เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ต.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรม เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้หลากหลายมาก เปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้า ท่านเปรียบอย่างนั้นเลยนะ ห้างสรรพสินค้าเข้าไปสิ มีสินค้าทุกๆ อย่างเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธๆ ขึ้นมา ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน ไอ้นักวิชาการก็ชาวพุทธตำรา ตำราอ่านเข้าไปเยอะๆ อ่านเข้าไปแล้วก็จินตนาการ จะเอาอย่างนั้นๆๆ กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกเลย นี่ไง ศึกษา ศึกษาจบ ๙ ประโยค ศึกษามาแล้ว ศึกษามาสมาธิก็ไม่รู้จัก ถ้าปัญญาๆ ปัญญาก็กูแต่งนิยายนี่ไง นิยายธรรมะนี่ อย่างนี้เป็นปัญญาหรือ

ปัญญา ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้าเรามีความรู้สึกนึกคิด มีความฟุ้งซ่านในหัวใจ แล้วมีปัญญาระงับมันได้ ปัญญามันเท่าทันความคิดของเรา นี่คือปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นได้มันต้องเกิดขึ้นได้จากมนุษย์

มนุษย์เกิดมา ดูสิ เกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในวัฏฏะเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม คนเราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม ด้วยประเพณีวัฒธรรม เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาว่าทำบุญกุศลแล้วจะได้บุญมากมายมหาศาล ทำบุญแล้วมันจะมั่งมีศรีสุข ทำอะไรก็ประสบสมความปรารถนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านจะปรินิพพาน ที่เศษของกรรมๆ เวลาพระอานนท์ไปตักน้ำนั่นน่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไป พวกเดียรถีย์นิครนถ์มันสร้างคนมาโจมตี เห็นไหม

นี่ไง ความดีๆ เป็นความดีในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณธรรมในหัวใจนั้น แต่หัวใจนั้น ไอ้พวกป่าเถื่อน ไอ้พวกที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็ทำลาย มันไม่เชื่อ ไอ้คนไม่เชื่อมันจะเชื่อไหม มันไม่เชื่อมันก็คือไม่เชื่อไง

แต่ถ้าคนมันเชื่อนะ มันเคารพบูชา มันเคารพบูชานี่มหาศาลนะ ถ้าความเคารพบูชามหาศาล เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงหลากหลายนัก คำว่า หลากหลายนัก” นะ เวลาคนเข้ามาศึกษาๆ นักวิชาการมันอ่านมาก มันรู้มาก มันเพ้อเจ้อมาก มันฝันเฟื่องมาก

แต่ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ของเรา อยู่โคนไม้ อยู่ในที่สงบสงัด แล้วค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตนนะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ความที่เห็นตถาคตๆ เห็นตถาคตที่ไหน ที่สมาธิธรรมๆ ความสุข พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

แล้วเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้นะ “สว่าง ว่างหมดเลย สว่าง สว่าง”

พระอาทิตย์สว่างกว่าเอ็งอีก สว่าง กูเปิดไฟฟ้าก็ได้

มันสว่างมันแจ่มแจ้งในหัวใจของตน มันรู้เท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ไอ้สว่าง สว่างอะไร นี่มันไปเทียบเคียงแล้วอ้างหมดเลย เวลาพุทธพจน์ๆ ก็นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เอาสิ่งนั้นมาแอบอ้าง แล้วอ้าง เห็นไหม

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนไง หมามันห่มหนังเสือ เวลาหมามันห่มหนังเสือนะ หนังเสือก็คือหนังเสือสิ เสือใครก็กลัวใช่ไหม เวลามันจะเห่ามันจะหอนมันก็เป็นหมาวันยังค่ำนั่นน่ะ นี่ไง ถ้าสิ่งที่แอบอ้างอย่างนั้นๆ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปริยัติ การศึกษานี้สำคัญมาก การศึกษา ศึกษามาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ ทีนี้การศึกษาๆ มา นักวิชาการศึกษามากก็รู้มาก รู้มากก็จินตนาการมาก จินตนาการมากมันก็ต้องการของมันมาก มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

วัฒนธรรม ดูสิ ในพระพุทธศาสนาในทิเบตก็อย่างหนึ่ง ในจีนก็อย่างหนึ่ง ในเถรวาทในเมืองไทยก็อย่างหนึ่ง ในพม่าก็อย่างหนึ่ง ในพม่าเขามีนัตนะ นัตก็คือถือผีนั่นน่ะ นั่นน่ะเขาก็ถือของเขา ทันใจๆ สร้างพระพุทธรูปเสร็จในวันเดียวนะ ขอพรสิ่งใดก็ได้ พระพุทธรูปทันใจๆ เราก็ทันใจไปกับเขานะ เมืองไทยมีทุกอย่างเลย แล้วไม่มีรากเหง้าอะไรสักอย่างเลย

แล้วเวลามีรากเหง้า ความคิดของคนมันก็ขัดแย้งกันใช่ไหม ประชาธิปไตยๆ ไง ทุกคนก็มีสิทธิ์หมด ทุกคนมันก็จะเอาแต่ตามใจมันน่ะ แล้วตามใจมัน ไปวัด วัดเละเลย จะเอา เอาอย่างไรล่ะ วัยรุ่นมันจะมีคอนเสิร์ต ไอ้ผู้ดีมันบอกว่าหนวกหู อ้าว! แล้วมึงทำอย่างไรล่ะ

วัดเป็นที่ชุมชน วัดเป็นสถานที่ที่อยู่ของผู้ทรงศีล ถ้าผู้ทรงศีลมีคุณธรรมขึ้นมา มีศีลมีธรรมขึ้นมา นี่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไร รุกฺขมูลเสนาสนํ เวลาเขาสอนน่ะ เวลาเป็นอุปัชฌาย์บวชขึ้นมา

บวชขึ้นมา กรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หน้าที่ของเธอๆ แล้วเข้าป่าเข้าเขาไป นี่ไง ค้นคว้าให้ทะลุได้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่หน้าที่ของเธอๆ แล้วเวลาเป็นหมู่สงฆ์ขึ้นมา เป็นหมู่สงฆ์มันต้องมีอาราม พอมีอารามขึ้นมามันก็มีกิจของสงฆ์ มันก็มีข้อวัตรปฏิบัติ มันก็มีธรรมวินัยบังคับอะไรผิดอะไรไม่ผิด มันเป็นกฎหมาย มันเป็นวินัย วินัยก็เป็นวินัย ถ้าวินัยแต่ละพื้นที่มันก็แตกต่างกันไปใช่ไหม ทีนี้แตกต่างกันไป ศึกษามา ศึกษามาแล้ว ศึกษามามากน้อยขนาดไหน ปริยัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ย้อนเข้ามาที่ใจของตน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อานาปานสติ

ในปัจจุบันนี้ไอ้ยุวพุทธเขามีอบรมทั่วประเทศ อานาปานสติ เด็กอายุ ๓ ขวบ ๔ ขวบมาฝึกหัดอานาปานสติ นี่เราวางพื้นฐานอย่างนี้ขึ้นมา เด็กมันบอกเลยนะ เมื่อก่อนขี้กลัว เมื่อก่อนมันควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อน เดี๋ยวนี้ดีหมดเลยๆ นี่พูดประสาเด็กๆ มันไร้เดียงสา เด็กๆ อะไรดีมันก็ว่าดี อะไรชั่วมันก็ว่าชั่ว มันควบคุมมันได้ มันก็ควบคุมมันได้ตอนที่มันเป็นเด็กขึ้นมา แต่มันก็ดี เห็นไหม นี่พระพุทธศาสนาสอน สอนอย่างนี้ไง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่คือภาคปฏิบัติเลยนะ เอาไปสอนเด็กอนุบาลกัน ไอ้พวกผู้ใหญ่ “พุทธพจน์ๆ”

พุทธพจน์ๆ มันก็เอาดาบไว้ข้างหลังด้วย พุทธพจน์ในแนวทางของตน พุทธพจน์ในความเห็นของตน ถ้าไม่ใช่ ไม่ใช่บอกไม่ใช่ ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่ถ้ามันพอใจมันบอกพุทธพจน์ นี่ไง มันก็กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็มาแอบอ้าง นี่หมาห่มหนังเสือไง ตัวเองกิเลสท่วมหัว ยับยั้งอะไรไม่ได้สักอย่าง ศีล ๕ ก็ไม่ยอมนับถือ ศีล ๕ ก็ไม่ถือปฏิบัติ ศีล ๘ ก็ไม่เอา ศีล ๑๐ ยิ่งโยนทิ้งเลย แล้วว่าพุทธพจน์ๆ นะ จับผิดแต่คนอื่น คนอื่นผิดพลาดไปทั้งหมด แต่ของเรานี่สุดยอด

นี่ไง ฟังธรรมๆ ขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาที่เรา ทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับนักปฏิบัติทั้งหมด ลงสู่โคนไม้ เรือนว่าง ในที่อยู่อาศัยของตน นักปฏิบัติทั้งหมดค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ หาความสงบระงับในใจให้ได้ ถ้าหาความสงบระงับในใจให้ได้ ถ้ามันเจอแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาจะเห็นความแตกต่างระหว่างภาวนามยปัญญากับสุตมยปัญญาแตกต่างกันอย่างไร เวลามันภาวนาขึ้นไปมันจะเห็นของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป พระพุทธศาสนานี้มหัศจรรย์มาก สุดยอดๆ แต่พวกเราน่ะมันไม่ได้

เราเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่งแล้วสั่งอาหารมาสิ อาหารบนโต๊ะนั้นก็ยังมีอาหารที่ดีที่งาม แล้วจะกินอาหารชิ้นไหน อาหารประเภทใด อาหารประเภทใดมันก็อยู่ที่คนพื้นฐานคนมาจากภูมิภาคใด ถ้าคนภูมิภาคภาคใต้เขาต้องกินอาหารรสจัด คนมาจากภูมิภาคอีสานเขากินส้มตำ คนมาจากทางภาคเหนือเขาก็กินแคบหมู ภาคกลางกินได้ทุกอย่าง กินหมดเลย ทุกๆ อย่างเลย นี่อาหารแต่ละประเภทมาบนโต๊ะอาหาร เราจะกินอาหารประเภทใด

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษามาๆ ศึกษามาแล้วก็เป็นความรู้ของเรา ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันมาจากไหน ความจริงมันมา เห็นไหม

พระพุทธศาสนานี้สุดยอดมาก แต่ของคนมันเกิดจากทิฏฐิมานะของตน ศึกษามาก ตำรามาก อ่านมาก รู้มาก แล้วให้คนอื่นทำนะ กูไม่ทำ ให้คนอื่นทำ กูรู้มากหมดเลย

เพราะยิ่งรู้มากยิ่งฟุ้งซ่านมาก ยิ่งรู้มากยิ่งสงสัยมาก ยิ่งรู้มากยิ่งทำสิ่งใดไม่ได้เลย มี ๙ ประโยคเป็นเลขาเจ้าคณะภาคไปถามหลวงปู่ฝั้น “ผม ๙ ประโยครู้หมดทุกเรื่องเลย แต่ผมจะเริ่มต้นตรงไหนไม่ถูกเลย”

หลวงปู่ฝั้นถามกลับเลย “ทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทุกข์มันอยู่ในตำราไหม ทุกข์มันอยู่ในชุมชนไหม ทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทุกข์มันอยู่ที่ใจเราใช่ไหม ถ้าทุกข์อยู่ที่ใจเรา ทำไมไม่ย้อนกลับมาที่ใจเรา”

เวลามันส่งออกไง ศึกษาก็ศึกษาโดยการส่งออก ไปศึกษาด้วยภาพความจำ ด้วยขันธ์ ๕ ส่งออกไปหมดไปยึดมั่นถือมั่น กูรู้ๆ กูแน่กูเก่งไปหมดเลย แต่ตัวมันเองไม่เคยได้เหลียวหลังกลับหันไปมองมันเลย

แต่ถ้ามันเหลียวหลังกลับไปหาใจของมันได้ ยิ่งรู้มากยิ่งกลับไม่ได้ เพราะอะไร มันเป็นธรรมชาติของตัณหาความทะยานอยาก พลังงานมันส่งออกหมด จิตทั้งหลายมันส่งออกหมด ไอ้ที่ปฏิบัติส่งออกทั้งนั้น “ว่างๆ สว่าง”...ภาษาเรานะ ไร้สาระ อันนี้คือแพะ

เวลาเขาเกิดการฆาตกรรมเขาเกิดคดีอาญาขึ้นมาเขาจะจับแพะๆๆ ไอ้คนที่ศึกษามากมันรู้นะ อ๋อ! ไอ้นี่คือความโกรธ ไอ้นี่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันส่งไปนู่นน่ะ แล้วมันพยายามจะเอาแพะมาบูชายัญนะ ความโกรธอยู่นู่น แต่มึงไม่เห็นใจมึงเลยหรือ มึงไม่รู้จักตัวมึงเองเลยหรือ

ศึกษามามากไง ศึกษาชื่อกิเลสมาก เหมือนทนาย ผู้พิพากษารู้มาก รู้หมดเลย ใครผิดใครถูกรู้หมดเลย แต่มันจับตัวจริงไม่ได้ มันไม่สามารถจับคนขโมย มันไม่สามารถจับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย มันไม่สามารถจับผู้กระทำผิดมาลงโทษทางอาญาได้ แล้วมันก็เก่งนะ เพราะอาชีพของเขารู้ไปหมด อย่างนี้ๆ ผิดอย่างนี้ อย่างนี้ๆ ผิดอย่างนี้ อย่างนี้ๆ ผิดอย่างนี้ แล้วมันก็ไปลากแพะมา สร้างอารมณ์มา อารมณ์เทียมๆ มันสร้างของมันขึ้นมาอารมณ์เทียมๆ แล้วบอก “นี่ไง กิเลสๆๆ”

กิเลสมันไปชี้หน้ากิเลส เหมือนผู้กระทำความผิดแล้วไปชี้คนอื่นว่าทำความผิด ผู้ทำผิดมันอยากจะรีบชี้เลย ชี้ให้จับไอ้คนนั้นแล้วมันจะได้หลบหลีกต่อไป นี่ไง เรียนมากรู้มาก

แต่ผู้รู้น้อย ผู้รู้น้อยลงสู่โคนไม้ ลงสู่เรือนว่าง หลับตาลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ค้นคว้าหาผู้กระทำผิดให้ได้

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามาเกิดนี่เกิดด้วยผลของบุญ คนเกิดไม่มีผลของบุญนะ เวลาไม่มีผลของบุญ จิตนี้ไม่มีเวลาว่าง จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรต เป็นผี เป็นปลวก เป็นมด เป็นไร เป็นทุกๆ อย่าง เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าผู้ที่ทำคุณงามความดีขึ้นมา ขณะเวลาเกิด เกิดในสถานะไหน

ในปัจจุบันนี้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์มีกายกับใจๆ ร่างกายนี้ต้องการอาหาร แล้วเราก็ต้องบากบั่นหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาดำรงชีพนี้ด้วยความทุกข์ความยากน่ะ ความทุกข์ความยากนี้ ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็จะได้หูตาสว่างขึ้นมาไง เพราะร่างกายนี้มันบีบคั้นขึ้นมา นั่งนานก็เมื่อย นอนก็ไม่ได้ เดินอีกก็เมื่อย ทำอะไรก็เมื่อย จะอยู่ จะนั่ง จะกิน จะนอน ไม่พอใจสักอย่าง ไม่พอใจความเป็นอยู่เลย แต่อยากเป็นสุข เอออยากสุขๆ อู๋ย! ต้องการความสุขๆ ศาสนาพุทธนี้พูดถึงทำบุญแล้วได้บุญมากๆๆ

นี่ไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำได้สมาธิหนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง

ดูสิ ทำทานร้อยหนพันหนนะ แล้วภาวนามยปัญญาที่มันเกิดขึ้นนี่มันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากเรานั่งลง หลับตา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งนี้ค้นคว้าหาใจของตนเจอสิ่งนี้ต่างหาก สิ่งนี้มีคุณค่าต่างหาก สิ่งที่ในพระพุทธศาสนาย้ำแล้วย้ำเล่าน่ะ

“ทำแล้วจะรวย ร่ำรวยๆ”

ร่ำรวยก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ร่ำรวย ถ้าจิตใจเป็นธรรมๆ มันถึงจะเป็นธรรม จิตใจเป็นธรรมถึงเป็นความสุข คนทุกข์คนจน คนร่ำคนรวย ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมนะ เราเข้าใจ อ๋อ! ชีวิตมันเป็นแบบนี้ ผลของวัฏฏะมันเป็นความจริง พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ต้องตก ชีวิตมีแล้วมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดนะ ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ถ้าสอนอย่างนี้ เห็นไหม

คนจะร่ำรวยขนาดไหนไม่ใหญ่ไปกว่าโลง ทุกคนทั้งหมดต้องตายหมด ทีนี้คนจะเป็นจะตายขึ้นมามันก็คิดถึงความดีแล้ว คิดถึงศีลธรรมแล้ว คิดถึงผลประโยชน์ของเราแล้ว ไม่ไปคิดแต่สิ่งที่กิเลสมันดิ้นรนกระชากลากไป นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ แล้วนี่ไง เอ็งต้องการความสงบความสงัดนะ ให้หัวใจสงบสงัดก่อน ให้รู้จักคิดก่อน

พระ พระสามสี่แสนองค์มันก็มีทั้งดีทั้งเลว สังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว ถ้าสังคมที่ไหนมีคนดีอยู่ สังคมนั้นมันก็ทำให้ร่มเย็นเป็นสุข สังคมที่มีคนเลวเข้ามายุมาปั่นมาป่วนมายุแยงตะแคงรั่ว สังคมนั้นก็มีความสุขไม่ได้หรอก

ถ้ามันจะสงบก็สงบที่ใจของเรานี่ พยายามศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลของวัฏฏะๆ เราเกิดมาเช่นนี้เอง เราเกิดในสภาวะนี้เอง เราเกิดมาเจอพ่อเจอแม่เจอปู่ย่าตายายของเราเอง พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราให้ชีวิตนี้มาไง เพราะให้ชีวิตนี้มา เราได้ชีวิตนี้มา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกไง สิ่งที่ได้ชีวิตนี้มาแล้วชีวิตนี้แสวงหาความสุขไง แล้วชีวิตนี้แสวงหาความสุขไม่ได้ ก็ได้แต่ความทุกข์มาไง พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง

ถ้าได้สิ่งนี้มาแล้ว พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของเราไง แต่เวลาเราศึกษาธรรมะของเรา เราพยายามค้นคว้าของเรา พระพุทธศาสนา ห้างสรรพสินค้า เราจะเอายอดธรรมไง ยอดธรรมคือสัจธรรมในหัวใจของเรานี่ไง

สิ่งที่การกระทำๆ เราแสวงหามา เราแสวงหาพระที่ดีๆ เราหาวัดที่ดีๆ เราหาเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญที่เราจะหว่านพืชหว่านผลของเราไง ถ้าเราหว่านพืชหว่านผลของเรา เรามีสติปัญญาขึ้นมาแล้วเราจะหาพุทธะไง

พุทธะคือภวาสวะ คือภพ คือจิตของเรา คือสถานที่เกิดของเรา คือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดของเรา เราย้อนกลับมาที่นี่มันจะยิ่งใหญ่เลย ไม่ต้องไปว่าวัดนั้นเสียงดัง วัดนี้เสียงเบา

เสียงในใจที่ก้องกังวาลน่ะ ความคิดที่มันฟุ้งซ่านที่มันจุดประกายขึ้นมาในใจน่ะ สิ่งที่ดับตรงนั้นจบแล้วนะ สุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี ถ้าจิตของเราสงบระงับแล้ว ไอ้ที่เขาจะเสียงดัง ไอ้ที่เขาจะมีการกระทบกระเทือน จบหมดเลย

แต่เพราะจิตของเรามันฟุ้งซ่าน จิตของเรามันเห็นแก่ตัว จิตของเราเห็นแก่ได้ จะบังคับทุกๆ อย่างให้สมกับความคิดของเรา เราคิดว่าอย่างนี้ถูกต้องดีงามแล้ว ทุกอย่างต้องยอมจำนนกับความคิดของเรา

แต่ถ้ามันดับที่ความคิดของมันจบสิ้นแล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นเช่นนั้นเอง มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน โดยวัฒนธรรมของเขา โดยความดีของเขา โดยการกระทำของเขา ถ้ามึงดับหัวใจของมึงได้ เอวัง