เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ เราขวนขวายกันมาก็เพื่อฟังสัจธรรม สัจธรรมก็เพื่อหัวใจของเราไง หัวใจของเรา ครูบาอาจารย์ท่านบอกจิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่เคยตาย แต่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้เกิดจากกรรมดีและกรรมชั่ว
เวลาว่าเราเกิดมาจากไหนๆ เราเกิดมาจากการกระทำของเราเอง ถ้าการกระทำของเราเอง ถ้าเรามีสติปัญญา เราทำสิ่งที่ดีงาม เราสร้างสมบุญญาธิการมา เราจะเกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นมา แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกดถ่วง กดถ่วงในใจของสัตว์โลกไง มันจะเห็นแก่ตัว มันจะเอาแต่ตามใจของมัน จะผิดชอบชั่วดีอย่างไรไม่รู้จัก นั่นคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ทำกรรมดีๆ กรรมดีเป็นผู้เสียสละ กรรมดีเป็นผู้ที่คิดถึงน้ำใจของคนอื่นก่อน กรรมดี กรรมดีทั้งนั้นน่ะ ถ้ากรรมดี กรรมดีแล้วเราไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นป็นอันของเราเลยหรือ
ความที่เป็นชิ้นเป็นอันของเราคือน้ำใจ คือหลักของหัวใจ หลักเกณฑ์อันนั้น ถ้าหลักเกณฑ์อันนั้นถ้าเจริญงอกงามขึ้นมา ที่ไหนจะเจริญงอกงามขึ้นมา สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข
เวลายุคเสื่อม ยุคเจริญ เวลาถ้ายุคเจริญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ค้นคว้าอยู่ ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบากบั่นมาตลอด การบากบั่นมา บากบั่นมาด้วยใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอน ๓ โลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาศึกษากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มนุษย์ทั้งหลายต้องมาศึกษากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมุขปาฐะ เพราะการฟังธรรมที่ว่ามันประเสริฐ ประเสริฐเพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเล่ห์กล ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาแสดงธรรม แสดงสัจจะความจริงขึ้นมาเป็นความจริงอย่างนั้น มันไม่มีสื่อสาร มันไม่มีวิทยุ ไม่มีสื่อให้ฟัง ไม่มี ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีหนังสือ ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น เขาต้องฟังจากปากๆ เห็นไหม ถ้าฟังจากปาก ปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่การแสวงหาเวลายุคที่เจริญ เจริญที่ไหน
เจริญที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาด้วยสัจจะด้วยความจริง นี่ด้วยสัจจะด้วยความจริง ความจริงอันนั้นที่เกิดขึ้น เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว เวลาโลกธรรม ๘ เวลาลาภสักการะไปทับถมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า “นั่นเป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาถึงมีลาภสักการะมหาศาล”...ไม่ใช่
เป็นเพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สร้างสมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์เสียสละมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านทำคุณงามความดีของท่านมามหาศาล ท่านทำคุณงามความดีของท่านมามากมาย ท่านได้เสียสละมามากมาย การเสียสละอันนั้น กรรมดีอันนั้น กรรมดีอันนั้นไง
เวลาบาปอกุศล เห็นไหม “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ไม่ยอม บอก “ไปข้างหน้าเถิด น้ำข้างหน้ามันใสสะอาด น้ำนี้มันขุ่น มันขุ่นเพราะโคต่างเพิ่งข้ามไป” “อานนท์ ตักมาเถิด เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน”
นี่ไง แล้วพระอานนท์เวลาไปตักขึ้นมา พอตัก มันใสเฉพาะตรงนั้นน่ะ “สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นก็เป็นแล้วพระเจ้าค่ะ น้ำมันขุ่นๆ ตัก ทำไมมันใสตรงนั้น”
มันใสตรงนั้น นี่อำนาจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ที่มันขุ่นๆ นั้นเพราะกรรมเก่าๆ กรรมเก่าที่เคยเป็นพ่อค้าโคต่างมาเหมือนกัน นี่ไง เศษกรรมๆ เวลาเศษกรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลาภสักการะมหาศาล เวลากรรม เศษกรรมที่ทำไว้มันก็ยังตามมาเหมือนกัน มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไง แต่คุณงามความดี ความดีที่มากกว่า การกระทำอันนั้น การกระทำอันนั้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุกบั่นขวนขวายมีการกระทำในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยุคเจริญ
ยุคเสื่อม มันมีแต่คนเข้ามาหาผลประโยชน์ มันมีแต่คนเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา มันมีแต่คนเข้ามากดถ่วง มันมีแต่คนเข้ามา เพราะอะไร เพราะใจมันไม่เป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรม ใจเป็นธรรมนะเขาส่งเสริม เขาไม่กดถ่วงไม่ทำลาย ไอ้พวกที่เข้ามาทำลายๆ นั่นน่ะไอ้พวกกดถ่วง ไอ้พวกทำลายนะ มันก็เสื่อมภาพ เสื่อมของมันไป เสื่อมสภาพไป
นี่ไง ๒,๐๐๐ กว่าปี เวลายุคเจริญ เจริญงอกงามมหาศาลนะ เวลาเจริญ เห็นไหม เวลามันเสื่อมนะ นครรัฐต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาหมดไปแล้ว ศรีวิชัยก็หมดไปแล้ว นี่ไง มันหมดเป็นยุคๆ คราวๆ ไป
นี่เวลามันจะเจริญขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านขวนขวายของท่านด้วยความบากบั่นของท่าน เวลาจิตเจริญนะ
คนมาจากเมืองจีนไง เสื่อผืนหมอนใบ ไอ้พวกเสื่อผืนหมอนใบปากกัดตีนถีบ แล้วมาขวนขวายสร้างสมของเราขึ้นมา การสร้างสมขึ้นมาด้วยความทุกข์ความยากด้วยความลำบากทั้งนั้นน่ะ ไอ้พวกเสื่อผืนหมอนใบนั่นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเรานะเสื่อผืนหมอนใบ มีบาตร มีบริขาร ๘ เท่านั้นเข้าป่าเข้าเขาค้นคว้าแสวงหาสัจจะความจริงขวนขวายของท่าน ท่านพยายามขวนขวายของท่าน นี่ถ้าศาสนามันเจริญ เจริญที่นี่
ยุคเสื่อม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วนะ ไอ้พวกมาเกาะแข้งเกาะขานะ “เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้าย”...มึงทำอะไร มึงได้ทำอะไรบ้างที่ได้เป็นลูกศิษย์องค์สุดท้ายน่ะ
เวลาครูบาอาจารย์ของเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ ท่านขวนขวาย ท่านมีการกระทำนะ นี่คนเป็นความจริง เป็นความจริงในใจอันนั้นไง ถ้ายุคเจริญ มันเจริญที่ไหน มันเจริญด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการกระทำ ถ้าเจริญด้วยสติด้วยปัญญาไง
ไอ้ยุคเสื่อมๆ ไอ้ทองชุบไง ไอ้ที่จะไปชุบชื่อเสียง ไปชุบเพื่อตัวเองไง แล้วทำอะไรก็ไม่เป็น ไอ้ทองชุบเดี๋ยวมันก็ลอกหมด พอลอกหมดแล้วมันเหลืออะไร มันเหลือแต่ตะกั่วทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันทนไฟ ทนไฟ ทนแรงเสียดสี ทนทุกอย่าง การทนนั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นทองเนื้อแท้ มันเป็นทองคำแท้ๆ ถ้าทองคำแท้ๆ ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ลาภสักการะ ไอ้ความสักการะ ไอ้การนับหน้าถือตาคือการสักการะ
ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาล พระนี่ โอ้โฮ! มันมีคนมาทำบุญมหาศาลเลย แต่เขาไม่สักการะ เขาไม่ยกย่องสรรเสริญไง อาหารนั้นกินไม่ได้นะ ไม่ชอบ แต่ถ้าใครมาเจ๊าะแจ๊ะมาสอพลอ อู๋ย! สุดยอดๆ...ยุคเสื่อม ยุค เวลายุคมันเสื่อมมันมีแต่การฉอเลาะออเซาะ มันไม่มีความจริง
ถ้าความจริงๆ กฎหมายคือกฎหมาย ความผิดก็คือความผิด ความถูกก็คือความถูก ถ้าทำผิดก็คือผิด ก็เอ็งทำผิดซึ่งๆ หน้า เอ็งทำผิดชัดๆ มันไม่ผิดได้อย่างไร ถ้าเอ็งทำถูก เอ็งจะทำถูกที่ไหนก็ได้ ในบาดาลก็ได้ ในพรหมก็ได้ ที่ไม่มีใครเห็นก็ได้ ความถูกก็คือความถูกไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความดีมันต้องให้ใครสักการะ ต้องให้ใครยกย่องสรรเสริญถ้าเป็นความดีน่ะ ความดีทำเพื่อใจของเราไง
หลวงตาท่านเน้นย้ำนะ “พระเราทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้ ใครจะทรง”
พระเราถ้าทรงไม่ได้ ธรรมและวินัย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาใจท่านเป็นธรรม ถ้าพระทรงไม่ได้ ใครจะทรง ถ้าพระไม่มีคุณธรรมในใจ ใครจะมี
พระไม่ต้องมี ให้ญาติโยมมีใช่ไหม อู๋ย! ร่ำลือชื่อเสียงขจรขจาย หน้าฉาก หลังฉาก ธรรมะบังเงา ดีแต่รูปแบบ ดีแต่การประชาสัมพันธ์ ความจริงมีสักเศษเสี้ยวไหม ถ้าความจริงมีสักเศษเสี้ยว ไม่มีใครรู้กับเราหรอก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” จนทอดธุระนะ ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นศาสดานะ เป็นครูเอกของโลก เตรียมตัวพร้อมนะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพื่อมาสอนนะ เพื่อมาสอน เหมือนครูจบวิชาครู ได้ฝึกการสอนแล้ว ได้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ยังทอดธุระว่าเราจะสอนได้อย่างไร พร้อมที่จะสอนนะ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ทอดธุระเลย
แต่ด้วยข้อเท็จ ด้วยข้อเท็จจริงนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา การสร้างสมมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็ได้สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา พระอัครสาวกต่างๆ ได้สร้างสมบุญญาธิการมา การสร้างมาๆ อดีตประวัติศาสตร์ที่มันมีมา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สะสมของมันมา
เวลาจิตใจของเรา จิตใจของคนเกิดมานี่ไม่เหมือนกัน ทัศนคติไม่เหมือนกัน ความรู้ความเห็นไม่เหมือนกัน น้ำใจของคนก็แตกต่างกันด้วยการสร้างสมมามากน้อยแค่ไหน การที่สร้างสมมามาก เห็นไหม ดูสิ ฟอสซิลต่างๆ ที่มันสะสมมาเป็นฟอสซิลได้ น้ำมันดิบ น้ำมันดิบมันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากการทับถมของเศษพืช ทับถมของสัตว์ที่เสียชีวิตไป มันทับถม ทับถมจนเป็นน้ำมันดิบเอามาให้เราได้กลั่นได้ใช้
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยการกระทำทำดีทำชั่วมันได้ซับสมมาในใจอันนั้น ถ้าใจอันนั้นนะ ทำอย่างไรมันก็แสดงออกอย่างนั้นน่ะ มันแสดงออกตามข้อเท็จจริงนั้น นี่จริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยมันเป็นอย่างนั้นมันก็แสดงออกอย่างนั้น ถ้าแสดงออกอย่างนั้น
นี่ไง สิ่งที่ทำมาๆ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้าเป็นความจริงๆ มันต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ เห็นไหม เวลายุคเจริญ เจริญเพราะอะไร เจริญเพราะมีการขวนขวาย เจริญเพราะมีการทำความจริง เจริญเพราะเคารพธรรมวินัย เจริญเพราะใจนี้ลงสู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงสู่วินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ข้ามพ้น ไม่ล่วงเกิน ไม่ทำลาย ไม่ยิ่งใหญ่
นี่ยิ่งใหญ่ เห็นไหม ยิ่งใหญ่ขึ้นไปมันปิดกั้นความจริงหมดเลย ถ้าปิดกั้นความจริงหมดเลย แล้วที่เหลือในใจคืออะไร ที่เหลือในใจก็กิเลสทั้งนั้น กิเลสอ้างธรรม นี่ไง หมามันห่มหนังเสือ มันเห่าก็หมาทั้งนั้นน่ะ
คำพูดที่พูดออกมา หมาถ้าไม่ได้เห่ามันห่มหนังเสืออยู่นะ เราเห็นหนังเสือก็นึกว่าหนังเสือ นึกว่าเป็นเสือ เวลามันอ้าปาก โอ๋ย! นั่นหมามันเห่า ทั้งๆ ที่มันห่มหนังเสือมันก็คือหมา หมามันคำรามไม่ได้ หมามันมีแต่เห่า เสียงหมาใครฟังไม่ออก
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมที่แสดงออกมามันจริงหรือไม่จริง ถ้ามันไม่จริงมันคืออะไรน่ะ นี่ไง มันถึงไม่จริงไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงมันทนต่อการพิสูจน์นะ แล้วที่อยากจะพิสูจน์ มันไม่มีใครพิสูจน์ด้วย เพราะความจริงมันมีน้อย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ “ผู้รู้มีนะ” ผู้รู้มีหมายถึงว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ความเป็นจริงมี แต่ถ้ามี คนที่มีเขาฟังออกหมดน่ะ เขารู้หมดน่ะ เพราะอะไร เพราะสถานที่นั้นเขาเคยได้ไปมาแล้ว เขาได้เคยผ่านประสบการณ์เขามาแล้ว คนที่ไม่เคยผ่าน ไม่เคยประสบการณ์ พูดไม่ถูก พูดไม่ได้ แล้วจับพลัดจับผลูไปหมดน่ะ แล้วเวลาจะแสดงธรรมนะ นี่หมามันจะเห่า
เวลาครูบาอาจารย์นะ หลวงตาท่านพูดหลังไมค์เยอะมาก เวลาผู้ที่อวดตัวอวดตนว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีคุณธรรมน่ะ ท่านบอกเลย สิ่งอย่างนั้นใครๆ ก็รู้ได้ ไปขายปลาเน่า ขายความเน่าเฟะของตนมาออกมา แต่ผู้รู้เขาสะอิดสะเอียน ผู้รู้เขาไม่พูด ผู้รู้เขาเก็บไว้ในใจ นี่เราจะพูดถึงยุคเจริญ
เวลายุคมันเสื่อมนะ เวลามันเสื่อม มันเสื่อมมันหวั่นไหวไปหมด มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว เห็นชื่อเห็นเสียง เห็นคนไปมา ออเซาะฉอเลาะเขาไปทั้งนั้นเลยน่ะ นี่มันเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร นี่ไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ลาภสักการะทำให้สั่นไหว โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากมีชื่อเสียง อยากมีกิตติศัพท์กิตติคุณ ออเซาะฉอเลาะเขาเพื่อจะให้เขายอมรับนับถือ ยอมรับนับถือ กิเลสนับถือใช่ไหม แล้วสัจจะความจริงล่ะ เอ็งไม่มีความสุขในหัวใจเลยหรือ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คนที่ทำความสงบของใจได้ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านรักษาเราให้เราประพฤติปฏิบัติ เราจะหลีกเร้น เราจะหาที่สงบสงัดของเรานะ ถ้าความสงบสงัดของเรานะ กายวิเวก จิตวิเวก ถ้ากายมันไม่วิเวก มันคลุกคลีอย่างนั้น จิตมันจะวิเวกได้อย่างไร
ถ้าจิตมันจะวิเวกขึ้นมามันอาศัยกายวิเวกก่อน พอกายวิเวกขึ้นมา พอกายวิเวก ใครไปสู่กายวิเวก พอเราเข้าไปที่สงบสงัดขึ้นมา ทุกคนมันจะอึดอัดขัดข้องไปทั้งนั้นน่ะ เวลาสำคัญที่สุด อยู่คนเดียวระวังความคิด มันจะคิดร้อยแปดเลย เห็นไหม มันกลัวผีกลัวสาง กลัวไปทุกอย่างทั้งนั้น ถ้ามันกลัวผีกลัวสางทุกๆ อย่างไป ถ้าไม่มีสติปัญญาขึ้นมานะ ไอ้ผีตัวที่กลัวเขา มึงไม่กลัวเขาหรือ ไอ้ผีที่กลัวเขามันฟูขึ้นมาแล้ว ไอ้ผีที่กลัวเขานี่สำคัญที่สุด ถ้าไอ้ผีตัวที่กลัวเขามันมีสติปัญญาขึ้นมานะ ไอ้ผีตัวนี้มันจะเข้ากับผีตัวข้างนอก
ถ้าผีข้างนอกนะ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บ๊ายบาย สวัสดีกับผี ผีมันก็ไม่เข้ามากลั่นแกล้งเราหรอก มันก็ผีด้วยกันทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็มีน้ำใจเหมือนกันทั้งสิ้น ทุกคนก็ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้น เขาไม่ได้มากลั่นมาแกล้งอะไรของตน ตัวเองน่ะคิดไปร้อยแปดคิดไปพันเก้า เห็นไหม ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา
ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา อยู่คนเดียวระวังความคิด ความคิดของตน ถ้าอยู่คนเดียวระวังความคิดขึ้นมาน่ะ ความคิดมันเป็นอิสระขึ้นมา มันวางสัญญาอารมณ์ วางสิ่งที่กิเลสจอมปลอมมันพลิกแพลงมาหลอกลวง พอมันวางหมดมันก็เป็นเอกเทศใช่ไหม ถ้าเป็นเอกเทศ มีสติปัญญาคุ้มครองที่มันดีงาม จิตที่สงบๆ มันเป็นอิสระ ไม่มีใครมาหลอกมาล่อมันได้ ไม่มีใครมาชักจูงมันไปได้ มันมีอิสระของมันด้วยสติด้วยปัญญา เห็นไหม
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ ถ้าใครทำความสงบของใจได้จะซาบซึ้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง อ๋อ! พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้เอง อย่างนี้เอง มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้งถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนทำทำเกือบตายนะ
เวลาไอ้คนทำ แต่ถ้ามันทำได้แล้วนะ มันซาบมันซึ้ง พอมันซาบซึ้งแล้วมันอยากเจริญงอกงามขึ้นไป ศีลมันจะรักษาของมันสุดชีวิตเลย แล้วมันปฏิบัติของมัน แต่ด้วยอำนาจวาสนาของคน เวลาจิตมันเสื่อมๆ เวลามันเจริญแล้วเสื่อม สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงที่ ดูยุคเจริญ ยุคเสื่อม
ยุคองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มายุคของครูอาจารย์ของเราเจริญงอกงามขึ้นมา เดี๋ยวมันก็เสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะไอ้พวกเข้ามาเกาะ เข้ามาแอบอิง เข้ามาอาศัย มันไม่แสวงหา มันไม่ได้ทำจริงไง มันไม่เหมือนกับเสื่อผืนหมอนใบไง ถ้าเสื่อผืนหมอนใบ เราไม่ทำเราก็ไม่มีจะกินไง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่ได้ เราทุกข์เรายากไง เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่ครูบาอาจารย์ยุคแสวงหา ยุคแสวงหาเขาพยายามกระทำของเขา พยายามขวนขวายของเขา ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นที่ปรึกษา เราจะปรึกษา ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันเป็นความจริงแล้ว ความจริงแล้วจะเอาอะไรมาพิสูจน์ก็ได้ ถ้ามันเป็นสมาธิจริงๆ เป็นปัญญาจริงๆ นะ เอาอะไรพิสูจน์ก็ได้ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเหนือโลก นี่ไง โลกุตตรปัญญา
โลกียปัญญา ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาทางโลกก็โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากตน ปัญญาเกิดจากข้อมูล ปัญญาเกิดจากการวิเคราะห์วิจัย ปัญญาเกิดจากโลก นี่โลกียปัญญา
เวลาโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เหนือโลก ปัญญาที่ถอดถอน ปัญญาที่ชำระล้างกิเลส มันพิสูจน์ได้ ถ้ามันเป็นจริงพิสูจน์เลย มาพิสูจน์ได้เลย มันพิสูจน์หัวใจตัวเองไง เพราะมันต้องพิสูจน์กับกิเลสของตนก่อน เพราะตนมันลังเลสงสัยใช่ไหม ถ้ามันพิสูจน์กับกิเลสของตน กิเลสของตนมันสงบยุบยอบลง กิเลสของตนมันพ่ายแพ้ กิเลสของตนมันหลบมันหลีก กิเลสของตนมันหาที่หลบซ้อน กิเลสของตนมันมุดเข้าไปจิตใต้สำนึก ปัญญามันจะขุดมันจะคุ้ย มันจะแยกมันจะแยะ มันจะพิจารณาเข้าไป ลามเข้าไป ตามเข้าไปจะเอาถึงฐีติจิต ถึงต้นขั้วของมัน ถึงที่อยู่ของมัน มันต้องมีการกระทำของมัน มันจะเป็นความจริงขึ้นมา
ทำไมมันไม่เกิดมหัศจรรย์ ทำไมมันไม่เกิดปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจของตน
นี่ไง ไอ้คนที่จะหลอกยากที่สุดคือหัวใจเรานี่แหละ ไอ้คนที่จะหลอกคือความลังเลสงสัยนี่แหละ ไอ้คนที่อาลัยอาวรณ์ สงสัยตัวเอง สงสัยเป็นหรือไม่เป็นจริง จริงหรือไม่จริง ไอ้ตัวนั้นสำคัญที่สุด แต่มันปิดไว้ คนนู้นคนนี้ คนนี้คนนู้น มันส่งไปข้างนอกหมดเลย ตัวกูวิเศษ มันปิดไว้ มันไม่เห็นตัวมันเองหรอก
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิตของตน ทวนกระแสกลับเข้าไปขุดคุ้ยในใจของตน ถ้าใจของตนนะ จิตนี้ไม่เคยตาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันเกิดเพราะกรรมดีกรรมชั่ว แล้วถ้ามันสะมันสาง สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัด สะสางเครื่องร้อยรัดของจิตหมดแล้ว ไปไหน ผลักไปไหนมันก็ไม่ไป เพราะไม่มีกรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีสิ่งใดผูกมัดมันไว้ มันกระทำของมันน่ะ
นี่พระพุทธศาสนา ถ้าเวลาเจริญมันเจริญตรงนั้น ไม่ใช่เจริญที่คนมาเยอะๆ ไม่ใช่เจริญที่อาหารมากๆ ไม่ใช่เจริญที่อยู่งอกงาม ไม่ใช่เจริญ ไม่ใช่ ไม่ใช่
เจริญที่ใจของเอ็งนั่นแหละ เจริญที่น้ำใจเข้มแข็งนั้น พ้นจากโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ พ้นจากโลกธรรม ๘ แล้วมันไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นเป็นสิทธิของเขา เป็นสิทธิของผู้ที่มีปัญญา คนที่มีปัญญาก็แสวงหาอริยทรัพย์ภายใน คนโง่ก็แสวงหาชื่อเสียงภายนอก ยิ่งคนโง่เข้าไปยิ่งแสวงหาด้วยความทุจริต เอาแต่ความสุขเฉพาะหน้า แล้วจะต้องไปชดใช้กรรมอีกมหาศาล
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ กรรมทั้งนั้น การกระทำทั้งนั้นให้ผลกับจิตของตน ไม่มีใครทำร้ายเราเลย เราคิดเอง เราทำเอง เราแสวงหาเอง เราเท่านั้นเป็นคนทำทั้งนั้น แต่ถ้ามีสติปัญญาจะทำสิ่งดีงาม อย่างเช่นเรามาวัดมาวาเราก็มาทำตามสิทธิ์ของเรา เราเสียสละทานของเรา เสียสละทานนะ สิ่งนั้นมันเป็นวัตถุ แต่น้ำใจของเรา สติปัญญาของเราต้องให้พัฒนาขึ้น นี่จุดยืนของเราไง
ไอ้ของนี้มันแค่อาหารปาก อาหารใจล่ะ สติปัญญาที่ควบคุมหัวใจล่ะ ฝึกหัดให้มันเกิดขึ้นมา แล้วสิ่งใดที่มันเป็นไฟแผดเผา ดับมัน อย่าให้มันแผดเผา มันเบียดเบียนตนแล้วก็จะเบียดเบียนผู้อื่น คิดเอง วางแผนเอง วางเล่ห์กลเอง แล้วก็จะไปทำลายคนอื่น นี่มันเผาตนและเผาคนอื่น ถ้ามันไม่มีมันเผาเราไม่ได้ การกระทำ การกระทำเกิดจากความคิดทั้งนั้น ความคิดเกิดจากจิตทั้งนั้น จิตที่อวิชชาควบคุมไว้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นรื้อถอดถอนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลก เอวัง