา คนถ้าไม่ทุกข์ไม่ยาก ไม่อดไม่อยากมันก็ไม่ทุกข์ไม่ยาก เวลาคนมันอดมันอยากมันทุกข์มันยากมาก แต่ของเรา เราทุกข์ใจไง เราทุกข์ใจ มันเหงา มันว้าเหว่ มันไม่อบอุ่น นี่เรามาแสวงหาบุญกุศลของเราก็แสวงหาบุญกุศลของเราเพื่อหัวใจของเราไง

การเสียสละนั้น วันพระ วันโกน วันโกนสมัยโบราณนะ วันโกนเขาเตรียมอาหารของเขาแล้ว เขาเตรียมของเขา เขาจะไปวัดไปวาของเขา วันปกติวันธรรมดาเขาทำมาหากิน เพราะส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรม เกษตรกรรมเขาลงทุนลงแรงของเขาเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา แต่เขาเองเขาก็ต้องหาที่พึ่งทางใจของเขา

นี่ก็เหมือนกัน วันนี้วันพระ วันโกน ถ้าวันพระ วันโกน เราแสวงหาของเราเพื่อประโยชน์กับเราไง ถ้าไม่อดไม่อยากมันก็ไม่ทุกข์ไม่ยาก เวลามันทุกข์มันยากเพราะมันอดมันอยาก เราก็แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิตของเรา เวลาถ้าหัวใจของเรามันไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เราก็ต้องหาบุญกุศล

บุญ บุญคือความอบอุ่นของหัวใจไง บุญเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร บุญมันจะเป็นทรัพย์สมบัติใช่ไหม ทรัพย์สมบัตินั้นมันเป็นอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนาเขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จของเขา นั่นอำนาจวาสนาของเขา เวลาคนทำอะไรสิ่งใดขาดแคลนของเขานั่นก็อำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนามาจากไหน มาจากการกระทำของเขา

คนที่มีทรัพย์สมบัติเขาไม่มีบารมี ไม่มีพรรคมีพวก เขาอยู่ของเขาคนเดียว คนที่เขามีอำนาจวาสนาเขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา เขามีอำนาจวาสนามีบารมี มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเขาหมดเลย ล้อมหน้าล้อมหลัง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม ทำดีต้องได้ดี สิ่งที่เขามีบารมีของเขาเพราะว่าเขาทำดีของเขา เขามีจิตใจเผื่อแผ่ของเขา เขาถึงมีบุญกุศลของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละไง เวลาเสียสละ เวลาที่พึ่งๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่หัวใจเบิกบาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีที่พึ่งที่อาศัยในหัวใจโดยความสมบูรณ์ มีคนที่มันสมบูรณ์ในหัวใจแล้วมันไม่มีสิ่งใดที่จะต้องมาแสวงหา คำว่า “แสวงหาขึ้นมา” ก็ทำประโยชน์เพื่อโลก เพื่อโลกไง ถ้าทำประโยชน์เพื่อโลก “เธออย่าไปซ้อนทางกันนะ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก”

นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร พระพุทธศาสนาสอนเรื่องหัวใจของเราไง สอนเรื่องนามธรรม เรื่องในหัวใจของเรา พระพุทธศาสนาจี้เข้ามาในใจของตนนะ จี้เข้ามาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ไง เวลาจี้เข้ามาปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตได้สร้างกุศลขึ้นมาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มีอำนาจวาสนาขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยมรรคด้วยผลจนสิ้นกิเลสไป

เราเกิดมาเราก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร ถ้ามันเรื่องอาชีพหน้าที่การงาน มันเป็นคนนะ คนถ้ารับผิดชอบอยู่ทางโลกก็ขยันหมั่นเพียรของเรา มีสติมีปัญญาของเรา มีความสัตย์ มีความสัตย์ มีศีลมีธรรมของเรา เราทำสิ่งใดก็เพื่อประโยชน์กับเรา ใครเขาจะติฉินนินทาว่าโง่ ใครจะติฉินนินทาว่าไม่ทันคน นั่นมันปากสกปรก

เวลาปากสะอาด ปากสะอาดปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความสัตย์ของเรา มันจะเสียเปรียบ มันจะสิ่งใดบ้าง อันนั้นก็เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกนะ มันก็มีได้มีเสียเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเราได้ เราก็ได้ของเรามาแล้ว ไอ้เวลาเราจะเสียไป เสียไปเพื่อประโยชน์ เสียไปเพื่อน้ำใจของคน เราเสียไปเพื่อสิ่งใด เราทำของเรา นี่ไง ถ้าโลกเขาจะติฉินนินทานั่นมันเรื่องของโลกเขา แต่เรื่องของฉลาด ปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เรามีศาสดา เรามีที่พึ่งที่อาศัยไง

คนเราว้าเหว่ ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลย แล้วลงใจใครไม่ได้ วางใจใครไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าจะวางใจได้ เราก็วางใจได้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย แก้วสารพัดนึกไง แล้วมาอยู่ที่หัวใจ หัวใจที่คับแคบมันก็นึกได้แค่นั้นแหละ หัวใจที่กว้างขวาง หัวใจที่ยิ่งใหญ่มันก็นึกได้มากกว่านั้นไง หัวใจที่เปิดกว้าง ดูสิ เวลาพระกัสสปะทั้งสามีภรรยานี่เศรษฐีทั้งสองตระกูล เวลามาแต่งงานกันแล้วก็มีความปรารถนาว่าจะออกประพฤติปฏิบัติไง แจกทรัพย์สมบัติๆ นี่สองตระกูล แต่เขามีความเห็น สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาเสมอกัน ทรัพย์สมบัติเสียสละๆ เขาแจกหมดเลย แล้วออกประพฤติปฏิบัติ นั่นหัวใจที่ยิ่งใหญ่เขาเสียสละสิ่งนี้ไว้ มันไม่ต้องมาบำรุงรักษาไง

พระรัฐปาลมีลูกชายคนเดียว เวลาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วอยากจะบวช อย่างไรพ่อแม่ก็ไม่ให้บวชเพราะมีลูกชายคนเดียว

“ถ้าไม่ให้บวช อดอาหาร” นี่เขาจะเสียสละ เห็นไหม

เอาเพื่อนมา เอามาเกลี้ยกล่อมขนาดไหน จนเพื่อนไปพูดกับพ่อแม่ “อยากเห็นหน้าลูกไหม”

“อยาก”

“ถ้าอยากเห็นหน้าลูกต้องให้บวช ถ้าไม่ให้บวช ลูกตาย”

เขาก็ปล่อยให้ลูกไปบวชไง บวชไปแล้วก็ไปประพฤติปฏิบัติกันจนสิ้นสุดแห่งทุกข์ เวลากลับมาบ้าน พ่อแม่เอาทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มเลย ปรึกษาลูก “ทรัพย์สมบัติหามามหาศาล แล้วใครจะดูแลรักษา”

ลูกชายบอกว่า “เอาใส่ล้อเกวียนแล้วไปดัมป์ทิ้งใส่แม่น้ำไป จบ”

นี่หัวใจคนที่ยิ่งใหญ่มันยิ่งใหญ่ที่ไหน เห็นไหม แต่หัวใจทางโลกก็มองว่าทรัพย์สมบัติยิ่งใหญ่มาก ทรัพย์สมบัติเป็นสมบัติสาธารณะนะ ดูสิ ในธนาคาร โอนไปโอนมาอยู่นั่นน่ะ มันเป็นของใครล่ะ ของใครมันเป็นสิทธิ์ชั่วคราวไง มันเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ของเรา เราหามาก็เป็นสิทธิ์ของเรา เราใช้ประโยชน์ของเราหรือไม่ เวลาใช้ประโยชน์ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ สิ่งนี้เราเอาไว้ทำประโยชน์ไง ถ้าคนมีสติมีปัญญาเขาไปทำประโยชน์ของเขา เขาทำประโยชน์ของเขา เขาเสียสละสิ่งนั้นไป แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันต้องมาประพฤติปฏิบัติ จะมั่งมีศรีสุขทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เวลาจะประพฤติปฏิบัติต้องทำด้วยตัวเอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง เวลามันสุขมันทุกข์มันก็สุขทุกข์ในหัวใจของเรา เวลามันจะเป็นประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ต้องเป็นเราทำของเราเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายมาด้วยใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์ เราเอาสมบัติของเราไปเท่านั้นนะ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย”

สมบัติของเราๆ นั่นก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ขวนขวายมา ไอ้เราเกิดมาก็เป็นสมบัติของเรา ทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็อยากจะพ้นจากทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น ทุกคนจะพ้นจริงๆ ทุกคนก็ต้องทำขึ้นมาเองไง เวลาครูบาอาจารย์ก็ชี้นำชี้ทางเท่านั้นน่ะ ครูบาอาจารย์บอกทำให้ๆ มันไม่มีหรอก ถ้าทำให้ๆ พ่อแม่ทำให้ลูกไง พ่อแม่ทำให้ก็สั่งสอนนั่นน่ะ เป็นวิชาเท่านั้นน่ะ สิ่งที่วิชาก็วิชาชีพของเขา สิ่งที่สมบัติ ถ้าเขามีปัญญาเขาก็รักษาของเขาได้ ถ้าเขาไม่มีปัญญาเขาก็โดนเพื่อนเขาปอกลอกหมด มันอยู่กับโลกอย่างนั้นน่ะ ใครจะค้ำประกันสัจจะความจริงได้ล่ะ ยิ่งประพฤติปฏิบัติ ความสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีใครค้ำประกันใครได้ ความสะอาดบริสุทธิ์มันเกิดขึ้นจากผู้นั้นกระทำเอง ถ้าเกิดจากผู้กระทำเอง เวลาสุขเวลาทุกข์ เราก็ทุกข์เอง

ถ้ามันไม่ขัดสนมันก็ไม่ทุกข์ไม่ยากหรอก เวลาคนทุกข์คนยาก คนขัดสนนะ เขาก็พยายามของเขา หาสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องยืนยันว่าของเขานี่ความมั่นคงของเขา แต่มั่นคงของเขา เขามีสติปัญญาขนาดไหนเขาหาได้ทั้งนั้นน่ะ ยิ่งคนที่มีปัญญานะ เรื่องอย่างนี้มันหาได้ ทำได้ ถ้าทำได้นะ แต่เวลามันว้าเหว่ เวลาจิตใจมันหงอยเหงา เวลามันกดดันในหัวใจน่ะ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปไหน

มันก็พูดกันทั้งนั้นน่ะ “ไม่กลัวๆ” ใครมันไม่กลัวตาย กลัวตายทั้งนั้นน่ะ แล้วตายแล้วไปไหน มันมืดบอด มันไม่เห็นไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ไม่ตายมันก็รู้อยู่แล้ว ในหัวใจมันเบิกบาน หัวใจมันผ่องแผ้ว สุคโตๆ คนเรามันจะสุคโต มันจะจริงจัง มันต้องสุคโตในปัจจุบันนี้ วันนี้เราทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ พรุ่งนี้เราก็สบาย วันนี้ขัดสน พรุ่งนี้หิวกระหาย วันนี้ถ้ามันเดือดร้อน พรุ่งนี้มันทุกข์กว่านี้

แต่ถ้ามันปัจจุบันนี้ไง นี่ไง ปัจจุบันถ้ามันสุคโตในปัจจุบันนี้ อนาคตมันก็สุคโตแน่นอน เราก็ทำของเราตรงนี้ ถมมันให้เต็ม ถมหัวใจนี้ให้เต็ม ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไม่มีวันเต็ม แต่มันจะเต็มได้ด้วยการชักออก ฟืนไฟที่มันเผาลนหัวใจ เราจะดับไฟๆ ดับไฟที่ไหน ดับไฟก็เอาน้ำสาดเข้าไป น้ำมันยิ่งลุกโชติช่วง แต่ถ้าเป็นไฟๆ ดึงฟืนมันออก ดึงเหตุออก ดึงออกๆ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากเพราะอะไร เราไปวิตกกังวลกันทั้งนั้นเลย สิ่งยังไม่เกิด อดีตอนาคตเอามาทับถมหัวใจทำไม แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้เราก็เป็นคน คนก็คนเหมือนกัน สองมือสองเท้าเหมือนกัน ทำมาหากินได้เหมือนกัน ปัญญาได้เหมือนกัน เขาทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าเขาทำได้ เราก็ทำได้นะ เราก็หมั่นเพียรของเราสิ เราหมั่นเพียรของเรา นั่งสมาธิภาวนานี่สมบัติเราทั้งนั้นนะ

เวลาให้นับตังค์ นับตังค์กลับบ้าน อู๋ย! ทุกคนรีบนับกันใหญ่เลย เวลาให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันไม่ทำ เวลาให้นับตังค์นะ ตังค์กองอยู่นี่ ใครนับเท่าไร เอาไปเลย โอ้โฮ! มันนับไม่หยุดเลย มันแย่งกันนับเลย แต่เวลาบอกให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันทำไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน มันสมบัติของเราแท้ๆ สมบัติของเราแท้ๆ นะ เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากมาก หัวใจดวงนี้ถ้ามันสมบูรณ์ของมัน มันอิ่มเต็มของมัน นี่เป็นสมบัติของเรา ถ้าสมบัติของเรา

ใจนี้เรียกร้องการช่วยเหลือ เราก็เรียกร้องการช่วยเหลือ ร้องศูนย์ดำรงธรรม ร้องศูนย์ดำรงธรรมแล้วมันก็เลื่อนในลิ้นชักไว้ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจมันเรียกร้อง เรียกร้องให้ใครทำ มันเรียกร้อง ดูสิ เวลาทรัพย์สมบัติ ในห้างสรรพสินค้า ใครมีเงินซื้อได้หมดล่ะ ในห้างนั่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย” แล้วธรรมมันคืออะไรล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งนี้มันเป็นที่พึ่ง แล้วทำไมไม่ขวนขวาย ทำไมไม่หยิบฉวย ทำไมไม่รีบทำ ทำไมไม่เอาเป็นสมบัติของเรา เวลานับตังค์จะเอาให้ได้เยอะๆ เวลาให้พุทโธมันทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นสมบัติของเรานะ

สิ่งที่มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย จะบอกว่ามันไม่มีค่าๆ เลย บริหารจัดการ เวลาวัดเขามีสังฆาธิการ เขาประชุมกันเขาก็ประชุมกันอย่างนี้ ซ่อมบำรุงรักษาอย่างไร ดูแลรักษาศาสนวัตถุอย่างไร มันก็ต้องบำรุงรักษาเพราะคนมีกายกับใจ เวลามามีร่างกายมานั่งกันอยู่นี่ แต่น้ำใจ น้ำใจที่อยู่ในหัวใจ ดูสิ มันเป็นนามธรรม มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันต้องบำรุงรักษาไง ถ้าไม่รักษาของของสงฆ์ เกิดขึ้นท่ามกลางสงฆ์ ไม่รักษา เป็นอาบัติอีกต่างหาก เวลาไปแสวงหามา แสวงหามาโดยผิดพลาด เป็นอาบัติอีกต่างหาก แสวงหามาด้วยความผิด ของนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ตัวภิกษุเป็นปาจิตตีย์ ของของสงฆ์ที่เอาไว้ท่ามกลางของสงฆ์ ถ้าพระไม่ดูแลรักษา ปรับอาบัติทั้งหมดเลย ดูสิ ถวายสังฆทานๆ ต้องทำอุปโลกน์ ถวายสังฆทานเป็นของส่วนกลางแล้วก็ต้องแจกจ่ายกัน แจกจ่ายกัน นี่ไง ถ้ามันบริหาร คำว่า “บริหาร” มันต้องทำไง

นี่บอกว่า นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็สุดโต่งไง สุดโต่งไปทางหนึ่ง เราเป็นคน เราเกิดมาเป็นคน เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตมันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วเครื่องอาศัยนั้นมันก็เป็นเครื่องอาศัย แต่เครื่องอาศัยแล้วกิเลสมันไปยึดมั่นไง กิเลสมันเอาสิ่งนั้นมาประหัตประหารกันไง เอาเครื่องอาศัย แย่งชิงเครื่องอาศัยกันไง แย่งชิงสิ่งที่เป็นโลกๆ ไง แต่น้ำใจ สิ่งที่มีคุณค่ากลับไม่ทำ

แต่ถ้าคนที่เขามีปัญญาของเขา สิ่งนั้นมันจำเป็นกับชีวิตทั้งนั้นน่ะ เวลามันขาดแคลน ไปยื่นให้ใคร ใครมีแต่น้ำใจ เขายิ้มแย้มแจ่มใสทั้งนั้นน่ะ แต่คนมันก็ต้องฉลาดใช่ไหม ยื่นให้ใคร ยื่นให้เป็นประโยชน์ไง นี่ไง ถ้ามันมีสติมีปัญญามันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ แล้วมันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับโลก คือว่าไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่น ไปผูกมัดมันจนเหยียบย่ำนะ กิเลสมันใช้อย่างนี้ ใช้ของข้างๆ ตัวเรา ใช้ของสมบัติเรานี่แหละ แล้วก็มาหลอก

เราเป็นคนหามา เงินทองใครเอามา เราหามาทั้งนั้นน่ะ เราหามาแล้วทำไมต้องมาเดือดร้อนกับมันอีกล่ะ เราหามาแล้วทำไมมันต้องเหยียบย่ำเราอีกล่ะ เราหามาแล้วมันเป็นประโยชน์สิ นี่ไง เราหามา กิเลสมันทำลายเราทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันมีสติปัญญามันทำของมันอย่างนี้ จากภายนอกมันจะเข้ามาภายในแล้ว ถ้าเข้ามาภายใน คิดอย่างนี้ได้ต้องมีสติ พอมีสติ มันมีปัญญาขึ้นมา พอมีสติมีปัญญาขึ้นมา แล้วเราเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วเราอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นที่พึ่งได้ไหม เราอยู่ด้วยกัน กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เรามีพ่อมีแม่ เรามีปู่ย่าตายาย เราก็ดูแลรักษาทั้งนั้นน่ะ มันไปฟังเรื่องของคนดี เรื่องของความกตัญญู เราก็ดูแลรักษา แล้วหัวใจล่ะ เกิดมาทำไม หัวใจล่ะ ไอ้ที่เกิดมาก็เกิดมามีชาติมีตระกูลนี่ไง อ้าว! มีชาติมีตระกูลขึ้นมาก็ความมั่นคงของชาติตระกูลนี่ไง

เวลามหายานที่เขาให้พร เห็นไหม ปู่ย่าตายายตายก่อน แล้วพ่อแม่ก็ตาย แล้วลูกก็ตาย แล้วหลานก็ตาย

โอ๋ย! ทำไมให้พรแบบนี้ล่ะ

อ้าว! แล้วถ้าเกิดลูกหลานมันตายก่อนแล้วปู่ย่าตายายเสียใจไหม เออ! ถ้าปู่ย่าตายายถึงเวลาแล้วหมดอายุขัยก็ตายไป อ้าว! ต่อไปพ่อแม่ก็ตายไป ต่อไปลูกก็ตายไป ต่อไปหลานก็ตายไป นี่เวลาความจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ เวลาตายไปๆ ใครมีสมบัติอะไรไปบ้างล่ะ เวลาตายไปทุกคนก็คร่ำครวญคิดถึงกัน เวลาไปแล้วไปไหน นี่ไง หัวใจของเรานี่ไง ถ้าหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เรารักษาที่นี่ไง

วันพระ ถ้าวันพระเป็นผู้ประเสริฐแล้ว หัวใจที่มั่นคงแล้ว เราบริหารจัดการในครอบครัวเราด้วยความราบรื่น มีอุปสรรคสิ่งใดนะ เราเป็นหลักชัยในบ้านไม่ให้หวั่นไหวไปกับกระแสโลก ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการยุยงส่งเสริมของใคร ถ้าเรามีสติปัญญา มันเป็นประโยชน์กับตัวเรา ประโยชน์กับตัวเราคือ

๑. คนจะเป็นหลักชัยได้มันต้องมีเหตุมีผล มันไม่หวั่นไหวด้วยเสียงติฉินนินทาที่เขาโหมกระหน่ำใส่ เรามีปัญญาอยู่แล้ว เราไม่หวั่นไหวแล้วหนึ่ง

๒. เราเป็นหลักแล้วเราคุ้มครองดูแลในชุมชนของเรา ในสิ่งที่เราดูแลรักษา

เห็นไหม ถ้ามีปัญญาๆ นะ แล้วถ้ามีปัญญามันยิ่งซาบซึ้งกว่านี้ เวลาเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา โอ้โฮ! มันปล่อยวางได้หมดน่ะ เวลาทำสัมมาสมาธิ อัปปนาสมาธิ กายกับใจนี้แยกออกจากกันโดยธรรมชาติเลย มันสักแต่ว่ารู้เลย ไม่รับรู้เรื่องกายนี้เลย แล้วถ้ามันสำรอกมันคายกิเลสของมัน มันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ ถ้ามหัศจรรย์เข้าไป นี่ไง มันเหนือโลก เหนือโลกอย่างนี้ ถ้าจิตใจมันเหนือโลกขึ้นมามันจบสิ้นกระบวนการของมันแล้ว แล้วมันจบสิ้นกระบวนการไม่ใช่จบสิ้นกระบวนการด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่จบสิ้นกระบวนการด้วยการยกย่องสรรเสริญ ไม่ใช่จบสิ้นกระบวนการด้วยการเชิดชู ไม่ใช่ จบสิ้นกระบวนการด้วยมรรคด้วยผล ด้วยการกระทำของตน ด้วยความเห็นภายในของตน ไม่มีซอกไม่มีหลืบอะไรที่จะมาปิดบังได้

วันนี้วันพระ วันพระ เราก็หาบุญกุศลของเรา เรื่องปัจจัย ๔ ก็ปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เรื่องหัวใจมันสำคัญ ถ้าสำคัญแล้ว เรารักษาแล้ว เราดูแลของเราแล้ว ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เรารักษาใจของเรา แล้วพอรักษาใจของเราแล้วมันยิ่งประเสริฐ ประเสริฐแล้วชีวิตประจำวันปกติเลย แล้วไม่มีความขัดแย้งกับใคร เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป็นผู้ที่ดูแลรักษา ราบรื่นไปหมดล่ะ ถ้าราบรื่น เว้นไว้แต่พวกเปรตพวกมารมันจะมาทำลาย ไอ้นั่นผู้ที่มีปัญญาเขาแก้ไข การแก้ไขนั้นมันก็ต้องแก้ไขให้มันสงบระงับไป แล้วมันจะมีสติปัญญารักษาชีวิตของเรา นี่คือบุญ

วันพระๆ ถ้ามาทำบุญกุศล มาทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ นี่ทำบุญกุศลด้วยอามิสก็เป็นอำนาจวาสนา แล้วถ้ามีสติปัญญาที่เปิดกว้าง มีการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา จับต้องของเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จับต้องของเรา เราทำของเรา เป็นสมบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเราเอง เอวัง