เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะชาวพุทธเราพยายามขวนขวาย พยายามมีการกระทำ ถ้ามีผลของการกระทำ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา พระพุทธศาสนานี้ โอ้โฮ! เลอค่า พระพุทธศาสนานี้มีคุณค่ามาก พระพุทธศาสนาทำให้หัวใจของสัตว์โลกไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีศาสนาไหนทำได้ มีแต่พระพุทธศาสนานี้ทำได้ แล้วศาสนานี้มันเลอค่ามาก แต่เลอค่ามาก เลอค่ามากจนมันสุดเอื้อมมือคว้า

ก่อนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มรรคผลนิพพานเป็นไปไม่ได้ นิพพานหมดกาลหมดสมัย ไม่มีใครเชื่อหรอก แล้วถ้าเชื่อก็เชื่อภูตผีปีศาจ เชื่อพวกกะล่อนทอง มรรคผลนิพพานก็ล้วงกระเป๋า ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ หลอกกัน อยากมีเกียรติ อยากมีให้คนยอมรับนับถือ อยากให้คนเขานับหน้าถือตาว่ามีคุณธรรมๆ

ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมหาโจร มันเยินยอกันตรงข้าม ไอ้องค์นั้นก็ว่าองค์นี้ได้ขั้นนั้น ไอ้ขั้นนี้ก็ว่าได้ขั้นนู้น ไอ้ขั้นนู้นก็ว่าได้ขั้นนี้

หลวงปู่มั่นไม่เคยบอกว่าได้ขั้นอะไร ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นจริงๆ ท่านไม่เคยพูดว่าได้ขั้นอะไร แต่ท่านแก้ไขหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ หัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเหมือนคนเจ็บคนป่วย คนเจ็บคนป่วยไปหาหมอ ถ้าเป็นหมอ เขารักษาคนป่วยนั้นหายได้ หมอสามารถรักษาไข้ได้ ไอ้หมอพานิชย์ ไอ้หมอหาตังค์ ไอ้หมอนั่นน่ะ

เห็นไหม ศาสนามันเลอค่า มันเลอค่าอย่างนี้ไง ถ้าศาสนามันเลอค่า เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราไปตามวัดตามวา เราไปวัดไปวานั้นเป็นประเพณีวัฒนธรรม

ถ้ามันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ให้ เราให้ได้ทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละได้ เราทำของเราได้ แต่ถ้าจะเอามรรคเอาผล พวกนั้นไม่เป็นหรอก เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม ศาสนามันเลอค่า มันเลอค่าที่ไหน

สูงสุดสู่สามัญ ศาสนาถ้าเป็นพระอรหันต์ก็อยู่ปกตินี่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็เป็นพระธรรมดานี่ ดูหลวงตาสิ ดูครูบาอาจารย์สิ ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่เห็นมีอะไรพิเศษออกมาเลย ไอ้ที่มีพิเศษๆ มีจุดขายหลอกกินทั้งนั้นน่ะ

ศาสนาสูงสุดสู่สามัญ สู่สามัญ แล้วสามัญนี่ทำได้ยาก สามัญ สามัญสำนึก ความเป็นจริงในหัวใจนี้ ถ้าความจริงในหัวใจ เรามาวัดมาวากัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อความจริงในใจอันนี้ไง

ถ้าความจริงในใจอันนี้ เราค้นคว้าหาหัวใจของเราให้เจอ ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของเราเจอ เห็นไหม จิตตภาวนาๆ ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เพราะในสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เพราะมันมีสติมีปัญญาขึ้นมา เวลาจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

“พิจารณากายสิคะ พิจารณากายสิคะ”

กายอะไรของมึง กายก็ซากศพไง อุปาทานไง มันจะเป็นกายตรงไหน

กายที่มันเกิดขึ้น จิตตภาวนา จิตที่เป็นผู้แก้ไข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านไม่พิจารณากายอะไรของท่าน กายนี้เป็นเศษทิ้ง สอุปาทิเสสนิพพาน ใจที่สิ้นกิเลสไปแล้วอาศัยครองธาตุขันธ์นี้อยู่ มันจะมีคุณค่าอะไรขึ้นมาอีก เวลาคนตายไปแล้ว ซากศพ ซากศพมันมีคุณค่าที่ไหน

“พิจารณากายสิคะ พิจารณากาย”

กายอะไรของเอ็ง กายอุปาทานทั้งนั้นน่ะเพราะจิตมันไม่สงบ เพราะทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่เป็นนะ แล้วเวลามันไปอยู่กับลาภอยู่สักการะอยู่กับโลกธรรม ๘ แล้วเสียหายไปหมด ไหลกับเขาไปเลย คนเรามันมีเชื้อไข้อยู่ กินของแสลงมันฟูขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ หัวใจถ้ามีกิเลสอยู่ มันเจอสิ่งใดแล้วไปหมดน่ะ นี่มันพิสูจน์กันตรงนั้นน่ะ

แต่ถ้าหัวใจที่ไม่มีกิเลสนะ เอาอะไรมาทับถมมันก็ไม่มีความรู้สึก เอาอะไรมาแหย่มันก็ไม่ฟูขึ้นมา

ไอ้นี่ไม่ต้องไปแหย่มันหรอก ฟูตลอด หาเขาตลอด โมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย ถ้าไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย

มันต้องไปหวาดหวั่นกับอะไร อยู่โคนไม้นั่นน่ะมันมีความสุขอยู่แล้ว อยู่กับสัจจะ อยู่กับความจริงในหัวใจ เห็นไหม ถ้าสิ่งที่มีค่าๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันมหัศจรรย์ มันมีคุณค่ามาก

เวลาครูบาอาจารย์ ใจของท่านที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา สัจธรรมอันนั้นมันมีค่า มันจะมีอะไรสิ่งใดมีค่ามากไปกว่านั้น ไม่มีอะไรมีค่าไปกว่าสัจธรรม ไม่มี แต่สิ่งที่เขาหา เขาหาอะไร หาคนยอมรับ หาคนล้อมหน้าล้อมหลัง

หลวงตาท่านบอกนะ ไม่ใช่นิสัยท่าน นิสัยท่าน ท่านไปไหนท่านไปคนเดียว แอบไปด้วย หลวงปู่มั่นมีใครล้อมหน้าล้อมหลัง

หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเอง ตอนอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ บอก ไอ้หงบเอ้ย ตอนสมัยเราอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ไม่มีใครเข้ามาหาหลวงปู่มั่นเลย เพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นอยู่สององค์สามองค์เท่านั้นน่ะ พระจะมากน้อยขนาดไหนท่านให้อยู่รอบนอก ท่านอยู่รอบนอกหมด ท่านไม่ให้ใครมาล้อมหน้าล้อมหลังเลย ท่านไม่ให้ใครมาอยู่ใกล้เลย

การอยู่ใกล้ ดูสิ คนที่อยู่ไกลเรา ปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่กับเรา คนที่อยู่กับเรา จับชายจีวรไว้ กอดท่านไว้เลย แต่ไม่ทำตาม ดัดจริตด้วย แอ็กต์ชันว่ามีธรรมด้วย...ไม่มี ถ้ามี ไม่มีพฤติกรรมอย่างนั้น พฤติกรรมอย่างนั้นไม่มีธรรม

พฤติกรรมที่มีธรรม ดูสิ ดูพฤติกรรมของพระอานนท์ พฤติกรรมของหลวงตากับหลวงปู่มั่น หลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ เวลาใครเข้าไป ใครเข้าไปอวดดิบอวดดีทั้งนั้นน่ะ เวลาท่านแอบทำของท่าน อาหารที่ว่าท่านเอาไปถวายหลวงปู่มั่นๆ ท่านกลับมาที่บ้านของท่านให้พ่อแม่ซื้อแล้วหลบซ่อน เอาไปซ่อนไว้ ทำไว้ให้ท่านวันละพอฉันตอนเช้า

เวลาองค์อื่นเขาจะทำนะ เวลาอยากจะทำมาก อยากจะแข่งขัน พอทำไปแล้วมันทำไปด้วยหัวใจที่หยาบช้า

หลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาท่านเล่าให้ฟังเอง หลวงปู่มั่นท่านใส่ฟันปลอม ฟันปลอมของท่านเป็นสมัยโบราณ แล้วมันทำอาหาร ผักต้มมันติดฟัน ท่านบอกเลย “ไอ้ผักนี่ซอยหน่อยไม่ได้หรือ ต้มให้มันนิ่มๆ หน่อย”

“โฮ้! พระอรหันต์วุ่นวายอะไรขนาดนั้น พระอรหันต์ก็เคี้ยวๆๆ แล้วกลืนก็จบ” เวลามันพูดนะ

นี่ไง เวลาคนทำ เวลาทำ ทำด้วยหัวใจที่หยาบช้า ด้วยหัวใจที่ไปเกาะหลัง หัวใจที่ต้องการอยากให้คนยอมรับว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แต่มันทำด้วยหัวใจที่เลวทราม

แต่เวลาหลวงตาท่านทำนะ ท่านทำด้วยความเคารพ แอบทำ ทั้งแอบ ทั้งลัก ทั้งซ่อน แอบทำไม่ให้ท่านเห็น แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็รู้ทันทั้งนั้นน่ะ

“นี่รอยอะไรเนี่ย” เวลาท่านทุกเกวียนเอาอาหารเข้าไปเพื่อไปซ่อนไว้เพื่อจะเอามาทำถวายท่าน

“นี่รอยอะไรเนี่ย”

“อ๋อ! เมื่อวานนั้นรอยเขาเอาแก่นมาให้”

ท่านหลบท่านซ่อน ท่านไม่ให้เห็น เพื่ออะไร เพื่อทรงธาตุทรงขันธ์ของท่าน

นี่ไง คนที่ทำด้วยหัวใจมันทำด้วยความเคารพทำด้วยบูชา ทำด้วยอย่างนั้นนะ แต่ผู้ที่หยาบช้าก็จะทำเหมือนกันนั่นแหละ จะทำเอาชื่อเสียง เอาให้คนยอมรับ แล้วมันไม่เข้าใจไง

นี่ไง ไม่ต้องพระอรหันต์หรอก พ่อแม่ของเราแก่เฒ่า แล้วแก่เฒ่าจนเคี้ยวอาหารไม่ได้ เขายังต้องปั่นแล้วใช้หลอดดูดเลย ไอ้นี่มันแก่เฒ่ามันเคี้ยวไม่ได้ “โอ๋ย! เคี้ยวๆ แล้วกลืนไป” เขาคิดว่าพระอรหันต์มีฤทธิ์ไง

แล้วมีฤทธิ์ มีฤทธิ์ทางใจเว้ย เวลาฤทธิ์ ฤทธิ์ใจมันแสดง มันไม่ใช่ฟันเคี้ยวอาหารแสดง นี่คนไม่รู้คือไม่รู้ไง

สอุปาทิเสสนิพพาน จิตใจที่นิพพานไปแล้ว แต่ยังทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ พระอรหันต์ก็ล้มนะ พระอรหันต์ก็โอดก็โอยนะ พระอรหันต์ก็เจ็บปวดนะ

แต่เวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดไง เจ็บไหม เจ็บ แต่ไม่เอามัน

เจ็บไหม พระอรหันต์ไม่มีความรู้สึกหรือ พระอรหันต์มีความรู้สึกนะ แต่มีสติปัญญาเท่าทันความเจ็บปวดนั้น แล้ววางความเจ็บปวดนั้น พระอรหันต์ไม่ใช่แร่ธาตุที่ไม่รู้จักอะไรนะ รู้ รู้จัก แต่มีสติมีปัญญาเท่าทัน เท่าทันหมดน่ะ เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่เวทนา แต่สอุปาทิเสสนิพพานมันมีธาตุมีขันธ์อยู่ มันรับรู้สิ่งนั้นอยู่

ฉะนั้น ที่ว่าเจ็บปวดไหม เจ็บ แต่ไม่เอามันได้ แต่เราเจ็บ

ยิ่งอยากให้หาย เจ็บสองชั้นสามชั้นน่ะ เจ็บป่วยของพระอรหันต์นะ รับรู้แล้ววาง รับรู้ รู้เท่าหมด เพราะรู้เท่าตั้งแต่วันที่เท่าทันกิเลสแล้ว วันที่ฆ่ากิเลสรู้เท่าทันหมด แต่ร่างกายของมนุษย์ นี่ว่าเศษส่วนไง

ร่างกายนี้เกิดจากพ่อจากแม่มา จากไข่ของแม่ น้ำสเปิร์มของพ่อ มันก็เหมือนร่างกายของเรา มันได้ถ่ายพันธุกรรมนั้นมา ความถ่ายพันธุกรรมนั้นมา นี่ไง การเกิดเป็นมนุษย์ไง มีคุณค่าในภพชาตินี้ไง ถ้ามีคุณค่าในภพชาตินี้ แต่หัวใจอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรก็มาพิจารณาของเราจนหัวใจมันหลุดพ้นไปไง

แต่หัวใจหลุดพ้นไปก็รอวันเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๔๕ ปี ๔๕ ปีนี่สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะว่าเวลาท่านพูดในธรรมะ “เราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน”

กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่าน ท่านได้ทำลายสิ้นไปหมดแล้ว แล้วท่านก็ครองธาตุครองขันธ์มาอีก ๔๕ ปีด้วยการเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพอยู่

แล้วเวลาวันสุดท้าย “เราได้ฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุขันธ์ที่ทรงธาตุทรงขันธ์มานี้ ถึงวันสุดท้ายแล้ว “ฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงขันธนิพพาน” ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สลัดมันทิ้ง

พระอานนท์คร่ำครวญ คร่ำครวญมากว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานแล้ว เราเป็นพระโสดาบันอยู่ ต้องการคนชี้นำอยู่”

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องสิ้นใจในคืนนี้”

ละร่างกายนี้ไว้ ขันธนิพพาน ขันธ์ ๕ และธาตุ ๔ นี้เป็นการบ่งบอกเป็นการชี้ให้เห็นว่าพระอรหันต์ที่ดำรงชีพอยู่ พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ในพระพุทธศาสนา เราได้รู้ได้เห็น เราได้จับได้ต้องไง

เวลาท่านละขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไปแล้ว เพราะขันธ์ ๕ นี้ท่านสละตั้งแต่ท่านเป็นพระอนาคามี

เวลาเป็นพระโสดาบัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่เวลาขันธ์อันละเอียดมันก็จะมีต่อเนื่องไป คนภาวนาเท่านั้นที่รู้ ถ้าคนไม่ภาวนาก็เชื่อตามตำรา ตำราก็บอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ก็จบที่พระโสดาบัน

แต่พระสกิทาคามี พระอานาคามีเขายังมีความจำได้ความหมายรู้อันนั้น มันยังขึ้นไป เวลาเป็นอิสระกันจริงๆ ก็เป็นอิสระกันที่อนาคามีนั้น เวลาเป็นอิสระที่อนาคามีนั้น เวลาค้นคว้าจนหาเจอตอของจิต พอตอของจิต ทำลายตออันนั้นสิ้นกิเลสนั้นไป พลิกฟ้าคว่ำดิน จบสิ้นกระบวนการ การกระทำนั้นจบสิ้นไป

เห็นไหม มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นั้นอยู่ มันอยู่ด้วยภพด้วยชาติด้วยสมมุติ สิ่งที่สมมุติที่มันเกี่ยวเนื่องกันมา ถึงที่สุดเวลาสลัดทิ้ง “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” ขันธ์ ๕ คือความคิด “เราไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะหาเราไม่เจอเลย” หาใครก็ไม่เจอ ไม่เจอทั้งสิ้น นี่ไง เวลาทำลายภวาสวะ ทำลายตอของจิตอันนั้น

แล้วนี่ก็ดัดจริต เป็นจุดเป็นต่อม เป็นจุดเป็นต่อม

ถ้าเป็นจุดเป็นต่อมก๊อบปี้ทั้งนั้นน่ะ เพราะหลวงตาท่านเป็นจุดเป็นต่อม

มีเป็นจุดเป็นต่อม ใครมาก็เป็นจุดเป็นต่อม เป็นจุดเป็นต่อม...เป็นจุดเป็นต่อมก็หูด ก็ไปโรงพยาบาลสิ หูดก็ไปให้เขาเอาไฟจี้ มันจะจริงไปได้อย่างไร มันจริงไปไม่ได้หรอก เพราะมันไม่จริงมาตั้งแต่ต้น

ถ้าต้นจริง พฤติกรรมมันจะจริงมาตลอดนะ กตัญญูกตเวที แม้แต่พ่อแม่ของเรานะ คนที่มีสติปัญญายังเคารพพ่อแม่ของเรามาก พ่อแม่นี้ให้ชีวิตนี้มา

แล้วถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์มีคุณค่ามากกว่านั้น ไม่มีใครสอนเรื่องใจได้ ไม่มีทาง เว้นไว้แต่คนที่ผ่านไปแล้ว คนที่ได้ชำระกิเลสในใจของตนแล้วถึงจะชี้ทางในใจของตนให้คนอื่นเป็นแนวทางได้

แต่คนที่ยังไม่เห็นมันเป็นอุปาทานทั้งสิ้น มันเป็นตรรกะ เป็นการคาดหมาย เป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะความจริงเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม มนุษย์เราเวลามีความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยไหม แล้วคนที่มันไม่จริงแล้วจะฟันธงว่าถูกหรือผิดนี่ไม่ได้หรอก มันมั่ว พอมั่วแล้วมันก็อยู่ที่สันดานของคน ยืนกระต่ายขาเดียว แล้วคนอื่นก็ไม่สามารถจะเท่าทันได้ เพราะว่าสติปัญญาเราไม่พอ เราไม่เท่าทันนั้น

แต่ครูบาอาจารย์เรามีนะ ผู้รู้จริงมีนะ แค่พฤติกรรมการทำก็ผิดแล้ว

หลวงตาท่านพูดประจำ เราเน้นย้ำทุกวันเลย หลวงตาท่านบอกว่า “แม้แต่สมาธิมันยังทำไม่เป็นเลย แม้แต่สมาธิมันยังทำไม่เป็นเลย มันจะภาวนาอะไรกัน”

แต่พวกเราก็ดัดจริต “สมาธิมาทีหลัง ใช้ปัญญาไปเลย สมาธิมันจะพร้อมไป”

ที่ไหนมี ที่ไหน ที่ไหนมี ต้นคด ปลายจะตรงได้อย่างไร เริ่มต้นขึ้นมาทำอะไรก็ได้มั่วไปหมดเลย แล้วมันออกไปแล้วจะเป็นอาหารบนโต๊ะอร่อยยอดเยี่ยม เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ นี่ไง สมาธิมันยังทำกันไม่เป็นเลย

หลวงตาท่านเน้นท่านย้ำตลอด แล้วท่านเศร้ามาก เศร้าใจมาก

แต่เดี๋ยวนี้ดัดจริต “ภาวนาไปเลย ใช้ปัญญาไปเลย สมาธิมันจะมาพร้อม มันจะเป็นมรรคไปเลย”

อยากจะดูนักว่าใครทำได้จริง แล้วถ้ามันทำไม่ได้จริงไปสอนคนอื่นมันเสียหายกันไปหมด เหมือนกับว่าชี้ทางผิด

เวลาหลวงปู่ตื้อท่านไปเทศนาว่าการลูกศิษย์ท่าน แล้วท่านลงจากเขามาแล้วท่านขึ้นไปหาเลยบอกว่า “ที่ผมพูดนั้นผิดนะ”

“โอ๋ย! หลวงปู่ไม่ต้องมาก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้”

“ไม่ได้ เดี๋ยวไปสอนคนอื่น”

นี่ไง ความจริงเป็นความจริง ถ้าความจริงมันจะเห็นคุณค่า สติ สมาธิ แล้วฝึกหัดขึ้นไป ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นไป ต้นมันตรงนะ มันจะพัฒนาขึ้นไปแล้วมันสุดยอดถ้ามันเป็นได้จริง

แต่นี่ต้นมันคด แล้วทำลายต้นด้วย ทำลายต้น “ไม่ต้อง เดี๋ยวนี้เขาทาบกิ่ง โอ๋ย! ตออะไรก็ได้ ทาบกิ่งแล้วเจริญเติบโตเลย แม้แต่ส้ม มะม่วงต้นเดียวเขายังมีผลไม้ตั้ง ๓-๔ ชนิด”

ไอ้นี่มันเป็นเกษตรกร มันเป็นเกษตรกรรมที่เขาทำสวนครัว มันทำพืชไร่ มันไม่ใช่ภาวนา

เวลาภาวนาเขาเปรียบเทียบ บุคลาธิษฐาน เวลาพูดถึงธรรมะๆ เห็นไหม รดน้ำที่โคน ผลออกที่ปลาย รดน้ำที่โคนต้น ไม่มีผลอะไรออกที่โคนต้น เว้นไว้แต่ปาล์ม ไม่มีผลอะไรออกที่โคนต้น รดที่โคน ผลออกที่ปลาย ดูแลหัวใจ ผลมันคือมรรคผล

ไอ้นี่ “อริยสัจๆ อู๋ย! พิจารณากายสิคะ”

ในสติปัฏฐาน ๔ ในสติปัฏฐาน ๔ คือจิตสงบระงับ มีสติเป็นพื้นฐาน ฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ายกขึ้นสู่สติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงเป็นสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา

“พิจารณากายสิคะ พิจารณากายสิคะ กาย เวทนา จิต ธรรมสิคะ กายก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ กระดูกก็เป็นสติปัฏฐาน ๔”

ต้มยำเป็นสติปัฏฐาน ๔ ไหม ต้มยำน่ะ เห็นไหม เวลามันพูด มันพูดไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาพูดไปแล้ว มันพูดไปแล้วมันเป็นตรรกะ แล้วมันเข้าได้กับสมมุติ เข้าได้กับคนที่จินตนาการ เข้าได้กับความคิด แล้วพอมันคิดไปมันเป็นอุปาทาน

กิเลสอย่างหยาบๆ มันก็ว่าเป็นความทุกข์ความยาก กิเลสอย่างละเอียดก็อยากจะเชิดหน้าชูตา อยากให้คนยอมรับนับถือ นั่นกิเลสอย่างละเอียด

กิเลสอย่างหยาบเวลามันพยายามควบคุมมันก็ไปโผล่ในกิเลสอย่างละเอียด แล้วกิเลสอย่างละเอียดมันว่าความว่าง ความว่าง โอภาส นี่กิเลสทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงกิเลสไง

นี่พูดว่า สิ่งที่เป็นสัจธรรมๆ ถ้าเป็นสัจธรรมความจริงเราจะค้นคว้า เราจะแสวงหา แสวงหาในใจเรานี้ ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจใครทั้งสิ้น หัวใจเรายังมีอยู่ หัวใจมีอยู่ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน

กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ค้นคว้าหาหัวใจของเรา ให้มันเป็นรสเป็นชาติ ให้มันสงบจริงๆ ให้มั่นคงจริงๆ ให้ภูมิใจในความเป็นจริงในใจของเรา

อย่าให้ใครมายกย่องสรรเสริญ อย่าให้ใครมาเยินยอ อย่าให้ใครค้ำประกัน เอาความจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันจะมีจุดยืน มันมีจุดยืนของมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ครูบาอาจารย์เรากราบธรรมๆ สัจธรรมอันนี้สำคัญมาก สำคัญที่มันแก้ทุกข์แก้ยากในใจของเราได้ เอวัง