เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ ธรรมะเป็นสัจจะเป็นความจริง ไม่มีสิ่งใดลบล้างได้ ความจริงคือความจริงอยู่วันยังค่ำ แล้วความจริง ความจริงของเรา เราไม่เข้าไม่ถึงความจริงของเราอีกต่างหาก ถ้าเราเข้าไม่ถึงความจริงของเรา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมอันนั้นน่ะ กราบธรรมอันนั้นคือสัจจะความจริงที่มันเหนือโลกเหนือสงสารเลย ถ้ามันเหนือสงสารนะ ในพระพุทธศาสนาเรา เวลาความจริงแล้ว เวลามันผ่อนออกมาเป็นระดับเป็นชั้นเป็นตอนออกมา เห็นไหม ศาสนาพูดถึงเหมือนกับต้นไม้ มีเปลือก มีแก่น มีกระพี้ มันมีของมันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธถ้ามันมีสัจจะมีความจริง เราก็อยากได้อย่างนั้น เราก็อยากแสวงหาอย่างนั้น ถ้าอยากแสวงหาอย่างนั้น ในรัฐบาลเขาถึงเวลาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เขาบอกให้ประชาชนไปทำบุญใกล้วัดๆ บ้านเราอยู่ที่ไหน ให้ทำบุญที่นั่น ให้เข้าไปทำบุญกุศลเพื่ออะไร เพื่อฟอกหัวใจของเรากันเองไง รัฐบาลนะ ถ้าประชาชนถ้ามีศีลมีธรรมนะ โอ๋ย! รัฐบาลยิ้มแย้มแจ่มใสเลย ชาติไหนก็แล้วแต่ ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ
นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธศาสนา เวลาศาสนาสอน สอนลงที่นี่ไง แล้ววันนี้วันสำคัญของชาตินะ วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติๆ มันก็ระลึกถึงเรานี่แหละ วันแม่แห่งชาติท่านก็อยู่ในราชวังนั่น แต่ของเรา วันแม่แห่งชาติ เรามีแม่ เรามีชีวิต มันใกล้ตัวไง จริงๆ แล้วมันสอนมันก็อยู่ในตัวเรานี่แหละ ถ้ามันเข้ามาอยู่ในตัว วันแม่แห่งชาติๆ เราระลึกถึงพ่อถึงแม่เราไหม ถ้าระลึกถึงพ่อถึงแม่เรา นั่นพ่อแม่ในบ้านนะ
ถ้าเราระลึกถึงหัวใจของเรา ความรู้สึก พุทธะอยู่กลางหัวอกนี่เลย มันอยู่ใกล้ตัวเราเลยแหละ แต่เวลาเราประกอบสัมมาอาชีวะมันต้องมีการแข่งขัน มันต้องมีสังคม มันออกไปข้างนอกหมด แล้วออกข้างนอกหมดแล้วนะ เวลาเข้ามาบ้านนะ แม่ไปทำงานมาๆ ก็มาอ้างไง อ้างสิทธิ์เพื่อจะอยู่ข้างนอก ในบ้านก็มีแต่ความวุ่นวาย
แต่ถ้ามันเห็นคุณค่า วันแม่แห่งชาติๆ กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี คนดีเขาต้องรู้คุณคน ใครมีบุญมีคุณกับเรา เราระลึกถึงบุญของเขา เวลาเราตกทุกข์ได้ยาก ใครเอื้อเฟื้อเจือจานเรานะ มันฝังหัวใจของเราไป ถ้าเราเข้มแข็งขึ้นมา เราจะเอื้อเฟื้อเจือจานใครบ้าง นั่นน่ะเป็นบุญกุศล เป็นบุญกุศลนะ เราให้ชีวิตเขานะ เราให้ชีวิตเขา ให้เขามีโอกาสของเขา แล้วเราไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น นั่นมันเป็นชีวิตของเขา นั่นเป็นครอบครัวของเขา ช่วยเหลือเขาคนหนึ่ง ได้ช่วยเหลือครอบครัวเขา ในครอบครัวเขาสามคนสี่คน มันต่อเนื่องกันไปๆ นี่ถ้ามันมีน้ำใจอย่างนี้ วันแม่แห่งชาติ วันแม่แห่งชาติมันก็มีคุณค่าขึ้นมาไง
วันแม่แห่งชาติ ท่านก็มีความสุขของท่านอยู่ในราชวังนะ แล้วเวลาท่านเป็นแม่แห่งชาติ เพราะว่าปกครองดูแลประชาชนทั้งหลาย เวลาท่านไปที่ไหน “ประชาชนของฉัน ประชาชนของฉัน ใครอย่ามารังแกนะ” เขาก็ดูแล ใครตกทุกข์ได้ยาก เขียนฎีกาไป ท่านก็ไปสร้างบ้านให้ ท่านก็ให้อาชีพ นั่นเพราะอะไร นั่นก็ต้องช่วยเหลือเจือจานกันไป แต่คนเรามันมีมากไง ๖๐-๗๐ ล้านคน มันก็ต้องดูแลกันไม่ทั่วถึงเป็นเรื่องธรรมดา
อันนี้ก็ย้อนกลับมาเรื่องกรรม ถ้าเรื่องกรรม เด็กบางคนนะ มันมีความกล้าหาญ มันเขียนบรรยายชีวิตของมันเลยไป แล้วมันส่งถวายฎีกาไป มันได้บ้านหลังหนึ่ง นี่ด้วยเชาวน์ปัญญาของเด็ก เด็กมันเขียนเอง เขาไปสัมภาษณ์เลย เอ็งทำอย่างไร ก็หนูเขียนตามความรู้สึกของหนูไปไง นี่ไง เชาวน์ปัญญาของคนๆ ถ้าเชาวน์ปัญญาของคน
มันก็ย้อนกลับมาที่กรรม กรรมดี กรรมชั่ว ถ้ากรรมดี กรรมชั่ว กรรมที่สร้างมา เวลาเด็กที่มันดี มันดีมันดีมาจากไหน มันดีมาจากกรรมดีของเขา พ่อแม่ที่แสนดี ถ้าลูกดีงามมา นี่อภิชาตบุตร พ่อแม่ที่แสนดีเลย เวลาลูกมา ขาดตกบกพร่อง นั่นมันก็กรรมของสัตว์ เพราะเวลาพันธุกรรม ไปหาหมอ ของพ่อของแม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นเลย แต่จิตไม่ใช่ จิตไม่ใช่ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลากำเนิด ๔ เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในครำ เกิดในโอปปาติกะ ต้องเกิดแน่นอน ทีนี้เกิดแน่นอน ตรงนี้ย้อนกลับมาแล้ว ถ้ามันจะดีจะชั่ว ที่มันจะสร้างของมันมาๆ
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายืนยันได้เลย พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านสร้างของท่านมาๆ ท่านปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา การปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าพระอรหันต์ทั่วไป
พระอรหันต์ทั่วไปก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แม้แต่พระอรหันต์ก็ต้องสร้างบุญกุศลของท่านมา ถ้าไม่สร้างบุญกุศลของท่านมา ท่านไม่มีเชาวน์ไม่มีปัญญา พอท่านมีเชาวน์มีปัญญาของท่าน มันมีจุดยืนของท่าน อย่างพระอรหันต์อย่างน้อยต้องแสนกัป พระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาต้องสร้างมามากกว่า เพราะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เพราะมันมีคุณสมบัติมากกว่า มีปัญญามากกว่า มีอำนาจวาสนามากกว่า
เวลามากกว่า เวลาไปฟังเทศน์พระอัสสชิ จะมาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นพระโสดาบันนะ จะมาด้วยกัน “นั่นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาเรามาแล้ว” แล้วท่านก็ฝึกหัดสั่งสอนจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วก็แต่งตั้งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา
พระบอกว่าทำไมลำเอียงๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเอง เขาทำของเขามาๆ ของของเขา สมบัติของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดตามข้อเท็จจริงนั้น นี่ไง เขาทำมาๆ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ใช้สติปัญญาของเรา เราทำมาๆ แต่ทำมา ทำมาแต่อดีตชาติใช่ไหม กรรมเก่า ในกรรมปัจจุบันนี้เราทำมาแล้ว พ่อแม่ก็ปรารถนาทั้งนั้น พ่อแม่ก็ส่งเสียลูกให้มีการศึกษา พ่อแม่สร้างสภาวะแวดล้อมที่ดี ให้ลูกของเราอบอุ่น ให้ลูกของเราจิตใจเข้มแข็งไง ให้มีคุณงามความดีไง ในชาติปัจจุบันนี้เราก็ต้องบ่มเพาะทั้งนั้น มันจะได้มาอย่างไรก็แล้วแต่ ในชาติปัจจุบันนี้มันเป็นลูกของเรา ลูกหลานของเรามันก็เป็นชาติตระกูลของเรานั่นแหละ แต่มันได้มาด้วยกรรมดีกรรมชั่ว
ถ้าได้ด้วยกรรมดีๆ นะ กรรมดี พ่อแม่มีความสุขนะ เวลาท้องขึ้นมา ลูกมาท้อง อู้ฮู! บ้านมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขไปหมดเลย เวลาคลอดลูกออกมา อู้ฮู! เจริญงอกงาม ใหญ่โตไปใหญ่เลย นั่นน่ะกรรมดี เวลากรรมดี แล้วเป็นอย่างนั้นทุกคนไหม
โอกาส เห็นไหม ดูสิ ฤดูกาลมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา โอกาส กระแสสังคม ธุรกิจมันก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราว มันพัดไปพัดมาอยู่อย่างนั้นน่ะ มันพัดไปพัดมา นี่สภาคกรรม กรรมของเรา เราทำคุณงามความดีของเรามานะ ถ้าอยู่คนเดียว แหม! ไบรต์มากเลย แต่เข้าไปในบ้านไม่ได้แล้ว เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันต่อรองหมดไง นี่ไง สภาคกรรม กรรมที่มันมีเกี่ยวเนื่องกันไป มันทอนไปๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าจะให้เฉพาะคนคนเดียวนะ ตัวมันเองใช้ได้หมด
ฉะนั้น นี่พูดถึงว่าถ้ามันมีสติปัญญาจริงนะ ถ้ามีสติปัญญาจริง เขาทำของเขามาๆ แต่เวลาเกิดมาแล้ว เราก็ต้องเอาปัจจุบันนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนปัจจุบันนะ แต่เวลาสอนปัจจุบันแล้ว เราจะพูดเรื่องความแปลกใจไง ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาเป็น
เขาเป็นมาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่แสดงออก แต่เวลาเขาแสดงออกแล้วเขาแสดงออกมาโดยข้อจริงของเขา ถ้าโดยข้อเท็จจริงของเขาใช่ไหม เราก็มีสติปัญญาของเรา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมา ใครจะทำดีทำชั่วมันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีๆ แต่กิเลสมันทนไม่ได้ กิเลสมันบอกว่า ต้องให้คนอื่นเป็นคนดีหมดเลย แล้วเราจะเป็นคนดีคนสุดท้าย ทำไมคนนู้นไม่ดี มันอ้างไง เวลากิเลสมันอ้างนะ ทำไมคนนู้นทำได้ คนนี้ทำได้
ใครทำได้ เขาก็สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น แต่กรรมดีของเราล่ะ เราจะทำคุณงามความดี ใครก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะใครทำแล้วมันต้องเป็นกรรมของเขา เป็นผู้รับผิดชอบการกระทำอันนั้น ใครทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เขาต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา ในการกระทำของเขาเพราะมันมีเจตนา มันทำแล้วเวรกรรมอันนั้นมันลงสู่จิต
เวลากิเลสมันหลอก กรรมวัฏฏ์ เวลากิเลสมันเกิดขึ้น มันยั่วมันยุ มันกระตุ้นให้เราทำ พอทำเสร็จแล้วมันสมความปรารถนาแล้วนะ กิเลสมันชื่นใจแล้ว มันก็หายไปแล้ว ทีนี้ใครเป็นคนทำล่ะ มันก็ตกที่เราไง กิเลสมันไปแล้ว
เวลากิเลสมันยุมันแหย่นะ โอ๋ย! มันยุแหย่เลย เราก็ทำตามมัน กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ การกระทำนั้น แล้ววิปากวัฏฏ์ วิบาก ผลของกรรมนั้น นี่ไง ใครทำอะไรก็แล้วแต่ ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบอันนั้น เรารับผิดชอบนั้นด้วยกรรมนะ จะเป็นในที่ลับในที่แจ้ง ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ นั่นน่ะมันฝังลงที่ใจเราแล้ว มันฝังลงที่ใจแล้ว ความลับไม่มีในโลก เอ็งเป็นคนกระทำ จะทำอะไรในที่ลับ ทำในที่แจ้ง จะไปทำที่ไหน เอ็งก็ทำ ทำในที่แจ้งก็ทำ ทำในที่ลับก็ทำ
เวลาทำของเขา นี่การกระทำนะ ถ้าใครทำสิ่งใดต้องรับผลการกระทำอันนั้น แต่เราบอกเราจะปฏิเสธนะ แก้กรรมๆ...เอาอะไรมาแก้ แก้ที่ไหน ให้แก้อย่างไร
รรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาในการประพฤติปฏิบัติ เวลาคนที่บรรลุธรรมเหมือนคนที่พ้นจากหนี้ ทุกข์ในโลกนี้คือทุกข์ที่เป็นหนี้เป็นสินเขา คนที่เป็นหนี้เป็นสินเขา ดูสิ เขาทวงหนี้โหด เขาไล่ทุบไล่ตีเอาเลย เพราะถือว่าไปกู้ไปยืมเขามา นี่มันเป็นหนี้ แต่เวลาจิตของเราเป็นหนี้เวรหนี้กรรมนะ เป็นหนี้เวรหนี้กรรม
ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เวลาย้อนไปตั้งแต่พระเวสสันดรไป ท่านสร้างของท่านมา เวลาท่านจะนิพพาน เวลาไป จะไปนิพพาน สอนไปตลอดทางนะ ไปถึงลำคลอง “เรากระหายเหลือเกิน อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ตักน้ำมาให้เราดื่มเถอะ”
พระอานนท์ก็ด้วยความเมตตา ด้วยความเคารพบูชา “ไปฉันข้างหน้าเถิด เกวียนมันเพิ่งผ่านไป น้ำขุ่น ข้างหน้ายังมีลำธารที่มันใสสะอาดดี”
“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน”
นี่เขาว่าพระพุทธเจ้ายังมีความทุกข์อยู่...ไม่มี เหมือนเรา เราเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เงินทองเรามีมหาศาลเลย มันมีความทุกข์ไหม ไม่มีหรอก สบายๆ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่พ้นจากความเป็นหนี้แล้วไม่มีทุกข์หรอก แต่ร่างกายของมนุษย์ ร่างกายมันโดยธรรมชาติ ยิ่งชราคร่ำคร่า มันเดินระยะทางนานมามันก็กระหายใช่ไหม มันก็อยากมีอะไรเพื่อคลายกระหายเท่านั้น มันไม่ใช่ความทุกข์ความยากเหมือนเรานี่ เรามีแล้วไม่พอใจ มันบีบคั้นหัวใจนะ น้ำตาไหลพรากเลย มันบีบคั้นๆ
อันนี้มันไม่ได้บีบคั้น สั่งสอนเขามาตลอดเส้นทาง ตั้งแต่นายจุนทะ สั่งสอนไปตลอดเส้นทาง ไปถึงมัลลกษัตริย์ ยังไปสอนเขาคืนนี้อีกนะ กลางคืน มัลลกษัตริย์มาเฝ้า ยังสอนเขาอยู่ นี่ผู้ที่จะไปนิพพาน จะไปตาย ยังสั่งสอนเขาไปตลอดทาง มันไม่มีความกังวลถึงชีวิตของตนเองเลยนะ มันมีแต่ความปรารถนาอยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ อยากให้ประชาชน อยากให้ทุกคนเขามีความร่มเย็นเป็นสุข อยากให้ทุกคนเขามีหัวใจที่แช่มชื่น อยากให้ทุกคนเขามีสติปัญญาที่เบิกบาน ให้เขาเข้าใจหัวใจ เรื่องชีวิตของเขาๆ เราตถาคตจะบ๊ายบาย จะไปแล้ว จะไปแล้วก็ไปด้วยความสุขอันนั้นนะ แล้วก็คอยตอกย้ำพวกเรา ตอกย้ำพวกเราให้มีสติมีปัญญาขึ้นมาไง ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา พระพุทธศาสนามันมีค่าตรงนี้ มันมีค่าที่ทำให้เรามีสติมีปัญญา
คนที่มีสติมีปัญญารู้จักรักษาตัวเองได้ การจะรักษาตัวเองได้ เห็นไหม อย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้น เวลามาวัดมาวา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ก็พยายามให้ประชาชนมีความศรัทธา แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ กาลามสูตรแล้ว อย่าเชื่อว่าอาจารย์พูดอย่างนี้นะ อย่าเชื่อว่าคนข้างเคียงเราพูดอย่างนี้ อย่าเชื่อ ต้องพิสูจน์ๆ พิสูจน์ พิสูจน์ด้วยการประพฤติปฏิบัติ พิสูจน์ด้วยความจริง
เวลาความจริงๆ แล้ว กาลามสูตร อย่าให้เชื่อ ไม่ต้องเชื่อใคร เราก็เหมือนกัน เรามีสติปัญญาแล้วจะไปเชื่อใคร เขาพูดก็เรื่องของเขา ปากของเขา นี่หูของเรา นี่ใจของเรา ถ้าหูของเรา ใจของเรา เรามีสติปัญญา เราคัดเลือก เราแยกแยะ เป็นจริงหรือ ไอ้ที่เขาพูดๆ เราทำมาหมดแล้ว ไม่เห็นมีความจริงสักชิ้นนึง แต่เขาไม่เคยปฏิบัติ เขาเพิ่งมา เขายังตื่นกระแสอยู่ เขายังทำอยู่ เขามาเล่าให้เราฟัง โอ๋ย! ไร้สาระ แต่พูดไปก็เถียงนะ เพราะอะไร เพราะมันแบบว่าเขาตื่นขี้ใหม่ ขี้ใหม่มันแบบว่าของสดของร้อน นี่ก็เหมือนกัน ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยรับรู้สิ่งใดเลย พอมาได้ฟังเขา โอ้โฮ! สุดยอดเลย โลกนี้ไม่มีอะไรดีเท่านี้อีกแล้ว
ไอ้คนที่ทำมาเขาสลัดทิ้งหมดแล้ว เขาไม่สนใจเลยนะ เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริงๆ มันอยู่ที่ทิฏฐิมานะของเขา อยู่ที่ปัญญาของเขา แล้วถ้าปัญญาของเรา เราไม่ฟังๆ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น แล้วเราวิเคราะห์ แล้วเราทดสอบของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าเป็นความจริงแล้วใครก็ทำลายไม่ได้ เราพ้นจากหนี้ เราไม่เป็นหนี้ใคร ใครจะมาทวงหนี้ ไม่มีสิทธิ์
ถ้าเราเป็นหนี้ หนี้เวรหนี้กรรม ใจดวงนี้เคยได้สร้างสิ่งใดมาก็แล้วแต่ มันเกิดความลังเล เกิดความสงสัย มันสงสัยในตัวมันเอง หนี้เวรหนี้กรรม แต่ถ้ามันแจ่มแจ้ง มันแทงทะลุ มันสว่างไสว มันพ้นจากความเป็นหนี้ ใครจะมาทวง ทวงอะไร นี่ไง เวลาถ้ามันไม่มีตัวตนของเรา ถ้าไม่มีตัวตนของเรา เราอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ มันไม่มีเงาหรอก ถ้าเรามีตัวเรา ไปยืนที่ไหนถ้ามีแสงมันก็มีเงาทั้งนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเราๆ เห็นไหม วันแม่แห่งชาติ วันแม่แห่งชาติเขาให้ระลึกถึงพระพุทธศาสนา ให้ระลึกถึงเรา เราก็มีพ่อมีแม่ เราก็มีพุทธะ เราก็มีความรู้ในหัวใจของเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาแจ่มแจ้งขึ้นมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวนะ สั่งสอน ๓ แดนโลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ อย่าว่าแต่สอนมนุษย์เลย เทวดา อินทร์ พรหมยังสอนได้
ไอ้พวกเรามืดบอด สงสัยไปหมด แล้วตัวเองก็ยังสงสัยในตัวเอง แล้วเวลาใครมาพูดนี่เชื่อง่ายๆ นะ...ไม่ต้องไปเชื่อ ถ้ามันดีจริง คุณสมบัติของเขาต้องทำให้เขามีคุณธรรมในใจของเขาแล้ว ถ้ามีคุณธรรมในใจของเขานะ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่ากับธรรมในใจ ธรรมในใจนั้นเหนือโลกเหนือสงสาร มันไม่ขาดแคลนใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ามันมีคุณค่าขนาดนั้น เขาต้องมาร้องแรกแหกกระเชอ มาชวนพวกเราหรือ คนที่มาเสนอต่างๆ เขาขาดแคลนทั้งนั้นน่ะ
เวลาคนนะ คนที่เป็นธรรมๆ เราอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านพูดประจำ ด้วยความอหังการ ด้วยสัจจะความจริงนะ “เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว” ท่านพูดประจำเลย ท่านเทศนาว่าการแล้ว มันอยู่ที่หน้าที่ของผู้ฟัง มันอยู่ที่หน้าที่ของสัตว์โลก เขาต้องไปวิเคราะห์วิจัยเรื่องของเขา เขาจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ นั่นเป็นที่ภูมิปัญญาของเขา วุฒิภาวะของเขา เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ท่านพูดประจำ ท่านไม่มาออเซาะฉอเลาะหรอก เว้นไว้แต่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันมีความขัดข้องในหัวใจ มันมีสิ่งใดเป็นปมในหัวใจนะ เวลาคนไข้ บอกว่า ต้องไปวัดหรือไม่ ต้องไปวัดหรือไม่ ไม่ต้องไป ห้องพระของตัวนั่นน่ะ หัดภาวนาให้ได้ขึ้นมา แต่เวลามันติดขัดขึ้นมาไง เหมือนคนเราเป็นมะเร็งต้องไปโรงพยาบาลหรือไม่ ไป ไปคีโม
นี่ก็เหมือนกัน เวลามันติดขัดขึ้นมา เวลาไปหาครูบาอาจารย์ ธมฺมสากจฺฉา ตอนนั้นน่ะ ตอนนั้นน่ะใส่กันเต็มที่เลย มีสิ่งใดว่ามา หลวงปู่มั่น “ว่ามาเลย ใครปฏิบัติอย่างไรว่ามานะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ เวลาผู้เฒ่าตายไปแล้ว คนแก้จิตแก้ยากนะ คนแก้จิตแก้ยากนะ”
เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ทุกคนก็หาหมอพิเศษ หาหมอยอดเยี่ยม นี่ก็เหมือนกัน คนที่ปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงในหัวใจ เขาทะลุปรุโปร่งในใจของเขาแล้ว กิเลสมันปิดมันบัง กิเลสมันชักมันจูง กิเลสมันพลิกมันแพลงในหัวใจ แล้วใครจะแก้มันๆ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านกระเสือกกระสนมาขนาดนั้นนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระที่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ใครทรมานมาๆ” ท่านจะถามเลยเวลาคนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เหมือนกับพวกเราไปหาหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจะถามว่า พระภาวนาอย่างไร ภาวนาอะไร ทำอะไรมา ไม่ใช่ขี้โม้มา
ถ้าขี้โม้มา ดูสิ มันเป็นหนี้อยู่แล้วมันยังเที่ยวหนีหนี้ วิ่งหนีเขา มันไม่เป็นความจริงเลย ถ้าเป็นความจริงๆ คนที่มันใช้หนี้ มันใช้หนี้ด้วยอะไร วิธีการใช้หนี้ ใช้หนี้อย่างไร ถ้ามันใช้หนี้แล้ว นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูด เรานั่งฟังอยู่ “เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว”
มันเป็นหน้าที่ของสัตว์โลก ถ้าไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงเลย เราก็เห่อเหิมทะเยินทะยานไปตามกระแสสังคมนั้น ถ้ามีสัจจะมีความจริง นี่ประกาศออกไปแล้ว บันลือสีหนาท เราฟังแล้วจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ มันเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าสัตว์มันกรรมบางเบา สัตว์ที่มันมีอำนาจวาสนา มันฟังแล้วมันทิ่มเข้าไปกลางกิเลส ใจดำ หัวใจทิ่มเข้าไป นั่นน่ะธรรมะมันจะทิ่มเข้าไปในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลก แล้วให้สัตว์โลกได้วิเคราะห์วิจัย แล้วให้สัตว์โลกพลิกแพลงใจของตนให้เป็นคุณงามความดีของตนขึ้นมา ถ้าเป็นความดีงามของตน นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากหัวใจดวงนั้น เอวัง