เทศน์เช้า

กฐินวัดป่าสันติพุทธาราม

๒๒ ต.ค. ๒๕๖o

เทศน์กฐินวัดป่าสันติพุทธาราม

วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ต่อไปจะเริ่มทำการทอดกฐินนะ แต่ก่อนทอดกฐิน ทำไมถึงต้องมาทอดกฐินไง ก่อนทอดกฐินแล้วเราจะแสดงธรรม แสดงธรรมเพื่อให้เราเข้าใจ เพื่อให้หัวใจเราปลอดโปร่ง ถ้าหัวใจเราปลอดโปร่ง หัวใจเราดี การทำบุญกุศลของเรามันก็จะได้ผลตอบแทนที่มหาศาล ถ้าเราทอดกฐินกันด้วยความมืดมน ทอดกฐินกันโดยที่ว่าตามๆ กันไป กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อตามๆ กันมา ถ้าเชื่อตามๆ กันมาก็ทำตามๆ กันมาพอเป็นพิธีๆ ไง เราถึงไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจ

ถ้าสิ่งที่ตกค้างในใจ เห็นไหม นี่เราจะทอดกฐิน ก่อนจะทอดกฐิน เราต้องบอกก่อนว่า ทำไมถึงมีพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนามีเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหา มีการกระทำนะ กว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นี่เป็นพระโพธิสัตว์ๆ เช่น อย่างในหลวงเรา ในหลวงพยายามสร้างบุญบารมี เราก็เห็นกันอยู่ในพระไตรปิฎก เราก็เห็นกันแต่ในตำราว่าพระโพธิสัตว์ๆ มีบุญใหญ่ มีบุญหนักหนา

ดูตัวนี่สดๆ ร้อนๆ เห็นตัวอย่างอยู่นี่ พระโพธิสัตว์เขาสร้างกันมาอย่างนี้ สร้างแล้วสร้างเล่า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ด้วยอำนาจวาสนาบารมีไง สร้างมาทำไม พันธุกรรมของจิตๆ ถ้าพันธุกรรมของจิต จิตที่มันสร้างคุณงามความดีมา มันคิดสิ่งใดมันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง ถ้ามันคิดเรื่องๆ ดี คนจะเอารัดเอาเปรียบน่ะ อโหสิ ปล่อยให้เขาทำกันไป มันกรรมของสัตว์ มันเป็นกรรมของเขาทั้งนั้นน่ะ เขาทำร้ายเรา เขาทำเราขนาดไหน มันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา เราไม่เกี่ยว เราทำแต่คุณงามความดี ทำแต่คุณงามความดี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาอำนาจวาสนาบารมีเต็มแล้วถึงได้จุติมาเกิด เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่ขวนขวายๆ ขวนขวายไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษาๆ ศึกษามาแล้วมันไม่มีทางออก สุดท้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลามารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง รื้อค้นมาจากอะไร รื้อค้นมาจากอำนาจวาสนาก่อน เพราะมีอำนาจวาสนา มันทำให้มีหลักการ ให้คนมีจุดยืน จิตใจของคนมีหลักการ มีจุดยืน ใครจะโน้มนำไปไม่ได้

เวลาใครโน้มนำไป ไม่ใช่ด้วยเหตุด้วยผล ไม่เชื่อ แต่ถ้าใครโน้มนำด้วยเหตุด้วยผล อยากแสวงหา อยากเจอคนประเภทนั้น แต่คนประเภทนั้นหาไม่ได้ หาไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่มีใครมีอำนาจวาสนาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่มีใครฉลาดกว่า ไม่มีใครมีปัญญาที่เหนือกว่า ไม่มีใครมีปัญญาที่จะชักนำได้ ไม่มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไม่มีแล้วจะค้นจากใครล่ะ เพราะไปศึกษากับเขาแล้ว อาฬารดาบส อุทกดาบสนะ ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ บอก “เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรา เป็นอาจารย์ได้ สอนได้เหมือนเรา”

คำว่า เหมือนเรา” เหมือนอาจารย์ไง เท่ากับอาจารย์ไง แต่อาจารย์สุดความสามารถแล้วว่าเหมือนเรา แต่เจ้าชายสิทธัตถะยังสงสัยอยู่ ถ้าเหมือนแล้วทำไมเรายังทุกข์ ถ้าเหมือนแล้ว คำว่า เหมือน” ก็สุดความสามารถของเขา แต่เรายังทุกข์อยู่ เรายังจะต้องไปได้อยู่ ถ้าไปได้อยู่ ไปอย่างไร ไปก็ไม่มีคนสอน ถึงย้อนกลับมาๆ พิจารณาด้วยความสามารถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานะ ท่านบอกว่า “เราตรัสรู้เองโดยชอบ” คำนี้สำคัญมาก ความชอบน่ะ ความชอบธรรมกับความไม่ชอบธรรม ความถูกต้องกับความผิด

ความชอบธรรม ชอบธรรมเพราะอะไร ชอบธรรมเพราะด้วยอำนาจวาสนาของท่าน อำนาจวาสนาของพระโพธิสัตว์ อำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักการที่มันมั่นคง ความชอบธรรมมันตรวจสอบไง มันตรวจสอบกับความรู้ความเห็นในใจของตน ถึงบอกว่ามันชอบธรรม เวลามันชอบธรรมแล้วเสวยวิมุตติสุข

คำว่า วิมุตติสุข” มันละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา มันละเอียดลึกซึ้งแบบว่าความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในใจของเรา เรารู้เท่ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันลึกลับเกินไปไง ท่านเสวยวิมุตติสุข แล้วว่า “จะสั่งสอนใครได้หนอ จะสั่งสอนใครได้หนอ”

ถึงสุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ เวลาแสดงธัมมจักฯ แสดงธัมมจักฯ เหตุผลในพระพุทธศาสนา ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาแสดงธรรมๆ แสดงทฤษฎีออกมานั่นน่ะ ความแสดงธรรม เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค”

ความสุขความสบายเกินไปก็ไม่ใช่ ความทุกข์ลำบากเกินไปก็ไม่ใช่ แล้วมัชฌิมาปฏิปทามันเป็นอย่างไรล่ะ ตรงสายกลางๆ

สายกลาง ในสังคมปัจจุบันนี้สายกลางก็ ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร สายกลาง...มันไม่ใช่สายกลาง ไอ้นั่นมันความคิด ความสายกลาง สายกลางคือว่าคนน่ะทุกข์มาก ความสายกลางของเขามันก็ความทุกข์ที่มันเบาบางลง คนทุกข์น้อย ความสายกลางมันอยู่ที่คนทุกข์มากทุกข์น้อย คนมีวาสนาบารมีมากมีวาสนาบารมีน้อย คนที่มีปัญญามากมีปัญญาน้อย มันจะกลางเท่ากันได้อย่างไรล่ะ แต่มันกลางด้วยความสมดุลของมันๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พอแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ไปแล้ว เทศนาว่าการจนเป็นพระโสดาบัน เวลาเทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เทศน์ยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราทั้งหมดเป็น ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก”

บ่วงที่เป็นโลกก็การสรรเสริญการเยินยอ ทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก” ใครก็ล่อลวงเธอไม่ได้

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์” เป็นทิพย์นั่นน่ะ ทิพย์สมบัติที่เราทำกันอยู่นี่ บุญที่เราทำอยู่นี่เขาเรียกทิพย์ ทิพย์เพราะมันสะสมลงที่ใจ นี่มันเป็นทิพย์สมบัติ วิมาน

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก” นี่กระจายไปๆ พอมาฟื้นฟู พระพุทธศาสนาเกิดที่นี่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นชาวพุทธๆ เรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในหัวใจของเราไง

ถ้าอยู่ในหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเผยแผ่ธรรมไปๆ คนเข้ามาบวชมหาศาล พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ ต่างๆ พระที่ดีงามในพระพุทธศาสนามหาศาลเลย แต่คนที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์ บวชเข้ามาแล้ว บวชเข้ามาสร้างวินัยไง ทำผิดทำพลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมๆ บัญญัติวินัยกับพวกนี้ พวกเข้ามาถูลู่กังนี่ ไอ้พวกถูลู่ถูกังมันก็เข้ามา เห็นไหม

นี้เราจะบอกว่า สังคมทุกสังคมมีทั้งดีและชั่ว ถ้าดีและชั่ว สิ่งที่มันมีชั่ว สังคมทุกอย่างเราจะบอกให้เป็นคนดีทั้งหมด ทุกอย่างเป็นคุณงามความดีทั้งหมด มันจะเอาที่ไหน แต่เราจะเอาความดี ถ้าเราจะเอาความดี ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย ที่พึ่ง แก้วสารพัดนึกของเรา

แก้วสารพัดนึกนะ เวลาเราทุกข์เรายาก เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราจนตรอก เรามีสัจธรรม สัจธรรมคือปัญญาของเรา เรามีพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นอริยสงฆ์ ที่เป็นที่พึ่งของเรา นั่นน่ะเรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

สิ่งที่เราทอดกฐินอยู่นี่เพราะเป็นพระบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า ถ้าภิกษุ ภิกษุถ้าอยู่จำพรรษา อยู่จำพรรษานะ ออกพรรษาแล้ว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขวนขวาย ขวนขวายแล้ว เวลามีสิ่งใดติดข้องในหัวใจก็จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาออกพรรษาไปแล้ว เวลาไป ผ้าผ่อนมันเปื่อยมันเก่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติให้มีกรานกฐิน ถ้าเธอจำพรรษาที่ไหน ให้ชุมชน ให้หมู่บ้านนั้นเป็นผู้ที่รับผิดชอบ รับผิดชอบด้วยบุญกุศลอันนั้นมา ให้ถ่ายผ้าถ่ายผ่อน ถึงจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรม เพื่อสิ่งที่ติดข้องในหัวใจ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ แล้วในสมัยปัจจุบันนี้เราจะมาทอดกฐินๆ กันนี่

เวลาก่อนจะเข้าพรรษา ครูบาอาจารย์ไปทำวัตรทำวากับครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าท่านจะให้อุบาย อุบายให้พระเริ่มประพฤติปฏิบัติ เวลาพระปฏิบัตินี่ไง สงฆ์ๆ สงฆ์เป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ขึ้นมา แต่เวลาเป็นบุคคลๆ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาหัวใจมันเป็นสงฆ์ขึ้นมา เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีขึ้นมาในหัวใจน่ะ ในหัวใจนั้นสำคัญมาก ถ้าหัวใจสำคัญมากนะ ในหัวใจนี้สำคัญมาก เวลาที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องมีครูมีอาจารย์ เห็นไหม

อย่างเช่นเวลาในสมัยพุทธกาล เวลามีปัญหา จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เข้าใจแล้วจะไปถามพระสารีบุตร เวลาไปถามปัญหาพระสารีบุตร เวลาพระสารีบุตรตอบแล้วก็กลับไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้ามาถามเรา เราก็ตอบแบบพระสารีบุตรนั่นน่ะ”

นั่นน่ะเวลาธรรมมันเสมอกัน เวลาธรรมมันสุดสิ้นความเป็นจริง อันนี้ก็เหมือนกัน ในสมัยกึ่งพุทธกาล ในสมัยปัจจุบันนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนค้นคว้า ท่านเป็นคนประพฤติปฏิบัติมา ท่านฟื้นฟูวงกรรมฐานขึ้นมา ท่านฟื้นฟูในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านฟื้นขึ้นมา คำว่า ฟื้นขึ้นมาๆ” ท่านก็ต้องขวนขวายของท่าน หลวงปู่มั่นท่านมีใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน มีก็มีเจ้าคุณอุบาลีฯ มีเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นที่ปรึกษา นับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ถ้ามาศึกษาๆ มีหลวงปู่เสาร์เป็นที่พึ่งอาศัย เวลาที่พึ่งอาศัย ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติ ต่างคนต่างค้นคว้ามา

เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา ท่านส่งจิตของท่านไปดูเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่าเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านกำหนดสิ่งใด เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านกำหนด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา กำหนดปัจยาการ เวลาท่านลงจากถ้ำสาริกามาพระบรมนิวาส ไปคุยกับเจ้าคุณอุบาลีฯ “วันนั้น เวลานั้น กำหนดอย่างนั้นๆ”

“อืม! ท่านมั่นนี่เก่ง ท่านมั่นนี่เก่ง”

คำว่า เก่ง” มันเก่งในการประพฤติปฏิบัติไง แต่เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านชำนาญ ท่านชำนาญในทางตำรับตำรา ทางทฤษฎีไง แต่ท่านก็ปรารถนาเหมือนกัน อยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่พูดถึงครูบาอาจารย์นะ

เวลาเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเป็นพระน้อย ท่านถือวิเวกออกไป เวลาท่านวิเวกออกไป ไปทางฝั่งลาว เจ้าฝั่งลาวอยากจะให้เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นลูกเขย นี่ความคิดว่าอยากจะสึกๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านคิดอยากจะสึกๆ แต่ว่าด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยการรักษาเอาตัวรอดมา

เวลารักษาเอาตัวรอดมา เวลาประพฤติปฏิบัติมา หลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้เล่าให้ฟังเอง เวลาหลวงปู่มั่นท่านแก้เจ้าคุณอุบาลีฯ ที่โบสถ์ในวัดเจดีย์หลวง “เกิดตายๆ มันทุกข์นะ เกิดตายๆ มันทุกข์นะ”

เพราะต่างคนต่างปรารถนาพระโพธิสัตว์ ต่างคนต่างปรารถนาพุทธภูมิ ต่างคนต่างปรารถนาอนาคตไง แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปแก้เจ้าคุณอุบาลีฯ แก้จนท่านสละความติดข้องทางโลก ท่านสละสิ่งที่บ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ท่านทำของท่านๆ

นี่พูดถึงว่า เวลาประพฤติปฏิบัติในพรรษา ในพรรษา สงฆ์จำพรรษาครบสงฆ์ถึงจะมีการทอดกฐิน แต่ในการทอดกฐินนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

การทำงานทางโลก การทำงานทางโลกเราอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อประสบความสำเร็จทางโลกของเรามา ถ้าทางโลกประสบความสำเร็จมา นั่นเป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติทางโลก สมบัตินี้ถ้าไม่พลัดพรากจากเราไป เราก็ต้องพลัดพรากจากเขา

การพลัดพรากจากเราไป เราเป็นผู้ใช้สอย เราจะต้องพลัดพรากจากเขา เราต้องพลัดพรากจากเขาแน่นอน แต่ถ้าเป็นสมบัติทางธรรมๆ ความฉลาด ความรู้เท่าทัน ความกำหนดทันหัวใจของเรา สิ่งที่เป็นความทุกข์ ความทุกข์จากภายนอก ถ้ามีสติปัญญา มันเท่าทันความทุกข์จากภายนอก ถ้ามันเท่าทันความทุกข์จากภายนอก มันรักษาหัวใจของมันไว้ ถ้าหัวใจมีสติ มีสมาธิขึ้นมา ความทุกข์ใดๆ มันจะเข้ามาก้าวก่ายในหัวใจเราได้ นี่พูดถึงสมาธินะ

แต่เวลาการประพฤติปฏิบัติมันแสนยาก คำว่า แสนยาก” เพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” ในการศึกษาทุกคนว่ารู้ ทุกคนว่าเข้าใจ ธรรมะนี่ศึกษาแล้วศึกษาอีก พอไปอ่านก็อ่านของเก่าๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่มีความเป็นจริงในหัวใจ เราปฏิบัติขึ้นมาของเราไม่ได้ เราไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงขึ้นมา เวลาจะปฏิบัติขึ้นมา แล้วใครจะเป็นคนแก้ไข ใครจะเป็นคนคอยชักจูง

หลวงปู่ลี วัดอโศการาม เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป เวลาท่านใช้สติปัญญาของท่านไป เวลามันเบื่อหน่ายในการปฏิบัติ ท่านคิดมาโดยปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมาด้วยปัญญาว่าท่านจะสึก สึกไปมีครอบครัว สึกไปจะไปทำงานได้เงินทองเดือนละเท่านั้น พอสึกไปแล้วก็มีครอบครัว มีครอบครัวก็มีลูกคนหนึ่ง มีลูกคนหนึ่งแล้วภรรยาก็มาตายไป ก็มีแม่นมมาเลี้ยงลูกของตน ก็ไปได้กับแม่นม แม่นมก็คลอดลูกคนที่สอง ก็เป็นลูกเขากับลูกเรา เวลามีปัญหาไป ท่านพิจารณาของท่านไปด้วยปัญญาของท่านนะ โฮ้! มันทุกข์ขนาดนี้ เลิก ไปบวชดีกว่า ถ้าจะไปบวชดีกว่า ตอนที่เป็นพระอยู่ แล้วจะสึกไปทำไม ก็ไม่สึกไง ไม่สึกมาจนเป็นหลวงปู่ลีของเราๆ นี่เวลามันมีขึ้นมา

หลวงปู่ลี วัดอโศการาม เป็นหลวงปู่ของเราเพราะอะไร เพราะท่านมีสติมีปัญญาสามารถยับยั้งในใจของท่านได้ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนพวกเรานะ อย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน อย่าทำกระทบกระเทือนกัน ห้ามเด็ดขาด แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสรรเสริญ สรรเสริญผู้ฆ่ากิเลส ฆ่าทิฏฐิมานะ ฆ่าอหังการ ฆ่าความเห็นผิด ฆ่าทำลายสิ่งที่มันอยู่ในใจ อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ แล้วฆ่าอย่างไรล่ะ ทุกคนก็อยากฆ่า ทุกคนก็อยากทำลาย ทุกคนต้องการทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น วันนี้เรามีหนังสือประวัติหลวงปู่พรหม หลวงปู่พรหมนี่นะ เป็นนายร้อย เป็นนักธุรกิจ เป็นผู้ค้าโคค้าควายต่างจากอีสานมาภาคกลาง ร่ำรวยมาก ร่ำรวยมาก มีภรรยา สุดท้ายแล้วท่านปรึกษากับภรรยา เราก็ไม่มีบุตร แล้วเราอยู่ไป สมบัติทางโลกๆ พิจารณากันจนลงใจกันแล้ว คิดว่าจะออกบวช เวลาออกบวช สละสมบัติ สละสมบัติ ๗ วัน แล้วไม่ใช่คนโง่ๆ นะ เวลาจะสละสมบัติ มีบ้านแฝดบ้านคู่ ให้ภรรยาบวชก่อน สุดท้ายแล้วนะ ก็รื้อบ้านแจกไป เหลือไว้หลังหนึ่งเผื่อภรรยาอยู่ไม่รอด จะสึกออกมายังได้มีที่อยู่อาศัย อยู่จนมั่นใจว่าภรรยาไม่สึก ภรรยาไม่สึก รื้อหมดเลย แจกหมด แล้วบวชมา

เวลาบวชมาๆ บวชมากับครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน พอไปถึง จิตมันเสื่อม พอจิตมันเสื่อมก็อยากสึก พออยากสึกขึ้นมา แต่ด้วยอำนาจวาสนา คำว่า อำนาจวาสนา” สละทรัพย์สมบัติทั้งหมด สละ เมียก็ออกบวชด้วยกัน สละทั้งนั้นเลย แล้วหัวใจ เวลาจิตมันสงบ จิตมันสงบมาก สงบจนอยากบวช อยากออกประพฤติปฏิบัติ แต่เวลามันจนตรอกขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติของตนเอง ที่ว่านิพพานมันจะคิดของมันได้ นี่จิตส่งออก โดดหยิบเอานะ โดดจะคว้าเอานิพพาน จนต้องไปตามครูบาอาจารย์มาแก้ไข

สุดท้ายแล้วคนมีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาเพราะท่านระลึกได้ว่า พระกรรมฐานเวลาหาครูหาอาจารย์จะมุ่งตรงไปหาหลวงปู่มั่น ท่านมุ่งตรงขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ พอมุ่งตรงขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นแก้ไข หลวงปู่มั่นเป็นหลักชัย หลักชัยให้พระที่ไปอาศัยได้อบอุ่น ความอบอุ่นมันไว้วางใจในทางหัวใจ ไว้วางใจในมรรคญาณ ไว้วางใจในช่องทางที่เราจะก้าวเดินไป ทางที่เราจะก้าวเดินไป เราจะไปหาคนที่ไม่มีความชำนาญในการพาเราก้าวเดินไป มันจะเหลวไหลไปทั้งนั้นน่ะ

ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็พยายามชี้นำ หลวงปู่มั่นท่านพยายามแก้ไข หลวงปู่มั่นท่านชักนำ จนหลวงปู่พรหมเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านนิพพานไป เผาศพออกมาแล้ว ดูสิ ไปดูพระธาตุของท่าน สวยงามมาก สวยงามมาก

แต่เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาที่ปฏิบัติ เราเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ เจ้าคุณอุบาลีฯ ก็คิดอยากจะสึก หลวงปู่ลีท่านก็ว่าจะสึก หลวงปู่พรหมท่านก็ว่าท่านจะสึก แต่ท่านมีปัญญา ท่านมีปัญญานะ ท่านวิ่งเข้าหา ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย ความที่ว่าจะสึกกลับไปสู่ทางฆราวาส

ทางฆราวาสเราก็ทำของเราอยู่แล้ว แล้วเราพยายามขวนขวายของเราขึ้นมาจนสละทรัพย์สมบัติสิ่งที่มันเป็นบ่วง เวลาคนจะเสียชีวิต เขาตราสังข์ บ่วงข้อมือ บ่วงเท้า บ่วงคอ คล้องไว้น่ะ นั่นน่ะเป็นปริศนาธรรม นี่ก็เหมือนกัน เราละทิ้งมาแล้วเราจะกลับไปสู่บ่วงนั้นอีกทำไม ถ้าไม่กลับไปสู่บ่วงนั้น แล้วไปข้างหน้าจะไปอย่างไรล่ะ ไปข้างหน้าใครจะชักนำเราล่ะ ไปข้างหน้าใครจะชี้นำล่ะ เห็นไหม ท่านมุ่งเข้าสู่หาหลวงปู่มั่น

เวลาครูบาอาจารย์ของเรามุ่งเข้าไปหาหลวงปู่มั่น เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่น เราก็คิดว่าเข้าไปหาหลวงปู่มั่นก็เหมือนเราไปทางวิชาการ เขาจะศึกษา เขาจะดูแลเรา เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่นนะ ท่านสับท่านโขก ท่านสับท่านโขกเพราะอะไร เพราะกิเลสในใจของตนมันอหังการ ในใจของตนมันอวดรู้ ในใจของตนมันส่งออก ในใจของตนๆ นั่นน่ะกิเลสทั้งนั้นน่ะ ท่านจะสับท่านจะโขกให้ละวางอย่างนั้น แล้วเวลากลับเข้ามาสู่ความสงบ กลับเข้ามาสู่ศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่เป็นอย่างที่เราคาดเราหมาย

อย่างที่เราคาดเราหมาย เรามีกิเลสมีตัณหามีความทะยานอยากในใจ ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจ คิดสิ่งใดวาดหวังสิ่งใด มันเป็นจินตนาการขึ้นมา มันคิดว่ามันว่าง เวลาคิดว่านิพพานที่กระโดดเอา กระโดดหยิบคว้าจับเอาไง แต่ความจริงนิพพานมันไม่เกิดที่นั่นไง นิพพานมันเกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนใช่ไหม ถ้ามันจะเป็นนิพพาน มันจะเป็นนิพพานในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันไปไขว่คว้าอยู่ข้างนอก มันจะเข้าไปสู่ในใจของมันได้อย่างไร

ถ้ามันจะเข้าสู่ในใจของมัน มันต้องมีสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมาให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่ปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากตำรับตำรา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้ ครูบาอาจารย์เป็นผู้บอกแนวทาง ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ ครูบาอาจารย์เป็นผู้หักความส่งออก หักพลังงาน หักความคิด นี่มรรคไง มรรคมันเกิดมาจากอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ เวลาเป็นสมาธิจริงๆ ใครเป็นสมาธิ สมาธิเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต ถ้าสมาธิเป็นจิต เวลาสมาธิมันเสื่อมไป ทำไมคนไม่ตายพร้อมกับสมาธิไปล่ะ ถ้าสมาธิเป็นเรา แล้วเวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมา ถ้าสมาธิเป็นจิต เวลาสมาธิเสื่อมไป เราก็ต้องตายไปพร้อมกับสมาธิ เวลาสมาธิมันเสื่อมไป แต่จิตเรายังอยู่ เห็นไหม จิตไม่ใช่สมาธิ สมาธิไม่ใช่จิต แต่เวลาเกิดสมาธิ เกิดจากจิต จิตเป็นผู้ปฏิบัติขึ้นมา เกิดสมาธิขึ้นมา แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านแนะนำให้ค้นคว้าให้เห็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง คือจิตใต้สำนึก คือตัวจิต ตัวภวาสวะ ตัวภพ มันรู้มันเห็น

ไอ้นี่เรารู้เราเห็นโดยอุปาทาน รู้เห็นโดยการสร้างภาพ ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ก็เขียนเรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม แขวนไว้ที่ไหนก็ได้ กาย เวทนา จิต ธรรม ใครก็คิดได้ กาย เวทนา จิต ธรรม ใครก็เห็นได้ แต่เห็นจริงหรือเปล่า มันเห็นไม่จริง เห็นไม่จริงนี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นความจริงไม่มีการชี้แนะ

ดูสิ หลวงปู่พรหมท่านมีอำนาจวาสนาแค่ไหน เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน เจ้าคุณอุบาลีฯ ก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลวงตาท่านบอกว่าท่านก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า

หลวงตาท่านมาพูดท้ายๆ ชีวิตของท่านบอกว่า “ทำไมเราไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย ทำไมแม่ชีแก้วรู้ได้ว่าเราปรารถนาพระโพธิสัตว์”

คำว่า ปรารถนาพระโพธิสัตว์” ก็ดูในหลวงนี่ไง การปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์คือได้สร้างคุณงามความดีมากี่ภพกี่ชาติ ภพชาตินี้มันเป็นอดีตที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ ภพชาติมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พวกเราไม่เชื่อ นรกสวรรค์เป็นเขียนเสือให้วัวกลัว ภพชาติไม่มี มีชาติปัจจุบันนี้เท่านั้นน่ะ

ถ้ามีชาติปัจจุบันนี้ ทำไมลูกของเราเกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ทำไมนิสัยไม่เหมือนกัน พ่อแม่เป็นคนเดียวกัน ลูกเกิดมา ๓-๔ คน นิสัยไม่เหมือนกันสักคน

นิสัยจะเหมือนกันไม่ได้ นิสัยจะเหมือนกันนะ เวลาเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่เดียวกัน พันธุกรรมเกิดจากพ่อจากแม่ทั้งนั้น เวลาไปเจ็บไข้ได้ป่วย หมอตรวจพันธุกรรม เวลาได้เชื้อโรคมา ได้โรคพันธุกรรมมาน่ะ มันได้มา แต่นิสัย นิสัยถ้ามาฝึกให้ อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ แต่ถ้าบุตรที่มันเกิดจากเวรจากกรรมไง ถ้าเวรกรรมต่อมา มันเป็นสิ่งที่มาใช้เวรใช้กรรมกัน นี่ไง สิ่งที่ว่าพันธุกรรมของจิตๆ นี่มันคือกรรม คือการกระทำ คือเวรกรรมของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นเป็นผู้สร้างมา ถ้าจิตดวงนั้นเป็นผู้สร้างมา

บอกว่า นรกสวรรค์ไม่มี เวรกรรมไม่มี ภพชาติไม่มี

แล้วไม่มี ไม่มีมันก็ต้องเป็นบริสุทธิ์ตั้งแต่ชาตินี้ คนเกิดจากพ่อแม่เดียวกัน เกิดจากศูนย์ไง เกิดจากบริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดจากไม่มีสิ่งใดที่มาคัดง้างกัน ก็ต้องเกิดมาเหมือนกันสิ แต่เวลาเกิดมาจากพ่อจากแม่เดียวกันทำไมมันไม่เหมือนกัน ทำไมมันแตกต่างกันล่ะ แล้วพ่อแม่ พ่อแม่ก็หวังนะ

นี่จะยืนยันทางวิทยาศาสตร์ จะบอกว่านรกสวรรค์ไม่มี ภพชาติไม่มี สรรพสิ่งไม่มี มีชาตินี้ชาติปัจจุบันเท่านั้น นี่คือปัญญาชน แล้วปัญญาชนเป็นผู้ที่ภูมิใจว่า ลงทะเบียนบ้านว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นผู้ฉลาด คนฉลาดมาก ไม่มีศาสนาประจำหัวใจ

คนที่ไม่มีศาสนาประจำหัวใจเป็นคนที่โง่ คนที่มีศาสนาประจำหัวใจ หมายความว่า เราเป็นคนที่มีพระพุทธศาสนา มีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา เวลาเกิด เกิดสัจจะความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยสอนไว้แล้ว ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เวลาเราเกิดมา การเกิดเป็นสุขอย่างยิ่ง การเกิดเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่ง

แต่พระพุทธศาสนาสอนไว้อย่างนั้น เวลาเราไปทุกข์ไปยาก เราจะเข้าสู่สัจธรรม พอเข้าสู่สัจธรรม ถ้ามีหลักใจ คนมีศาสนาเป็นที่พึ่ง เวลาจิตใจมันเร่ร่อน จิตใจที่ไม่มีจุดยืน เวลามันมีความเหงา ความเหงา ความเศร้าสร้อย เวลาอยู่กับเพื่อนมีแต่ความสุขครึกครื้น เวลาเพื่อนกลับไป นั่งคอตกอยู่คนเดียว เวลาไปเที่ยวมีแต่ความสนุกครึกครื้น เวลากลับบ้านไปล่ะไม่อยากกลับบ้าน กลับไปแล้วมันมีแต่ความเศร้า นี่ไง ไม่มีสิ่งใดๆ เป็นที่พึ่ง คนโง่

คนฉลาด เขามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจของเรานะ คนที่อยู่ในที่สงัดแล้วมันจะเศร้าจะเหงาจะหงอย เราอยู่ในที่สงัดแล้วเรายิ่งรื่นเริง รื่นเริงเพราะจิตแท้ๆ จิตแท้ๆ เป็นอิสระ จิตแท้ๆ ไม่เป็นขี้ข้า เพราะไอ้จิตขี้ข้า ที่ไหนมีเสียงดัง ที่ไหนมีแสงสี วิ่งไปหาเขา เป็นขี้ข้า วิ่งไปจำนนกับเขา ตัวเองไม่มีสิทธิสิ่งใดเลย ยอมรับนับถือรูป รส กลิ่น เสียง

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ รูป รส กลิ่น เสียงมันเป็นธรรมชาติ คือมันมีของมันอยู่ไง แต่เรามีสติปัญญาสามารถ เพราะถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม เป็นที่พึ่ง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เรามีพระพุทธศาสนาประจำหัวใจ เวลาลงทะเบียนบ้านว่าเรานับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธสอนเรื่องอะไร

กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี คนดีต้องมีกตัญญู คนดีต้องรู้จักบุญคุณคน คนดี คนดีต้องรู้จักพ่อรู้จักแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ชีวิตที่มานั่งกันอยู่นี่ได้มาจากพ่อจากแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้มา ไม่มีชีวิตที่มานั่งอยู่นี่

แต่เวลามีชีวิตที่มานั่งอยู่นี่แล้วอหังการ พ่อแม่เป็นเต่าล้านปี พ่อแม่ปัญญาทึบ เราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนอาจหาญ เราเป็นคนยอดคน...กิเลสทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวเราแก่เฒ่าไปมันก็ไม้ใกล้ฝั่งๆ แล้วมันจะระลึกได้ไง เขาเรียกว่ารัตตัญญู คนมีราตรีมาก คนมีประสบการณ์ในหัวใจมาก คนผ่านโลกผ่านร้อนหนาวมามาก มันจะเข้าใจของมันไง

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่า ไม่นับถือศาสนาใดทั้งสิ้น

เดี๋ยวนี้เขาทำวิจัยไง ปัญญาชนจะบอกว่าไม่นับถือศาสนาใด เวลาลงทะเบียนบ้าน โก้ๆ คนรุ่นใหม่ ไอ้พวกรุ่นเก่าๆ นั่นน่ะมีศาสนาประจำตัว หาเงินหาทองมาแล้วก็ต้องไปถวายวัดนั้นวัดนี้ เป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา

เงินของเรา เราหามาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำของเรา เงินของเรา มีปัญญามันถึงหาเงินมาได้ แต่เงินนี้เก็บไว้มันเป็นประโยชน์อะไร ประโยชน์ของเรานะ ปัจจัย ๔ เราก็พร้อม ทุกอย่างเราก็พร้อม สมบัติโลก ในโลกนี้เราเสมอเขาหมดเลย เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน แล้วอนาคตล่ะ แล้วสิ่งที่เป็นสมบัติของเราล่ะ

ถ้าคนมันฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ไง มนุษย์หาเงินมาได้ ๑ บาท สลึงหนึ่งไว้ทำทุนการค้า สลึงหนึ่งเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ สลึงหนึ่งเอาไว้ใช้จ่ายในบ้าน สลึงหนึ่งฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในหัวใจของเรา เวลาไปทำบุญกุศล ทำบุญกุศลของเรา เราเสียสละฝังไว้ในใจของเรา เวลาโยมมาทำบุญน่ะ อาหาร แก้วแหวนเงินทอง มันมาทำบุญได้ไหม มันต้องเอาคนพามันมาใช่ไหม คนเราไม่มีเจตนา ไม่อยากทำ มันมาได้ไหม เว้นไว้แต่มันโดนหลอกนะ ทำบุญมากๆ ได้บุญมากๆ นั่นน่ะ

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราคิดเอง เราคิดเอง เราทำเอง นี่เจตนา เจตนาที่เราคิดเราอยากกระทำนั่นน่ะมันออกมาจากใจ แล้วที่มันทำออกไป ความลับไม่มีในโลก ความลับไม่มีในโลก มันก็อยู่ที่การกระทำของจิตนั่นน่ะ จิตคิดดี มันก็รู้ว่ามันคิด จิตคิดชั่ว มันก็รู้ว่ามันคิด ความคิดดีคิดชั่ว คิดมาจากจิต คิดมาจากเรา ไม่มีความลับในโลก เราเป็นคนคิดเอง แล้วเราเป็นคนทำเอง บุญกุศลเราเป็นคนทำเอง ทุกอย่างเราเป็นคนทำเอง นี่ฝังลงไปที่ใจ

ถ้าฝังลงไปที่ใจนะ คนทำบุญกุศลถึงเวลาจะจากโลกนี้ไป จิตตคหบดี เราเคยอยู่แถวนี้ มีคนคนหนึ่งเวลาเขาจะเสีย เขาบอกลูกหลานเขา เขาบอกว่าเขาจะไปนิมมานรดี มีรถม้ามารับ เขาเห็นนะ มีรถม้ามารับ เขาจะไปนิมมานรดี เขาจะไปสวรรค์ เขาไปนะ คนจะตาย ตายด้วยความเหมือนเราไปปิกนิก เราจะไปเที่ยวสวรรค์น่ะ ในปัจจุบันนี้ก็มี นี่บอกว่าทิพย์สมบัติไง สิ่งที่เป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติมันฝังลงที่ใจ แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่านรกสวรรค์ไม่มี ภพชาติก็ไม่มี สรรพสิ่งนี้ไม่มี

จิตนี้ไม่เคยตาย หลวงตาสอนไว้ประจำว่าจิตนี้ไม่เคยตาย ความรู้สึกของเราไม่เคยตาย ถ้าเราศึกษาพระพุทธศาสนาว่าทุกข์มันเกิดจากจิต แล้วทุกข์มันอยู่ภายในของเรา เราก็บดบี้ทุกข์ให้มันหมดไปจากหัวใจสิ เราบดความรู้สึกของเรา ความรู้สึกที่ชั่วๆ ความรู้สึกที่ไม่ดี เราก็อยากสลัดทิ้ง เราอยากให้ความคิดของเรา หัวใจของเราคิดแต่เรื่องดีๆ มันก็ไม่คิดแต่เรื่องดีๆ สักทีหนึ่ง เวลาคิดแต่เรื่องดีๆ คิดได้น้อยมาก เวลาคิดแต่เรื่องชั่วๆ มันคิดได้มหาศาลเลย

ความคิดนี้มันมหัศจรรย์ แล้วถ้ารู้ว่าความคิด ถ้าจิตนี้มันทำลายได้ เราก็ทำลายความรู้สึกนึกคิดนี้สิ ความรู้สึกนึกคิด เวลาคิด เวลาคิดแต่เรื่องที่ไม่ดี คิดซ้ำคิดซาก คิดแล้วก็น้ำตาไหล คิดแล้วก็มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ

แต่ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมนี่ไง ปัญญาอบรมสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา นี่มรรค

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค คือการทำให้เราทุกข์จนเกินไป กามสุขัลลิกานุโยค คือความสุขให้เราติดในสมาธิ ในอัตตกิลมถานุโยคทำให้เราทุกข์เกินไป มัชฌิมาปฏิปทา การใช้ปัญญาพิจารณาของมัน พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันพิจารณาของมัน ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันจับต้องของมันได้ มันพิจารณาของมัน เวลาพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตสงบแล้ว จิตเป็นสมาธิแล้ว

แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตไม่เป็นสมาธิ คิดว่าง คิดว่าง คิดว่าว่าง คิดว่าว่างคือความคิด เวลาเราคิดฟุ้งซ่านๆ นี่ก็คือความคิด เวลาเราคิดว่าง คิดว่างก็เป็นความคิด คิดว่างเป็นความคิด

แต่ถ้าตัวมันว่าง ไม่ใช่ความคิด เพราะมันคิดไม่ได้ สมาธิเป็นสมาธิ สมาธิไม่ใช่ความคิด แต่ความคิดที่เกิดจากสัมมาสมาธิมันจะเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญา ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะสะเทือนขั้วหัวใจ

คำว่า สะเทือนขั้วหัวใจ” เพราะอะไร เพราะใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่ว่าทำลายไม่ได้ จิตที่ว่ามันไม่เคยตาย มันไม่เคยตาย เวลามันพิจารณาของมัน พิจารณาของมันแล้วเวลามันคาย มันชำระล้างของมัน อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เวลามันพิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป สิ่งที่เป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนี้ไง ถ้าเป็นจริงอย่างนี้ นี่มันเกิดปัญญาอย่างนี้

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาคิดทางโลก ทางโลกมันก็เป็นความคิดของเรานี่แหละ ความคิด คิดเรื่องศาสนา มันก็เป็นความคิดที่ดี เวลาความคิดเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาคิดเรื่องที่ชั่ว ระหว่างดีกับชั่วมันลงกันไม่ได้ เวลาเรามีสติปัญญา เราใช้บริกรรมเรา มันจะลงสู่สัมมาสมาธิ ถ้าลงสู่สัมมาสมาธิ นี่สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าใครเข้าสู่สัมมาสมาธิได้ เข้าสู่จิตของตน เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตัวหัวใจนี่เป็นตัวพุทธะ แต่ตัวพุทธะนี้ยังไม่ได้สร้างปัญญาของเราขึ้นมาด้วยความเป็นจริง ถ้าสร้างขึ้นมาด้วยความเป็นจริง มันออกเห็นกาย ต้องเป็นพุทธะ ต้องเป็นสมาธิแล้วมาออกเห็นกาย มันถึงจะสะเทือนกิเลส มันถึงเป็นเรื่องข้อเท็จจริงในการกระทำ

มันถึงเป็นเรื่องที่ว่า หลวงปู่มั่นท่านไปแก้เจ้าคุณอุบาลีฯ ที่โบสถ์วัดเจดีย์หลวง เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่ลี วัดอโศการาม เวลาขึ้นไปคารวะหลวงปู่มั่นที่วัดหนองผือ หลวงตาเป็นผู้ที่สร้างกระต๊อบให้หลวงปู่ลีเป็นผู้ได้ค้างแรมเอง หลวงปู่มั่นท่านไปดู นั่นน่ะ

แล้วเวลาหลวงปู่พรหมท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นท่านมีความจริงในใจของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีมรรคญาณในใจของท่าน ท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน ท่านถึงมีความสามารถสั่งสอนเอกบุรุษ บุรุษอาชาไนย เจ้าคุณอุบาลีฯ หลวงปู่ลี หลวงปู่พรหม เป็นบุรุษอาชาไนย

บุรุษอาชาไนยไม่ยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ บุรุษอาชาไนยไม่สุงสิงกับสังคมใดทั้งสิ้น จะสุงสิงกับสังคม ต้องสังคมที่เหนือกว่า จะเข้าไปหาใคร ต้องมีสติปัญญาที่เหนือกว่า จะเข้าไปหาครูบาอาจารย์ ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่สามารถชักนำขึ้นมาได้ ไม่ลงไปคลุกขี้

นี่พูดถึงว่าในพรรษาๆ เวลาเราจำพรรษากัน เวลาครูบาอาจารย์เวลาจำพรรษา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นผู้วางข้อวัตร วางให้พระป่า ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ในพรรษาแล้ว เข้าพรรษาแล้วก็ให้อธิษฐานธุดงควัตรแต่ละข้อต่างๆ เพื่อธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลา ไม่ใช่ปัญญา

เหมือนวินัย เป็นเครื่องขัดเกลา เป็นกติกา เป็นสัจจะ ตั้งสัจจะให้หัวใจทำตามสัจจะนั้น แล้วเวลาทำสัจจะนั้นมันจะกระทบกระเทือน มันจะขาดแคลน มันจะสมบูรณ์อย่างไร นั้นเป็นอำนาจวาสนาของคน แต่สำคัญคือฝึกหัวใจให้ฉลาด ถ้าหัวใจฉลาดมันเกิดปัญญาขึ้นมา นั้นเป็นการฝึกหัด

ในพรรษาหนึ่งๆ  ครูบาอาจารย์จำพรรษาหนึ่งๆ ก็ปฏิบัติหนึ่งพรรษา สองพรรษา เพิ่มขึ้น นั่นคือวันเวลา แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันต้องเป็นจริงกลางหัวใจ เวลามรรคมันเกิด ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิด ภาวนามยปัญญามันเกิด มันจะเกิดความมหัศจรรย์ แล้วความมหัศจรรย์อย่างนี้ พระศรีอริยเมตไตรยในอนาคตก็จะมาตรัสรู้แบบนี้ เพราะมันเป็นมรรคเหมือนกัน มันเป็นเครื่องที่ชำระล้างกิเลสเหมือนกัน สิ่งที่ชำระล้างกิเลสมันเป็นอันเดียวกัน พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอย่างนี้ไง

เราจะบอกว่า พระพุทธศาสนาของเรายิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม แต่พวกเราเป็นกบเฝ้ากอบัว เป็นมดเฝ้าพวงมะม่วง อยู่กับศาสนา แต่ไม่เห็นคุณค่าของศาสนา อยู่กับศาสนา ไม่รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากศาสนา เก็บเกี่ยวคือเก็บเกี่ยวบุญกุศลของตน เก็บเกี่ยวคุณงามความดีไว้ไว้ในหัวใจ ฝังดิน ฝังดินคือฝังไว้ที่หัวใจ เจตนาของคน ความคิดที่ดีๆ มันจะฝังลงที่ใจเรา ถ้าฝังลงบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะเป็นจริต มันจะเป็นนิสัย นิสัยที่ดี นิสัยที่ดี เห็นไหม

หลวงตาท่านไปไหนท่านพูดบ่อย “เราไปเอาหัวใจคน ไปเอาหัวใจคน” ครูบาอาจารย์ท่านมองไปที่หัวใจคนนะ น้ำใจของคนน่ะ น้ำใจมันยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ อย่าง น้ำใจยิ่งใหญ่มาก แล้วพระพุทธศาสนาสอนลงที่หัวใจ ไม่มีสิ่งใดสัมผัสศาสนาได้ หนังสือมันเป็นแค่ตัวอักษร เป็นหมึกพิมพ์ สิ่งที่พิมพ์ลงกลางหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันสัมผัส เวลาจิตสงบขึ้นมา สมาธิเป็นแบบนี้ สมาธิเกิดจากจิต แล้วถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้ว่าภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา อ๋อ! มันแตกต่างกับที่เรารู้สึกนึกคิด มันแตกต่างกับที่เราทำมาตลอด ไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน เราคงไม่หลงใหลมาขนาดนี้หรอก ถ้าเหมือนกัน เราคงไม่โง่ขนาดนี้หรอก แต่พอมันเห็นจริง มันฉลาดขึ้นมา มันถึงไปรู้ความโง่ไง ความโง่ที่เราเคยนอนจมอยู่กับมันไง แต่ถ้าเราไม่เห็นภาวนามยปัญญา เราก็จะนอนจมอยู่กับความโง่นั่นแหละ แล้วก็ถือตัวถือตนว่ากูฉลาด กูยอดเยี่ยม

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านจะบอกว่า ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้ ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้

เราฟังครูบาอาจารย์เวลาพูด ท่านพูดออกมาจากใจนะ มันเสียวน่ะ มันเสียว มันสลดไง เหมือนเรากำลังใกล้จะตาย เหมือนเรากำลังใกล้จะหมดความสามารถ หมดความสามารถคือภาวนาไม่ได้ ภาวนาแล้วมันล้มลุกคลุกคลานน่ะ เวลามันผ่านมาได้นี่ โอ้โฮ! มันเสียว ทำไมมึงโง่ได้ขนาดนี้ ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้ แต่มันฉลาดแล้วนะ ถ้ามันไม่ฉลาด มันไม่รู้ว่ามันโง่หรอก แต่ถ้ามันโง่นั่นแหละ มันอวดตัวว่ามันฉลาด ไอ้ที่มันว่าเป็นมนุษย์ไม่นับถือศาสนาใดทั้งสิ้น นั่นน่ะมันว่ามันฉลาด...นั่นแหละมันแสนโง่

เพราะเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนามันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไปเห็นความว่าศาสนามันล้มลุกคลุกคลาน เราก็เลยพาลพาโลว่าศาสนามันเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ศึกษานี่ว่าในสังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว ในผู้ที่ปฏิบัติมันก็มีปฏิบัติผิดและปฏิบัติถูก ถ้าปฏิบัติถูก ออกพรรษาแล้ว ได้รับกฐินแล้ว ตัดผ้าแล้ว จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราก็จะซื่อสัตย์กับคำสั่งสอนของท่าน เราทำนะ ทอดกฐินแล้วเราก็ตามพุทธโอวาท ทำตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงศาสดาของเรา ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดาของเรา เอวัง