เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ต.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์เดรัจฉาน มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา เราจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เราจะเป็นสิ่งใดก็ได้เพราะเรามีสติมีปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอน เห็นไหม จะเป็นมนุษย์เทวดา มนุษย์เปรต มนุษย์ผีก็แล้วแต่ มันอยู่เรารับรู้ คนอื่นไม่รู้กับเราหรอก หน้าไหว้หลังหลอก เวลาเบื้องหน้าแล้ว แหม! เป็นเทวดาเชียว แหม! มีน้ำจิตน้ำใจเชียว เบื้องหลังนะ หัวใจมีแต่ความเร่าร้อนฉะนั้น มันเป็นความจริงๆ มันเป็นความจริงในหัวใจของเรา เห็นไหม

วันนี้วันพระๆ พระเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ เขาทำบุญกุศลของเขาไม่ได้ เทวดา อินทร์ พรหมนะ แล้วเปรตอสูรกายเวลาวันพระวันโกนเขามาขอส่วนบุญกุศลจากเราๆ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ทำ เขาไม่มีโอกาสแล้ว เขาตกไปอยู่ในสถานะนั้นแล้ว เขารอแต่หมดอายุขัยของเขา เวลาเทวดาเขาให้พรกัน เวลาหมดอายุขัยแล้ว ให้สิ้นอายุขัยแล้วได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาได้ทำบุญกุศล ได้กลับไปเกิดเป็นเทวดาใหม่

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพื่อยับยั้งกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ไอ้พวกความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบ เราได้เสียสละให้ผู้อื่น ผู้อื่นเขาได้รับความสุขความสงบความระงับจากเรา จากน้ำมือของเรา นี่มันเกิดจากเราๆ เราเห็นแล้วเราภูมิใจของเรา นี่มันฟังเหตุฟังผลไง ถ้าฟังเหตุฟังผล เห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าหัวใจของสัตว์โลกนะ ถ้าสัตว์มันมีสติปัญญาย้อนกลับมาในหัวใจของตนเองนะ มันจะเห็นคุณค่า ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าเราจะฝึกเราจะฝน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตถ้ามันหยาบๆ นะ มันไม่เห็นหรอก ไม่เห็นหัวใจของตนไง มันเห็นแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นแต่สังคมรอบข้าง นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี คนนั้นทำลายเรา คนนั้นแกล้งเรา คนนั้นทั้งนั้นเลย

แต่ถ้ามีสติมีปัญญานะ กรรมของสัตว์ เราทำไมไม่เกิดมาเจอแต่เทวดาทั้งหมดล่ะ เราเกิดมามันก็เป็นสังคมของสัตว์โลก สัตว์โลกที่เห็นแก่ตัวเขาก็ได้แสดงกิริยาของเขาออกมา สัตว์โลกที่เป็นคุณธรรมเขาก็ได้แสดงกิริยาของเขาออกมา เรามีสติมีปัญญา เราคัดเลือกเราคัดแยกของเรา เรารักษาหัวใจของเรา

ถ้าเรามีสติมีปัญญา สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เขาแสดงกิริยาของเขาออกมา เขาแสดงพฤติกรรมของเขาออกมา เราเห็นทั้งนั้นน่ะ แล้วเรามีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา นี่สัตว์โลก แล้วเราล่ะ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราจะหาความสงบของเราแล้ว

สิ่งที่แสดงออก แสดงออกเพราะว่ามันมีอำนาจเหนือหัวใจของคนคนนั้น มันมีอำนาจเหนือสติปัญญาของคนคนนั้น เขาถึงได้แสดงสิ่งนั้นออกมา ถ้าสิ่งที่แสดงออกมานั้นคือความเลวทรามความหยาบช้า แล้วมันมีอยู่ในใจของเราหรือไม่ ถ้ามันมีอยู่ในใจของเรานะ เราพยายามจะบังคับจะไม่ให้มันออกมา เราถึงตั้งสติของเรา แล้วเราก็จะไปฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าเราฝึกหัดภาวนาของเรานะ เราไปเห็นหัวใจของเรา เห็นไหม

จิตสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตสงบแล้วเห็นพุทธะๆ พุทธะคือไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์สั่งสอนเรานะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาธรรมเกิดๆ ไง เวลาปฏิบัติไปแล้วจิตมันว่าง จิตมันสงบแล้วมันมีธรรมผุดขึ้น คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนเรา สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนั้นควรทำ สิ่งนั้นไม่ควรทำ

เราทำความสงบใจเข้ามา ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ถ้าใครมีอำนาจวาสนาธรรมจะผุดขึ้น ธรรมจะผุดขึ้นนะ ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่า เวลาท่านภาวนาของท่านไป จิตนี้มหัศจรรย์นัก มันมองทะลุภูเขาเลากาไปทั้งหมดเลย ท่านบอกว่าธรรมะกลัวท่านจะหลง กลัวท่านจะอยู่ตรงนั้นไง นี่อนาคามี จิตมันสว่างไสว จิตมันผ่องใส มันทะลุปรุโปร่ง มันมหัศจรรย์ๆ

ท่านบอกว่าธรรมมาเตือน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นจากจุดและต่อม เกิดขึ้นจากภวาสวะ เกิดขึ้นจากภพ เกิดขึ้นจากต้นพลังงานคือหัวใจของเรา แต่เราไม่เห็นไง นี่ไง ธรรมมาเตือนๆ แม้แต่หลวงตาท่านบอกว่าธรรมะมาเตือนท่าน กลัวท่านจะติดอยู่ตรงนั้น กลัวท่านจะหลงใหลในความเห็นของตน เห็นไหม ธรรมะมาเตือนๆ

นี่เหมือนกัน ถ้าใครภาวนานะ ภาวนาเป็นนะ ภาวนาแล้วจิตสงบแล้ว หรือทำความสงบใจเข้ามามันจะมีธรรมผุดขึ้น ธรรมผุดขึ้นคือคำบาลีก็ได้ คำไทยก็ได้ คำสิ่งใดก็ได้ มันผุดขึ้นมาคือมันสอนเรามันเตือนเรา

ผู้ที่จิตใจหยาบๆ เขามองไม่เห็นของเขา เขาแสดงพฤติกรรมของเขาออกมาด้วยกิเลสตัณหาครอบงำของเขา เราพยายามรักษาของเรา เราทำความสงบใจของเราเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วถ้าใครมีอำนาจวาสนาธรรมจะผุดขึ้น ถ้าธรรมผุดขึ้น บางคนผุดขึ้นแล้วไม่เข้าใจ บางคนผุดขึ้นแล้ว ผุดขึ้นแล้วมีสติปัญญาไหม

หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นยังดำรงชีวิตอยู่ ท่านจะเอาความเห็นของท่านไปถามหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นจะบอกท่าน ท่านบอกท่านจะทะลุไปได้เลย แต่ตอนนั้นหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว พอนิพพานไปแล้วจะไปถามใครก็ไม่ได้ จะไปถามใครนะ คนที่ภาวนาเป็นน่ะมันไปฟังคนที่ภาวนาไม่เป็นเวลาตอบปัญหาขึ้นมามันดูถูกดูแคลนนะ มีความรู้แค่นี้หรือจะสอนเรา มีความรู้อย่างนี้หรือ เวลามรรค สัมมาอาชีวะก็ แหม! เลี้ยงชีพชอบ ทำงานชอบ ชอบอะไร ไอ้นั่นการกระทำมันเป็นสองออกไปข้างนอก แต่ความรู้สึกนึกคิด มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต ความเกิดจากจิตนั่นน่ะ นั่นเลี้ยงชีพอย่างไร

คนที่เขาเห็นความละเอียดลึกซึ้งแล้วไปฟังไอ้คนหยาบๆ สอนมันฟังไม่ขึ้น มันฟังไม่ได้ อย่างนี้หรือจะสอนเรา ท่านถึงบอกท่านก็เคยไปคุยกับครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ ท่านบอกว่าไปไหนมาสามวาสองศอก ฟังไม่ได้

แต่ถ้าไปเจอ เจอหลวงปู่คำดี เจอหลวงปู่ขาว เจอครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ โอ้โฮ! ไปเจอหลวงปู่แหวน ไปถามหลวงปู่แหวนถามเรื่องภาวนาไง “มหา มหามีอะไรจะคัดค้านไหม มหามีอะไรคัดค้านมา”

“ผมไม่คัดค้านหรอกครับ ผมหาฟังธรรมแบบนี้ ผมหาของจริงอย่างนี้”

จะบอกของจริงก็มี แต่ของปลอมเยอะ นี่ไง ท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านก็จะไปหาหลวงปู่มั่น เพราะเป็นพ่อแม่ครูจารย์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจ สิ่งที่ไว้เนื้อเชื่อใจลงใจ เราจะไปหาท่าน

สิ่งที่เลวทรามหยาบช้า เราไม่ไปหรอก ยิ่งไปบอกมันนะ สามวาสองศอก มันชักไปข้างนอกเลย มันชักไปนู่น ดวงจันทร์ ดาวอังคาร พระอาทิตย์ ไปนู่นน่ะ แต่ความจริงไม่ใช่ เข้ามาภวาสวะ เข้ามาในภพของใจ นี่พูดถึงถ้าคนภาวนาเข้าไปแล้ว

นี่ไง ถ้าธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดคืออำนาจวาสนา แต่ถ้าส่วนใหญ่แล้วมันไม่เกิด ส่วนใหญ่สงบก็ไม่สงบ สงบแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสงบเป็นอย่างไร “ไอ้นี่มันคืออะไรคะ ไอ้นี่มันคืออะไรคะ ไอ้นี่ก็คือหัวใจสิคะ หัวใจของเราที่เราค้นหาสิคะ”

เราประพฤติปฏิบัติของเราถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของสัตว์โลก จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ในหัวใจของคนไง

ในสมัยปัจจุบันนี้ทางเศรษฐกิจมันมีผล คนที่ร่ำรวย คนที่มีเศรษฐกิจดีนะ เขาเก็บร่างเขาแช่แข็งไว้เพื่อที่จะฟื้นขึ้นมาอีก นี่เวลาเขาคิดทางโลก วิทยาศาสตร์คิดกันแบบนั้น

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของคน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก หัวใจที่มันบีบคั้น หัวใจที่มันลำบากลำบนนี่ ถ้ามันมีสัจจะมีความจริงขึ้นมา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เวลามันภาวนาขึ้นไป พอจิตเข้ามาสงบระงับเข้ามายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาถ้าพิจารณาในเรื่องร่างกายของตน ในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ มันพิจารณาของมันไป บุคคล ๔ คู่ไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่มันพัฒนาขึ้นไป นี่ถ้ามรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ ไม่ใช่เก็บร่างกายนี้ไปแช่แข็งไว้ เดี๋ยววิทยาศาสตร์มันเจริญจะทำให้เราฟื้นขึ้นมาอีกนะ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ เป็นเรื่องสัจจะเป็นเรื่องความจริงในภายใน เพราะว่าสิ่งที่เกิด ใครมาเกิด เวลามาเกิดขึ้นมา เราเกิดจากพ่อจากแม่ แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ เกิดจากอดีตชาติไป เกิดจากเวรจากกรรมของตน คนทำเวรทำกรรมมาอย่างไรมันเกิดมาอย่างไร แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันพิจารณาด้วยวิปัสสนาขึ้นมา นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบนี้ ที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ ไม่ใช่ไปแช่แข็งไว้แล้วรอวิทยาศาสตร์ รอเทคโนโลยีมันเจริญ แล้วจะฟื้นขึ้นมาใหม่ไง มันจะฟื้นไปไหน พอมันตาย จิตมันก็เสวยภพเสวยชาติไปแล้ว ไอ้นี่มันก็เศษทิ้งไว้นั่นแหละ

แต่ถ้าความจริงๆ เราพิจารณาของเรา ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนานะ ถ้าคนมีอำนาจวาสนา พระพุทธศาสนานี้ประเสริฐมาก แต่พระพุทธศาสนามีโลกกับธรรม โลกคือโลกสังคม สังคมมนุษย์เรานี่เรื่องโลก เรื่องโลกคือให้มีเมตตาต่อกัน มีการอนุเคราะห์ต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน นี่เรื่องโลกๆ แต่ถ้าเรื่องธรรม เรื่องธรรมมันเป็นเรื่องปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจของตน เฉพาะตน รู้จำเพาะตน

แต่เขาบอกรู้จำเพาะตนแล้วพูดให้ใครฟังไม่ได้

ได้ รู้เฉพาะตน เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพิจารณา ท่านแก้ไขลูกศิษย์ลูกหามา ทำไมจะแก้ไม่ได้ แก้ได้ แต่แก้ได้คนที่มีวุฒิภาวะขึ้นมาสูงส่งขึ้นมาฟังแล้วเข้าใจได้ ฟังแล้วเข้าใจได้ แล้วไม่ใช่ฟังแล้วเข้าใจได้ จิตใจมันสูงส่งขึ้นมามันพิจารณาของมัน มันละทิ้งกิเลสอย่างหยาบๆ ขึ้นมาแล้ว มันต้องการธรรมะที่ละเอียด ละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดที่สุด มันหาผู้รู้จริงที่พยายามจะชักนำที่จะโน้มน้าวไปมันหาได้ยาก สิ่งนี้มันหาได้ยากมาก หาได้ยาก ยากที่ไหน ยากเพราะครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไง

หลวงปู่มั่นท่านพูดเอง “จิตนี้แก้ยากนะ จิตนี้แก้ยากนะ ให้พระประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

เพราะผู้เฒ่าจะแก้ ผู้เฒ่าฝึกหัดมา ผู้เฒ่าปฏิบัติมา ผู้เฒ่าไปค้นคว้ามา ไปในพม่า ไปในลาว ไปทั่ว หลวงปู่มั่นธุดงค์ไปทั่ว เพราะอะไร เพราะต้องการให้คนชี้นำ ให้คนแก้ไข มันหาไม่ได้ หาไม่มี ท่านพิสูจน์มาแล้ว ท่านเคยทุกข์เคยยากมาก่อน ท่านเคยลำบากมาก่อน ท่านเคยไม่มีใครสั่งสอนมาก่อน สุดท้ายแล้วท่านก็มาปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลีฯ เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ที่มีสติปัญญา ปรึกษาทางวิชาการ ทางวิชาการเทียบเคียงกับการประพฤติปฏิบัติของท่าน

แล้วเวลาเอาความจริงของท่าน เวลาท่านไปเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นคนพูดเองว่าหลวงปู่มั่นท่านเทศน์มุตโตทัยๆ มุตโตทัยคือในหัวใจของมนุษย์ นี่ท่านพูดเอง เรื่องของเราทั้งนั้นเลย เรื่องกิเลสตัณหา เรื่องความทุกข์ความยากในใจของเรา เราไม่รู้ แต่ท่านมาบอก

หลวงปู่มั่นท่านบอกท่านแจกท่านแจงของท่าน นั้นเพราะหลวงปู่มั่นท่านทำในใจของท่านสำเร็จแล้ว ท่านทำใจของท่านสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ก่อนที่จะสมบูรณ์แบบนั้นมันได้ผ่านวิกฤติมาขนาดไหน มันไปหาคนคอยชี้นำก็ไม่ได้ ใครก็ไม่ได้ ทุกข์ยากทั้งนั้น ท่านถึงเตือนให้ประพฤติปฏิบัติมานะ พระหนุ่มเณรน้อยให้ขวนขวายมา ถ้ามันมีปัญหา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ แก้จิตแก้ยากนะ หาคนแก้ไม่ได้นะ หาคนแก้ไม่ได้เพราะท่านหามาแล้ว

แต่เดี๋ยวนี้สัพเพเหระ ปฏิบัติกันนอกคอก ปฏิบัติกันตามกิเลสที่มันชี้นำ ปฏิบัติตามความเห็นของตน แล้วก็ว่าปัญญามาก ปัญญาใหญ่ นี่ไง เวลาศาสนาเสื่อม เสื่อมที่ไหน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกศาสนาเสื่อม เสื่อมที่พระนี่ ถ้าพระเข้มแข็ง พระมีสัจจะมีความจริงขึ้นมาจะเข้มแข็ง ถ้าพระมันเหลวไหล พระมันไม่เอาไหน มันก็เสื่อมที่นี่แหละ แล้วสังคมชาวพุทธๆ เรา “อู๋ย! ศาสนาแห่งชาติๆ”

หลวงตาท่านบอก ศาสนาแห่งใจ

ชาวพุทธเราพยายามประพฤติปฏิบัติ ชาวพุทธเราทำตัวที่ดี ใครก็ทำลายเราไม่ได้ ใครจะโจมตีทำลายขนาดไหนมันอยู่ข้างนอก ทำลายเราไม่ได้ แต่ถ้าทำลายจากภายใน แล้วกิเลสมันก็จะทำลายจากภายใน ทำลายให้จิตใจนั้นอ่อนแอ ทำลายให้จิตใจนั้นมักมาก จิตใจนั้นมักง่าย จิตใจนั้นอยากใหญ่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหยียบย่ำทำลายคนอื่น กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของตน แล้วยังเหยียบย่ำทำลายคนอื่นแล้วพยายามจะตั้งตนให้เป็นศาสดา พยายามจะตั้งตนให้คนนับหน้าถือตา พยายามจะตั้งตนให้คนยอมรับ กิเลสมันทำลายทั้งนั้น ศาสนาประจำชาติ

ศาสนาประจำหัวใจ หัวใจเป็นพุทธะ หัวใจที่มีคุณธรรม มันละเอียดลึกซึ้ง แล้วถ้ามันเป็นกรรมของสัตว์ มันก็อยู่ที่สัตว์ดื้อด้านอย่างนั้น แต่ถ้าสัตว์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเขาแสวงหา แสวงหาสัจจะแสวงหาความจริง ถึงเราจะทำไม่ได้ เราก็สาธุกับผู้ที่กระทำได้ ถ้าเรามีสติปัญญา เราเป็นสัตว์อาชาไนย เราต้องเลือก เป็นสัตว์อาชาไนยมันจะกินแต่ยอดหญ้า กินแต่ยอดน้ำค้าง มันต้องแสวงหาอาหารที่สัตว์อื่นเขาไม่กินกัน สัตว์อื่นเขากินได้ทั่ว อย่างใดเขาก็ดำรงชีพเขาได้ สัตว์อาชาไนยมันต้องแสวงหา มันก็ต้องทุกข์ต้องยาก นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะหาความจริงของเรา เราก็ต้องมีสติมีปัญญาแยกแยะของเราเพื่อเอาประโยชน์ของเรานะ

วันพระ วันนี้วันพระ วันพระ พระผู้ประเสริฐในหัวใจ แล้วหัวใจเราประเสริฐหรือไม่ ถ้ามันประเสริฐ มันประเสริฐด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของตน ไม่ประเสริฐจากที่อื่นหรอก ประเสริฐจากสติของตน ถ้าสติของตนสมบูรณ์ มันแยกแยะได้ว่าถูกผิด ผิดชอบชั่วดีต้องแยกได้ ถ้าผิดชอบชั่วดีแยกไม่ได้ เราจะเป็นเหยื่อ เพราะความชั่ว ความเห็นแก่ตัว ความยกย่อง ความสรรเสริญนินทา มันจะมาชักนำจิตอ่อนแอนั้นไป ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะรักษาหัวใจของมันได้ ถ้าสติมันอ่อนแอมันจะเป็นเหยื่อของโลก เอวัง