เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมๆ เนาะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่อสัจธรรม เวลาธรรมะ ให้ธรรมเป็นทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง ให้ธรรมเป็นทานๆ เรามีลูกมีเต้า เราให้การศึกษานั่นล่ะให้ธรรมเป็นทาน มีการศึกษา การอบรมบ่มเพาะนั่นน่ะคือธรรม ให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมคือวิชาการไง คือติดฝังหัวใจเขาไปไง ถ้าติดฝังหัวใจเขาไป เขาจะเป็นคนดี เห็นไหม

เราไม่ปฏิเสธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเงินเรื่องทอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเศรษฐี เรื่องคนมีฐานะ ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งนั้นมันได้มาด้วยความสุจริตหรือความทุจริต ถ้าได้มาด้วยความสุจริต ด้วยความสุจริต สุจริตมาจากไหน สุจริตมาจากหัวใจของเขา ถ้าหัวใจของเขาเป็นสุจริตแล้วเขาได้สิ่งใดมามันจะเป็นประโยชน์ คนที่เป็นทุจริตๆ ได้มาแล้วไม่กล้าใช้จ่ายนะ เอาไปเก็บซ่อนไว้ นี่เวลาจะใช้จ่ายยังไม่กล้าใช้จ่ายเลย เพราะว่าได้มาโดยความทุจริตไง

แต่ถ้าได้มาด้วยความสุจริต ทีนี้ได้มาด้วยความสุจริต แล้วจิตใจที่เป็นธรรมด้วย ถ้าจิตใจที่เป็นธรรม ในสมัยพุทธกาล บ้านเศรษฐีทุกบ้านจะมีโรงทานอยู่หน้าบ้าน คนทุกข์คนเข็ญใจได้พึ่งพาอาศัยโรงทานจากบ้านเศรษฐีนั้น ถ้าบ้านของเศรษฐี เศรษฐี เพราะเขาเสียสละ เขาดูแลคนทุกข์คนยากไง คนทุกข์คนยาก นั่นน่ะหัวใจเป็นธรรมไง ธรรมคืออะไร เหตุและผลความดีนั่นล่ะเป็นธรรม เหตุและผลไง

ฉะนั้น เวลาคนเราเกิดมาแล้วมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูสิ คนเมาๆ เวลาคุยกับคนเมาคุยไม่รู้เรื่องหรอก เราต้องให้เขาสร่างจากการเมามายแล้วเราถึงจะคุยกับเขาเข้าใจ แต่เวลาคุยเข้าใจแล้ว ถ้าคนมันดื้อมันด้าน คุยก็ไม่เข้าใจ เพราะเวลาเขาเมาขึ้นมาแล้วเขาทำความเสียหายให้กับสังคม เขาทำร้ายคนอื่นเพราะด้วยความมัวเมาของเขา เวลาไปคุยกับเขาตอนนั้น ยิ่งคุยกับเขาก็ไปส่งเสริมเขาให้เขาทำลายมากขึ้นไป เขาก็รอจนกว่าเขาจะสร่างจากเมาๆ ไง ถ้าสร่างจากเมา

เราเมาด้วยทิฏฐิมานะ ธรรมเมาๆ เมาด้วยอารมณ์ของตน เมาโดยความทิฏฐิมานะของตน เมาโดยความมักมากอยากใหญ่ของตน เราเหยียบย่ำทำลายเขาไปเพื่อความมักมากของตน นี่ไง แล้วเมื่อไหร่มันจะหายจากเมาล่ะ

เวลาหายจากเมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงใช้อุบายไง ให้เรารู้จักหัดเสียสละทาน การเสียสละทาน ถ้าเป็นทานจริงๆ นะ ทานมันเกิดจากหัวใจ คนโบราณ วันโกน วันพระเขาเตรียมไว้แล้ว เอาปลาไปปล่อยๆ แม้แต่เขาจะแกงปลาไปวัดเขายังไม่กล้าพูดเลย คนแก่คนเฒ่าเขาสอนลูกสอนหลานเขา เอาปลาไปปล่อย หมายความว่า เอาปลาไปฆ่า ฆ่าแล้วแกงไว้พรุ่งนี้จะไปถวายวัด นี่เวลาเขาทำบุญกุศล คนโบราณเขาคิดอย่างนั้นนะ เพราะมันเป็นกัปปิยะ มันเป็นคำพูดไง

เวลาพระ ในปาราชิก ๔ ฆ่าเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าก็ดี ไหว้วานเขาฆ่าก็ดี นี่ก็เหมือนกัน เพราะว่าเราเป็นชาวพุทธๆ ขึ้นมา เราจะทำบุญกุศลขึ้นมา เขายังต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ของเขาเลย ถ้าปู่ย่าตายายเขาก็ไม่อยากมีบาป ให้หลานมันทำ ให้หลานมันทำ เอาปลาไปปล่อย ไอ้หลานโง่ๆ มันก็เอาไปปล่อยลงคลองไง เช้าขึ้นมามันไม่มีแกงไปวัดไง อ้าว! ก็บอกให้เอาปลาไปปล่อยไง อ้าว! ก็ย่าให้เอาไปปล่อยก็เอาไปปล่อยแล้ว ลงคลองไปแล้ว นี่กัปปิยะโวหาร เขาพูดขึ้นมาเพื่อบุญกุศลของเขา วันพระ วันโกนขึ้นมา เราจะแสวงหาของเรา เราแสวงหาเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา จิตใจที่เป็นธรรมๆ นี่กัปปิยะโวหาร

พระก็เหมือนกัน พรากของเขียวเองก็ดี ใช้ผู้อื่นก็ดี เขาถึงกัปปิยะโวหารไง ให้พิจารณาให้หน่อย เวลาพระเขาบอกว่า โยมพิจารณากิ่งนี้ให้หน่อยสิ กิ่งนี้มันเกะกะ มันระราน คนเดินผ่านลำบาก

พิจารณาก็นั่งมองอยู่นั่นน่ะ มันไม่ทำหรอก เฮ้ย! เขาให้พิจารณาคือเขาให้ตัด แต่พระเขาก็ไม่อยากเป็นอาบัติไง เขาก็บอกว่า โยมพิจารณานี้ให้หน่อย การพิจารณาคือว่าพิจารณาให้มันโล่งโถงไง พิจารณาให้มันสะอาดขาวผ่องไง ถ้าการพิจารณา

เวลาลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐานเขาจะมีครูบาอาจารย์ของเขา ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเขา ได้ใกล้ชิดพระ พระก็มีการอบรมสั่งสอน อบรมสั่งสอนขึ้นมาแล้ว เราเคยธุดงค์นะ ขึ้นไปทางเชียงใหม่ เชียงราย ขณะเราธุดงค์ขึ้นไป เวลาจะไปบิณฑบาต อะแฮ่มๆ อะแฮ่มอยู่นั่นน่ะครึ่งชั่วโมงไม่ได้ฉันหรอก ขนาดหลวงปู่มั่นท่านไปทำไว้แล้วนะ แต่ถ้าที่ไม่เคยไปเลยนะ โอ้โฮ! เป็นครึ่งวันค่อนวัน

แล้วเวลาหลวงปู่ชอบท่านไปพม่า ไปพม่า บิณฑบาตกลับมาแล้วไม่ได้อาหารมาเลย พระพื้นถิ่นเขาใจดีไง เขาขอดูบาตร มีอาหารไหม ไม่มี ตามผมมา ตามผมมา

ทำอย่างไรรู้ไหม เขาพาเข้าไปในครัวเลย บิณฑบาตเข้าบ้านเขาเลยนะ แล้วไปยืนที่ครัวเลยนะ นี่พระพม่า นี่ประวัติหลวงปู่ชอบท่านสอนไว้

นี่พูดถึงต้องการฝึกหัดอบรม ถ้าเราต้องการฝึกหัดอบรม เราจะเมาแต่อารมณ์ของเรา ประชาธิปไตยๆ ฉันเป็นปัญญาชน ฉันมีการศึกษา พอการศึกษา การศึกษามันก็ตีความไง เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธนะ การศึกษานี้สำคัญมาก คนเรา ชาติจะเจริญ เจริญเพราะทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรมนุษย์มีสติปัญญา สติปัญญาเขาวัดกันที่ทรัพยากรมนุษย์นะ วัดกันคนที่มีปัญญานะ ถ้าคนที่มีปัญญาจะพาชาตินั้นให้มั่นคง ถ้าคนโง่คนเขลาเอาชาตินั้นรอดไม่ได้

นี่เขาศึกษามา ศึกษาปริยัติ ศึกษามาแล้วเขาให้ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาไม่รู้เรื่อง ปฏิบัติไม่ได้ เวลาศึกษามามหาศาลเลย มีความรู้มาก แต่งบาลีได้ แปลบาลีได้ แต่งโคลงกลอนได้หมดเลย แต่พุทโธไม่เป็น ถ้าคนไม่เคยภาวนาพุทโธ ไม่เห็นคุณค่าของพุทโธ ไม่เคยเห็นความสงบของใจเข้ามา ไม่มีทาง

แต่ถ้าคนเคยเห็นนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าหัวใจเราตื่นขึ้นมา หัวใจเราเบิกบานขึ้นมา หัวใจเรามีความสุขขึ้นมา เรากล้าดูถูกความเบิกบานอันนั้นไหม เรากล้าดูถูกความเป็นจริงในหัวใจเราไหม สิ่งที่มันกล้าดูถูกเพราะมันไม่จริงน่ะสิ พอมันไม่จริงขึ้นมา เราดูถูกเหยียดหยามกันไป เหยียดหยามกันไป ไอ้พระป่าพระเขาหลับหูหลับตามันจะมีความรู้อะไร

ในหัวใจเขาเบิกบานนะ ในหัวใจเขาจะเป็นไปได้ เขาต้องเอาชนะใจเขานะ ถ้าเขาชนะใจเขาได้ เขาต้องพุทโธนะ ใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ เพราะความสงบระงับนั่นคือสมาธิไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา

นี่สมาธิไม่เคยมี ความเป็นไปไม่เคยมี แต่บอกว่าเป็นเศรษฐีมีความร่ำรวย งานมันไม่เคยทำมันบอกมันรวย ฟ้อง ปปง. ตรวจสอบมัน นี่มันพูดแต่ปาก มันพูดแต่ปาก

คำว่า “เป็นจริงๆ” ขึ้นมามันอยู่ที่นี่ไง มันอยู่ที่นี่ อยู่ที่พฤติกรรม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ หลวงตาหรือหลวงปู่มั่นท่านพูด เวลาพระที่อยู่ในวัดท่านเดินไปเดินมาโดยขาดสติ ท่านบอกนั่นศพเดินได้ คือคนมันขาดสติเหมือนซากศพ ศพเดินได้นะ แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาใช่ไหม เขามีสติมีปัญญาของเขา การเคลื่อน การเหยียด การคู้ของเขา สติปัญญาเขาพร้อม นั่นน่ะคนพร้อม

นี่เราเมากับอารมณ์ของเรา ถ้าเมากับอารมณ์ของเรา เรามาวัดมาวา เรามาเสียสละทาน ให้เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้นมาไง ให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้นมาคือหัวใจมันอยู่ในร่างกายนี้ไง เราไม่ใช่เป็นมนุษย์เดินอยู่นี่ไง ความคิดมันอยู่ไหน ความคิดมันส่งออกหมด ตัวนั่งอยู่นี่ แต่จิตใจอยู่บ้าน

ให้จิตใจอยู่ในร่างกายนี้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เวลาคนเราทำความสงบของใจเข้ามาได้ มันเป็นอิสรภาพไง มันเป็นอิสรภาพ เป็นมิตรภาพ พอมิตรภาพนะ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ ครูบาอาจารย์ของเราสมัยหลวงปู่มั่น ท่านจะมีถึงกันตลอด จะมีสิ่งใดกระทบกระเทือนท่านจะดูแลกันตลอด ท่านมีความผูกพันมาก ท่านมีมิตรภาพ มีความผูกพันกันน่ะ ความผูกพันด้วยอะไร ความผูกพันเสมอกันด้วยศีลไง เสมอกันด้วยทิฏฐิไง ความเห็นไง เพราะอะไร คนบวชมา เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านดำรงชีพอยู่ ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านจะพ้นจากทุกข์ของท่าน แล้วผู้ที่มีอำนาจวาสนา เวลาในยุคสมัยนั้นออกบวชๆ ออกบวชเสร็จแล้วก็แสวงหาครูบาอาจารย์ แสวงหาครูบาอาจารย์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ไปหาหมอจะหาแต่หมอดีๆ ไอ้หมอพุทธพาณิชย์ เอ็งก็ไม่ไป หมอพาณิชย์ เอ็งก็ไม่อยากไปเพราะมันเลี้ยงไข้ เราไปถามพระ พระก็ตอบไม่ได้ไง ยิ่งไปหาพระ ยิ่งไปหาผู้ตอบ ยิ่งตอบยิ่งงงไง

เวลาหลวงตาท่านไปเห็นไง ปัญญาอย่างนี้หรือจะมาสอนเรา ปัญญาอย่างนี้ในตำราก็มี ปัญญาอย่างนี้กดในคอมพิวเตอร์ก็ได้ พอกดมาแล้ว ธรรมะเกิดมาแล้ว อ่านแล้วไม่เข้าใจ งงไปหมดล่ะ

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามีความเป็นจริงๆ มันจะมีสติมีปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของมัน นี่ภาคปฏิบัติ เวลาปฏิบัติ เราต้องหายจากมึนเมาก่อน เวลาคนพวกเราเป็นปัญญาชน แล้วมีจิตใจที่เป็นธรรมอยากจะช่วยเหลือเจือจานเขาทั้งนั้นน่ะ มีคนนอนหลับพักผ่อนอยู่ เราจะป้อนอาหารเขา เป็นไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยมันต้องตื่นขึ้นมาก่อน คนตื่นขึ้นมาแล้วมันถึงจะกินได้ อยู่ได้ เข้าใจได้

หัวใจมันหลับไหลไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก หัวใจมันหลับไหลไปกับความรู้สึกนึกคิดของตน แล้วก็อวดรู้ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็อวดรู้ รู้อะไร รู้กิเลสพารู้ไง กิเลสพารู้นี่สัญชาตญาณของมนุษย์

ดูสัตว์สิ ไปทำร้ายมันสิ โดยสัญชาตญาณมันก็กัดเอาทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน สัญชาตญาณของจิตมันก็ส่งออกทั้งนั้นน่ะ แล้วมันเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่ มันไม่เป็นจริงเพราะอะไร เพราะมันมีสมุทัย

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์สำคัญมากนะ เวลาท่านเทศนาว่าการ สิ่งใดที่เป็นไฮไลท์ สิ่งใดที่เป็นความจริง ท่านจะข้ามไปๆ เพราะพูดไม่ได้ พูดไปแล้วมันเป็นโทษกับผู้ฟัง ผู้ฟังมันจะจับมับเลย อ๋อ! นี่เป็นไฮไลท์นะ นี่เป็นข้อเท็จจริงนะ มันจะสร้างภาพอยู่ตรงนั้นน่ะ มันจะสร้างจินตนาการอยู่ตรงนั้นน่ะ มันไปไหนไม่ได้หรอก จิตนี้ร้ายนัก ยิ่งกิเลสมันครอบงำ โอ้โฮ! จิตยิ่งร้ายยิ่งกว่า แล้วมันได้สิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์ มันรีบผูกมัดไว้กับใจมันเลย ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นน่ะ

แล้วจิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จินตนาการก็ได้ จินตนาการว่าเราเป็นเศรษฐีโลก จินตนาการสิ มันก็เป็น เป็นเพราะเอ็งคิดนั่นแหละ แต่ไม่เป็นความจริงหรอก เวลาถ้าการศึกษาๆ ศึกษาอย่างนั้นน่ะ ศึกษามันผิดตรงไหน ไม่ผิดหรอก ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เรามีการศึกษาแล้ว เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา เราทำหน้าที่การงานของเราประสบความสำเร็จแล้ว นั่นคือผลประโยชน์ของเรา เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นปัญญาชน เรามีปัญญาไง เรามีปัญญา สิ่งที่เราได้ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วมันเป็นชิ้นเป็นอันของเราหรือไม่

ในสมัยปัจจุบันมีลิขสิทธิ์นะ แต่ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกำมือในเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบตลอด ธรรมะนี่แบตลอดเลย ให้พวกเราหยิบฉวยตักตวงเอา แล้วตักตวงตรงไหนล่ะ มันตักตวงไม่ได้ มันตักตวงไม่เป็น เข้ามาตัวเปล่าๆ ก็ออกไปตัวเปล่าๆ ไปไหนมาก็ไม่ได้

เวลาโยมไปหาหลวงตา เวลาถ้ามา มารถเปล่าๆ เวลากลับไป พุทโธให้เต็มคันรถไปเลยนะ พุทโธให้เต็มคันรถเลยนะ พุทโธก็พุทธะ พุทธะก็มีสติสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความประมาท ความเลินเล่อ ความเผอเรอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเป็นโทษมาก

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แขวนพระไว้ที่คอ มีพระที่คอกัน แต่พุทโธไม่มี พุทโธในหัวใจมันไม่เกิด ถ้าพุทโธในหัวใจเกิด พระอยู่ที่ใจ เวลาพระอยู่ที่ใจแล้ว พระนี้วางไว้เลยนะ เราเอาที่นี่ เราเอาที่นี่ เราเอาที่หัวใจของเรา ถ้าเอาหัวใจของเรา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจไง เวลาครูบาอาจารย์มีธรรมนะ เวลายกมือไหว้ เวลากราบถึงหัวใจ กราบด้วยใจ โอ้โฮ! มันสวยมันงาม กราบด้วยความระลึกถึง กราบด้วยอย่างนั้นน่ะ มันกราบมาเพราะอะไรล่ะ เพราะมันซาบซึ้ง เพราะมันเป็นจริง มันสัมผัสได้

ไอ้นี่ศึกษาความรู้ท่วมหัวเลย พุทโธก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จักคือเราไม่รู้จักสติ สติมันเป็นอย่างไร ส เสือ ต เต่า สระอิ ใช่ไหม สติก็คือความระลึกรู้ไง รู้ตัวอยู่นี่ไง รู้ว่ามันคิดผิด คิดไม่ถูกต้องไง มันก็หยุดไง นี่สติ ธรรมะ นี่สติธรรม สมาธิธรรม เวลาจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตมันสงบแล้วมันไม่ฟุ้งซ่าน มันไม่ทุกข์ไม่ยากอย่างนี้ไง ถ้ามันไม่ทุกข์ไม่ยากอย่างนี้ ดูสิ บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธคนมั่งคนมีคนศรีสุขนะ ไม่ได้ปฏิเสธเงินทองนะ ดูสิ กษัตริย์ต่างๆ เป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นน่ะ เวลาบอกกษัตริย์มันจนที่ไหนล่ะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อนุปุพพิกถา ให้เสียสละทาน เสียสละทานแล้วผลของมันก็คือสวรรค์ ผลคือสวรรค์ ก็ให้ถือเนกขัมมะไง พอจิตใจอ่อนควรแก่การงาน ท่านถึงจะเทศน์อริยสัจไง

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมา ไม่ปฏิเสธสิ่งนั้น ถ้าไม่ปฏิเสธสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไง แต่ความจริงๆ สิ่งที่เหนือกว่านั้น เหนือกว่านั้นคือหัวใจของสัตว์โลกไง เหนือกว่านั้นคือศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นกับใจของคน ทุกคนมีสติปัญญา ทุกคนเป็นสุจริตชน ทุกคนมีสติปัญญาสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ทุกคนมีความสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ทุกคนมีความสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ทุกคนสามารถดูแลหมู่คณะได้ ทุกคนทำคุณงามความดีได้ สังคมมีความสุขไหม ตัวเราจะมีความสุขไหม

มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ ดูสิ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน สิ่งที่เราเกิดมา ความคิดมันแตกต่างกันไง เกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน พี่น้องยังคิดไม่เหมือนกันเลย คิดไม่เหมือนกันมันเพราะอะไรล่ะ พันธุกรรมของจิตๆ ไง

เวลาเราเกิดมานี่พันธุกรรมของพ่อของแม่ เจ็บไข้ได้ป่วยเข้าไป หมอว่าเป็นพันธุกรรม แต่ความรู้สึกนึกคิดที่มันออกมาจากหัวใจล่ะ ความรู้สึกนึกคิดออกมาจากหัวใจ อภิชาตบุตร บุตรที่สร้างเวรสร้างกรรมที่ดีงามมา เกิดมาเป็นลูกเป็นเต้าที่ดี ดูแลพ่อแม่นี่ประเสริฐ ดูเด็กกตัญญูสิ เวลามันวิ่งไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวปู่ย่าตายายของมันน่ะ เด็กตัวน้อยๆ มันมีความคิดอย่างนั้นน่ะ ไอ้คนอย่างนี้ต้องให้รางวัล ให้มงกุฎเป็นนางสาวจักรวาล นางสาวจักรวาลมันประกวดอะไร ประกวดไอ้คนนี้ ประกวดไอ้เด็กพฤติกรรมมันดีๆ นี่ ไอ้พฤติกรรมมันดีอย่างนี้มันดีเพราะอะไร มันดีเพราะมันได้สร้างของมันมาไง มันสร้างของมันมา มันมีมุมมองอย่างนั้นไง มันคิดได้แต่เรื่องดีๆ ไง

ไอ้คนคิดชั่วมันคิดว่าพ่อแม่ไม่รักไม่ดูแลถนอมมัน ออกมามันจะบีบคั้นเอาจากพ่อจากแม่ของมัน มันบีบคั้นเอาพ่อแม่หัวใจแทบหลุดแทบสลาย มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน มันก็มาจากเวรจากกรรมที่มันสร้างมานั่นแหละ ถ้ามันสร้างของมันมานะ มันมีความรู้ นี่ไง มันเมาในทิฏฐิมานะ เมาในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของมัน เพราะมันเมา เพราะมันเมาแล้วไปพูดกับมันรู้เรื่องไหม พูดกับมันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าพูดกับมันไม่รู้เรื่อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงอนุปุพพิกถา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงมีข้อวัตรปฏิบัติไง ข้อวัตรปฏิบัตินะ ถ้าเอ็งมีวาสนา เอ็งจะเห็นคุณค่าของมัน

สาธารณูปโภคในประชาชนสำคัญมากนะ ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ จะอยู่กันอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ใจมันอยู่ที่ไหน ใจของเอ็งอยู่ที่ไหน เอ็งมัวเมาจนไม่มีสามัญสำนึกในใจของเอ็งเลย เหมือนซากศพ ไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกนึกคิด

แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมันขึ้นมา มันมีข้อวัตรปฏิบัติ นี่เครื่องอยู่ของใจๆ ไง ถ้าเครื่องอยู่ของใจมันจะเห็นคุณค่าไง คุณค่า เราอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา พออยู่กับข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ทำขึ้นมาแล้ว นี่เครื่องอยู่ๆ พออยู่แล้วมันจะเข้าบริกรรมต่างๆ ให้มันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามา นี่ไง สงบระงับเข้ามาด้วยสติด้วยปัญญา มันก็ไปแก้ไขแล้ว ไอ้ที่เอ็งคิดเอ็งทำมันชั่วหรือมันดี ไอ้ที่มันทำมันเพื่อสังคมหรือทำลาย ไอ้ที่เอ็งทำมันส่งเสริมหรือเป็นการทำลาย ถ้าเป็นการส่งเสริมมันเป็นบุญ ถ้าเป็นการทำลายเป็นโทษ เป็นบาปอกุศล แล้วที่เกิดมานี่ มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ที่มันมีความคิดอย่างนี้ ที่มันแผดเผาอยู่อย่างนี้มันก็เป็นบาปอกุศลอยู่แล้ว แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถสามารถแก้ไขได้ทั้งหมด

แก้กรรมๆ เขาแก้กรรมไปอ้อนวอนขอกันไง การแก้กรรม แก้กรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ ชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา การแก้กรรม แก้กรรมด้วยการภาวนาไง ถ้าการแก้กรรมด้วยการภาวนา ถ้าจิตสงบระงับเข้ามามันทำของมันได้ไง มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนใช่ไหม พาหิยะๆ ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพราะเขาได้สร้างสมของเขามา เขาภาวนา เขาบวชมา เขาสละชีวิตของเขา เขาสละชีวิต เขาตายคาผ้าเหลืองมาหลายภพหลายชาติไง เวลาถึงที่สุดแล้วด้วยบุญกุศลนั้นมันส่งเสริมมา ไปฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง”

ของที่มีอยู่นี่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ของเราว่างเปล่าไหม มึงอย่าว่ากูนะ ว่างเปล่าเดี๋ยวกูตีหัวเลยล่ะ ว่างเปล่า

“เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง”

แล้วเรามองไปอวกาศมันว่างไหม แล้วมันเป็นพระอรหันต์บ้างหรือเปล่า ไม่ได้เป็นเลย

“เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่างเปล่า แล้วตั้งสติไว้ กลับมาถอนไอ้ผู้เห็นว่างเปล่าน่ะ”

ไอ้สิ่งที่ไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ไปเห็นว่าความว่างเปล่ามันว่างเปล่าอยู่ข้างนอก แต่ตัวตนกูยิ่งใหญ่นะ เพราะกูนี่เป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ กูเห็นความว่างเปล่า กูนี่เป็นยอดคน มันไปติดอยู่ตรงนั้นน่ะ “เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่างเปล่า แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นความรู้ว่างเปล่านั้นทิ้ง” นี่พอฟังด้วยสติด้วยปัญญาของเขา

ไอ้นี่เราฟังทุกวันเลย อ่านท่องกันจนท่องจำได้เลย แล้วเป็นอะไรบ้างล่ะ เป็นทุกข์อยู่นี่ไง

ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยเชาวน์ด้วยปัญญา ด้วยพื้นฐานไง ผู้ที่จะสิ้นกิเลสมันต้องมีวุฒิภาวะการได้สร้างสมบ่มเพาะมา การสร้างสมบ่มเพาะมาจนจิตใจเข้มแข็ง คำว่า “เข้มแข็งของมัน” คือมีจุดยืนไง ไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ ไง ไม่ไหลไปกับอารมณ์ความรู้สึก ไม่ไหลไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ขวนขวายทวนกระแสว่ายขึ้นไปสู่ความดี ความดีในความคิด ความดีในการดูแลรักษาใจ ความดีละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่ความดีไปแข่งขันกันจากภายนอก ไม่มีการแก้ไขทำลายกิเลสจากภายนอกได้ ไม่สามารถไปจับคนมาฆ่าให้หมดเลยเพื่อเราเป็นพระอรหันต์ ไม่มี การฆ่าต้องฆ่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ถ้ามันย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมามันจะมีวุฒิภาวะ มันจะมีความรู้ความเห็น แล้วถ้าคนคนนั้นถ้ามีความรู้ความเห็นอย่างนั้นนะ มีคุณธรรมในหัวใจแล้ว มันจะกระทบกระเทือนใครไหม มันจะทำให้ใครกระเทือนไหม ไม่มี ไม่มี ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง

นี่ไง ไม่ใช่เหยียบย่ำดูถูกแก้วแหวนเงินทอง แต่คนโง่ นั่นคือสรพิษ ถ้าคนโง่ สิ่งนั้นมันทำลาย ถ้าคนฉลาด สิ่งนั้นจะเป็นคุณ ถ้าคนฉลาด มันอยู่ที่หัวใจไง คนโง่อยู่กับเงินกับทองมันก็เป็นโจร ถ้าคนฉลาดอยู่กับขี้มันก็เป็นธรรม ขี้ ปุ๋ย เขาเอาไปขายร่ำรวยทั้งนั้นน่ะ อยู่ที่หัวใจ อยู่ที่หัวใจ เราถึงมาวัดมาวากันไง ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำ ตอกย้ำความคิดเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนครั้งสุดท้ายนะ ที่สุด กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์สอน ไม่ให้เชื่อแม้แต่เราพูดนี้ สิ่งที่พูดนี่ได้ยิน ทุกคนได้ยิน แล้วกลับไปวิเคราะห์พิจารณา อย่าเชื่อ ถ้าเชื่อ แสดงว่าเราไม่ใช่ปัญญาชน ปัญญาชนเขาฟังวิเคราะห์ แล้วประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมาจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกอยู่ในหัวใจของเรา เอวัง