เทศน์เช้า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะๆ ฟังธรรมะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่ในหัวใจของเราไง ถ้าในหัวใจของเรามีคุณธรรมนะ มันไม่สงสัยในวัฏฏะ มันไม่สงสัยในวัฏฏะ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ผลของวัฏฏะๆ การเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิด ความรู้สึกนึกคิดเกิดดับๆ ในหัวใจ มันสร้างแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับหัวใจของเรา เพราะความทุกข์ความเดือดร้อนในหัวใจของเรา เราต้องเมตตาตนเอง
คำว่า “เมตตา” เมตตาค้ำจุนโลก ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ ถ้าที่ไหนมีรัก มีการยึดมั่นถือมั่น มีการช่วงชิง มีการแสวงหา นั่นน่ะที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ แต่ถ้ามีความเมตตานะ เมตตาตนและเมตตาผู้อื่น ถ้ามีความเมตตาๆ ความเมตตา เมตตาธรรมค้ำจุนโลกๆ
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนะ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เวลาเราเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วสิ่งใดที่ไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งใดในหัวใจของเรามันเดือดร้อนมันบีบคั้นหัวใจของเรา แล้วบีบคั้นหัวใจของเรา เราก็มองแต่สมบัติของคนอื่นไง ไม่มองสมบัติของเราไง
ถ้าสมบัติของเรา สมบัติของเราก็ชีวิตเรานี่ไง เกิดมาเป็นมนุษย์อาการ ๓๒ มีหัวใจที่เป็นปกติ ทำสิ่งใดก็ได้ มีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ของเรา เราเห็นกันนะ เวลาคนทะเลาะเบาะแว้งกันเขาแย่งชิงกัน เห็นแล้วมันแปลกใจ เราก็มีสองมือสองเท้าเท่าเขา ทำไมเราทำไม่ได้วะ เราทำได้ทั้งนั้นน่ะถ้าเรามีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน เราทำสิ่งใดก็ได้ ถ้าทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ขวนขวายกระทำของเรา
เมตตาตนๆ ถ้าเมตตาตนแล้วมันมีความสุข ความสงบ ความระงับในหัวใจนะ เพราะเมตตาตน เมตตาตนไม่เอาสิ่งใดมาเผาลนหัวใจของตน ใครเขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน นั่นมันสุจริตหรือทุจริตยังไม่รู้เลย ถ้าความทุจริตนั่นก็แสวงหาเวรหากรรมมาเผาหัวใจของเขา
เราทำความสุจริตของเรา ถ้าทำสิ่งใดประสบความสำเร็จสมความปรารถนา นั่นคือหน้าที่การงานของเรา นั่นคือความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราทำความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะเพื่อความบริสุทธิ์ ความสัจธรรมในหัวใจของเรา เราเมตตาตน เมตตาตนไง ไม่ใช่เมตตาอยู่ในตัวหนังสือ
เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนมันมีมารยาสาไถย ไอ้มารยาสาไถยน่ะเมตตาๆ เมตตามันจะคว้าของคนอื่นก่อน เมตตามันเอาของมันซ่อนไว้แล้วจะไปหยิบของคนอื่นมาใช้ก่อน
ถ้าเมตตาๆ เราเอาของเราให้เขาใช้ก่อน สิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ของเราใช้สอยไปแล้วมันเป็นประโยชน์แล้ว นั่นมันเป็นของของเราไง นี่มาวัดมาวามาเสียสละทาน ทำบุญทิ้งเหวๆ ใช่ไหม ทำบุญทิ้งเหวน่ะบุญมหาศาล พอบุญมหาศาลไง บุญมหาศาลได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับไปว่างเปล่า
แต่หลวงตาท่านสอนนะ เวลามานี่รถว่างเปล่า เวลากลับไปให้บรรทุกพุทโธๆ ไปเต็มคันรถนะ
ถ้าหัวใจของเรามีสัจจะมีความจริงขึ้นมา มันมีจุดยืนของมัน มีความสุขของมันไง ถ้ามีความสุขของมัน มันเห็นน่ะ มองไปทางโลกสิ เวลาสมบัติของเรา เราไม่เห็นไง สมบัติของเราคือชีวิตของเรา สิ่งที่ได้เกิดมาเป็นอริยทรัพย์
สมบัติของเขา เขามีชีวิตเหมือนกันแต่เขามองข้ามชีวิตของเขาไปหาปัจจัยเครื่องอาศัยที่เป็นประโยชน์กับเขา ไปแสวงหาโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แต่สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์สิ่งใด
แต่ของเรา เราเกิดมามีชีวิตใช่ไหม ชีวิตนี้ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม เราก็มีหน้าที่การงานของเราใช่ไหม เราทำของเราด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ถ้ามันเป็นไปได้โดยคุณธรรม เป็นไปได้โดยความจริง เราก็พอใจของเรา ถ้าเราพอใจของเรา เราเมตตาตนๆ เราไม่ไปแข่งขันกับใครในการทำชั่ว เราจะแข่งขัน แข่งขันทำคุณงามความดีของเรา เห็นไหม
ถ้าแข่งขันทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราเมตตาตนๆ เมตตาตนมันมีความสะอาดบริสุทธิ์ในใจของเรา แต่เวลากิเลสมันเผามันผลาญนะ มันน้อยเนื้อต่ำใจ มันเปรียบเทียบคนอื่นไปทั้งนั้นน่ะ คนนู้นอย่างนี้ คนนี้อย่างนั้น ไอ้คนนั้นๆ ในหัวใจของเขาเดือดร้อนขนาดไหน ของเราๆ เราทำของเรา นี่เราทำของเรา เราจะมีชีวิตของเรา
วันนี้วันพระๆ วันพระหัวใจผู้ที่ประเสริฐ ประเสริฐแล้วมีความสุขมาก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จบ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ความรู้สึกนึกคิดของเราไง มีสติปัญญาของเราไง
นี่ตนเป็นที่พึ่งของตนไม่ได้ไง อาศัยพึ่งพาคนอื่นไง เราไม่ใช่ทารกนะ ทารกเราเกิดมา เกิดมาพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เลี้ยงดูแลมา ฟูมฟักมา ดูแลมา พอเราโตขึ้นมาเราก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วเราก็ต้องดูแลอนุชนรุ่นหลังต่อไป ความดูแลอนุชนรุ่นหลังต่อไปเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขไง พระพุทธศาสนา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นผู้นำ ผู้นำผู้คุ้มครองดูแลเพื่อความเสมอภาค ชาติคือประชาชนที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา รวมตัวขึ้นมาเป็นชาติ ศาสนา ศาสนากล่อมเกลาหัวใจของเราๆ
เราเกิดมาด้วยคุณธรรมของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์มีคุณค่าๆ อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจอะไรทั้งสิ้น มีชีวิตแล้ว มีชีวิตแล้วเรามีสติปัญญา คนที่มีสติปัญญาเขาทำสิ่งใด นี่อำนาจวาสนาบารมี ถ้าเขามีบารมีของเขา มีคนชื่นชมบูชา ถ้ามันมีบารมี ถ้าไม่มีบารมี เราก็ทำมาอย่างนี้ไง ดูสิ กำปั้นเล็ก กำปั้นใหญ่ กำปั้นใหญ่มันก็หนักหน่วงของเขา กำปั้นเล็กมันก็เบาหน่อย
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราได้สร้างสมมาอย่างนี้ไง กำปั้นเราจะเล็ก กำปั้นเราจะไม่มีน้ำหนักใดๆ เลย มันก็เป็นกำปั้นของเราไง ถ้ากำปั้นของเรา เราก็ดูแลชีวิตของเรา ถ้าเราดูแลชีวิตของเราให้หัวใจเราร่มเย็นเป็นสุข อย่าให้มีมารยาสาไถย
มันมีมารยาสาไถย “เมตตาๆ”...เมตตาอะไร ความเมตตามันไม่มีมารยาสาไถย สิ่งที่มีมารยาสาไถยนั่นน่ะกิเลส ไปวัดไปฟังธรรมๆ ขึ้นมาเพื่อให้มีสติปัญญาเท่าทันความคิดของตน ไม่ต้องไปชนะคนอื่นหรอก เราเท่าทันความคิดของตน ถ้าเท่าทันความคิดของตนแล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามรรคผลไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้
ถ้ามันเป็นไปได้ คนเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหมเวลาเขาหมดอายุขัยของเขา เขาก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วถ้าเขาอยู่ที่สูงแล้วมันจะไปเกิดที่ไหน อย่างน้อยนะ เทวดาเขาอวยพรกันๆ เทวดาเวลาเขาจะตาย อย่างคนเราเวลาแก่เฒ่าชราภาพไม้ใกล้ฝั่งๆ เรารู้ว่าคนนี้ใกล้จะหมดชีวิตแล้ว เทวดาเวลาเขาไปเกิดแสงเขาสว่างไสวนะ แล้วก็เฉาไปๆ พอเขาจะตาย นั่นน่ะอาหารทิพย์ เขาจะมาเยี่ยมเยียนกัน “ถ้าตายไปแล้วขอให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้สร้างบุญกุศลแล้วได้กลับมาเกิดเป็นเทวดาใหม่” แค่นั้นน่ะ แล้วเทวดา อินทร์ พรหมเขาก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาต้องการสิ้นสุดแห่งทุกข์ๆ เห็นไหม เวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขาหมดอายุขัยเขาก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
นี่ก็เหมือนกัน เราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแต่เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เทวดาเขาชื่นชมส่งเสริมกันให้เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่ทำบุญกุศลๆ นี่ผลของอามิสทานเกิดจากวัตถุ เกิดจากเจตนาของเราที่ได้เสียสละไป มันก็เป็นบุญนั่นแหละ บุญก็คือบุญ ถ้าใครได้สร้างอำนาจวาสนามามากน้อยแค่ไหนเขาจะมีสติปัญญาของเขา เขาจะย้อนกลับมา
คำว่า “สติปัญญา” คือรู้เท่าทันความรู้สึกของตน ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด ความปรุง ความแต่งในหัวใจของตน ถ้ามันรอบรู้ในความคิด ความปรุง ความแต่งในหัวใจของตน พยายามดัดแปลงหัวใจของตนให้คิดดีขึ้น ถ้าคิดดีขึ้น เห็นไหม
นี่ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน ถ้าทรัพย์ภายนอกแสวงหามาขนาดไหน ถ้ามันเสื่อมค่าไปมันก็จบ ถ้าทรัพย์ภายในๆ ทรัพย์ของเราไม่มีใครสามารถมายื้อแย่งของเราไปได้ แล้วถ้าใครทำความสงบใจเข้ามา ใจที่สงบระงับขึ้นมามีคุณธรรมในใจของตนขึ้นมา นี่ไง ถ้าเมตตาตนๆ ความเมตตาตนถ้าใจมันสงบแล้วมันจะหาที่สงัดที่วิเวก
ถ้าใจมันสงบแล้ว ถ้ามันพลิกมันแพลง เวลาคำพูดออกไปกะล่อนทั้งนั้นน่ะ “จิตสงบ แหม! เป็นสมาธิ”...เป็นสมาธิแล้วสมาธิมันได้มาอย่างไร มันสงบมันก็สงบในใจของมันใช่ไหม ถ้าใจมันสงบแล้วมันมีความสุขของมัน ถ้ามีความสุขของมันนะ โอ้โฮ! มันโหยหานะ โหยหา
ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติเวลามันเป็นสมาธิแล้วมันเสื่อม เวลาเสื่อมขึ้นมามันทุกข์มันร้อน มันแผดมันเผา ถ้าเวลามันสงบขึ้นมา เวลาคนทำความสงบของใจขึ้นมาใจมันสงบ อู้ฮู! จะปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ปฏิญาณตนเลยนะ จะไปที่สุดแห่งทุกข์ พอเดี๋ยวมันเสื่อม หันรีหันขวาง ไปไม่ถูก พอไปไม่ถูก ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีอยู่เขาก็พยายามของเขา รื้อฟื้นของเขา
ในการกระทำ ในชีวิตเรามันมีรุ่งเรืองและตกต่ำ ชีวิตของเรามันไม่แน่นอนหรอก ในการประพฤติปฏิบัติสูงๆ ต่ำๆ ทั้งนั้นน่ะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านสั่งสอนท่านถึงมีหนักมีเบา เวลาถ้ามันเสื่อม เวลาที่มันรุนแรงต้องหนักหน่วงกับมัน ต้องเต็มที่กับมัน เวลามันเป็นสมาธิมันนุ่มนวล มันนุ่มนวลเราก็ดูแลด้วยสติด้วยปัญญาของเราที่ความนุ่มนวลของเรา มันมีหยาบมีละเอียดนะ มรรค ๔ ผล ๔ เวลามรรคโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ไม่เหมือนกัน ถ้าคนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้ด้วย แล้วศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล
ทีนี้เรามาวัดมาวากัน เรามาทำบุญกุศลของเรา เราสร้างอำนาจวาสนาของเรา ไอ้อำนาจวาสนาสิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยทุกคนก็แสวงหาได้ แต่เวลาทำความจริงๆ ขึ้นมา ใครมีอำนาจวาสนาเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อค้นคว้าหาใจของตนๆ ใจที่มีคุณค่านี่
สิ่งที่เราเกิดมา สิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คือชีวิตของเรา ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมันมีค่าอยู่แล้ว แต่หัวใจที่สมบูรณ์แบบ หัวใจที่มีคุณธรรมขึ้นมามีคุณค่ามากกว่า ถ้ามีคุณค่ามากกว่า ถ้าเราเมตตาตนๆ เราไม่มีมารยาสาไถย เราไม่กะล่อนปลิ้นปล้อน มันไม่หวาดระแวง มันไม่เอาอะไรมาเผาใจมันหรอก
แต่ถ้ามันปลิ้นมันปล้อนน่ะ หน้าไหว้หลังหลอก หน้าฉากอย่างหนึ่ง หลังฉากอย่างหนึ่ง เวลากิเลสๆ กิเลสบังเงา แสดงธรรม แสดงธรรมะของพระพุทธเจ้า กิเลสท่วมหัว เอารัดเอาเปรียบเขา
คำว่า “เอารัดเอาเปรียบเขา” หลวงตาท่านสอนประจำ คำว่า “เอารัดเอาเปรียบเขา” นั่นน่ะไปเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนทั้งนั้นน่ะ เพราะการกระทำนั้นคือกรรม กรรมที่กระทำนั่นน่ะ จะทำที่ไหน จะทำในที่เปิดเผย ทำในที่ปิดบังขนาดไหน กรรมๆๆๆๆ
นี่เขาว่าเอารัดเอาเปรียบๆ คิดว่าได้ประโยชน์ๆ นั่นน่ะ มันได้มาแต่วัตถุไง แต่สิ่งที่ได้มา ได้มาจากอะไร จากกะล่อนปลิ้นปล้อน มารยาสาไถย หน้าไหว้หลังหลอก อย่างนั้นน่ะหรือ ไอ้พวกหน้าไหว้หลังหลอก แล้วบอกเมตตาตน
เมตตาตนอย่าหน้าไหว้หลังหลอก อย่าให้กิเลสมันตลบหลัง ทำอะไรให้มันซื่อสัตย์ ทำตามความเป็นจริง
“โอ๋ย! อย่างนี้ก็หากินไม่ได้แล้ว”
มีคนล้อเลียนมากว่าถือศีลไม่ได้ ถ้าซื่อสัตย์แล้วจะหากินไม่ได้ ต้องต่อรองราคาเวลาค้าขาย เรามีวิธีพูดทั้งนั้นน่ะ ถ้าคนมันซื่อสัตย์นะ แล้วไม่ใช่คนซื่อสัตย์ธรรมดา เราเห็นเยอะแยะไป เวลาคนตกทุกข์ได้ยากมา เวลาเขาเดินไปไหนนะ แม่ค้าที่เขาใจเป็นธรรมนะ เขาให้กินฟรี คนตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีเงิน เขาให้กินฟรีๆ เขาให้เลยๆ เขาไม่เรียกร้องเอาเงิน เราเห็นเขาทำกันแล้วชื่นใจ ถ้าเห็นอย่างนั้นนะ แหม! พอใจมาก อยากจะตามไปเจอคนนั้นนะ แต่ไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะเขาทำกับคนคนนั้น ถ้าเจอพระ พระต้องแพงๆ นี่โลกเป็นอย่างนั้น
เวลาเขาทำ อารมณ์อารมณ์หนึ่ง อารมณ์มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สิ่งใดที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว แต่เราก็ดูด้วยความชื่นชม ดูด้วยความชื่นชม ดูด้วยความอบอุ่น เห็นไหม เมตตาตนๆ นั่นเขาเมตตาเขา นั่นเขาได้สร้างประโยชน์กับเขา
คนคนหนึ่งทุกข์จนเข็ญใจ เขาไม่มีจะกิน เขาได้ให้อาหารเขา แล้วคนที่ได้กินแล้วเขาก็ขอบคุณ ขอบคุณนะที่ให้อาหาร นี่มันปลื้มใจ นี่ไง สิ่งที่กระทำ ถ้าเมตตาตนๆ เพราะเมตตาตน ให้เขาแล้วมันได้ขึ้นมา มันได้ขึ้นมาจากการะทำของเขา นี่ไง ถ้ามันเมตตาตน เมตตาตนแล้วเมตตาคนอื่น
ถ้ารัก ของฉัน ไม่ได้ ได้เสียเลยล่ะ อู๋ย! ยิ่งจะกว้านมาให้มากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ ที่ไหนมีเมตตาค้ำจุนโลก มีเมตตาค้ำจุนโลก เราเมตตาตนๆ เมตตาตน เวลามันคิดขึ้นมาน่ะตบมันลงไป ความรู้สึกนึกคิดที่มันไม่ดีนี่ไร้สาระ คิดแล้วคิดเล่า แล้วความคิด ความคิดมันเกิดจากจิต แล้วเกิดจากจิต ถ้าสติปัญญามันไม่เข้มแข็งมันก็ตะล่อมหลอกลวงอยู่อย่างนี้ แล้วก็ระแวงไปหมดเลย แล้วจะเมตตาตนหรือ นี่เผาตนทั้งนั้นนะ
ถ้าเมตตาตนนะ เมตตาตน เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้น คำว่า “ง่ายขึ้น” ในการภาวนาที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมๆ ถ้ามันเจริญขึ้นมามันมีความสงบระงับเข้ามา ให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา บริกรรมพุทโธๆ พุทโธไปเรื่อยๆ อย่าทิ้งมัน
ไอ้นี่ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนแอ เวลามันเงียบๆ หน่อยก็ “โอ๋ย! เป็นสมาธิๆ”...สมาธิอะไรของมึง ถ้ามันยังพุทโธได้อยู่มันไร้สาระน่ะ เหมือนคนเราเลย คนที่เขาเป็นเศรษฐี คนที่เขาประสบความสำเร็จเขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขารอบคอบของเขา เขาดูแลเงินทองของเขา เขาดูแลผลประโยชน์ของเขาไม่ให้คนมาหลอกมาล่อ ไม่ให้คนมาตุกมาติก คนที่เขาจะมีเขาต้องมีสติมีปัญญาเขาถึงรักษาทรัพย์สมบัติของเขาได้ แล้วคนรวยที่เขารักษาสมบัติของเขา เขาจะรักษาสมบัติของเขาต่อเนื่องได้เขาต้องรอบคอบ เขาต้องดูแลรักษาของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน “สมาธิๆ”...เอ็งไม่มีสักบาทหนึ่ง ยังกู้เงินเขาใช้อยู่เลย อวดร่ำอวดรวย อวดว่าตัวเองมีคุณธรรม ไร้สาระมาก เพราะอะไร เพราะว่าสังคมปฏิบัติ เพราะมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์มหัศจรรย์ คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่งไง ความจริงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง เวลาคิดขึ้นมา คิดมาในใจแล้วไม่กล้าพูดนะ คิดมานี่พูดอะไรไม่ได้เลย แต่เวลาทำ ทำอีกอย่างหนึ่ง นี่มนุษย์เป็นสัตว์มหัศจรรย์ไง มันถึงว่าความเมตตาตนๆ มันไม่เมตตาตน ไม่เมตตาเพราะอะไร เพราะความรู้สึกนึกคิดมันไม่เป็นความจริงไง แล้วจิตมันจะเอาความจริงมาจากไหน
ถ้ามันจะเอาความจริงมาจากไหน เราเข้มแข็งของเรา พุทโธไปเรื่อยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทโธๆ ของเราไป ถ้ามันสงบระงับ มันเป็นจริงขึ้นมา โอ้โฮ! ขนลุกขนพองนะ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์
เวลามันเกิดปีตินี่ขนลุกเลยนะ ตัวนี่สั่นคลอนสั่นไหวไปหมด แต่ก็แค่นั้น ปีติแล้วมันจะไปความสุขข้างหน้า ถ้าเป็นความสุข ความสุขแล้วติดสุขมันก็แค่นั้นน่ะ ถ้าติดสุขแล้วมันจะไปเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นข้างหน้า
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ มันเป็นองค์ของสมาธิ แล้วเขาก็โม้กัน เขาเขียนคำถามไปถามนะ “ผมวิตก ผมวิจาร ผมมีปีติ ผมมีความสุข ผมมีเอกัคคตารมณ์ ใช่หรือไม่”
อาจารย์เขาตอบว่าใช่ ใช่ตามตัวอักษรไง ใช่โดยที่มันไม่รู้เรื่องไง ถ้ามันรู้เรื่องในหัวใจของมัน ไอ้นั่นมันไปตามขั้นตอนไง เหมือนกัน เวลาหลวงตาท่านไปเยี่ยมวัดนรนาถฯ เวลาเพื่อนท่านจะให้สอนบอกให้ดูปฏิจจสมุปบาท ท่านบอกไม่ดู ปฏิจจสมุปบาทตัวจริงไม่เป็นแบบนี้ เขียนไว้เลยนะ ปฏิจจสมุปบาทนะ โอ้โฮ!เป็นวรรคเป็นตอนเลยนะ
นี่ก็เหมือนกัน “วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ผมได้ขั้นไหน”
“โอ๋ย! ได้สมาธิๆ” มันไม่ใช่เมตตาตนแล้วเมตตาคนอื่น ตัวเองไม่รู้ ได้แต่การท่องจำนกแก้วนกขุนทอง แล้วถ้าใครเขียนมาถูกต้องตามตัวอักษรก็ถูก ถ้าตามตัวอักษรมันก็ตัวหนังสือ ใครก็เขียนได้ นักเรียนวันอาทิตย์พระพุทธศาสนามันก็เขียนได้ ใครก็เขียนได้ “ผมเป็นอย่างนี้ๆๆ ครับ”
โธ่! หลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านเทศนาว่าการ ถ้าเวลาจำเป็นของท่าน ท่านบอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวกิเลสมันจะเอาไปใช้ อะไรสิ่งที่เป็นความจริง ท่านให้มันเป็นเองมันจะได้รู้ของมันเอง
ขนาดเทศนาว่าการเขายังไม่บอกเลย แล้วเวลาบอกมันต้องให้มันเป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้าความจริง คนไม่รู้ไม่เห็นมันจะเป็นจริงได้อย่างไร
ไอ้นี่เวลาเขียนตามตัวอักษรถูก ถูกหมดเลย แล้วถามว่าใช่ไหม ใช่
มันก็จะเหลือแต่โลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ที่ศึกษาเท่าทันกันเป็นปรัชญา เป็นตรรกะ แต่ความจริงเข้าไม่ถึง ความจริงไม่มี ถ้าความจริงมีนี่เมตตาตน เมตตาตน เมตตาตนไม่ได้ ไม่เข้าถึงสู่ความจริงแล้วจะไปเมตตาคนอื่นตรงไหน จะเอาอะไรไปเมตตาเขา ในเมื่อเราก็ไม่รู้ สะเปะสะปะ แม่ปู “เดินให้ตรงๆ นะ เดินอย่างแม่นี่แหละเดินให้ตรงๆ นะ” แม่ปู เดินเลย อู้ฮู! “เดินให้ตรงๆ สิ เดินให้ตรงสิ แม่เดินตรงเปี๊ยะเลย เดินอย่างแม่นี่แหละ เดินอย่างแม่นี่แหละ เดินตรงๆ นะ เดินตรงๆ นะ” แม่ปูๆ นี่ไม่ได้เมตตาตนเลย ไม่รู้จักเหนือจักใต้ ไม่รู้จักผิดจักถูก ไม่รู้สิ่งใดเป็นสิ่งใดเลย
นี่ไง เราจะเมตตาตน วันพระๆ วันพระเป็นผู้ประเสริฐ เราประเสริฐในหัวใจของเรา ประเสริฐในหัวใจของเราคือเรามีสติปัญญาเท่าทันความคิดของเรา เอาตัวเราให้พ้นจากการครอบงำของกิเลส แล้วเราจะมีจุดยืนของเรา รักษาชีวิตของเรา ทำคุณงามความดีของเรา
ทำคุณงามความดีที่ดีที่สุดคือนั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะอะไร เพราะเราจะเข้าไปค้นจิตใต้สำนึกของเรา เราจะค้นคว้าหัวใจของเรา เราจะค้นคว้าจิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ หล่อหลอมให้มันมีความจริงขึ้นมาในใจของเรา อันนี้มีค่าที่สุด พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่นี่
แต่สังคมมันอ่อนแอ ท่านถึงให้รู้จักเสียสละทานก่อน เสียสละทานให้มันมีสติสัมปชัญญะขึ้นมาแล้วค่อยฝึกหัดขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา อนุปุพพิกถา ทาน ศีล ภาวนา แล้วเราฝึกหัดภาวนา ฝึกหัดภาวนาของเรา ฝึกหัด แต่มันทำได้ยาก ทำได้ยากเพราะมันเป็นนามธรรม มันจับต้นชนปลายตรงไหนไม่ได้เลย แล้วจะจับอย่างไร ทำอย่างไร
ก็หัวใจของตนไง ความรู้สึกของตนไง ความทุกข์ในใจของตนไง กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ รักษาอย่างนี้ แล้วถ้ามันเห็นจริงๆ ขึ้นมา นี่มีคุณค่า เวลามันมีคุณค่ามันมีคุณค่าที่เราเห็นจริงๆ เราจับได้จริงๆ หัวใจของเราจริงๆ เอวัง