เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เพราะเรามาวัดมาวาเรามาแสวงหาสัจจะหาความจริง ถ้าหาสัจจะหาความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตายหมดเลย ถ้าคนพูดความจริง เพราะความจริง คนอื่นรับไม่ได้ ความจริง คนอื่นยอมรับไม่ได้ เขาชอบมารยาสาไถย ชอบการเยินยอ ชอบการสรรเสริญ นั่นน่ะโลกเป็นอย่างนั้น ถ้าโลกเป็นอย่างนั้น เวลาไปที่ไหนจะมีพระเอก มีผู้ร้าย ใครๆ ก็อยากจะเป็นพระเอก ไม่ยอมเป็นผู้ร้าย ใครๆ ก็อยากจะเป็นนางเอก ไม่อยากเป็นนางร้าย นี่ไง เพราะมันแบ่งแยกไงว่าดีและชั่วไง ถ้าดีและชั่วขึ้นมาแล้ว ใจเอ็งมันมีแต่กิเลส มีแต่ทิฏฐิมานะ มีแต่ความอหังการ แต่มารยาสาไถย

 

มารยาทๆ แค่มารยาทสังคมเรายังซ่อนเร้นกันเลย ยังไม่เป็นความจริงๆ อยากจะเป็นพระเอก แต่ไม่อยากให้ใครชี้หน้าว่าเป็นผู้ร้าย เป็นผู้ร้ายไม่ได้ เป็นผู้ร้ายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แต่เวลาเป็นความจริงๆ ในใจของตน ไอ้ผู้ร้ายในหัวใจ ไอ้ความเครียด ไอ้ความทุกข์ยากในหัวใจมันบีบคั้น สิ่งที่บีบคั้น เห็นไหม

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านเทศนาว่าการนะ เวลาเทศนาว่าการ อย่าพูดเสียดสีใคร อย่าพูดเบียดเบียนใคร อย่าพูดยกตนข่มท่าน นี่พูดถึงธรรมะๆ ถ้าใจผู้ที่เป็นธรรม

 

ถ้าใจที่ไม่เป็นธรรมนะ อย่างเช่นเรานี่ ถ้าใจเราไม่เป็นธรรม เราพูดแดกดันคนนู้นคนนี้ พูดกดหัวเขาทั่วเลย กูเก่งอยู่คนเดียวไง นี่ไง เวลาถ้ามันเป็นกิเลส แต่ถ้าเป็นธรรมไม่ใช่ ถ้าเป็นธรรมนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาเทศนาว่าการทิ่มเข้าไปกลางหัวใจกิเลสทั้งนั้นน่ะ ไม่ต้องขออนุญาตกิเลสแล้วค่อยเทศน์ ไม่ต้องห่วงลาภสักการะ ไม่ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญ ไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น เทศน์ฟาดหัวกิเลส ฟาดหัวมันลงไป กิเลสน่ะ

 

นี่ไง เขามาวัดมาวา เขามาทำไม เขามาเพื่อต้องการหาความจริง แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน ความจริงมันอยู่ในตู้พระไตรปิฎกใช่ไหม ความจริงมันอยู่ที่พระใช่ไหม ความจริงในหัวใจเราไม่มีใช่ไหม ถ้าในหัวใจเรามีความจริง เราก็หาความจริงใช่ไหม ถ้าเราหาความจริง ถ้าเป็นความจริง

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการนะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเรามีเวรมีกรรมกันมาทั้งนั้น ถ้ามีคนมีเวรมีกรรมมาทั้งนั้น เวลาเทศนาว่าการท่านก็สอนให้มีเมตตาต่อกัน ให้มีน้ำใจต่อกัน อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน นั่นเพราะมันเป็นการข่มไว้ๆ ไง เป็นการข่มไว้ พยายามรักษาของเราไว้ รักษาของเราไว้นะ เราไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อไปข้างหน้านะ ถ้าเรายังทำต่อไป เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เรามีเวรมีกรรมต่อกันมาทั้งนั้น

 

เวลาเราเกิดมาในวัฏฏะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดไว้เองในพระไตรปิฎกนะ ยืนยันเลย คนที่เกิดมาไม่เคยเป็นญาติ ไม่เคยเป็นพี่เป็นน้องกันมาในภพชาติใดชาติหนึ่งในวัฏฏะนี้ไม่มี

 

ถ้าคำว่า “มีเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันมาในภพชาติใดชาติหนึ่ง” แล้วพี่น้อง ดูสิ ในบ้านมันมีแต่ความขัดแย้งทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าบ้านไหนมีความสุข มีความสงบร่มเย็น อันนั้นก็เป็นบุญของเขา ถ้ามันมีความขัดแย้งมาตลอดมา ถ้าความขัดแย้งตลอดมา เวลาเราเกิดมาในภพปัจจุบันนี้มันมีเวรมีกรรมอันนั้นมา มันมีผลกระทบ ถ้ามีผลกระทบขึ้นมา เราพยายามสงวนรักษาของเราไว้ เราให้มีน้ำใจต่อกัน เราพยายามกดไว้ เวลามันขึ้น นี่อีกแล้ว เอ็งเที่ยวจะสร้างเวรสร้างกรรมอีกแล้ว นี่เวลามันจะขึ้นนี่นะ

 

ในที่ทำงานๆ ถ้าเป็นธรรมๆ ใช่ไหม เวลาคนเขาเสียดสีนินทาเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญารู้เท่าทันในใจของเรา เราก็บอกว่าเราเป็นเบี้ยล่างเขา เรารู้ไม่เท่าทันเขา

 

แพ้เป็นพระ นั่นน่ะคือพระผู้ประเสริฐ นั่นน่ะคือพระ คือพระเพราะอะไร เพราะเราโดนเสียดสี เราโดนทำลายอยู่แล้ว มันเจ็บข้างนอกชั้นหนึ่ง อีกชั้นหนึ่งในหัวใจ ศักดิ์ศรีของเราโดนเหยียบย่ำก็ชั้นหนึ่ง ไอ้จะเอาคืนก็อีกชั้นหนึ่ง

 

แล้วถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทัน เรามีสติปัญญาเท่าทันอารมณ์ของเรา นั่นไม่ใช่พระหรือน่ะ นั่นน่ะพระผู้ประเสริฐนะ แล้วพอพระผู้ประเสริฐ แล้วเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้วนะ โอ้โฮ! ถ้ามาระลึกได้ภายหลังนะ โอ้โฮ! เรานี่ยอดเยี่ยมๆ ของอย่างนี้ฝึกยากนะ เราฟังธรรมๆ ถ้าเราจะเป็นความจริงต้องเป็นความจริงอย่างนี้นะ

 

เราไม่ต้องการเป็นพระเอก เป็นนางเอก เราจะเป็นอะไรก็ได้ เราจะเป็นอะไรก็ได้นะ เราเกิดมาเสมอกัน อย่างเช่นตอนนี้เขาไปช่วย ๑๓ นักฟุตบอล เห็นไหม ถ้ามีน้ำใจต่อกัน มีน้ำใจก็มาช่วยเหลือเจือจานกัน ถ้ามีน้ำใจต่อกันนะ ถ้าทำสิ่งใดแล้วจะหมดกำลังหมดแรงแล้วถอยออกมา แต่ไอ้คนที่ไปช่วยๆ โดนทุบรถไป ๒ คันแล้ว นี่ไง มันก็บอกจะไปช่วยเหลือ จะไปช่วยเหลือไอ้ ๑๓ นักฟุตบอล เวลามันไปเจอของในรถมันก็ทุบกระจกเลย

 

นี่ก็เหมือนกัน อยากเป็นพระเอก เผลอไม่ได้ เผลอทุบเลย ทุบรถไป ๒ คันแล้ว นี่เวลากิเลสมันไว้ใจไม่ได้ กิเลสมันไว้ใจไม่ได้นี่ไง แล้วบอกพูดอย่าเสียดสีกัน พูดอย่ากดขี่กัน

 

เขาไม่ได้กดขี่ ถ้าไม่ได้กดขี่ ใจที่เป็นธรรมนะ เป็นธรรม ความเสมอภาคเป็นธรรม แต่ถ้ามันเป็นกิเลส พูดเพื่อเสียดสี พูดเพื่อกดขี่ก็เพราะอยากดังอยากใหญ่ไง อยากให้เขาอยู่ในอำนาจไง ไว้ในอำนาจแล้วเอ็งไม่ตายใช่ไหม

 

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดนะ ทุกคนต้องสิ้นชีวิตไปแน่นอน ถ้าทุกคนต้องสิ้นชีวิตไปแน่นอน จะต้องมีภาระอะไรมาเป็นเครื่องพะรุงพะรังทั้งนั้น แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ การรื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจอันนั้น

 

เวลาอยากเป็นพระเอก อยากเป็นนางเอกนะ มันไปกดขี่ข่มเหงเขา ความเสมอภาคๆ ใครๆ ก็มีความเสมอภาคเท่ากัน ถ้ามีความเสมอภาคเท่ากัน เราทำสิ่งใดมีน้ำใจต่อกัน คนเหมือนกัน ปรารถนาความดีเหมือนกัน ถ้าเรามีกำลังเท่าไร เราก็ทำของเราเท่านั้น ถ้าทำหมดกำลังแล้วก็ถอยออกไป อย่าไปเห็นลาภสักการะแล้วทุบกระจกเขา อยากจะได้ทรัพย์ในรถนั้น มันไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ทำนะ ศีล ๕ ปาณาติปาตา การทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง ผิดศีล ๕ ถ้าเป็นพระก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านบอกไม่ใช่ การกล่าวร้าย การนินทา การตั้งใจ การทำให้ใครเจ็บปวด นั่นผิดศีลทั้งนั้นน่ะ นี่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะขีดวงให้กิเลสไม่ให้มันออกเพ่นพ่าน ถ้าเราขีดวงมันไม่ได้นะ ถ้ามันทะลุกลางปล้องออกมาได้นะ โอ๋ย! มันต่อต้าน คนนั่งภาวนารู้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เอาไว้ยากที่สุดคือหัวใจของเรา สิ่งที่จะเอาชนะได้ยากที่สุดคือกิเลสในใจของเรา ชนะยากมาก ฉะนั้น เวลาชนะยากมาก สิ่งภายนอก สังคมมันเป็นปัญหาสังคม มันเป็นผลกระทบจากภายนอก มันเห็นๆ อยู่นี่มันยังควบคุมไม่ได้ แต่เวลาในใจ ในใจไปควบคุมมันอย่างไร

 

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก ห้ามเบียดเบียนกัน ห้ามทำร้ายกัน คำว่า “ฆ่า” คำว่า “ทำลาย” ห้ามเด็ดขาด แต่เวลายกย่องสรรเสริญ ยกย่องสรรเสริญถึงการฆ่ากิเลสนะ เวลาสิ่งที่ควรฆ่าควรทำลายคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตนกลับไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้จัก เวลาศึกษาธรรมะๆ ก็ศึกษาธรรมะเป็นกิเลสบังเงา เอาธรรมะออกหน้า ฉันเป็นคนที่มีคุณธรรม มารยาสาไถยทั้งนั้นน่ะ

 

คนจะมีศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันนานวันจะรู้เลยว่าคนนี้มันอยู่ในร่องในรอยหรือไม่ คนจะมีปัญญาๆ แสดงธรรมๆ อ้าปากมาจะรู้เลย โง่หรือฉลาด ถ้ามันโง่ จำมาแล้วก็มาพูด พูดผิดๆ ถูกๆ

 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญมาก การฆ่ากิเลสๆ เพราะกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสเป็นเชื้อไขของอวิชชา เชื้อไขของภพ มันเชื้อไขอยู่ในหัวใจของเรา มันลากให้หัวใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เพราะคนสร้างบุญสร้างกรรมมา มันได้สร้างคุณงามความดีมามันถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม หมดอายุขัยก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อนั่นเป็นสิทธิ์ แต่ความทุกข์ความยากในใจของตนมันเป็น สิ่งที่ความทุกข์ความยากในใจของตน แล้วถ้ามันจะปรารถนาให้ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์มันต้องแสวงหาใจของตน

 

ถ้าแสวงหาใจของตนนะ เรามาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อมาฟังธรรม ฟังธรรมด้วยเหตุด้วยผล กาลามสูตร อย่าเชื่อว่าคนพูด อย่าเชื่ออาจารย์เก่ง ไม่ต้องเชื่อ เอาไปวิเคราะห์วิจัยขึ้นมา ถ้าวิเคราะห์วิจัยมันจะเข้ามาในใจของตนไง ถ้ามันเข้ามาในใจของตน มันมีศรัทธามีความเชื่อของมันแล้วมันอยากจะประพฤติปฏิบัติ

 

ไปวัดไปวา ไปตากแดด ไปให้ยุงกัด ไปในป่าในเขาไปอดๆ อยากๆ ไปทำไม อยู่บ้านอยู่เรือน โอ๋ย! อุดมสมบูรณ์ยังภาวนาไม่ได้ แล้วไปอยู่ในป่าในเขาให้มันทุกข์มันยาก ทำไมต้องไปทุกข์ไปยากขนาดนั้น นี่มันอัตตกิลมถานุโยค กิเลสมันไม่ยอมให้ไป พอจะภาวนา ที่ไหนก็ภาวนาได้ ที่บ้านเราก็ภาวนาได้ ที่บนฟูกสูงๆ ในห้องแอร์เย็นๆ ยิ่งภาวนาดีใหญ่เลย...นี่เวลากิเลสมันหลอก มันหลอกอย่างนั้นน่ะ

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เราจะเอาชนะมันๆ เวลาเรานั่งสมาธิภาวนา ทุกคนฟุ้งซ่านหมดเลย มรณานุสติ เวลาระลึกถึงความตาย เวลาคนที่ภาวนาไม่ได้เขาให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปป่าไปเขา ในธุดงควัตรมันมีคุณประโยชน์ในการปราบปรามกิเลส ในการไม่ให้กิเลสมันเพ่นพ่าน มันเป็นการบรรเทา คนเจ็บไข้ได้ป่วยหาหมอ หมอให้ยาลดไข้ ให้ยาต่างๆ เพื่อให้ไข้มันต่ำลง ไอ้กิเลสที่มันข่มขี่หัวใจ ที่มันอหังการ ที่มันบอกว่าภาวนาที่ไหนก็ได้ที่มันแน่ มันยอดมันเยี่ยม มันไม่เคยภาวนาได้เลย แล้วมันอวดเก่งนั่นน่ะ นี่ไง อยากเป็นพระเอก แต่กิเลสขี่หัวมันไม่รู้จัก

 

ฉะนั้น หลวงปู่มั่น ดูสิ หลวงตาเล่าให้ฟัง เห็นไหม องค์นี้ให้ไปอยู่ป่าช้านั้น องค์นี้ให้ไปอยู่ในป่านั้นที่เสือเยอะๆ องค์ไหนที่อหังการ องค์ไหนที่เก่งให้ไปอยู่ที่นั่น

 

ไปอยู่ที่นั่นเพื่ออะไร ไอ้ที่ว่าเก่งๆ พอมันไปเจอเสือนั่นน่ะ เก่งขนาดไหนเจอความตาย คอตกทั้งนั้นน่ะ เก่งขนาดไหนไปเจอผีเจอเปรต เก่งขนาดไหนให้ไปเที่ยวป่าช้า นั่นน่ะเพื่ออะไร นี่ไง ยา นี่อาวุธ ยาเพื่อจะไม่ให้มันฟุ้งซ่าน เวลามันนั่งสัปหงกโงกง่วง ไปนั่งกลางป่าช้าสิ ไม่กล้าหลับเลย ตาพองเชียว กลัวผีมันจะหักคอ นี่มันคือยา แต่เราทำไม่ได้ เราทำไม่เป็นหรอก

 

นี่ไง เวลาฆ่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสรรเสริญตรงนี้ ไม่ใช่เป็นพระเอก นางเอกแล้วไปข่มขี่กัน เหยียบหัวย่ำทำลายกัน ไร้สาระ จะเป็นพระเอกต้องเป็นพระเอกมีสติสัมปชัญญะ คำว่า “มีสติ” จะทำให้คนคนนั้นเป็นคนดี บอกว่ามีสติแล้วจะไม่ผิดพลาดอะไรเลย มันก็มีเวรมีกรรม อาจจะผิดพลาดได้บ้าง แต่การผิดพลาดนั้นมันก็น้อยลง

 

เราอย่าขาดสติ มีสติสัมปชัญญะแล้วไต่ตรอง พอไต่ตรองขึ้นมา ไอ้ที่อวดอ้าง ไอ้ที่พยายามจะพาไปบ้าบอคอแตก เราจะไม่ไปตามนั้นเลย กาลามสูตร ไม่เชื่อ ถ้าดีนะ มันไปแล้ว ถ้าดีนะ มันไม่มาบอกเราหรอก

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ความดีๆ ท่านให้ประพฤติปฏิบัติเอา ให้มันเห็นจริงเห็นจังขึ้นมา ถ้าเห็นจริงเห็นจังขึ้นมาในหัวใจของเรา การฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ ในพระไตรปิฎกนะ เวลาพระ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามเลย เธอยังพอทนอยู่ได้หรือ เธอยังทนความทุกข์ความยากเรื่องของกาย เรื่องของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้ได้อยู่หรือ เธอยังพอทนได้อยู่หรือ พอทนความทุกข์ได้อยู่ไหม

 

นี่คนที่เขาสะอาดบริสุทธิ์แล้วเขาเห็นไง เห็นความเป็นอยู่ของร่างกาย มันมีความชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา มันมีความเจ็บไข้เป็นเรื่องธรรมดา เธอพอทนอยู่ได้ไหม ถ้าบอกว่าพอทนได้พระเจ้าค่ะ เพราะต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครกล้าหน้าด้านโกหกหรอก เพราะถ้าโกหก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสวนกลับเลย โมฆบุรุษ หน้าด้านหน้าทน

 

แต่ถ้าเป็นความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามกลับเลย ใครเป็นคนทรมานมา

 

พระที่ประพฤติปฏิบัติสำเร็จเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามว่าใครเป็นคนทรมานมา

 

คำว่า “ทรมาน” เหมือนสัตว์ ใครเป็นคนฝึกหัดมา ฝึกช้าง ฝึกวัว ฝึกต่างๆ คนฝึกมันต้องฝึกวัวนั้น ฝึกช้างนั้นจนใช้ประโยชน์ได้ ครูบาอาจารย์ที่จะฝึกลูกศิษย์ลูกหาจะต้องฝึกหัดจนจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันประพฤติปฏิบัติเป็นขึ้นมา ใครทรมานมา ใครทรมานมา นี้อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งนั้นนะ

 

ดูสิ ความเป็นจริงๆ สิ่งที่เราเป็นธรรมๆ สิ่งที่เป็นธรรม สัจธรรม เราหาความจริงๆ หาความจริง เราก็ต้องย้อนกลับมาที่ว่าเรามีสติปัญญามาหรือไม่ ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราจะเห็นแก้วแหวนเงินทองเป็นของมีค่า เห็นลาภสักการะ โลกธรรม ๘ เป็นของมีค่า

 

แต่ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ สิ่งนั้นเขาวางไว้หมด ดูเศรษฐีสิ เศรษฐีใส่ของปลอม เขาว่าของจริงนะ ไอ้เราคนจนไปเอาทองคำมาใส่ เขาว่านี่ไปขโมยใครมา เศรษฐีนะ มันใส่ของปลอมก็จริง นี่ไง ความเชื่อถือๆ ไอ้เราไม่มีใครเชื่อถือ แหม! เต็มตัวเลย ไม่มีใครเขาเอาทั้งนั้นน่ะ

 

ความดี ความดีมันอยู่กับเรา ไม่ต้องไปอวดทั้งสิ้น ความดีๆ ไง ทำดีเพื่อความดี ทำดีทิ้งเหว ทำดีทิ้งเหวแล้วมันสบายใจมากนะ เราจะทำบุญ ๕ บาท ถ้ากล้องยังไม่มาถ่ายยังไม่ให้ ถ้ากล้องถ่ายเสร็จแล้วต้องลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะ โฆษณาอยู่นั่นน่ะ นั่นมันเพื่ออะไรล่ะ ถ้าเราทำของเรา ทำบุญทิ้งเหวก็ทำแล้ว ทำแล้วมันยิ่งใหญ่

 

นี่ไง ไม่มีพระเอกไง ไม่มีพระเอก ไม่มีนางเอก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ยิ่งมีพระเอก มีนางเอก นั่นน่ะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั่นน่ะมันแสดงออก สิ่งที่แสดงออกคือเหยียบย่ำเขา เหยียบย่ำเขาเพราะสำคัญตน ถ้าสำคัญตนว่าเรามีความสำคัญนะ มีปัญหาแล้ว เข้าศาลา ศาลานี้เล็กเกินไป ถ้าไปไหนแล้วไม่มีใครต้อนรับ อู้ฮู! ทำไมไม่มีใครเห็นความสำคัญของเราเลย โอ้โฮ! มันปวดหัวใจๆ

 

แต่คนที่เขามีปัญญานะ สูงส่งแค่ไหน เขาทำตนของเขาต่ำต้อย เขาอ่อนน้อมถ่อมตน ไปที่ไหนไม่แสดงตัวเลย เมื่อก่อนหลวงตาท่านเล่าประจำ ถ้าท่านจะไปไหนนะ ท่านปลอมตัวไป ไม่มีใครรู้จักหรอก ไปนั่งเล่นอยู่กับเณร พอพระมาเห็น โอ้โฮ! ตกใจ รีบเข้าไปนิมนต์ท่าน อุปัฏฐากท่าน แล้วพอท่านกลับแล้วถามเณร เณร เอ็งรู้จักหรือนั่นใคร ที่เล่นกับเอ็ง ใคร ไม่รู้หรอก

 

นั่นน่ะเสือนะ นั่นน่ะเสือ

 

นี่ไง คนจริงเขาไปไหนเขาไม่เห่อเหิมหรอก เขาไม่ต้องมีการล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ต้องมีรถฉลามนำหน้า ไม่ต้อง อันนั้นเป็นผู้นำ ผู้ที่เขาจะบริหารจัดการบ้านเมือง อันนั้นเราก็เห็นด้วย แต่ไอ้ทิฏฐิมานะ ไอ้อหังการ ไอ้ความอยากแสดงออกด้วยความยิ่งใหญ่ ไร้สาระมาก ไร้สาระมาก อยากเป็นพระเอก แล้วผู้ร้ายไม่อยากเป็นนะ

 

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาท่านเปรียบเทียบถึงพญามาร เหมือนยักษ์เหมือนมาร มันเป็นธรรมาธิษฐาน แต่จริงๆ มันเลวร้ายยิ่งกว่ายักษ์กว่ามารนะ มันทำลายชีวิตของเรานะ ดูสิ อนันตริยกรรม ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่ กิเลสเวลามันปิดหูปิดตา มันทำได้อย่างไร ลูกที่มันฆ่าพ่อฆ่าแม่มัน มันทำได้อย่างไร ลูกศิษย์เวลามันคิดลบล้างอาจารย์มันน่ะ มันทำได้อย่างไร ลูกศิษย์คิดล้างครู มันทำได้อย่างไร นี่ไง กิเลสมันร้ายกว่ายักษ์กว่ามาร มันร้ายกว่าสารพิษ ร้ายกว่ายาพิษ ร้ายกว่าทุกอย่างเลย

 

เวลาเปรียบเทียบ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบ เปรียบเทียบเป็นยักษ์เป็นมาร เราว่ากิเลสเป็นยักษ์เป็นมาร ไม่ใช่ กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีอำนาจ อยากเป็นพระเอก นั่นน่ะคือกิเลส

 

แต่ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นธรรมแล้วนะ ไปไหนนะ ไปเรียบง่าย สมณะเป็นผู้เลี้ยงง่าย ทุกคนเลี้ยงง่าย ไม่ต้องลีลา ไม่ต้องมารยาสาไถย ไอ้นั่นมันเรื่องกิเลสทั้งนั้น ต้องสร้างปัญหาขึ้นมาให้มีความสำคัญ แล้วก็ต้องมาพะเน้าพะนอ อู้ฮู! สุดยอดๆ...นั่นน่ะอยากเป็นพระเอก ผู้ร้ายไม่ยอมเป็น

 

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมๆ นะ เราเข้ามาที่หัวใจของเรา ความเสมอภาคไง เราให้โอกาสเขา ใครที่มีศรัทธาความเชื่อ เราให้โอกาสเขา เขาจะได้ส่งเสริมของเขา ไอ้ศรัทธาความเชื่อของเรา เราก็ดูแลของเรา

 

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าทำความสงบของใจได้ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว มันมีความสุขขึ้นมาแล้ว พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ายังไม่เห็นพุทธะ มันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาไม่ได้หรอก สิ่งที่เกิดขึ้นมาๆ มันเกิดจากโลกทัศน์ เกิดจากจิต เกิดจากภพ เกิดจากกิเลส ชัดๆ เลย เกิดจากกิเลส

 

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นภาวนามยปัญญา เว้นไว้แต่สมาธิมันอ่อนลง มันเป็นสัญญา ถ้าเป็นสัญญานั่นน่ะบวกด้วยกิเลสๆ หลวงตาท่านจะบอกว่าสมุทัยมันเจือมาๆ

 

สมุทัยเจือมา สมุทัยคือกิเลสไง กิเลสมันเจือมาๆ เจือมาในปัญญานั้น เจือมาในความคิดเรานั้น ถ้าเราไม่มีสติปัญญาก็เหมือนเราอยู่นี่ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อจะบอกว่าเป็นพระเอกๆ ได้อย่างไร ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้เอง สอนให้ทำคุณงามความดี ก็ทำคุณงามความดีแล้วบอกว่าเป็นพระเอก

 

พอทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดีทิ้งเหวสิ คุณงามความดีแล้วไม่ไปกีดไปขวางใครไง ถ้ามันไปกีดไปขวางใคร นั่นน่ะอยากเป็นพระเอก กิเลสมันสำคัญตน พอสำคัญตน มันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่มันก็ครอบงำหัวใจของตน พอครอบงำหัวใจของตนก็เหยียบย่ำหัวใจคนอื่น ถ้าจะมีสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้เท่าทันจิตของตน เท่าทันกิเลสของตน โอ้โฮ! ปัญญาทวนกระแสกลับ รู้ถึงพฤติกรรมในใจของตนนี่สุดยอด ยิ่งใหญ่ ดีงาม นี่ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนเข้าไปแล้ว สอนเข้าไปในหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์หัวใจนี้ เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่ต้องไปรื้อมันหรอก ซากศพๆ สัปเหร่อมันเผาให้เอง แต่ถ้ารื้อหัวใจของสัตว์โลก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว จิตนี้มันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พญามารค้นหาไม่เจอ พ้นจากวัฏฏะไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ไง

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะรื้อฟื้นตัวของเราเอง มันต้องเป็นความรู้สึกนึกคิดในหัวใจของเรา ถ้าความรู้สึกนึกคิดในหัวใจของเรา ประโยชน์ขึ้นมา มันประโยชน์กับเรา นี่คือสติปัญญาของเรา นี่คือศรัทธาความเชื่อของเรา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ใดมีคุณธรรม เป็นศาสนทายาท เป็นธรรมทายาท ถามมาๆ

 

หลวงตาเวลาท่านไปไหนเขาถามว่า หลวงตามีความรู้ขนาดไหน

 

ท่านบอกถามกูมาสิ เออ! ถามมาให้จน ถามที ถามผู้รู้ให้มันจน ไอ้ผู้ไม่รู้น่ะสิกลัวเขาถาม พอเขาถามขึ้นมาทำแอคชั่น เอ๊อะ! ทำโกรธเขา ทำว่าไม่เหมาะสม ไม่เชิดชู อยากเป็นพระเอก เอวัง